เรื่องราวของผมที่ไม่เคยบอกใคร
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
ความคิดที่ผมอยากจะเปลี่ยนเป็นคริสต์ก็มีต้นเหตุมาจากเรื่องนี้ ตอนปิดเทอมของชั้นม.2ของผมพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น(เดือนมีนาคม 2551) ต่อจากนั้นพ่อของผมมีความคิดว่าอยากจะส่งผม พี่สาว และน้องสาวไปอยู่ที่อเมริกากับป้า ซึ่งเรา3คนก็รู้สึกเฉยๆกับเรื่องที่พ่อคิดจะส่งเราไป พอถึงอเมริกาได้2อาทิตย์ป้าผมก็ชวนเรา3คนไปโบสถ์ของโปรแตสเตนท์ซึ่งเป็นนิกายที่แยกออกมาอีกคือนิกายแบ๊พติสต์(Baptist) ซึ่งในรัฐที่ผมไปอยู่นั้นเขานับถือนิกายนี้กันเยอะมาก คุณป้าบอกว่าที่พาไปไม่ใช่เพื่อหาเราไปเปลี่ยนศาสนาแต่พาไปพบปะผู้คนเพราะว่าพวกเราเอาแต่อยู่ที่บ้านไม่ยอมออกไปไหน แต่เราก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดีและอีกอย่างเราก็เคยอยู่โรงเรียนคาทอลิกมาและก็เคยเข้าโบสถ์ของโรงเรียนมา2-3ครั้งแล้ว วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่เราไปโบสถ์กันกับป้า ตอนแรกๆก็แต่งตัวไม่เป็นกันหรอก ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งตัวกันยังไง(เพราะว่าตอนที่เข้าโบสถ์ของโรงเรียนเราก็ใส่แต่ชุดนักเรียนเท่านั้น) แล้วคุณป้าก็บอกว่าเวลาไปโบสถ์เขาจะใส่ชุดเข้าสังคมกัน เราก็เลยแต่งตัวแบบใส่ชุดสูทและพี่กับน้องก็ใส่กระโปรงแบบสวยๆไป
พอตอนที่ไปถึงโบสถ์ก็ทำเราประหลาดใจมาก เพราะว่าผู้คนในโบสถ์เขาต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีมากๆ ผมก็คิดว่าทำไมฝรั่งพวกนี้เขาใจดีกับพวกเราจังนะ หลังจากที่ไปทักทายคนในโบสถ์แล้วคุณป้าก็พาเราไปห้องเรียนคำสอน ซึ่งห้องเรียนคำสอนของที่นั่นเขาจะแบ่งเป็นของเด็กกับของผู้ใหญ่ แต่ว่าเราเลือกที่จะไปเรียนกับคุณป้าดีกว่าเพราะเพื่อมีอะไรจะถามกันได้ หลังจากที่เรียนคำสอนแล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมคำสอนของศาสนาคริสต์ถึงได้สวยงามและกินใจของผมมาก หลังจากที่กลับไปโบสถ์ คืนนั้นผมก็เริ่มสวดภาวนาเป็นครั้งแรก ผมภาวนาว่าผมอยากที่จะเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า อยากที่จะรู้เรื่องราวและคำสอนของพระองค์ให้มากกว่านี้หลังจากสวดภาวนาเสร็จ ผมก็รู้สึกแปลกๆคือผมรู้สึกว่าตัวของผมสั่นสะท้านไปด้วยอะไรบางอย่าง ความรู้สึกระหว่างนั้นมันรู้สึกว่ามีความสุขเหนือคำบรรยาย และผมก็รู้เลยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินคำสวดของผมแล้ว
เรื่องที่ได้เกิดขึ้นเมื่อคืนผมไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่พี่และน้องของผม และผมก็ไปถามป้าของผมว่าทำไมป้าถึงคิดเปลี่ยนศาสนา(ในบ้านและครอบครัวของผมนั้นเป็นพุทธกันหมดรวมถึงป้าด้วย) คุณป้าบอกว่าตอนที่แต่งงานกับสามีของป้า(สามีของป้าชื่อ แดเนียล) ป้ายังนับถือศาสนาพุทธอยู่แต่ก็เข้าแต่งงานแบบคริสต์ หลังจากนั้นป้าก็ใส่สร้อยพระให้แดเนียล ปรากฏว่าเดเนียลเขาชอบสร้อยเส้นนี้มาก ต่อมาอีกไม่กี่อาทิตย์เดเนียลรู้สึกว่าเขาอารมณ์ร้อนขึ้นมาก หงุดหงิดไปหมดทุกอย่างซึ่งเขาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ป้าบอกผมว่า ป้าเชื่อว่าป้ากำลังโดนพระเจ้าลงโทษเนื่องจากพรากสาวกของพระองค์ไปจากพระองค์ ช่วงนั้นป้าบอกว่าป้าเสียใจมากๆหาทางออกไม่ได้ พอถึงวันอาทิตย์ตอนที่กำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่ป้าก็สวดภาวนาถึงพระเจ้าว่า ถ้าท่านสามารถทำให้สามีของป้าเป็นดังเดิมได้ ป้าจะยอมเป็นสาวกของพระองค์ และป้าก็ขอโทษพระองค์ในสิ่งที่ป้าได้ทำลงไป หลังจากกลับจากโบสถ์ป้าก็ถอดสร้อยพระของเดเนียลออก พอตอนเย็นสามีของป้าจะต้องไปทำงานข้างนอกกว่าจะกลับก็เป็นวันอาทิตย์หน้า พอวันอาทิตย์มาถึงในช่วงที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า อยู่ดีป้าก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัวและน้ำตาก็ไหลออกมาเอง เพื่อนของป้าที่เขามาโบสถ์ด้วยกันก็ตกใจและถามว่าเกิดอะไรขึ้น ป้าก็เล่าเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้เพื่อนของป้าฟัง เพื่อนของป้าก็บอกว่าป้าไม่น่าจะสัญญาแบบนั้นเลย และอาการที่ป้าเป็นเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเพราะมีเทวดามาแตะตัวป้า เพื่อนของป้าเขาบอกว่านั้น หลังจากกลับไปโบสถ์ป้าก็นั่งอยู่ที่บ้านรอให้สามีป้ากลับมาจาที่ทำงาน เพราะเขาบอกว่างานเสร็จไวก็เลยกลับบ้านได้วันนี้ พอตอนบ่าย3เดเนียลก็กลับมา จากนั้น แดเนียลเขาก็มาขอโทษป้าแล้วก็เล่าให้ป้าฟังว่า เมื่อตอนเช้าของวันอาทิตย์อยู่ดีๆก็มีคนที่ไม่รู้จักมานั่งคุยด้วย เขา2คนก็นั่งเล่าเรื่องปรับทุกข์กัน และชายคนนั้นเขาบอกกับแดเนียลว่า จริงๆแล้วป้าเขาเป็นคนดี จงอย่าได้ระแวงอะไรในตัวป้าอีกเลย หลังจากนั้นชายนั้นก็เดินจากไป แดเนียลก็เริ่มได้สติคิดถึงป้าขึ้นมาทันทีก็เลยกลับมาหาป้า แดเนียลเชื่อว่า ชายคนนั้นคงจะเป็นเทวทูตของพระเจ้า และหลังจากนั้นป้าก็ไปรับบัพติมา และเริ่มต้นความเป็น คริสเตียน
พอผมได้ฟังป้าเล่าผมก็รู้สึกเข้าใจในชีวิตของป้า ผมเริ่มที่จะศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยจนพี่และน้องสาวหาว่าผมบ้า แต่ผมก็ไม่สนใจ ต่อจากนั้นไม่นานเรื่องก็เริ่มเข้าหูพ่อและแม่ของผมเรื่องที่เราไปโบสถ์กัน พ่อกับแม่ไม่ค่อยจะพอใจ โดยเฉพาะแม่ที่ไม่พอใจอย่างมาก อีกสักอาทิตย์นึกแม่ก็มาอเมริกาเพื่อมาตามดูพฤติกรรมของผม แม่เริ่มที่จะทำสีหน้าไม่พอใจเวลาเห็นผมอ่านพระคัมภีร์ และต่อว่าผมเรื่องที่อยากจะเป็นคริสต์ ตั้งแต่แม่มาเราก็ได้ไปโบสถ์เพียงครั้งเดียวและแม่ก็ไปกับเราด้วย ผมรู้สึกลำคาญแม่มาก ซึ่งก็ที่จะเรียนคำสอนเราก็จะมีการสวดภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าก่อน แต่แม่กลับมองผมแบบตาเขียวเลย ผมก็เลยไม่ได้ทำ วันนั้นเป็นวันที่โบสถ์เขามีพิธีรับศีลมหาสนิท แม่ก็บอกว่าให้เรากินน้ำองุ่นกับขนมปังเสก เราก็ไม่ได้กิน คนที่โบสถ์เขาให้ของขวัญผมมา1ชิ้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แม่ผมก็บอกว่าต้องเป็นไบเบิ้ลแน่ๆ ผมก็ลองแกะดูปรากฏว่าเป็นไบเบิ้ล แม่ก็เลยโกรธผมใหญ่ พอกลับบ้าบไปแม่ก็บอกว่าอาทิตย์หน้าเราจะต้องเตรียมตัวกลับไทย และห้าม!เอาไบเบิ้ลเข้าบ้านเป็นอันขาด โอ้! ไม่นะไม่ให้เอาไบเบิ้ลกลับบ้านมันจะไม่ร้ายแรงไปหน่อยหรือผมคิด แต่ก่อนกลับผมก็แอบซื้อไบเบิ้ลเล่มเล็กหนึ่งเล่มแอบใส่กระเป๋าติดตัวไปตลอดการเดินทาง
เมื่อถึงเมืองไทยได้สัก 3 อาทิตย์ พ่อก็ถามผมเรื่องศาสนา ผมก็อธิบายให้พ่อฟังว่าการที่เราจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่มีศรัทธาให้ศาสนานั้นแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร หรือเปรียบเทียบได้เหมือนกับการเลือกซื้อเสื้อผ้า ทุกๆคนก็ต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่มีใครบังคับคนอื่นให้ชอบแบบที่ตัวเองชอบได้หรอก ผมอธิบายกับพ่ออย่างนี้ แต่ผมก็แปลกใจอยู่นิดๆว่าผมไม่ได้คิดคำพูดนี้มาเอง ผมก็เชื่อว่าคงจะเป็นพระจิตเจ้าที่ดลใจให้ผมพูดเช่นนี้ แล้วหลังจากนั้นมาพ่อก็ไม่เคยต่อต้านเรื่องศาสนากับผมอีกเลย ทีก็เหลือแต่แม่ แม่คอยสอดส่องหรือแอบค้นข้าวของของผมเพื่อหาอะไรเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แม่ชอบทำอย่างนี้อยู่เรื่อยตอนที่ผมไปเรียนพิเศษวันเสาร์ น้องผมเล่าให้ฟังว่าแม่ทำอย่างนี้บ่อยจะตายน้องผมทนไม่ไหวก็เลยมาบอกผม ในช่วงหลังๆผมเริ่มสนใจในนิกายคาทอลิกมากขึ้น ผมชอบที่จะสวดภาวนาต่อแม่พระ และผมก็จะพยายามหาซื้อสายประคำก็เลยตัดสินใจไปโรงเรียนเก่าซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก ตอนที่ไปติดต่อที่โบสถ์เขาบอกว่าสายประคำหมดและเลิกขายไปนานแล้ว ผมจึงรู้สึกหดหู่ใจและผมก็เริ่มภาวนาถึงแม่พระ พอผมเดินหันหลังกลับออกไป ครูที่เขาพูดกับผมเมื่อครู่นี้เขาก็เรียกผมอีกที เขาบอกว่าครูมีแต่สายประคำอันเล็กอยู่จึงให้ผมมาฟรีๆไม่เสียเงิน ผมรู้สึกขอบคุณพระแม่ที่ทรงมีน้ำพระทัยต่อผม
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้เป็นคริสตชนเลย เพราะว่าแม่ผมกำลังคอยจับผิดผมอยู่เรื่อยๆ อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง พยายามหลายหนแล้ว ส่วนพ่อผมเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากทั้งๆที่พ่อของผมเคร่งในศาสนาพุทธมากกว่าแม่ตั้งหลายเท่า ผมจึงยังเป็นคริสต์ไม่ได้ ผมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ายังคงมีแผนของพระองค์เสมอ ก็คือต้องรอจนกว่าผมจะโตขึ้นมาอีกหน่อย และค่อยตัดสินใจเป็นคาทอลิกโดยสมบูรณ์แบบ เพราะผมรู้สึกชอบ เมื่อตอนที่ผมเรียนตอนประถมผมก็อยู่โรงเรียนคาทอลิกมานานมากแล้วรู้สึกผูกพัน
พอตอนที่ไปถึงโบสถ์ก็ทำเราประหลาดใจมาก เพราะว่าผู้คนในโบสถ์เขาต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีมากๆ ผมก็คิดว่าทำไมฝรั่งพวกนี้เขาใจดีกับพวกเราจังนะ หลังจากที่ไปทักทายคนในโบสถ์แล้วคุณป้าก็พาเราไปห้องเรียนคำสอน ซึ่งห้องเรียนคำสอนของที่นั่นเขาจะแบ่งเป็นของเด็กกับของผู้ใหญ่ แต่ว่าเราเลือกที่จะไปเรียนกับคุณป้าดีกว่าเพราะเพื่อมีอะไรจะถามกันได้ หลังจากที่เรียนคำสอนแล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมคำสอนของศาสนาคริสต์ถึงได้สวยงามและกินใจของผมมาก หลังจากที่กลับไปโบสถ์ คืนนั้นผมก็เริ่มสวดภาวนาเป็นครั้งแรก ผมภาวนาว่าผมอยากที่จะเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า อยากที่จะรู้เรื่องราวและคำสอนของพระองค์ให้มากกว่านี้หลังจากสวดภาวนาเสร็จ ผมก็รู้สึกแปลกๆคือผมรู้สึกว่าตัวของผมสั่นสะท้านไปด้วยอะไรบางอย่าง ความรู้สึกระหว่างนั้นมันรู้สึกว่ามีความสุขเหนือคำบรรยาย และผมก็รู้เลยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินคำสวดของผมแล้ว
เรื่องที่ได้เกิดขึ้นเมื่อคืนผมไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่พี่และน้องของผม และผมก็ไปถามป้าของผมว่าทำไมป้าถึงคิดเปลี่ยนศาสนา(ในบ้านและครอบครัวของผมนั้นเป็นพุทธกันหมดรวมถึงป้าด้วย) คุณป้าบอกว่าตอนที่แต่งงานกับสามีของป้า(สามีของป้าชื่อ แดเนียล) ป้ายังนับถือศาสนาพุทธอยู่แต่ก็เข้าแต่งงานแบบคริสต์ หลังจากนั้นป้าก็ใส่สร้อยพระให้แดเนียล ปรากฏว่าเดเนียลเขาชอบสร้อยเส้นนี้มาก ต่อมาอีกไม่กี่อาทิตย์เดเนียลรู้สึกว่าเขาอารมณ์ร้อนขึ้นมาก หงุดหงิดไปหมดทุกอย่างซึ่งเขาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ป้าบอกผมว่า ป้าเชื่อว่าป้ากำลังโดนพระเจ้าลงโทษเนื่องจากพรากสาวกของพระองค์ไปจากพระองค์ ช่วงนั้นป้าบอกว่าป้าเสียใจมากๆหาทางออกไม่ได้ พอถึงวันอาทิตย์ตอนที่กำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่ป้าก็สวดภาวนาถึงพระเจ้าว่า ถ้าท่านสามารถทำให้สามีของป้าเป็นดังเดิมได้ ป้าจะยอมเป็นสาวกของพระองค์ และป้าก็ขอโทษพระองค์ในสิ่งที่ป้าได้ทำลงไป หลังจากกลับจากโบสถ์ป้าก็ถอดสร้อยพระของเดเนียลออก พอตอนเย็นสามีของป้าจะต้องไปทำงานข้างนอกกว่าจะกลับก็เป็นวันอาทิตย์หน้า พอวันอาทิตย์มาถึงในช่วงที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า อยู่ดีป้าก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัวและน้ำตาก็ไหลออกมาเอง เพื่อนของป้าที่เขามาโบสถ์ด้วยกันก็ตกใจและถามว่าเกิดอะไรขึ้น ป้าก็เล่าเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้เพื่อนของป้าฟัง เพื่อนของป้าก็บอกว่าป้าไม่น่าจะสัญญาแบบนั้นเลย และอาการที่ป้าเป็นเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเพราะมีเทวดามาแตะตัวป้า เพื่อนของป้าเขาบอกว่านั้น หลังจากกลับไปโบสถ์ป้าก็นั่งอยู่ที่บ้านรอให้สามีป้ากลับมาจาที่ทำงาน เพราะเขาบอกว่างานเสร็จไวก็เลยกลับบ้านได้วันนี้ พอตอนบ่าย3เดเนียลก็กลับมา จากนั้น แดเนียลเขาก็มาขอโทษป้าแล้วก็เล่าให้ป้าฟังว่า เมื่อตอนเช้าของวันอาทิตย์อยู่ดีๆก็มีคนที่ไม่รู้จักมานั่งคุยด้วย เขา2คนก็นั่งเล่าเรื่องปรับทุกข์กัน และชายคนนั้นเขาบอกกับแดเนียลว่า จริงๆแล้วป้าเขาเป็นคนดี จงอย่าได้ระแวงอะไรในตัวป้าอีกเลย หลังจากนั้นชายนั้นก็เดินจากไป แดเนียลก็เริ่มได้สติคิดถึงป้าขึ้นมาทันทีก็เลยกลับมาหาป้า แดเนียลเชื่อว่า ชายคนนั้นคงจะเป็นเทวทูตของพระเจ้า และหลังจากนั้นป้าก็ไปรับบัพติมา และเริ่มต้นความเป็น คริสเตียน
พอผมได้ฟังป้าเล่าผมก็รู้สึกเข้าใจในชีวิตของป้า ผมเริ่มที่จะศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยจนพี่และน้องสาวหาว่าผมบ้า แต่ผมก็ไม่สนใจ ต่อจากนั้นไม่นานเรื่องก็เริ่มเข้าหูพ่อและแม่ของผมเรื่องที่เราไปโบสถ์กัน พ่อกับแม่ไม่ค่อยจะพอใจ โดยเฉพาะแม่ที่ไม่พอใจอย่างมาก อีกสักอาทิตย์นึกแม่ก็มาอเมริกาเพื่อมาตามดูพฤติกรรมของผม แม่เริ่มที่จะทำสีหน้าไม่พอใจเวลาเห็นผมอ่านพระคัมภีร์ และต่อว่าผมเรื่องที่อยากจะเป็นคริสต์ ตั้งแต่แม่มาเราก็ได้ไปโบสถ์เพียงครั้งเดียวและแม่ก็ไปกับเราด้วย ผมรู้สึกลำคาญแม่มาก ซึ่งก็ที่จะเรียนคำสอนเราก็จะมีการสวดภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าก่อน แต่แม่กลับมองผมแบบตาเขียวเลย ผมก็เลยไม่ได้ทำ วันนั้นเป็นวันที่โบสถ์เขามีพิธีรับศีลมหาสนิท แม่ก็บอกว่าให้เรากินน้ำองุ่นกับขนมปังเสก เราก็ไม่ได้กิน คนที่โบสถ์เขาให้ของขวัญผมมา1ชิ้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แม่ผมก็บอกว่าต้องเป็นไบเบิ้ลแน่ๆ ผมก็ลองแกะดูปรากฏว่าเป็นไบเบิ้ล แม่ก็เลยโกรธผมใหญ่ พอกลับบ้าบไปแม่ก็บอกว่าอาทิตย์หน้าเราจะต้องเตรียมตัวกลับไทย และห้าม!เอาไบเบิ้ลเข้าบ้านเป็นอันขาด โอ้! ไม่นะไม่ให้เอาไบเบิ้ลกลับบ้านมันจะไม่ร้ายแรงไปหน่อยหรือผมคิด แต่ก่อนกลับผมก็แอบซื้อไบเบิ้ลเล่มเล็กหนึ่งเล่มแอบใส่กระเป๋าติดตัวไปตลอดการเดินทาง
เมื่อถึงเมืองไทยได้สัก 3 อาทิตย์ พ่อก็ถามผมเรื่องศาสนา ผมก็อธิบายให้พ่อฟังว่าการที่เราจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่มีศรัทธาให้ศาสนานั้นแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร หรือเปรียบเทียบได้เหมือนกับการเลือกซื้อเสื้อผ้า ทุกๆคนก็ต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่มีใครบังคับคนอื่นให้ชอบแบบที่ตัวเองชอบได้หรอก ผมอธิบายกับพ่ออย่างนี้ แต่ผมก็แปลกใจอยู่นิดๆว่าผมไม่ได้คิดคำพูดนี้มาเอง ผมก็เชื่อว่าคงจะเป็นพระจิตเจ้าที่ดลใจให้ผมพูดเช่นนี้ แล้วหลังจากนั้นมาพ่อก็ไม่เคยต่อต้านเรื่องศาสนากับผมอีกเลย ทีก็เหลือแต่แม่ แม่คอยสอดส่องหรือแอบค้นข้าวของของผมเพื่อหาอะไรเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แม่ชอบทำอย่างนี้อยู่เรื่อยตอนที่ผมไปเรียนพิเศษวันเสาร์ น้องผมเล่าให้ฟังว่าแม่ทำอย่างนี้บ่อยจะตายน้องผมทนไม่ไหวก็เลยมาบอกผม ในช่วงหลังๆผมเริ่มสนใจในนิกายคาทอลิกมากขึ้น ผมชอบที่จะสวดภาวนาต่อแม่พระ และผมก็จะพยายามหาซื้อสายประคำก็เลยตัดสินใจไปโรงเรียนเก่าซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก ตอนที่ไปติดต่อที่โบสถ์เขาบอกว่าสายประคำหมดและเลิกขายไปนานแล้ว ผมจึงรู้สึกหดหู่ใจและผมก็เริ่มภาวนาถึงแม่พระ พอผมเดินหันหลังกลับออกไป ครูที่เขาพูดกับผมเมื่อครู่นี้เขาก็เรียกผมอีกที เขาบอกว่าครูมีแต่สายประคำอันเล็กอยู่จึงให้ผมมาฟรีๆไม่เสียเงิน ผมรู้สึกขอบคุณพระแม่ที่ทรงมีน้ำพระทัยต่อผม
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้เป็นคริสตชนเลย เพราะว่าแม่ผมกำลังคอยจับผิดผมอยู่เรื่อยๆ อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง พยายามหลายหนแล้ว ส่วนพ่อผมเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากทั้งๆที่พ่อของผมเคร่งในศาสนาพุทธมากกว่าแม่ตั้งหลายเท่า ผมจึงยังเป็นคริสต์ไม่ได้ ผมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ายังคงมีแผนของพระองค์เสมอ ก็คือต้องรอจนกว่าผมจะโตขึ้นมาอีกหน่อย และค่อยตัดสินใจเป็นคาทอลิกโดยสมบูรณ์แบบ เพราะผมรู้สึกชอบ เมื่อตอนที่ผมเรียนตอนประถมผมก็อยู่โรงเรียนคาทอลิกมานานมากแล้วรู้สึกผูกพัน
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 02, 2010 12:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เราก็อย่าเพิ่งไปบอกซิ เข้าใจว่าสักวันเขาก็ต้องรู้แต่ตอนนี้เราเตรียมตัวไปก่อนสิ พยายามปรับปรุงตัว พยายามทำสิ่งต่างๆเพื่อท่านมากขึ้น เป็นลูกที่ดี พยายาทำให้รู้ว่าเราดีขึ้นอ่ะ แล้วค่อยๆแย็ปๆถามไปเรื่อยๆ แต่ที่สำคัญต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวนะ รู้ว่าเวลาไปควรแย็ปเวลาไหนไม่ควร(ตอนนี้เราก็ใช้วิธีนี้อยู่นะ ก็ได้ผลน่ะแหละ ถึงมาบอก ตอนนี้รู้สึกใจอ่อนลงบ้างแระ ท่านเห็นไงว่าเราเปลี่ยนไป ทำตัวดีขึ้น และท่านก็จะใจอ่อนเอง) เหมือนกล่อมเด็กน้อยอ่ะ ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป อย่าใจร้อน
จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา
โรม 12:12
ความสุขแท้จริง
พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับนั่งแล้วบรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์
พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนเขาว่า
ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้หิวกระหายความยุติธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า
ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
"ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกเขาดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา
จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
มธ 5:12
พยายามเข้านะครับ ทุกเสียงที่ร้องขอพระองค์ พระองค์ไม่เคยเงียบเฉย
โรม 12:12
ความสุขแท้จริง
พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับนั่งแล้วบรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์
พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนเขาว่า
ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้หิวกระหายความยุติธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า
ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
"ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกเขาดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา
จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
มธ 5:12
พยายามเข้านะครับ ทุกเสียงที่ร้องขอพระองค์ พระองค์ไม่เคยเงียบเฉย
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
ครับ ถ้าเกิดใครมีความคิดดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วยมาโพสให้ด้วยนะครับ (คำภานาก็ได้ครับ)
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 02, 2010 12:22 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Slave of God
- โพสต์: 336
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 02, 2008 10:47 pm
ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ สวดเยอะๆนะครับ แล้วตอนนี้ได้ไปโบสถ์มั้งหรือปล่าวนะครับแล้วไปที่ไหน เพื่อมีเพื่อนๆของพวกเราอยู่ จได้มีเพื่อนไปไงครับ
- antoinetty*
- โพสต์: 451
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 04, 2007 9:39 pm
ยินดีต้อนรับครับ ,,
จะสวดภาวนาให้เสมอนะ ,,
พระเจ้าอวยพรมาก ๆ ครับ ,,
ปล ,, คุยกันได้ครับ ๆ =))
จะสวดภาวนาให้เสมอนะ ,,
พระเจ้าอวยพรมาก ๆ ครับ ,,
ปล ,, คุยกันได้ครับ ๆ =))
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
สวดภาวนาให้นะครับ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
พี่คิดว่า คุณแม่คงกลัวว่าน้องจะไม่บวชให้เขาละมั๊ง
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับพี่LL คุณแม่เขาเป็นพวกที่หัวโบราณแบบว่าทั้งตระกูลเป็นแบบไหนก็ต้องให้เป็นแบบนั้นไปตลอด ถ้าใครผิดพวกออกไปจะโดนกล่าวหาว่า"กลายพันธุ์" แล้วอีกอย่างคือทางญาติฝ่ายคุณแม่เป็นประเภทที่ชอบไหว้เจ้าด้วยก็เลยต้องเป็นแบบนี้
แม่ของพี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน พี่เคยขอคุณแม่เปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิก ตั้งแต่พี่อยู่ ป.6 นะ แน่นอน คำตอบคือ ไม่ได้ แต่ตอนนี้พี่มีลูก ซึ่งพี่สวดภาวนาขอจากพระเยซู
ซึ่งการไหว้เจ้าของที่บ้านไม่เคยให้ มาตลอด 7 ปีของการแต่งงาน แม่ของพี่เขาก็เขม่น ตั้งแต่พอพี่ตั้งท้องอ่อนๆ พี่ก็เริ่มไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่เขาไม่พูดอะไรมาก จนลูกพี่คลอด
มีพิธีศีลล้างบาป พี่เชิญทางครอบครัวให้มางานของหลานที่โบสถ์ ไม่มีใครสนใจที่จะมาทั้งที่เป็นวันอาทิตย์ พอตรุษจีนที่ผ่านมา วันไหว้เป็นวันอาทิตย์ที่พี่เข้าพิธีศีลล้างบาป พี่ก็บอกคุณพ่อ
ให้ทราบว่าไม่สามารถมาได้ คุณพ่อก็บอกว่าไม่เป็นไร จะบอกแม่ให้ ปรากฏว่า วันจันทร์พอเห็นหน้าพี่ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ลงเลย ประเภท มึ...ง เปลี่ยนศาสนาแล้ว อย่างนี้เวลาพ่อ แม่ มึ...ง
ตายก็ไม่ต้องมาเผาผีใช่ไหม และอีกกระบุงโกย ชีวิตรันทดเลยวันนั้น โทรหาคุณพ่อ,ซิสเตอร์ ร้องไห้จนตาบวม ปวดหัวไปหมด คุณพ่อได้ให้คำปลอบใจที่ดีเยี่ยมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนบททดสอบจิตใจของเราที่มีต่อพระเจ้า และด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อพี่และครอบครัว จะทำให้คุณแม่เข้าใจเมื่อท่านหายโกรธแล้ว
หลังจากวันนั้นพี่ก็ทำเนียน ๆ ไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวเหมือนเดิม พอหลานไปให้เลี้ยงเหมือนเดิม หลังจากยึดไว้เป็นตัวประกัน 2 วัน และยังไปโบสถ์เหมือนเดิม แม่ก็สงบลงและคงรู้สึกผิด แต่แน่นอนว่าไม่มีคำขอโทษจากแม่ เขาคงน้อยใจเลยตีโพย ตีพาย
อยากให้น้องเข้มแข็งและรักพระเจ้ามากขึ้นทุกๆวัน สวดขอพระหรรษทานจากท่าน ขอให้แม่ของน้องเข้าใจน้องมากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนศาสนา แม่ก็ยังมีน้องเป็นลูกที่ดีเสมอ
เราเองก็ต้องพิสูจน์ตัวของเราเองด้วย พี่เอาใจช่วยและจะสวดให้อีกแรง
ขอพระเจ้าอวยพร Dio ti benedica
ซึ่งการไหว้เจ้าของที่บ้านไม่เคยให้ มาตลอด 7 ปีของการแต่งงาน แม่ของพี่เขาก็เขม่น ตั้งแต่พอพี่ตั้งท้องอ่อนๆ พี่ก็เริ่มไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่เขาไม่พูดอะไรมาก จนลูกพี่คลอด
มีพิธีศีลล้างบาป พี่เชิญทางครอบครัวให้มางานของหลานที่โบสถ์ ไม่มีใครสนใจที่จะมาทั้งที่เป็นวันอาทิตย์ พอตรุษจีนที่ผ่านมา วันไหว้เป็นวันอาทิตย์ที่พี่เข้าพิธีศีลล้างบาป พี่ก็บอกคุณพ่อ
ให้ทราบว่าไม่สามารถมาได้ คุณพ่อก็บอกว่าไม่เป็นไร จะบอกแม่ให้ ปรากฏว่า วันจันทร์พอเห็นหน้าพี่ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ลงเลย ประเภท มึ...ง เปลี่ยนศาสนาแล้ว อย่างนี้เวลาพ่อ แม่ มึ...ง
ตายก็ไม่ต้องมาเผาผีใช่ไหม และอีกกระบุงโกย ชีวิตรันทดเลยวันนั้น โทรหาคุณพ่อ,ซิสเตอร์ ร้องไห้จนตาบวม ปวดหัวไปหมด คุณพ่อได้ให้คำปลอบใจที่ดีเยี่ยมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนบททดสอบจิตใจของเราที่มีต่อพระเจ้า และด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อพี่และครอบครัว จะทำให้คุณแม่เข้าใจเมื่อท่านหายโกรธแล้ว
หลังจากวันนั้นพี่ก็ทำเนียน ๆ ไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวเหมือนเดิม พอหลานไปให้เลี้ยงเหมือนเดิม หลังจากยึดไว้เป็นตัวประกัน 2 วัน และยังไปโบสถ์เหมือนเดิม แม่ก็สงบลงและคงรู้สึกผิด แต่แน่นอนว่าไม่มีคำขอโทษจากแม่ เขาคงน้อยใจเลยตีโพย ตีพาย
อยากให้น้องเข้มแข็งและรักพระเจ้ามากขึ้นทุกๆวัน สวดขอพระหรรษทานจากท่าน ขอให้แม่ของน้องเข้าใจน้องมากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนศาสนา แม่ก็ยังมีน้องเป็นลูกที่ดีเสมอ
เราเองก็ต้องพิสูจน์ตัวของเราเองด้วย พี่เอาใจช่วยและจะสวดให้อีกแรง
ขอพระเจ้าอวยพร Dio ti benedica
แสดงว่า คุณป้าเป็นญาติทางพ่อใช่มั้ยคะ ... แล้วคุณป้าเคยคุยกับคุณแม่มั้ยคะ แล้วคุณแม่ว่าอะไรคุณป้ามั้ยคะที่พาน้องไปโบสถ์น่ะค่ะ ตอนที่จู่ๆเอาน้องสามคนกลับเมืองไทย คุณป้าไม่ตกใจเหรอคะ
ฟังดูแล้ว คุณแม่อารมณ์รุนแรงเหมือนกันนะเนี่ย เพราะงงว่า ทำไมแม่โกรธน้อง ทั้งๆที่อย่างไบเบิ้ลเล่มแรก ก็มีคนให้เป็นของขวัญ ไปโบสถ์ ป้าก็พาไป แต่ที่ได้อ่านๆดู น้องเป็นคนอ่อนโยนนะคะ เหมือนพระเยซูเจ้า
สวดต่อไปนะคะ และอดทน พี่เชื่อว่า ไม่นานหรอกค่ะ คุณแม่จะอ่อนลงเอง เพราะพระเจ้าอ่อนโยน และน้องเองก็อ่อนโยน
ฟังดูแล้ว คุณแม่อารมณ์รุนแรงเหมือนกันนะเนี่ย เพราะงงว่า ทำไมแม่โกรธน้อง ทั้งๆที่อย่างไบเบิ้ลเล่มแรก ก็มีคนให้เป็นของขวัญ ไปโบสถ์ ป้าก็พาไป แต่ที่ได้อ่านๆดู น้องเป็นคนอ่อนโยนนะคะ เหมือนพระเยซูเจ้า
สวดต่อไปนะคะ และอดทน พี่เชื่อว่า ไม่นานหรอกค่ะ คุณแม่จะอ่อนลงเอง เพราะพระเจ้าอ่อนโยน และน้องเองก็อ่อนโยน
คุณอดทนมากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะBuondi เขียน: แม่ของพี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน พี่เคยขอคุณแม่เปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิก ตั้งแต่พี่อยู่ ป.6 นะ แน่นอน คำตอบคือ ไม่ได้ แต่ตอนนี้พี่มีลูก ซึ่งพี่สวดภาวนาขอจากพระเยซู
ซึ่งการไหว้เจ้าของที่บ้านไม่เคยให้ มาตลอด 7 ปีของการแต่งงาน แม่ของพี่เขาก็เขม่น ตั้งแต่พอพี่ตั้งท้องอ่อนๆ พี่ก็เริ่มไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่เขาไม่พูดอะไรมาก จนลูกพี่คลอด
มีพิธีศีลล้างบาป พี่เชิญทางครอบครัวให้มางานของหลานที่โบสถ์ ไม่มีใครสนใจที่จะมาทั้งที่เป็นวันอาทิตย์ พอตรุษจีนที่ผ่านมา วันไหว้เป็นวันอาทิตย์ที่พี่เข้าพิธีศีลล้างบาป พี่ก็บอกคุณพ่อ
ให้ทราบว่าไม่สามารถมาได้ คุณพ่อก็บอกว่าไม่เป็นไร จะบอกแม่ให้ ปรากฏว่า วันจันทร์พอเห็นหน้าพี่ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ลงเลย ประเภท มึ...ง เปลี่ยนศาสนาแล้ว อย่างนี้เวลาพ่อ แม่ มึ...ง
ตายก็ไม่ต้องมาเผาผีใช่ไหม และอีกกระบุงโกย ชีวิตรันทดเลยวันนั้น โทรหาคุณพ่อ,ซิสเตอร์ ร้องไห้จนตาบวม ปวดหัวไปหมด คุณพ่อได้ให้คำปลอบใจที่ดีเยี่ยมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนบททดสอบจิตใจของเราที่มีต่อพระเจ้า และด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อพี่และครอบครัว จะทำให้คุณแม่เข้าใจเมื่อท่านหายโกรธแล้ว
หลังจากวันนั้นพี่ก็ทำเนียน ๆ ไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวเหมือนเดิม พอหลานไปให้เลี้ยงเหมือนเดิม หลังจากยึดไว้เป็นตัวประกัน 2 วัน และยังไปโบสถ์เหมือนเดิม แม่ก็สงบลงและคงรู้สึกผิด แต่แน่นอนว่าไม่มีคำขอโทษจากแม่ เขาคงน้อยใจเลยตีโพย ตีพาย
อยากให้น้องเข้มแข็งและรักพระเจ้ามากขึ้นทุกๆวัน สวดขอพระหรรษทานจากท่าน ขอให้แม่ของน้องเข้าใจน้องมากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนศาสนา แม่ก็ยังมีน้องเป็นลูกที่ดีเสมอ
เราเองก็ต้องพิสูจน์ตัวของเราเองด้วย พี่เอาใจช่วยและจะสวดให้อีกแรง
ขอพระเจ้าอวยพร Dio ti benedica
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
คุณป้าเป็นญาติทางฝ่ายพ่อคับ ขอบอกเลยว่าคุณแม่เมื่อก่อนสนิทกับคุณป้ามาก แต่พอรู้ว่าคุณป้าพาไปโบสถ์ก็เริ่มจะเคืองๆคุณป้า แล้วเรื่องที่พากลับเมืองไทยอ่ะคับ คุณป้าก็ไม่ตกใจหรอกคับแสดงว่า คุณป้าเป็นญาติทางพ่อใช่มั้ยคะ ... แล้วคุณป้าเคยคุยกับคุณแม่มั้ยคะ แล้วคุณแม่ว่าอะไรคุณป้ามั้ยคะที่พาน้องไปโบสถ์น่ะค่ะ ตอนที่จู่ๆเอาน้องสามคนกลับเมืองไทย คุณป้าไม่ตกใจเหรอคะ
ฟังดูแล้ว คุณแม่อารมณ์รุนแรงเหมือนกันนะเนี่ย เพราะงงว่า ทำไมแม่โกรธน้อง ทั้งๆที่อย่างไบเบิ้ลเล่มแรก ก็มีคนให้เป็นของขวัญ ไปโบสถ์ ป้าก็พาไป แต่ที่ได้อ่านๆดู น้องเป็นคนอ่อนโยนนะคะ เหมือนพระเยซูเจ้า
ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนนี้ พี่เชื่อนะว่า มีคนๆนึงที่เค้าสวดให้น้องอย่างสม่ำเสมอ นั่นก็คือ คุณป้าของน้องนั่นล่ะค่ะ~Holy Bible~ เขียน:คุณป้าเป็นญาติทางฝ่ายพ่อคับ ขอบอกเลยว่าคุณแม่เมื่อก่อนสนิทกับคุณป้ามาก แต่พอรู้ว่าคุณป้าพาไปโบสถ์ก็เริ่มจะเคืองๆคุณป้า แล้วเรื่องที่พากลับเมืองไทยอ่ะคับ คุณป้าก็ไม่ตกใจหรอกคับแสดงว่า คุณป้าเป็นญาติทางพ่อใช่มั้ยคะ ... แล้วคุณป้าเคยคุยกับคุณแม่มั้ยคะ แล้วคุณแม่ว่าอะไรคุณป้ามั้ยคะที่พาน้องไปโบสถ์น่ะค่ะ ตอนที่จู่ๆเอาน้องสามคนกลับเมืองไทย คุณป้าไม่ตกใจเหรอคะ
ฟังดูแล้ว คุณแม่อารมณ์รุนแรงเหมือนกันนะเนี่ย เพราะงงว่า ทำไมแม่โกรธน้อง ทั้งๆที่อย่างไบเบิ้ลเล่มแรก ก็มีคนให้เป็นของขวัญ ไปโบสถ์ ป้าก็พาไป แต่ที่ได้อ่านๆดู น้องเป็นคนอ่อนโยนนะคะ เหมือนพระเยซูเจ้า
พระอวยพรนะคะ