เค้าหาว่าผม เสี้ยมสอน ผิดผิด แปลกๆ เห้อ

ปรับทุกข์ หนุนใจ ขอคำภาวนา
ล็อคหัวข้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 7:02 am

อธิษฐานเผื่อหน่อยนะครับ
ไม่เข้าใจว่า เป็นโปรฯ มีประสบการณ์กับแม่พระเอง โดยที่ไม่ได้เรียกแม่มารีย์มาหรืออธิษฐานถึงเธอเลย ผิดด้วยหรอ? กลายเป็นตัวประหลาด

สอนว่า ถ้าเชื่ออย่างเดียว แต่ไม่ทำ ก็ไม่รอดหรอก เพราะพระคัมภีร์เขียนบอกไว้แล้ว "ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าพระองค์เจ้าๆ แล้วเราจะรู้จักเจ้า ถึงวันนั้น เจ้าคนชั่วจงไปให้พ้น.." ก็สอนผิด หรอ

เราอยู่โปรฯ มาตั้งนาน พึ่งรู้ว่าเขาไม่ได้มีข้อเชื่อเดียวกับผม

แล้วผมมีข้อเชื่อแบบนิกายไหนกันหละเนี่ย

เบื่อ นี่ท่านป้าเอกสัมพันธ์ ปลีกตัวออกมาก่อน ผมเลยโดนรุมโทรมซะเสียโฉมเฟรชชี่หล่อๆเลย  ::008::
Forza_Nerrazuri

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 9:28 am

ที่ผมพอรู้มานะครับ ซึ่งก็น่าจะตรงกับ BOYZ อยู่แล้ว
จริง ๆ แล้วสาเหตุที่เรารอดก็  "คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเชื่อในจิตใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตายท่านจะรอด" โรม10:10

ดังนั้นหากเป็นคนดี(มนุษย์มองว่าดีแต่ถ้าเทียบมาตรฐานพระเจ้าก็เน่าอยู่ดี)ทำดีแทบตายแต่ไม่เชื่อ Jesus ก็ไม่รอดจากไฟนรกได้ครับอ้างจากคำพูดอาจารย์เปาโล

ก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติแต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้นถึงเราเองก็มีใจศรัทธาในพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยศรัทธาในพระคริสต์ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติเพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนชอบธรรมได้เลย
กาลาเทีย 2:16

พระเจ้าใช้มาตรฐานนี้ก็เพื่อไม่ให้มีใครอวดได้เลยว่ารอดด้วยตัวเองครับคือทุกคนใช้มาตรฐานเดียวกันหมดคือรอดด้วยโลหิตพระคริสต์

แล้วข้อที่กล่าวมาคืออยู่ในยากอบใช่ป่าวคับ ที่บอกประมาณ "ความเชื่อก็เช่นเดียวกันถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล"
ยากอบเขาต้องการสื่อประมาณถ้าถามคนคริสต์ว่ามีชีวิตไปทำไม เขาอาจตอบว่า "มีเพื่อถวยเกียรตืแด่พระเจ้า"ฟังอย่างนี้เราคงคิดว่าเขาเชื่อพระเจ้า แต่พอดูชีวิตของเขาดัน กินเหล้า เสเพล ไม่ได้สื่อเลยว่ารัก เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งก็คือ ชีวิตไม่เกิดผล

สรุปคือ เราเชื่อด้วยปากรับด้วยใจถึงเรื่องข่าวดีทำให้เรารอดก่อน คือ ได้รับพระคุณจากพระเจ้า พระเจ้าทรงริเริ่มทุกอย่างอยู่แล้วใช่ป่าวครับ แล้วเราจึงตอบสนองกับสิ่งที่พระเจ้าให้เราเท่าที่จะทำได้(ซึ่งขึ้นกับความเเข็งแกร่งของความเชื่อ ว่าเชื่อมากแค่ไหน) จึงไม่ได้หมายความว่า ทำเพื่อรอด มิฉะนั้นเราคงไม่พยายามประกาศกับคนที่กำลังจะตายใช่ป่าวคับ เพราะเค้าคงทำอะไรมากไม่ได้แล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 9:58 am

ไม่เข้าใจอ่ะ ว่าคำพูดผมมันไม่ชัดหรือ

คริสตชน รอดโดยพระคุณทุกคน ไม่ใช่โดยธรรมบัญญัติ

แต่ว่า
จะยกข้อพระคัมภีร์ที่ผมบอกให้ฟัง
(ที่เอาไปสอนก็เพื่อว่า เขาจะเชื่อและประพฤติตนให้ดี ไม่ใช่ไปฆ่าคนตายแล้วก็บอกว่าตัวเองรอด)

มัทธิว 5:17-20
มัทธิว 7:21-23

ผมชักจะเริ่มเชื่อที่พระศาสนจักรสอนแล้วสิ
(ไม่ใช่รอดโดยธรรมบัญญัติหรือการทำดี แต่เป็นสิ่งพึงกระทำซึ่งรู้และไม่จำเป็นต้องทำให้ดีทุกกระเบียด เพราะว่ารอดโดยพระคุณ)

ไม่รู้จะสาธยายยังไงแระนะ เหอะๆๆๆ

พี่น้องคาทอลิกครับ พระศาสนจักรสอนเช่นไร

ถ้าผมยังคิดไม่เหมือน คาทอลิกอีก ผมก็คงบริจาคคัมภีร์เล่มนี้เสีย แล้วก็ไม่อ่านมันแล้ว
ไม่เข้าใจเลย
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 10:49 am

เอาแบบเด็กๆดีไหม

ถ้าเทววิทยาเรื่องความรอดมันซับซ้อนซะจนปวดหัวชวนทะเลาะและชวนให้หมดปัญญาจะมองเห็นพระเพราะคนโน้นว่าโน้นคนนี้ว่านี้
เอาแบบเด็กๆที่พระองค์ทรงบอกว่าให้เด็กๆพวกนั้นเข้ามาหาเราดีไหม
เชื่อพระองค์รักพระองค์ทำตามพระองค์ไป
ถ้ายิ่งเรียน ยิ่งศึกษาทำให้เรายิ่งห่างพระเพราะเห็นว่าอรรถาธิบายเชิงวิชาการเชิงเทววิทยาความรอดเชิงความถูกต้องของคริสตจักรที่แท้จริงเชิงปรัชญาแนวคิดโน่นนี่เชิงโน้นเน้นแนวโน้นฯลฯตอบสนองต่อปัญญาอันชาญฉลาดของเราไม่ตรงเสียที เพราะฉะนั้นหันไปนับถือตัวเองอย่างที่ตัวคิดหรือไม่ก็ตั้งทฤษฎีใหม่ขึ้นมาอีกสักเชิงสองเชิงน่าจะดีกว่าละก็ เอาแบบเด็กๆดีกว่าแม้จะไม่รู้มากว่าบัญชีระบบภาษีเชิงซ้อนเพื่อการเล็งผลการลงทุนระยะยาวในอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืนในเชิงนิเวศน์และบูรณาการของพ่อแม่เป็นอย่างไร แต่รู้อย่างชัดเจนว่าพ่อแม่รักเรา พ่อแม่รักพี่เราด้วยน้องเราด้วยเราด้วยน้าเราด้วยคนบ้านโน้นด้วยเพราะเห็นเอาโน่นเอานี่ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ แบนนี้มีความสุขกว่าไหม ได้รอดไหม ชีวิตสับสนไหม แล้วเกิดกำลังเถียงไปเถียงมาอยู่ๆมีคนมายิงคนที่เรารักตายต่อหน้าต่อตาเราพร้อมที่จะให้อภัยเขาจริงๆอย่างทีพระสอนหรือเปล่า หรือถ้ามีคนยืมตังไปไม่ยอมคืนซะทีตัวเองก็ต้องอดมื้อกินมื้อเราจะแช่งชักหักกระดูก ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบหรือไม่ โอยอีกสารพัด ประโยชน์อะไรกับการรู้เทววิทยาเชิงลึกถ้าทำให้เราห่างจากพระเพราะมัวแต่ถือดี

แม่พระก็ซื่อๆเรียบๆแบบนี้แหละ พระองค์ให้รอก็รอ(ในงานเลี้ยงที่หมู่บ้านกานา) นักบุญหลายๆท่านก็อาศัยความซื่อๆเรียบๆแบบนี้แหละ

จะเถียงกันทำไม วู๊
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 11:01 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Forza_Nerrazuri

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 11:04 am

ก็ถ้าสอนแบบนั้นผมว่าก็ถูกแหละคับ เพราะถ้าบอกว่าเชื่อแต่ไม่กระทำตามอะไรเลยก็เท่ากับไม่เชื่อนั่นแหละ

"ไม่ใช่รอดโดยธรรมบัญญัติหรือการทำดี แต่เป็นสิ่งพึงกระทำซึ่งรู้และไม่จำเป็นต้องทำให้ดีทุกกระเบียด เพราะว่ารอดโดยพระคุณ" อันนี้ถูกต้องแน่แท้เหมือน Protestant แหละคับ

แต่ว่าถ้าไม่อ่านพระคัมภีร์ก็เท่ากับไม่กินข้าวแหละครับอย่าไปหงุดหงิดกับทฤษฎีแล้วพาลเลยคับเราจะเสียโอกาสรับสิ่งที่พระเจ้าตรัส
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 11:18 am

Forza_Nerrazuri เขียน: แต่ว่าถ้าไม่อ่านพระคัมภีร์ก็เท่ากับไม่กินข้าวแหละครับอย่าไปหงุดหงิดกับทฤษฎีแล้วพาลเลยคับเราจะเสียโอกาสรับสิ่งที่พระเจ้าตรัส
ไม่ได้บอกว่าให้งดอ่านพระคัมภีร์นะครับ ไม่ได้บอกว่าให้งดศึกษาด้วย เพียงแต่ว่าถ้าอ่านและศึกษาแล้วทำให้เราติดโน่นติดนี่เห็นเพื่อนพ้องพี่น้องผิด ก็ให้อ่านหรือศึกษาอย่างซื่อๆไม่ต้องตีความให้วุ่นวายเกินไปนัก อ่านหรือศึกษาเพื่อให้เชิดชูใจเราดีกว่าจะอ่านหรือศึกษาไปเพื่อหักล้างทฤษฎีหรือแนวทางของคนอื่น มนุษย์ช่างคิดครับ

ยกตัวอย่างบางกลุ่มที่บอกว่าบาปเริ่มแรกของมนุษย์คือบาปล่วงประเวณีเพราะเห็นว่าผลไม้ทีส่งต่อกันกินนั้นหมายถึงการล่วงประเวณีมีการยกข้อโน้นข้อนี้มาประกอบ (เขาไม่ได้หมายถึงห้ามทำประเวณีนะครับ แต่หมายถึงว่าสองคนนี้มีก่อนเวลาอันควร) แต่เมื่ออ่านพระคัมภีร์แบบซื่อๆให้รอบคอบให้ตลอด ไม่ใช่เฉพาะที่ตัวเองอยากอ่านและไม่ต้องตีความให้ปวดหัวก็จะเจอว่าและหญิงนั้นยื่นผลไม้ให้ชายที่เป็นสามีของเธอ เห็นไหมไปตีความซะวุ่นวาย ก็ผัวเมียกันมันก็ต้องมีอะไรกันอยู่แล้ว ผิดที่เธอไม่ได้เชื่อฟังพระ ไม่ได้ผิดที่เธอไปมีอะไรกับอาดัมสักหน่อย

อนึ่ง ถ้าผมเข้าใจผิดอะไรก็ขอโทษด้วยแล้วกัน แต่เห็นการโต้เถียงแบบนี้แล้วไม่สบายใจอยากให้รอมชอมกันดีกว่า
บุคคลใดสร้างสันติสุขบุคคลนั้นเป็นสุขเพราะพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าบุตร (มัทธิว5.9)
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:15 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:04 pm

ผมจะอธิบายง่ายๆนะครับ สิ่งนี้มาจากการไขแสดงส่วนตัว(ถ้าไม่เข้าใจคำนี้ให้ไปถามป้านะครับ) ไม่ได้มาจากการคิดเอง แต่ผมพบว่า มันง่ายกว่าที่พวกนักเทวิทยา และนักศาสนศาสตร์ทำให้มันดูยากๆมากทีเดียว ดังนั้นจะว่าไปอ่านแล้วพิจารณาเองไม่ต้องสนใจที่มาก็ได้ว่ามาในรูปแบบใด ผมเพียงแต่อยากบอกว่า ผมเชื่อว่าสิ่งนี้มาจากการอธิบายจากเบื้องบน ไม่ใช่อธิบายงงๆแบบมนุษย์

พระองค์สอนว่า สิ่งนี้เหมือนอุปมาเรื่องต้นไม้ ความเชื่อคือรากครับ การกระทำคือดอกผล การกระทำสามารถพิสูจน์ได้ว่ารากนั้นดีหรือไม่ ต้นมันเป็นต้นดีหรือต้นเลว รากนั้นมาก่อนจริง แต่จงจำไว้ว่า ต้นที่ไม่เกิดผล จะถูกตัดโค่น โยนทิ้งไม่ต่างอะไรกับต้นไม้เลว

สิ่งนี้สอดคล้องกับมัทธิวยทที่7 และยากอบครับนะครับ

พระคัมภีร์ไม่มีขัดกันเอง ไม่มีการที่ยึดข้อหนึ่ง และจะทิ้งอีกข้อหนึ่ง แต่ต้องตีความให้สอดคล้องคือรับได้เข้ากันทุกข้อ ไม่ใช่เลือเอามาข้อหนึ่งแล้วข้อไหนขัดข้อนั้นทำเป้นไม่เห็นซะ

เรื่องการที่ต้องทำดีไม่ใช่แค่ยากอบเขียน แต่ในพระวรสารทั้ง4 พระเยซูสอนเองจากพระโอษฐ์ และสอนก่อนเปาโลเขียนจดหมายซะอีก นี่คือสิ่งที่ต้องตระหนักเสมอว่าหากเราเอาพระคัมภีร์ใหม่มาหักล้างสิ่งที่พระเยซูสอน ก็ไม่ต่างอะไรกับฟาริสีที่เอาพระธรรมเดิมมาหักล้างสิ่งที่พระเยซูสอน แต่พระเยซูยิ่งใหญ่กว่าธรรมบัญญัตินะครับ กล่าวคือยิ่งใหญ่กว่าไบเบิ้ลทุกเล่ม ดังนั้นหากคุณอ่านสิ่งที่พระเยซูตรัสในมัทธิวบทที่7แล้วเข้าใจว่าพระเยซูปรารถนาให้เราทำดี และถ้าไม่ทำ พระองค์ก็ไม่ยอมรับเรา ก็คือถูกตามนั้นครับ

กรณีการอ้างเรื่องคนใกล้ตาย นั่นเพราะเขาไม่มีโอกาสแสดงกิจการ และพระเจ้าย่อมไม่ตัดสินผู้ไม่สามรถหรือบกพร่อง หรือไม่มีโอกาสจะทำ ดังเช่นบรรดาผู้อยู่ก่อนหน้าพระเยซู ยังไม่มีตัวพระเยซูมา ยังไม่มีการบัสติสมา รับเชื่อไม่ได้ มิต้องตกนรกกันหมดเหรอ แต่เราทราบดีว่าหลายๆคนที่พระเจ้ารับขึ้นสวรรค์กันเห็นๆ เช่นเอโนค และเอลียาห์ ดังนั้นพวกบรรพชนเหล่านั้นไม่ได้มีเงื่อนไขความรอดจากความเชื่อและศีลล้างบาป เพราะเขาทำไม่ได้และไม่มีโอกาส ดังนั้น สมัยพวกท่านก็มีแต่ความเชื่อในพระยาเวห์และการรักษาธรรมบัญญัติเท่านั้น พระเจ้าตัดสินโดยดูข้อจำกัดด้วย เช่นเด็กเล็กๆที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่พระเยซูยังบอกว่าต้องแบบพวกเขานี่สิถึงเข้าอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้น ต้องระลึกเสมอว่าพระเจ้าน่ะทรงพระปรีชาญาณนะครับ ไม่ใช่เครื่องจักงที่โง่กว่าเรา ที่ทำได้เฉพาะโปรแกรมที่ตั้งไว้แบบคอมพิวเตอร์ พระเจ้าทรงมีพระปรีชาญาณในการพิจารณา และแยกแยะสูงส่งกว่าเรานะครับ ดังนั้นรับประกันได้เลยว่าพระองค์ตัดสินตามเกณฑ์ของคนๆนั้นด้วย ไม่ใช่ตามเกณฑ์ตัวอักษรในพระคัมภีร์เหมือนเครื่องจักรผิดคำไหนโดยไม่สนเหตุผลถือว่าไปผิดหมด การเอาพระคัมภีร์มาบังคับว่าพระเจ้าต้องทำแบบนั้นเท่านั้น ต้องทำแบบนี้เท่านั้น เกรงว่าจะย้อนรอยฟาริสีอ้างพระคัมภีร์ตัดสินพระเยซูนะครับ

สมัยผมถูกเรียกใหม่ๆ ผมเคยได้นิมิตทางความฝันให้อ่านมัทธิวบทที่7ครับ(ความจริงผมเคยอ่านพระวรสารทั้ง4จบแล้ว) หลังจากนั้นนานพอควร น.เปาโลถึงมาเรียกให้อ่านจดหมายของท่าน และผมได้เรียนรู้จากคุณพ่อท่านหนึ่งว่า พระวรสารทั้ง4นั้น สำคัญที่สุด เพราะเป็นจุดสุดยอดของประวัติศาสตร์คือเขียนเรื่องพระเยซูเจ้าเอง และเต็มไปด้วยคำพูดที่ออกมาจากพระโอษฐ์พระเยซูเจ้าเอง ดังนั้น ไม่เป็นการสมควรที่จะเอาคำพูดอาจารย์เปาโลมาหักล้างคำพูดพระเยซูเจ้านะครับ

ปัญหาหนึ่งของโปรแตสแตนท์ที่ตีความจดหมายน.เปาโลออกมาตรงตัวนั้น เพราะหลายครั้งปล่อยให้ตีความกันเอง โดยไม่ได้รับการแนะนำจากผู้มีความรู้ทางพระคัมภีร์ที่ลึกซึ้ง เพราะที่จริง จดหมายน.เปาโลต้องอ่านด้วยสำนึก2อย่างนะครับ
1.มันคือจดหมายครับ ผู้เขียนตั้งใจเขียนจดหมายไม่ได้ตั้งใจเขียนคัมภีร์ แต่ถูกเอามารวมเป็นคัมภีร์โดยการพิจารณาของพระศาสนจักรคาทอลิคในสมัยแรก ต่างกับพระวรสารทั้ง4 และพระวิวรณ์ที่ตั้งใจเขียนในเชิงคัมภีร์จริงๆ
2.ที่สำคัญจดหมายนั้นส่งเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาต่่างๆกันไป ต่างกับจดหมายที่เหลือ(ของเปโตร ยูดา ยากอบ และยอห์น)ที่ถูกเรียกว่าชุดจดหมายคาทอลิค(=จดหมายสากล-คำว่าจดหมายคาทอลิคนี้ถูกเรียกจดหมายเหล่านี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่2ก่อนการรวมคัมภีร์)ที่เขียนในเชิงให้อ่านกันโดยทั่วๆไม่เจาะจงใคร แต่จดหมายเปาโล เจาะจงเหตุการณ์ บางฉบับเจาะจงคนๆเดียว และตอบเฉพาะบางปัญหา และเหมาะกับบางสถาณการณ์ จำเป็นมากที่ผู้ด่านต้องทราบพื้นฐานของจดหมายนั้นๆว่าท่านตอบเรื่องอะไร มิฉะนั้นจะตีความผิดพลาดได้

ประโยคที่โปรแตสแตนท์ชอบอ้างคือ ที่เปาโลเน้นสอน เรื่องรอดโดยพระคุณไม่ใช่ธรรมบัญญัติ

ทราบไหมว่าธรรมบัญญัติที่เปาโลพูดหมายถึงอะไร สบายใจได้เลยว่าไม่ได้หมายถึงพระธรรมใหม่ เพราะตอนท่านเขียนจดหมายฉบับนี้ พระวรสารทั้ง4ยังไม่ถูกเขียน ดังนั้นนี่ไม่ใช่การหักล้างมัทธิว7แน่นนอน แต่มันคืแธรรมบัญญัติของโมเสสครับ ปัญหาสมัยนั้น เพราะชาวยิวที่เป็นคริสต์ยังคงถือบัญญัติของโมเสสอยู่ เช่นการเข้าสุหนัต และการห้ามกินโน่นนี่ และพวกเขาต้องการบังคับให้คนต่างชาติที่มาเชขื่อพระเยซู ต้องเข้าสุหนัต และถือกฎโมเสสด้วย ซึ่งเปาโลรับไม่ได้ เพราะนอกจากมันจะบีบให้คนต่างชาติไม่กล้ารับเชื่อแล้ว(ใครสักกี่คนจะกล้าให้เฉือนสดๆตอนโต) มันยังเป็นการลดคุณค่าของการไถ่กู้ของพระเยซูเจ้า ราวกับว่าธรรมบัญญัติเป็นเงื่อนไขที่จะรับความรอดไปด้วย ท่านจึงต้องประนามการสอนแบบนี้ ว่าผิด และ และส่งเรื่องไปยังคริสตจักรแม่ที่เยรูซาเล็ม(เหมือนที่คาทอลิคปัจจุบันจะตัดสินอะไรยังต้องส่งไปคริสตจักรแม่) ผลออกมาอยู่ในหนังสือ "กิจการ" ครับ

กจ 15:5-7  ความขัดแย้งที่กรุงเยรูซาเล็ม
(5)ผู้มีความเชื่อบางคนที่เคยอยู่ในกลุ่มชาวฟาริสีลุกขึ้นกล่าวว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:18 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:10 pm

Holy เขียน: ผมจะอธิบายง่ายๆนะครับ สิ่งนี้มาจากการไขแสดงส่วนตัว(ถ้าไม่เข้าใจคำนี้ให้ไปถามป้านะครับ) ไม่ได้มาจากการคิดเอง แต่ผมพบว่า มันง่ายกว่าที่พวกนักเทวิทยา และนักศาสนศาสตร์ทำให้มันดูยากๆมากทีเดียว ดังนั้นจะว่าไปอ่านแล้วพิจารณาเองไม่ต้องสนใจที่มาก็ได้ว่ามาในรูปแบบใด ผมเพียงแต่อยากบอกว่า ผมเชื่อว่าสิ่งนี้มาจากการอธิบายจากเบื้องบน ไม่ใช่อธิบายงงๆแบบมนุษย์

พระองค์สอนว่า สิ่งนี้เหมือนอุปมาเรื่องต้นไม้ ความเชื่อคือรากครับ การกระทำคือดอกผล การกระทำสามารถพิสูจน์ได้ว่ารากนั้นดีหรือไม่ ต้นมันเป็นต้นดีหรือต้นเลว รากนั้นมาก่อนจริง แต่จงจำไว้ว่า ต้นที่ไม่เกิดผล จะถูกตัดโค่น โยนทิ้งไม่ต่างอะไรกับต้นไม้เลว

สิ่งนี้สอดคล้องกับมัทธิวยทที่7 และยากอบครับนะครับ

พระคัมภีร์ไม่มีขัดกันเอง ไม่มีการที่ยึดข้อหนึ่ง และจะทิ้งอีกข้อหนึ่ง แต่ต้องตีความให้สอดคล้องคือรับได้เข้ากันทุกข้อ ไม่ใช่เลือเอามาข้อหนึ่งแล้วข้อไหนขัดข้อนั้นทำเป้นไม่เห็นซะ

เรื่องการที่ต้องทำดีไม่ใช่แค่ยากอบเขียน แต่ในพระวรสารทั้ง4 พระเยซูสอนเองจากพระโอษฐ์ และสอนก่อนเปาโลเขียนจดหมายซะอีก นี่คือสิ่งที่ต้องตระหนักเสมอว่าหากเราเอาพระคัมภีร์ใหม่มาหักล้างสิ่งที่พระเยซูสอน ก็ไม่ต่างอะไรกับฟาริสีที่เอาพระธรรมเดิมมาหักล้างสิ่งที่พระเยซูสอน แต่พระเยซูยิ่งใหญ่กว่าธรรมบัญญัตินะครับ กล่าวคือยิ่งใหญ่กว่าไบเบิ้ลทุกเล่ม ดังนั้นหากคุณอ่านสิ่งที่พระเยซูตรัสในมัทธิวบทที่7แล้วเข้าใจว่าพระเยซูปรารถนาให้เราทำดี และถ้าไม่ทำ พระองค์ก็ไม่ยอมรับเรา ก็คือถูกตามนั้นครับ

กรณีการอ้างเรื่องคนใกล้ตาย นั่นเพราะเขาไม่มีโอกาสแสดงกิจการ และพระเจ้าย่อมไม่ตัดสินผู้ไม่สามรถหรือบกพร่อง หรือไม่มีโอกาสจะทำ ดังเช่นบรรดาผู้อยู่ก่อนหน้าพระเยซู ยังไม่มีตัวพระเยซูมา ยังไม่มีการบัสติสมา รับเชื่อไม่ได้ มิต้องตกนรกกันหมดเหรอ แต่เราทราบดีว่าหลายๆคนที่พระเจ้ารับขึ้นสวรรค์กันเห็นๆ เช่นเอโนค และเอลียาห์ ดังนั้นพวกบรรพชนเหล่านั้นไม่ได้มีเงื่อนไขความรอดจากความเชื่อและศีลล้างบาป เพราะเขาทำไม่ได้และไม่มีโอกาส ดังนั้น สมัยพวกท่านก็มีแต่ความเชื่อในพระยาเวห์และการรักษาธรรมบัญญัติเท่านั้น พระเจ้าตัดสินโดยดูข้อจำกัดด้วย เช่นเด็กเล็กๆที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่พระเยซูยังบอกว่าต้องแบบพวกเขานี่สิถึงเข้าอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้น ต้องระลึกเสมอว่าพระเจ้าน่ะทรงพระปรีชาญาณนะครับ ไม่ใช่เครื่องจักงที่โง่กว่าเรา ที่ทำได้เฉพาะโปรแกรมที่ตั้งไว้แบบคอมพิวเตอร์ พระเจ้าทรงมีพระปรีชาญาณในการพิจารณา และแยกแยะสูงส่งกว่าเรานะครับ ดังนั้นรับประกันได้เลยว่าพระองค์ตัดสินตามเกณฑ์ของคนๆนั้นด้วย ไม่ใช่ตามเกณฑ์ตัวอักษรในพระคัมภีร์เหมือนเครื่องจักรผิดคำไหนโดยไม่สนเหตุผลถือว่าไปผิดหมด การเอาพระคัมภีร์มาบังคับว่าพระเจ้าต้องทำแบบนั้นเท่านั้น ต้องทำแบบนี้เท่านั้น เกรงว่าจะย้อนรอยฟาริสีอ้างพระคัมภีร์ตัดสินพระเยซูนะครับ

สมัยผมถูกเรียกใหม่ๆ ผมเคยได้นิมิตทางความฝันให้อ่านมัทธิวบทที่7ครับ(ความจริงผมเคยอ่านพระวรสารทั้ง4จบแล้ว) หลังจากนั้นนานพอควร น.เปาโลถึงมาเรียกให้อ่านจดหมายของท่าน และผมได้เรียนรู้จากคุณพ่อท่านหนึ่งว่า พระวรสารทั้ง4นั้น สำคัญที่สุด เพราะเป็นจุดสุดยอดของประวัติศาสตร์คือเขียนเรื่องพระเยซูเจ้าเอง และเต็มไปด้วยคำพูดที่ออกมาจากพระโอษฐ์พระเยซูเจ้าเอง ดังนั้น ไม่เป็นการสมควรที่จะเอาคำพูดอาจารย์เปาโลมาหักล้างคำพูดพระเยซูเจ้านะครับ

ปัญหาหนึ่งของโปรแตสแตนท์ที่ตีความจดหมายน.เปาโลออกมาตรงตัวนั้น เพราะหลายครั้งปล่อยให้ตีความกันเอง โดยไม่ได้รับการแนะนำจากผู้มีความรู้ทางพระคัมภีร์ที่ลึกซึ้ง เพราะที่จริง จดหมายน.เปาโลต้องอ่านด้วยสำนึก2อย่างนะครับ
1.มันคือจดหมายครับ ผู้เขียนตั้งใจเขียนจดหมายไม่ได้ตั้งใจเขียนคัมภีร์ แต่ถูกเอามารวมเป็นคัมภีร์โดยการพิจารณาของพระศาสนจักรคาทอลิคในสมัยแรก ต่างกับพระวรสารทั้ง4 และพระวิวรณ์ที่ตั้งใจเขียนในเชิงคัมภีร์จริงๆ
2.ที่สำคัญจดหมายนั้นส่งเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาต่่างๆกันไป ต่างกับจดหมายที่เหลือ(ของเปโตร ยูดา ยากอบ และยอห์น)ที่ถูกเรียกว่าชุดจดหมายคาทอลิค(=จดหมายสากล-คำว่าจดหมายคาทอลิคนี้ถูกเรียกจดหมายเหล่านี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่2ก่อนการรวมคัมภีร์)ที่เขียนในเชิงให้อ่านกันโดยทั่วๆไม่เจาะจงใคร แต่จดหมายเปาโล เจาะจงเหตุการณ์ บางฉบับเจาะจงคนๆเดียว และตอบเฉพาะบางปัญหา และเหมาะกับบางสถาณการณ์ จำเป็นมากที่ผู้ด่านต้องทราบพื้นฐานของจดหมายนั้นๆว่าท่านตอบเรื่องอะไร มิฉะนั้นจะตีความผิดพลาดได้

ประโยคที่โปรแตสแตนท์ชอบอ้างคือ ที่เปาโลเน้นสอน เรื่องรอดโดยพระคุณไม่ใช่ธรรมบัญญัติ

ทราบไหมว่าธรรมบัญญัติที่เปาโลพูดหมายถึงอะไร สบาน ปัญหาสมัยนั้น เพราะชาวยิวที่เป็นคริสต์ต้องการบังคับ


ขอบคุณพระเจ้า ที่มีคนเข้าใจ
ไม่งั้นลูกต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเทียมเท็จมาแบ่งปันพี่น้องโปรฯไปโดยปริยาย

เสียใจนะเนี่ย ทำดีดันถูกด่า ::008::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:19 pm

ลองอ่านใหม่อีกทีนะครับ ผมเพิ่มข้อความลงไปอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 5:31 pm

อย่าเสียใจเลย ผมก็เคยโดนหาว่าเป็นมูนนี่

อาจารย์ของผม(เค้าเป็นโปรฯ)เค้าพูดว่า"ไม่สำคัญว่าเราเป็นใครในสายตามนุษย์ สำคัญกว่าว่าเราเป็นใครในสายตาพระเจ้า"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Deo Gratias
โพสต์: 1100
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 5:46 pm

Mobster เขียน: อย่าเสียใจเลย ผมก็เคยโดนหาว่าเป็นมูนนี่

อาจารย์ของผม(เค้าเป็นโปรฯ)เค้าพูดว่า"ไม่สำคัญว่าเราเป็นใครในสายตามนุษย์ สำคัญกว่าว่าเราเป็นใครในสายตาพระเจ้า"
นั่นสิ ตอนนี้ตระหนักแท้ละ ยอมรับว่าเมื่อก่อนเคยตัดสินชาวบ้านแบบนี้เหมือนกัน แต่พระเจ้าเปลี่ยนมุมมองใหม่ละ ต้องโดนด้วยตัวเองถึงจะรู้ ไม่ค่อยแปลกใจว่าทำไมพวกเค้าไม่เข้าใจ ก็เหมือนเราเมื่อก่อน ถูกปลูกฝังมายังไงก็อย่างงั้น ห้ามไปเข้าใจอย่างอื่น ต้องรอให้พระเจ้าเปลี่ยนเค้า ไม่ใช่เราเปลี่ยน แต่อย่างนึงที่ไม่เข้าใจจริงๆ คือทำไมต้องหาว่าเป็นมูนนี่ด้วย คนรักสันตินี่ต้องเป็นมูนนี่หมดหรอ  ::010::กำจิงๆ ตัดสินกันดื้อๆ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 5:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 7:03 pm

Maew Martha (Grace) เขียน:
Mobster เขียน: อย่าเสียใจเลย ผมก็เคยโดนหาว่าเป็นมูนนี่

อาจารย์ของผม(เค้าเป็นโปรฯ)เค้าพูดว่า"ไม่สำคัญว่าเราเป็นใครในสายตามนุษย์ สำคัญกว่าว่าเราเป็นใครในสายตาพระเจ้า"
นั่นสิ ตอนนี้ตระหนักแท้ละ ยอมรับว่าเมื่อก่อนเคยตัดสินชาวบ้านแบบนี้เหมือนกัน แต่พระเจ้าเปลี่ยนมุมมองใหม่ละ ต้องโดนด้วยตัวเองถึงจะรู้ ไม่ค่อยแปลกใจว่าทำไมพวกเค้าไม่เข้าใจ ก็เหมือนเราเมื่อก่อน ถูกปลูกฝังมายังไงก็อย่างงั้น ห้ามไปเข้าใจอย่างอื่น ต้องรอให้พระเจ้าเปลี่ยนเค้า ไม่ใช่เราเปลี่ยน แต่อย่างนึงที่ไม่เข้าใจจริงๆ คือทำไมต้องหาว่าเป็นมูนนี่ด้วย คนรักสันตินี่ต้องเป็นมูนนี่หมดหรอ  ::010::กำจิงๆ ตัดสินกันดื้อๆ
ส่วนตัวผมเห็นว่า โปรหลายๆสาย สอนให้เชื่อฟังพี่เลี้ยงและศิษยาภิบาลยิ่งกว่าคาทอลิคเชื่อฟังพระสันตะปาปาอีกนะครับ ก็แปลกดี
Dis volentibus

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 7:36 pm

ก็เลยสรุปได้ว่า ท่านบอยสอนไม่ผิด  :grin:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 7:39 pm

ตอนนี้บอกจริงๆ นะ ผมรู้สึกผิดกับรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นมาก

เพราะว่า ผมดันพาเค้ามาโบสถ์แห่งหนึ่งที่ผมอยู่แล้วเจอพี่เลี้ยง ซึ่งทีแรกก็ไว้ใจกันดี
รุ่นพี่ผม เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง เรื่องบาปทางเพศ แต่พี่เลี้ยงของเขาดันไปเล่าต่อ แล้วถึงหูผมซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน

บอกจริงๆว่าเสียใจและรู้สึกผิดมาก ตอนนี้รุ่นพี่คนนั้นไม่ได้ไปใจสมาน แล้ว

แค่คำว่า ....น้องคนนั้นเขา......อธิษฐานเผื่อนะ คำเดียว
แก้ไขล่าสุดโดย Ministry Of Men เมื่อ ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 7:47 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 7:46 pm

BOYZ เขียน: ตอนนี้บอกจริงๆ นะ ผมรู้สึกผิดกับรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นมาก

เพราะว่า ผมดันพาเค้ามา ใจสมาน แล้วเจอพี่เลี้ยง ซึ่งทีแรกก็ไว้ใจกันดี
รุ่นพี่ผม เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง เรื่องบาปทางเพศ แต่พี่เลี้ยงของเขาดันไปเล่าต่อ แล้วถึงหูผมซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน

บอกจริงๆว่าเสียใจและรู้สึกผิดมาก ตอนนี้รุ่นพี่คนนั้นไม่ได้ไปใจสมาน แล้ว

แค่คำว่า ....น้องคนนั้นเขา......อธิษฐานเผื่อนะ คำเดียว
นี่คือเหตุผลหนึ่ง ที่ในพระศาสนจักร พระสงฆ์ที่ฟังการสารภาพบาป ต้องปฏิญาณ รักษาความลับของผู้สารภาพบาปอย่างเคร่งครัด ครับ ในพระศาสนจักรมีนักบุญมรณะสักขีท่านหนึ่ง ยอมตายโดยไม่ยอมเปิดเผยบาปของผู้มาสารภาพบาปด้วย และปรากฎว่า พระเจ้าประทานอัศจรรย์ เมื่อพบศพของท่าน ร่างกายส่วนอื่นเน่าเปื่อยไป แต่ลิ้นของท่านยังสด และยังเก็บรักษาไว้ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเชคโกสโลวาเกีย จนทุกวันนี้ พระศาสนจักรจึงยกย่องท่านเป็นนักบุญผู้อุปถัมป์พระสงฆ์ที่ฟังแก้บาปครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 7:52 pm

ขอบคุณพระเจ้า :grin:

ความรักและความสัตย์ซื่อของพระจิตดำรงเป็นนิต อาแมน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Big_TC29
โพสต์: 333
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 17, 2006 12:34 am
ที่อยู่: ในรู

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 2:02 pm

BOYZ เขียน: อธิษฐานเผื่อหน่อยนะครับ
ไม่เข้าใจว่า เป็นโปรฯ มีประสบการณ์กับแม่พระเอง โดยที่ไม่ได้เรียกแม่มารีย์มาหรืออธิษฐานถึงเธอเลย ผิดด้วยหรอ? กลายเป็นตัวประหลาด

สอนว่า ถ้าเชื่ออย่างเดียว แต่ไม่ทำ ก็ไม่รอดหรอก เพราะพระคัมภีร์เขียนบอกไว้แล้ว "ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าพระองค์เจ้าๆ แล้วเราจะรู้จักเจ้า ถึงวันนั้น เจ้าคนชั่วจงไปให้พ้น.." ก็สอนผิด หรอ

เราอยู่โปรฯ มาตั้งนาน พึ่งรู้ว่าเขาไม่ได้มีข้อเชื่อเดียวกับผม

แล้วผมมีข้อเชื่อแบบนิกายไหนกันหละเนี่ย

เบื่อ นี่ท่านป้าเอกสัมพันธ์ ปลีกตัวออกมาก่อน ผมเลยโดนรุมโทรมซะเสียโฉมเฟรชชี่หล่อๆเลย  ::008::


ถ้าความเชื่อคุณไม่ตรงกะเค้า ลองมาเป็นคาทอลิกดูสิครับ ผมก็เคยเจอเคสนี้มาก่อน เจอมากะตัวเอง ผมเลยย้ายจากโปรมาเป็นคาทอลิก
St.paul

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 2:59 pm

bigect07 เขียน:
BOYZ เขียน: อธิษฐานเผื่อหน่อยนะครับ
ไม่เข้าใจว่า เป็นโปรฯ มีประสบการณ์กับแม่พระเอง โดยที่ไม่ได้เรียกแม่มารีย์มาหรืออธิษฐานถึงเธอเลย ผิดด้วยหรอ? กลายเป็นตัวประหลาด

สอนว่า ถ้าเชื่ออย่างเดียว แต่ไม่ทำ ก็ไม่รอดหรอก เพราะพระคัมภีร์เขียนบอกไว้แล้ว "ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าพระองค์เจ้าๆ แล้วเราจะรู้จักเจ้า ถึงวันนั้น เจ้าคนชั่วจงไปให้พ้น.." ก็สอนผิด หรอ

เราอยู่โปรฯ มาตั้งนาน พึ่งรู้ว่าเขาไม่ได้มีข้อเชื่อเดียวกับผม

แล้วผมมีข้อเชื่อแบบนิกายไหนกันหละเนี่ย

เบื่อ นี่ท่านป้าเอกสัมพันธ์ ปลีกตัวออกมาก่อน ผมเลยโดนรุมโทรมซะเสียโฉมเฟรชชี่หล่อๆเลย  ::008::


ถ้าความเชื่อคุณไม่ตรงกะเค้า ลองมาเป็นคาทอลิกดูสิครับ ผมก็เคยเจอเคสนี้มาก่อน เจอมากะตัวเอง ผมเลยย้ายจากโปรมาเป็นคาทอลิก
ถ้าชอบอะไรที่ง่ายแล้วเป็นหนึ่งเดียวศักดิ์สิทธิ์สากลสืบเนื่องจากอัครสาวกควรเป็นคาทอลิกครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 4:59 pm

รับทราบขอรับ  ::017::

ได้คุยกับน้องเจนเป็นการส่วนตัว ทำให้ได้รู้จักความจริงอะไรหลายอย่างมากขึ้น
อาทิตย์นี้ ก็เปลี่ยนเป็น ไป วัดอัครเทวดาราฟาแอล แทน  :grin:
ภาพประจำตัวสมาชิก
-Rei-
โพสต์: 1015
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2005 8:31 pm
ติดต่อ:

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 8:42 pm

ไม่รู้ว่าโปรโบสถ์ไหนนะคะ เพราะโปรมีหลายแนว เยอะมากๆ
แต่โปรของเร (สภาคริสตจักรในประเทศไทย) สอนว่า

เรารอดโดยการรับด้วยปาก และ เชื่อด้วยใจจริง (อย่างสุดจิตสุดใจ สุดกำลังความคิด) ก็จริงค่ะ
แต่เราต้องมีการกระทำที่แสดงถึงการเลียนแบบพระเยซูในชีวิตของเรา ด้วยความเชื่อของเราจึงจะสมบูรณ์
หรือการกระทำ นั่นเอง ที่เป็นตัวพิสูจน์ว่า ความเชื่อของเรานั้น มีอยู่จริง

เพราะเราไม่สามารถพูดด้วยปากว่า "เชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ" โดยไม่มีการกระทำได้ค่ะ
คนที่พูดแต่ปากว่า ผม "เชื่ออย่างสุดจิตใจ สุดกำลังความคิด" แต่เมาเหล้า ติดยา ฉ้อโกง
อันนี้จะเรียกว่าเขาเชื่อพระเยซู "อย่างสุดจิตใจ สุดกำลังความคิด" ไม่ได้ค่ะ
เมื่อเชื่อแล้ว การกระทำจะตามมาเอง หากปากบอกว่าเชื่อ แล้วไม่มีการกระทำตามมาเลย อันนั้นเรียกว่า "ไม่ได้เชื่อ" หรือ "โกหกว่าเชื่อ" ค่ะ
และเมื่อถึงวันพิพากษา พระเจ้าจะทรงตัดสินเองค่ะว่า คนๆ นั้น "เชื่อด้วยใจจริง อย่างสัตย์ซื่อ" หรือ สักแต่ว่า "พูดเอาแต่ได้"
แถมคนประเภทนี้ยังทำให้พี่น้องสะดุดตามไปด้วย เพราะเขาเอาแต่พูด แล้วทำให้คนอื่นเข้าใจโปรผิดๆ ว่ารับพระเจ้าปุ๊บรอดปั๊บ ไม่ต้องทำดีอะไรแล้ว
ไม่จริงค่ะ ไม่จริงเลย

ถึงความรอดในสายตาของโปร(สายสภาฯ) ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครทำดีกว่ากันแล้วจะรอด เพื่อไมให้ใครอวดได้ว่า ฉันดีกว่าเธอ
แต่การทำดีมันเป็นการยืนยันความเชื่อ ซึ่งถ้า"ความเชื่อ" ไม่มีอยู่จริง ก็ไม่รอดเด็ดขาดค่ะ

การทำดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นโปร(สายสภาฯ) จึงไม่ตัดสินกันที่ว่า ใครทำดีมากกว่ากันแล้วจะรอดมากกว่า
แต่วัดกันที่ว่า การทำดีนั้น ทำอย่างสุดกำลังของแต่ละคนแล้วจริงๆ หรือ เปล่า
จะให้คะแนนความดีของโปรทุกๆ คน เท่ากัน เป็นไปไม่ได้
เบนซ์ พรชิตา ทาไวเทนนิ่งยังไงก็ไม่ขาวเท่าเชอร์รี่ เข็มอัปสร ( เรื่องเทียบกับครีมหน้าขาวนี่ เพิ่งฟังอาจารย์ นิกร สิทธิจริยภรณ์ เทศน์เมื่อคืนนี้เอง)

อาจารย์บอกว่า บางคนเริ่มจาก - 500 (เลวมากๆๆๆๆ) มาเป็น 10 (เลิกทำชั่วที่เคยทำ มาทำดีเล็กน้อย)
บางคนเริ่มจาก - 50 มาเป็น  440 (เลิกทำชั่วเล็กน้อยที่เคยทำ มาทำดีมากๆ)
บางคนเริ่มจาก - 25 ปากบอกว่าเชื่อแล้วก็ยัง -25 เหมือนเดิม (ชั่วน้อย แต่ไม่เลิก แล้วก็ไม่ทำดี เชื่อพระเยซูกับก่อนเชื่อ ไม่ต่างกันเลย)

ถามว่า 3 คนนี้ ใครรอด ใครไม่รอด ?

ถ้าวัดกันด้วยมาตรฐานของโปรสายของเร คนที่ 3 "ไม่รอด" นะคะ
เหมือนอย่างที่พระเยซูตรัสว่า ในวันสุดท้ายเขาจะมาที่ประตู แล้วพระองค์จะตอบว่า "เราไม่รู้จักเจ้า"
เพราะเขาพูดแต่ปาก ไม่ได้เชื่อด้วยใจ และไม่มีการกระทำที่เกิดจาก "ใจ" นั้นเลย

ถึงโปรจะเน้นว่า เรารอดด้วยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำ
แต่ความเชื่อ และ การกระทำ แยกจากกันโดยเด็ดขาดไม่ได้ค่ะ
เพราะการมีแต่ความเชื่อ แล้วไม่มีการกระทำใดๆเลย เรียกว่า "เชื่อจริงๆ" ไม่ได้ค่ะ

โปรเราเชื่อว่า เรารอดด้วยความเชื่อ โดยพระคุณของพระเจ้า
ดังนั้นจึงไม่ได้กะเกณฑ์ว่า คุณต้องทำนี่ ทำนั่น จึงจะรอด (บางโบถส์เลยถือเอาตรงนี้ไปสอนว่า "ไม่ต้องทำอะไรก็รอด" ซะเฉยๆ)
แต่เมื่อ "เชื่ออย่างแท้จริง" คุณต้องสำแดง "พระคริสต์" ในชีวิตคุณ เพื่อเป็นการยืนยันความเชื่อที่แท้จริงด้วยนะคะ
ไม่งั้นความเชื่อที่ว่า ก็เป็นแค่คำพูดจอมปลอมเท่านั้นเองค่ะ

อันนี้คือคำสอนของสายสภา ที่ยืนยันได้
เพิ่งกลับจากค่ายรีทรีทสมาชิกคริสจักรวัฒนา เมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เองค่ะ
ส่วนโปรสายอื่นๆ สอนแบบไหน อันนี้เรไม่กล้าฟันธงค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ เม.ย. 28, 2007 8:49 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 9:23 pm

เท่าที่ทราบมาโปรสายหลัก จะสอนแบบที่คุณเรย์ว่า ซึ่งก็เหมือนกับที่คาทอลิคสอนคือ ต้องทำความดีโดยเป็นผลมาจากความเชื่อด้วย ไม่ใช่เชื่อเฉยๆแต่ปาก

จากที่คุยกับสายสภา โปรแตสแตนท์สายสภานี้จะดีตรงที่มีการตรวจสอบความเชื่อของคริสตจักรในสังกัดเสมอๆ ว่าสอนตรงไหม เพราะในบางสาย เวลามีโบสถ์มาขอสังกัด ตอนแรกก็เสนอหลักข้อเชื่อดี แต่หลังจากนั้นเริ่มเพี้ยนไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีการตรวจสอบ ยังปล่อยให้อยู่ในสังกัดทั้งแบบนั้น

แต่สายสภาจะมีการตรวจสอบทุกปี ซึ่งทำให้บางคริสตจักรไม่อยากขอสังกัดสายสภา(เพราะไม่อิสระ) แต่สำหรับ คริสตจักรที่ไม่สังกัดอะไรเลย หรือคริสตจักรอิสระ หรือที่บางทีเรียกแรงหน่อยว่าคริสตจักรเถื่อน คือบางทีคนตั้งอ่านไบเบิ้ลเองตีความเอง แล้วก็เปิดบ้านตั้งโบสถ์เอง ขาดความรู้เชิงลึกในพระคัมภีร์ มันก็อาจจะออกมาแนว เชื่ออย่างเดียวพอ ขึ้นมา ซึ่งก็มีมากมายหลายแห่งในประเทศไทย ยิ่งเมืองนอกไม่ต้องพูดถึง ในอเมริกา แตกเป็นหลักพัน ที่ตีความพระคัมภีร์แตกต่างกันแล้วยึดว่าตัวถูกคนเดียวคนอื่นไม่รอด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Deo Gratias
โพสต์: 1100
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 9:30 pm

-Rei- เขียน: ไม่รู้ว่าโปรโบสถ์ไหนนะคะ เพราะโปรมีหลายแนว เยอะมากๆ
แต่โปรของเร (สภาคริสตจักรในประเทศไทย) สอนว่า

เรารอดโดยการรับด้วยปาก และ เชื่อด้วยใจจริง (อย่างสุดจิตสุดใจ สุดกำลังความคิด) ก็จริงค่ะ
แต่เราต้องมีการกระทำที่แสดงถึงการเลียนแบบพระเยซูในชีวิตของเรา ด้วยความเชื่อของเราจึงจะสมบูรณ์
หรือการกระทำ นั่นเอง ที่เป็นตัวพิสูจน์ว่า ความเชื่อของเรานั้น มีอยู่จริง

เพราะเราไม่สามารถพูดด้วยปากว่า "เชื่ออย่างสุดจิตสุดใจ" โดยไม่มีการกระทำได้ค่ะ
คนที่พูดแต่ปากว่า ผม "เชื่ออย่างสุดจิตใจ สุดกำลังความคิด" แต่เมาเหล้า ติดยา ฉ้อโกง
อันนี้จะเรียกว่าเขาเชื่อพระเยซู "อย่างสุดจิตใจ สุดกำลังความคิด" ไม่ได้ค่ะ
เมื่อเชื่อแล้ว การกระทำจะตามมาเอง หากปากบอกว่าเชื่อ แล้วไม่มีการกระทำตามมาเลย อันนั้นเรียกว่า "ไม่ได้เชื่อ" หรือ "โกหกว่าเชื่อ" ค่ะ
และเมื่อถึงวันพิพากษา พระเจ้าจะทรงตัดสินเองค่ะว่า คนๆ นั้น "เชื่อด้วยใจจริง อย่างสัตย์ซื่อ" หรือ สักแต่ว่า "พูดเอาแต่ได้"
แถมคนประเภทนี้ยังทำให้พี่น้องสะดุดตามไปด้วย เพราะเขาเอาแต่พูด แล้วทำให้คนอื่นเข้าใจโปรผิดๆ ว่ารับพระเจ้าปุ๊บรอดปั๊บ ไม่ต้องทำดีอะไรแล้ว
ไม่จริงค่ะ ไม่จริงเลย

ถึงความรอดในสายตาของโปร(สายสภาฯ) ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครทำดีกว่ากันแล้วจะรอด เพื่อไมให้ใครอวดได้ว่า ฉันดีกว่าเธอ
แต่การทำดีมันเป็นการยืนยันความเชื่อ ซึ่งถ้า"ความเชื่อ" ไม่มีอยู่จริง ก็ไม่รอดเด็ดขาดค่ะ

การทำดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นโปร(สายสภาฯ) จึงไม่ตัดสินกันที่ว่า ใครทำดีมากกว่ากันแล้วจะรอดมากกว่า
แต่วัดกันที่ว่า การทำดีนั้น ทำอย่างสุดกำลังของแต่ละคนแล้วจริงๆ หรือ เปล่า
จะให้คะแนนความดีของโปรทุกๆ คน เท่ากัน เป็นไปไม่ได้
เบนซ์ พรชิตา ทาไวเทนนิ่งยังไงก็ไม่ขาวเท่าเชอร์รี่ เข็มอัปสร ( เรื่องเทียบกับครีมหน้าขาวนี่ เพิ่งฟังอาจารย์ นิกร สิทธิจริยภรณ์ เทศน์เมื่อคืนนี้เอง)

อาจารย์บอกว่า บางคนเริ่มจาก - 500 (เลวมากๆๆๆๆ) มาเป็น 10 (เลิกทำชั่วที่เคยทำ มาทำดีเล็กน้อย)
บางคนเริ่มจาก - 50 มาเป็น  440 (เลิกทำชั่วเล็กน้อยที่เคยทำ มาทำดีมากๆ)
บางคนเริ่มจาก - 25 ปากบอกว่าเชื่อแล้วก็ยัง -25 เหมือนเดิม (ชั่วน้อย แต่ไม่เลิก แล้วก็ไม่ทำดี เชื่อพระเยซูกับก่อนเชื่อ ไม่ต่างกันเลย)

ถามว่า 3 คนนี้ ใครรอด ใครไม่รอด ?

ถ้าวัดกันด้วยมาตรฐานของโปรสายของเร คนที่ 3 "ไม่รอด" นะคะ
เหมือนอย่างที่พระเยซูตรัสว่า ในวันสุดท้ายเขาจะมาที่ประตู แล้วพระองค์จะตอบว่า "เราไม่รู้จักเจ้า"
เพราะเขาพูดแต่ปาก ไม่ได้เชื่อด้วยใจ และไม่มีการกระทำที่เกิดจาก "ใจ" นั้นเลย

ถึงโปรจะเน้นว่า เรารอดด้วยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำ
แต่ความเชื่อ และ การกระทำ แยกจากกันโดยเด็ดขาดไม่ได้ค่ะ
เพราะการมีแต่ความเชื่อ แล้วไม่มีการกระทำใดๆเลย เรียกว่า "เชื่อจริงๆ" ไม่ได้ค่ะ

โปรเราเชื่อว่า เรารอดด้วยความเชื่อ โดยพระคุณของพระเจ้า
ดังนั้นจึงไม่ได้กะเกณฑ์ว่า คุณต้องทำนี่ ทำนั่น จึงจะรอด (บางโบถส์เลยถือเอาตรงนี้ไปสอนว่า "ไม่ต้องทำอะไรก็รอด" ซะเฉยๆ)
แต่เมื่อ "เชื่ออย่างแท้จริง" คุณต้องสำแดง "พระคริสต์" ในชีวิตคุณ เพื่อเป็นการยืนยันความเชื่อที่แท้จริงด้วยนะคะ
ไม่งั้นความเชื่อที่ว่า ก็เป็นแค่คำพูดจอมปลอมเท่านั้นเองค่ะ

อันนี้คือคำสอนของสายสภา ที่ยืนยันได้
เพิ่งกลับจากค่ายรีทรีทสมาชิกคริสจักรวัฒนา เมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เองค่ะ
ส่วนโปรสายอื่นๆ สอนแบบไหน อันนี้เรไม่กล้าฟันธงค่ะ
ใช่คะ..เห็นด้วย..ส่วนตัวเราก็เชื่อแบบนี้แหละค่ะ นี่คือสิ่งที่เราพยายามอธิบาย และยกตัวอย่าง
__________________________________________________________________________________________________
เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น (ยากอบ 2:26)

เรารอดโดยความเชื่อ ถูกต้อง! เมื่อเรารับเชื่อ เราได้ชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า แต่ถ้าหลังจากนั้น เราประพฤติตัวเยี่ยงชาวโลกเป็นอาจิน แบบนี้ถือว่าเชื่อรึเปล่าละ

สมมุติว่าเราบอกว่าเก้าอี้ตัวนี้ขาหักห้ามนั่ง แล้วคุณก็บอกว่าครับผมเชื่อ แต่หลังจากนั้นคุณก็เดินไปนั่ง แบบนี้ถือว่าคุณเชื่อเรารึเปล่าล่ะ ถ้าคุณเชื่อคุณจะไม่นั่ง แต่คุณยังไปนั่งเพราะไม่ได้เชื่อ เพราะฉะนั้นความเชื่อต้องประกอบด้วยการประพฤติตามคำสอนถึงจะเป็นความเชื่อที่สมบูรณ์ อีกตัวอย่างนึง

สมมุติว่าเรายกมรดกให้คุณเป็นโฉนดที่ดิน100ไร่(สมมุตินะ) เราให้แล้วเราไม่เอาคืนเป็นของน้องแน่นอน แต่ที่ดินนั้นจะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์จริงๆ คุณต้องเอาไปดำเนินการตามกฎหมาย ถ้าคุณปล่อยมันไว้เฉยๆ มันก็ไม่ใช่ของคุณโดยสมบูรณ์ เมื่อไรที่คุณเอาไปดำเนินการมันก็เป็นของคุณทันที เหมือนกันชีวิตนิรันดร์ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าเป็นพระคุณของพระเจ้า พระองค์ให้เราแล้วและไม่เอาคืน แต่อยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับพระคุณที่พระเจ้าให้มาอย่างไร
_________________________________________________________________________________________________
แต่คนที่บอร์ดนั้นหาว่าเราสอนผิด ถึงเราพยายามอธิบายหรือยกตัวอย่างมากเท่าไร เหอๆ เหมือนเป่าลมจริงๆ เค้าอาจจะไม่ได้อ่านหรืออาจจะไม่เข้าใจทีท่เราพูด อันนี้พอว่า แต่มาหาว่าเราความเชื่อไม่เข้มแข็งบ้าง เป็นลัทธิเทียมเท็จบ้าง ::010:: แถมปฏิบัติกับเราแปลกๆ(ที่โบสถ์) ไล่เราอีกต่างหาก(ในบอร์ด) - -" หลายครั้งละ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ที่เราพูดมันผิดตรงไหน? เฮ้อ
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 9:41 pm

ผมไม่รู้อารายทั้งนั้น

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะรู้จักใครก็ตาม จะไม่ให้ไปใจสมานทุกสาขา (เพราะไปมาสองสาขาแล้ว)
และคริสตจักรที่ไปร่วมงานที่บีอีซีเทโรฮอลด้วย (บอกตรงๆเหมือนปาร์ตี้ยาอี อาจพูดแรงไป แต่ใครไปก็งง เชื่อผมเถอะ มีวีดีโอด้วย ใครอยากได้จะส่งให้)

พระเจ้ามาไถ่เราให้พ้นจากคำสาปแช่ง แต่ตัวผมและพี่เลี้ยงคนนั้น และรุ่นพี่ที่เป็นน้องเลี้ยงคนนั้นทำไมกลับชีวิตไม่ดี ไม่ต่างจากถูกคำสาปแช่ง
ผมและรุ่นพี่ที่เป็นน้องเลี้ยงคนนั้น มาจากโบสถ์พระสัญญา ตอนนั้นทำไมชีวิตดี จะบอกว่ากราฟชีวิตได้ไง เหอๆๆ เอาเถอะนะครับ

คริสตจักรสายใดถูกต้องเข้มงวดเรื่องความเชื่อผมขอสนับสนุน แต่ถ้าคริสตจักรที่อิสระ หรือ แปลกๆๆ ขอโปรดจงระวังเถิด

ปล.พอรุ่นพี่ที่เป็นน้องเลี้ยงคนนั้นไม่ไปใจสมาน ชีวิตเขาดีขึ้นเหมือนเดิม ต่อมาไม่กี่เดือน พอผมไม่ไปใจสมานก็คือเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านๆมา ทำไมชีวิตเปลี่ยน

จริงๆ มันมีเรื่องอธิบายเยอะ คงไม่สะดวกสาธารณะนะครับ


สุดท้ายนี้ขอฝากกลอน

แมวคู่ฟ้า ป้ากู้โลก
โชคจะอยู่ คู่กับป้า
แก้ไขล่าสุดโดย Ministry Of Men เมื่อ เสาร์ เม.ย. 28, 2007 9:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
-Rei-
โพสต์: 1015
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2005 8:31 pm
ติดต่อ:

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 11:17 pm

เรว่าตัวอย่างคุณเกรซเข้าใจง่ายแล้วนะ

"เก้าอี้ตัวนั้นขาหัก คุณเชื่อมั๊ย?"

"ครับผมเชื่อ"

แต่พูดจบแล้วก็เดินไปนั่ง แล้วก็หงายหลังโครม ::006::

แบบนี้เรียกว่า "ไม่เชื่อ" แต่แกล้งพูดว่า "เชื่อ" เท่านั้น
ถ้าเชื่อต้องมีการกระทำตามมาคือ "ไม่ไปนั่ง"
ถ้ายังไปนั่ง จะเรียกว่า "เชื่อ" ได้ยังไง

ปล. ถ้าคุณเกรซคิดเหมือนที่เรพิมพ์ แล้วแฮปปี้ที่จะเชื่อแบบเดียวกัน ย้ายมาคริสตจักรสายสภาฯ เต๊อะ
โปรไม่ได้มีแบบเดียวในโลก   ::001::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ เม.ย. 28, 2007 11:20 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

เสาร์ เม.ย. 28, 2007 11:57 pm

ได้ความรู้กับพี่น้องโปรมากเลย ผมอยากรู้จักพี่น้องโปรเตสเเตนท์มากขึ้นจัง

แต่เคยคุยกับคนในคริสตจักรสะพานเหลืองเขาบอกว่า สภาคริสตจักร มี3คณะ คณะแบ๊บติสต์ คณะเพรสไบทีเรียน คณะคาริสเมติก ผมถามต่อว่าคาริสเมติกนี่เพนเตกอสหรือเปล่า เขาบอกไม่ใช่(ยังไงอันนี้ผมไม่รู้ไม่ได้ถามต่อ)

อ้อคริสตจักร ที่1 สำเหร่ เนี่ยอยู่ตรงไหนอะ เห็นแต่รูป แต่ไปไม่ถูก เห็นเพื่อนเล่าว่าสวยมาก
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ เม.ย. 29, 2007 9:03 am

Gray Cat Mobster เขียน: ได้ความรู้กับพี่น้องโปรมากเลย ผมอยากรู้จักพี่น้องโปรเตสเเตนท์มากขึ้นจัง

แต่เคยคุยกับคนในคริสตจักรสะพานเหลืองเขาบอกว่า สภาคริสตจักร มี3คณะ คณะแบ๊บติสต์ คณะเพรสไบทีเรียน คณะคาริสเมติก ผมถามต่อว่าคาริสเมติกนี่เพนเตกอสหรือเปล่า เขาบอกไม่ใช่(ยังไงอันนี้ผมไม่รู้ไม่ได้ถามต่อ)

อ้อคริสตจักร ที่1 สำเหร่ เนี่ยอยู่ตรงไหนอะ เห็นแต่รูป แต่ไปไม่ถูก เห็นเพื่อนเล่าว่าสวยมาก
ขอตอบสั้นๆแก่น้องแมวสีเทา นะคะ สภาคริสตจักร มี 19 ภาค

ภาค 1 เชียงใหม่ = คณะเพรสไบทีเรียน
ภาค 2 เชียงราย = คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 3 ลำปาง = คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 4 แพร่ อุตรดิษฐ =คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 5 น่าน =คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค  6 กรุงเทพ /พิษณุโลก/เชียงใหม่/เชียงราย =คณะ เพรสไบทีเรียน

*** คริสตจักร ของน้องเร คือวัฒนา อยู่ที่ภาคนี้ และคริสตจักรที่ 1 สำเหร่ ถือว่าเป็นคริสตจักรแรกของคณะเพรสไบทีเรียน

ภาค 7 กรุงเทพ/ราชบุรี/พิษณุโลก/เพชรบูรณ์/ตาก/ลำปาง/เชียงใหม่/เชียงราย/นครราชสีมา/ศรีษะเกต/หนองคาย/หนองบัวลำภูสงขลา/พัทลุง=คณะ เพรสไบทีเรียน

** คริสตจักรสะพานเหลือง ก็สังกัดภาคที่ 7 ภาคที่ 7 จะมีฐานผู้เชื่อ เป็นชุมชนจีน ต่อมา มีอะข่า ม้ง เมี่ยน

ภาค 8 เพชรบุรี/ราชบุรี/ชุมพร/สุราษฎร์ธานี =คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 9 นครศรีธรรมราช /กระบี่/ตรัง =คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 10 เชียงใหม่ ( กลุ่มพี่น้องชาวเผ่า )=คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 11 นครปฐม/ราชบุรี= คณะดีไซเปิ้ล
ภาค 12 กรุงเทพ/เชียงราย/เชียงใหม่/ยะลา = คณะแบ๊พติสท์  ( กลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มจีน เป็นหลัก คริสตจักรแรกในเอเชีย อาคเนย์ ตั้งขึ้นเมื่อ ปี 1837 คือคริสตจักรไมตรีจิต )
ภาค 13 อุดร/ ขอนแก่น/ ยะโสธร ฯลฯ =คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 14 เชียงใหม่ (เป็นพี่น้องชาวเผ่าด้วย )=คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 15 พะเยา  /  =คณะ เพรสไบทีเรียน, คณะของเยอรมัน
ภาค 16 กาญจนบุรี/ราชบุรี = คณะแบ๊พติสท์
ภาค 17 ตรัง/นครศรี/กระบี่/พังงา =คณะ เพรสไบทีเรียน
ภาค 18 เชียงใหม่/เชียงราย/แม่ฮ่องสอน =คณะ แบ๊พติสท์  ( เผ่าลาหู่ เป็นหลัก )
ภาค 19 เชียงใหม่/เชียงราย/ตาก/แม่ฮ่องสอน =คณะ แบ๊พติสท์ ( เผ่า กระเหรี่ยง (ปกาเกอญอ ) เป็นหลัก )

ดังนั้นจึงเห็นว่าคริสตจักรในสภาฯส่วนใหญ่จะเป็นเพรสไบทีเรียน และแบ๊พติสท์ ภายหลังก็มีคณะ อื่นๆบ้าง

คริสตจักรสภาฯ จะมีประวัติศาสตร์การเข้ามาแพร่ธรรม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1828 ซึ่งมิสชันนารี หรือธรรมทูต มาจากสหรัฐฯ เป็นหลัก มาจาก 2 คณะ คือ เพรสไบทีเรียน และแบ๊พติสท์ แต่เพรสไบทีเรียนมากกว่า  คริสตจักร สภามีการปกครอง เป็นเพรสไบเทอรี่ คล้ายๆคาทอลิก

ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือหลัง ปี 1945 ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเคลื่อนไหวของ พระวิญญาณ เราเรียกว่า "คาริสเมติกมูมเมนท์" เน้นการงานของพระจิต และภายหลัง 1950 เป็นต้นมา คณะต่างๆของโปรเตสแตนต์ เข้ามามากมาย เนื่องจากโปรเตสแตนต์ไม่มีศูนย์กลางควบคุม พอไม่พอใจกัน แต่ยังรักพระเจ้า จึงแตกไปสอนเอง ว่ากันเอง แล้วไม่ฟังใครเด็ดขาด  ต่างฝ่ายต่างถือดีว่าแบบตัวเองเท่านั้นที่ถูกคนอื่นนั้นผิดเป็นต้น

การที่โปรเตสแตนต์ได้รับเสรีภาพมาก จึงใช้เสรีภาพเหล่านั้น ใครๆก็เป็นผู้รับใช้พระเจ้าได้ จึง แปลสารให้ผิดเพี้ยนไปก็เยอะ จากการที่ยากแก่การตรวจสอบ หรือไม่ยอมให้ใครตรวจสอบ จึงมีอัตตาสูงลิ่ว เป็นต้น

ไว้พี่จะหาโอกาสเขียน ชำแหละโปรเตสแตนต์สักครั้ง
ล็อคหัวข้อ