คุณพ่อเรย์ได้เข้ามารับงานครั้งแรกในภาคอิสาน ภารกิจที่คุณพ่อเรย์ได้รับก็คือการช่วยเหลือผู้อพยพชาวกัมพูชา พม่าและเวียดนาม คุณพ่อเรย์ต้องเรียนภาษาไทย ภาษาลาวและภาษาอื่นเพื่อที่จะสื่อสารกับคนเหล่านี้ คุณพ่อทำงานร่วมกับทหารสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน คุณพ่อเรย์ทำงานในภาคอิสานเป็นระยะเวลา ๑๐ ปี
พ.ศ. ๒๕๑๓ คุณพ่อเรย์ได้ย้ายมาอยู่ที่พัทยา และเช้าวันหนึ่งเมื่อคุณพ่อเรย์เปิดประตูโบสถ์ก็พบว่ามีเด็กแบเบาะถูกทิ้งไว้ที่หน้าบันได คุณพ่อเรย์ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรก็เลยเลี้ยงดูไว้โดยถามเพื่อน ๆ ว่าจะให้นมอย่างไรเปลี่ยนผ้าอ้อมอย่างไร ข่าวการเลี้ยงดูเด็กได้แพร่ออกไป ทำให้มีคนนำเด็กมาทิ้งไว้มากขึ้น ซึ่งส่วนมากเป็นผลมาจากการเข้ามาตั้งฐานทัพสหรัฐที่สัตหีบ ในที่สุดคุณพ่อเรย์จึงตั้งเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และทำการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิสงเคราะห์เด็กพัทยาภายใต้การดูแลของสังฆมณฑลจันทบุรี
คุณพ่อเรย์เล่าว่าช่วงเริ่มต้นใหม่ ๆ คุณพ่อต้องขับรถไปเก็บ เงินจากกล่องบริจาคที่วางไว้ตามโรงแรมต่าง ๆ ทุกวันทั้งเช้าและเย็น ก่อนที่จะกลับถึงบ้านก็แวะซื้อนมและของใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ คุณพ่อเรย์ต้องทำเช่นนี้เป็นเวลาหลายปีติดต่อกันกว่าที่จะพอมีเงินทุนที่เพียงพอและขยายงานได้ หลายต่อหลายครั้งที่คุณพ่อจะต้องเดินทางเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ นั่งตอบจดหมายในที่ทำงาน ต้อนรับแขกในห้องทำงานเล็ก ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นภารกิจประจำวันที่เกิดขึ้นเจ็ดวันต่อสัปดาห์ตลอดชีวิตของคุณพ่อเรย์
คุณพ่อเรย์ดีใจมากเมื่อมีคนมาเยี่ยมและได้ช่วยเหลือลูก ๆ ของพ่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๘ สมเด็จพระราชินีฟาบิโอลาแห่งเบลเยี่ยมพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเสด็จมาเยี่ยมชมกิจการของบ้าน ซึ่งทำให้คุณพ่อเรย์เบิกบานใจและมีกำลังใจเพิ่มขึ้นอีกมาก
บ้านเด็กกำพร้าให้การสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งและยากจน โดยให้ที่อยู่อาศัย อาหาร การศึกษา ซึ่งไม่คำนึงถึงด้านเชื้อชาติ ศาสนา จัดหาพ่อแม่ที่ดีรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่ก่อตั้งมีเด็กทั้งชายและหญิงได้รับความอนุเคราะห์แล้วทั้งสิ้น ๕๓๙ คน ปัจจุบันมีเด็กที่อยู่ในความอนุเคราะห์ ๑๘๐ คน