กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานจนแทบไร้ผู้จดจำ ครานั้นโลกได้ถูกคำสาปร้ายจากจอมซาตาล ซึ่งส่งฝนสีโลหิตมายังพื้นพิภพ ทุกหลทุกแห่งที่ฝนเลือดได้หยดลงนำมาซึ่งความวิบัติแผ่ไพศาลส่าปผืนแผ่นดินให้มีแต่ความแห้งแล้ง แม้แต่ท้องทะเลยังปั่นป่วนบ้าคลั่ง เกิดเคลื่อนยักย์กลืนกินทุกชีวิต ทุ่งหญ้าป่าเขาที่เคยเขียวขจีต่างเหี่ยวเฉาร่วงโรย ต่างผลัดใบและล้มตายเสียหมด ทุกสิ่งกลายเป็นสีแดงฉาน เกือบครึ่งโลกต้องภัยแล้งอย่างรุนแรง ทุกที่ที่โดนฝนนั้นไม่สามารถทำการปลูกพืชได้เลย เมื่อทรัพยากรหมดไปทุกประเทศได้ทำสงครามแย่งชิงกัน เสียงรำให้โหยหวนจากแผ่นดินที่ถูกสาป เสียงลั่นกลองรบ เสียงโล่หอกดาบที่ปะทะกันดังลั่นสนั่นแผ่นดิน วันคืนอันสงบสุขถูกเปลี่ยนกลายเป็นดังนรกภูมิ ไร้ซึ่ง.......สับเสียงจากมวลมนุษย์
ลำนำแห่งสงครามได้ถูกขับขานขึ้นอีกครั้ง
จะมีไครได้เห็นสิ่งนี้เหมือนข้าบ้าง ภัยสงครามเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ความสงบสุขหาได้ยากเต็มที ประเทศหลายประเทศทำสงครามเพื่องแย่งชิงดินแดนที่ยังอุดมสมบูรณ์ที่เหลือเพียงน้อยนิด การตกลงทางการทูตไร้ผลเพราะ ทรัพยากรยังไงก็ไม่พอกับคนทั้งโลก ไฟสงครามลุกโหมไปทั่วหย่อมหญ้า ผู้คนตายเหลือคนานับ โลหิตหลั่งไหลราวกับสายฝน แต่ว่าในตอนที่ความหวังกำลังจะหมดลง ตอนนั้นเองที่ข้าเห็นเขา กษัตริย์ผู้เรืองอำนาจประกาศลั่นที่จะล้างอาถรรพ์ให้กับแผ่นดิน
การล้างคำสาปมีทางเดียวคือต้องสังหารจอมซาตาลแห่งความมืดซึ่งอยู่อีกด้านของทวีป
เพียงแค่เอ่ยปากคำเดียว ทุกประเทศก็ยุติสงครามภายใน แล้วจัดตั้งกองทัพพันธมิตรแห่งโลก ขึ้น
กรีฑาทับบุกอณาจักรแห่งความตาย แต่ว่าไม่นานความพ่ายแพ้ก็เป็นของมวลมนุษย์ กำลังพลมากมายเหลือเพียงแค่3000 นอกนั้นใด้ตายไปในสงครามครั้งก่อน
กษัตริย์หนุ่มผมทองยกมือขึ้นปิดหน้า คุกเข่าลงอย่างท้อแท้ ทั้งเหนื่อยล้าหมดกำลัง พระองค็ยกดาบขึ้น พร้อมกับหันปลายดาบมาที่คอของตนเอง
มาอ่านนิทานก่อนนอนกันเถอะคะ
- dark-kanita
- โพสต์: 317
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 18, 2007 2:37 pm
"พระเจ้าข้าได้ทำบาปมากมายข้าทำให้ประชาชนของข้าต้องตาย ข้าไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้อีกแล้ว"
แต่ว่าทันไดนั้นดาบใหญ่ก็ถูกปัดกระเด็น แล้วอะไรหนักๆๆบางอย่างฝาดเข้าที่ศรีษะของตนอย่างแรง
โป๊ก!!!!!!!!!!
"โอ้ย เจ้าเป็นใครกัน" กษัตริย์ร้องอย่างโมโห
"ก็แล้วไง.. คนเราเกิดมามีไครบ้างไม่เคยเจอปัญหา คนที่งอมืองอเท้าไม่สู้ก็
สมควร ตาย"ข้าร้องขึ้น
แต่เสียงนั้นรู้สึกจะทำให้เขาประหลาดใจ เสียงตะคอกของข้าซึ่งเป็นหญิงสาวที่ไม่น่าจะอยู่ในสนามรบ เขาเงอหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า
"ก็อาจใช่ แต่เธออย่าคิดว่าทุกคนแน่พอที่จะแก้ปัญหาได้เอง แล้วปัญหาบางอย่างก็
ใหญ่เกินกว่าจะรับมือไหว" กษัตริย์หนุ่มว่า
ข้ามองเขาแวปหนึ่งแล้วหยิ่บดาบขึ้นมาขว้างไปให้เขา แล้วว่า
"เพื่อให้คนรู้จักโต พระเจ้าจึงทรงประทานข้อสอปมาให้เราได้เรียนรู้ "
"ถ้าเป็นจริงละก็ พระเจ้าก็โง่เหลือเกิน ที่ทรงเลือกสรรวิธีโง่ๆมาให้คนได้เติบโต" เขาว่า แต่ข้าได้แต่หัวเราะ แล้วว่า
"อาจจะโง่.... หรือไม่พระเจ้าก็ฉลาด แต่นั่นละที่โง่" ข้าว่าแล้วหยิบขึ้นสนิมของข้ามาบ้างก่อนจะขยายความ
"พระเจ้าฉลาดประทานข้อสอบที่ยากที่สุดมาให้พร้อมคำตอบ คนโง่เห็นแต่ข้อสอบ มองไม่เห็นคำตอบ ถึงได้รู้สึกแต่ว่าปัญหาไม่มีทางแก้ "
กษัตริย์ย้อนข้าว่าแล้วทางแก้มันอยู่ที่ใหน
ข้ายิ้มแล้วตอบว่า
"ข้าเอง.....ก็....ยังเป็นแค่คนโง่"
"
แต่ว่าทันไดนั้นดาบใหญ่ก็ถูกปัดกระเด็น แล้วอะไรหนักๆๆบางอย่างฝาดเข้าที่ศรีษะของตนอย่างแรง
โป๊ก!!!!!!!!!!
"โอ้ย เจ้าเป็นใครกัน" กษัตริย์ร้องอย่างโมโห
"ก็แล้วไง.. คนเราเกิดมามีไครบ้างไม่เคยเจอปัญหา คนที่งอมืองอเท้าไม่สู้ก็
สมควร ตาย"ข้าร้องขึ้น
แต่เสียงนั้นรู้สึกจะทำให้เขาประหลาดใจ เสียงตะคอกของข้าซึ่งเป็นหญิงสาวที่ไม่น่าจะอยู่ในสนามรบ เขาเงอหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า
"ก็อาจใช่ แต่เธออย่าคิดว่าทุกคนแน่พอที่จะแก้ปัญหาได้เอง แล้วปัญหาบางอย่างก็
ใหญ่เกินกว่าจะรับมือไหว" กษัตริย์หนุ่มว่า
ข้ามองเขาแวปหนึ่งแล้วหยิ่บดาบขึ้นมาขว้างไปให้เขา แล้วว่า
"เพื่อให้คนรู้จักโต พระเจ้าจึงทรงประทานข้อสอปมาให้เราได้เรียนรู้ "
"ถ้าเป็นจริงละก็ พระเจ้าก็โง่เหลือเกิน ที่ทรงเลือกสรรวิธีโง่ๆมาให้คนได้เติบโต" เขาว่า แต่ข้าได้แต่หัวเราะ แล้วว่า
"อาจจะโง่.... หรือไม่พระเจ้าก็ฉลาด แต่นั่นละที่โง่" ข้าว่าแล้วหยิบขึ้นสนิมของข้ามาบ้างก่อนจะขยายความ
"พระเจ้าฉลาดประทานข้อสอบที่ยากที่สุดมาให้พร้อมคำตอบ คนโง่เห็นแต่ข้อสอบ มองไม่เห็นคำตอบ ถึงได้รู้สึกแต่ว่าปัญหาไม่มีทางแก้ "
กษัตริย์ย้อนข้าว่าแล้วทางแก้มันอยู่ที่ใหน
ข้ายิ้มแล้วตอบว่า
"ข้าเอง.....ก็....ยังเป็นแค่คนโง่"
"
ปีาดดด เอามาจากไหนครับเนี่ย
(จบแล้วชิมะ)
(จบแล้วชิมะ)
- dark-kanita
- โพสต์: 317
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 18, 2007 2:37 pm
(เล่าต่อนะคะ)
ทันใดนั้นแสงสว่างจากดวงตะวันได้สาดส่องเรืองรองมายังพื้นพิภพ และแล้วศึกชี้ชะตาของมวลมนุษย์ว่าจะอยู่รอดหรือตายก็มาถึง
เพราะว่าทับของราชาปีศาจแห่งความมืด ได้เคลื่อนทับมาเบื่องหน้าแล้ว
"เขาว่ากันว่าสิ่งอัศจรรย์ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ หากมีความหวัง และเคยได้ยินหรือไม่ ว่าจะเป็นคนได้อย่างไรถ้าไม่ทำให้โลกดีกว่าเดิม"
ข้าว่าแล้วยกดาบขึ้นสนิมเล่มใหญ่ชี้ไปยัง แม่ทับปีศาจอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้นก็พุ่งเข้าสู้สนามรบเพียงลำพังโดยที่กาตริย์หนุ่มได้แต่มองตาค้าง
ฉับพลันความหวังและพลังใจได้เกิดขึ้นกับกษัตริย์นักรบ เขาจับดาบของเขาขึ้นมา พร้อมกับอัศวินอีก3000คนพุ่งเข้าสู่สนามรบเบื้องหน้า
แสงตะวังที่สาดส่องกระทบร่างของพระองค็ครานั้นช่างงดงามนัก ดาบสะท้อนแสงแดดเจิดจ้าสวางไสว พลังใจอันเปี่ยมล้นที่ว่าตนเองจะไม่แพ้ พร้อมกับตวัดดาบด้วยวิถีดาบอันงดงาม รัศมีแห่งการทำลายล้างพุ่งหวืดไปยังกองทับปีศาจกระหายเลือดนับแสน
เเสงเจิดจ้าแสบตาจนมองไม่เห็นสิ่งใด แต่ทั้งที่คิดว่าแพ้ กลับเป็นว่า ชนะราวกับว่าเป็ฯเรื่องโกหก ด้วยดาบเดียวแห่งความหวังที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ดาบธรรมดาๆมีใช่ดาบวิเศษในตำนาน หากแต่เกิดจากใจที่มุ่งมั่น ที่สามาถรเอาชนะความมืดได้ทั้งมวล
กษัตริย์หนุ่มเดินไปทั่วสนามรบเพื่อมองหาข้า หญิงสวยในชุดคลุมสีขาว ผมดำ ดวงตาสีทอง ถือดาบขึ้นสนิมที่หายไปในสนามรบไม่เห็นแม้แต่เงา
"คงตายที่ไหนสักแห่งแล้วมั้ง" พระองค์ว่าแล้วถอนใจพร้อมกลับหันหลังกลับ แต่ว่าทันใดนั้นก็ได้เหลือบไปเห็น ดาบขึ้นสนิมเล่มหนึ่ง ปักอยู่บนเนินหิน
"ดาบของนางนั่น!!!!!!!!"
เขาพยายามที่จะดึงดาบแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ต่อให้ออกแรงเพียงใด ดาบเล่มนั้นก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย พระองค์ถอนใจพร้อมกับเหลือบไปเห็นบทกลอนที่สลักไว้บนตัวดาบ
เมื่อความมืดบดบังหัวใจเจ้า
แม้ไฟเผารอบกายแทบปี้ป่น
แม้แผ่นดินรกร้างไร้ผู้คน
แม้อับจนสิ้นหวังหนทางไป
ดั่งบทสวดเหมือนไร้สิ้นความหมาย
มอดมลายไร้ความหวังจนร่ำให้
เช็ดน้ำตาชูดาบเจ้าขึ้นทันใด
พร้อมหัวใจศัทธาต่อเบื้องบน
ด้วยอัศจรรย์แห่งองค์พระเป็นเจ้า
ขอเพียงเรายึดมั่นไม่สับสน
ตวัดดาบศักดิ์สิทธิ์พิชิตทรชน
ภัยมืดทุกแห่งหลสูญสิ้นจากแผ่นดิน
หลังจากนั้นว่ากันว่าพระองค์ออกตามหาข้าถึงหนึ่งเดือนเต็ม แล้วก็เลิกราไป พร้อมกับกลับประเทศของตนด้วยชัยชนะเด็จขาดเหนือจอมซาตาล
สาวน้อยผมดำในชุดคลุมสีขาว นั่งเงียบไปพร้อมกับทำกิริยาราวกับว่าเรื่องเล่าของเธอจบแล้ว ส่งผลให้คนเลี้ยงแกะและพ่อค้าเร่ร่อน อีกหลายสิบคน มองเธอราวกับว่าจบแล้วหรือ เธอลุกขึ้นดึงหมวกออกแล้วคำนับผู้ฟังทั้งหลาย ดวงตาสีทองสะท้อนแสงจันกลับมา พร้อมกับเดินออกจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่รอบกองไฟ กลางทุ่งหญ้าไกล้กับเมืองเบคเลเฮม
และทันใดนั้นก็ปรากฎดวงดาวสีทองสดใส พุ่งผ่านข้ามศรีษะเธอไปยัง มันพุ่งไปทางเมืองเบคเลเฮม
"คำพยากรเป็นจริงแล้วสินะ บุตรมนุษย์ได้ถือกำเนิดแล้ว" เธอว่าแล้วยิ้ม
พร้อมกับมองไปยังทิศที่ดวงดาวดวงนั้นพุ่งไป แต่สายตาแสนเศร้าก็ปรากฎมาแทนที่
"มนุษย์เอ๋ย.... เจ้าจะทำให้พระเจ้าเจ็บปวดเพราะบาปของพวกเจ้ามากเท่าใดจึงจะเพียงพอ"
เธอว่าขณะยืนอยู่หน้าเนินหินที่มีดาบขึ้นสนิมเล่มเก่าๆปักอยู่ เธอหัวเราะพร้อมกับวิ่งไปสมทบกับเหล่าคนเลี้ยงแกะ
พร้ามกับครวญเพลงที่ปรากฎบนด้ามดาบเสียงใส
ด้วยอัศจรรย์แห่งองค์พระเป็นเจ้า
ขอเพียงเราศัธทาไม่สับสน
ตวัดดาบสักดิ์สิทธิ์พิชิตทรชน
ภัยมืดทุกแห่งหลสูญสิ้งจากแผ่นดิน
ทันใดนั้นแสงสว่างจากดวงตะวันได้สาดส่องเรืองรองมายังพื้นพิภพ และแล้วศึกชี้ชะตาของมวลมนุษย์ว่าจะอยู่รอดหรือตายก็มาถึง
เพราะว่าทับของราชาปีศาจแห่งความมืด ได้เคลื่อนทับมาเบื่องหน้าแล้ว
"เขาว่ากันว่าสิ่งอัศจรรย์ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ หากมีความหวัง และเคยได้ยินหรือไม่ ว่าจะเป็นคนได้อย่างไรถ้าไม่ทำให้โลกดีกว่าเดิม"
ข้าว่าแล้วยกดาบขึ้นสนิมเล่มใหญ่ชี้ไปยัง แม่ทับปีศาจอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้นก็พุ่งเข้าสู้สนามรบเพียงลำพังโดยที่กาตริย์หนุ่มได้แต่มองตาค้าง
ฉับพลันความหวังและพลังใจได้เกิดขึ้นกับกษัตริย์นักรบ เขาจับดาบของเขาขึ้นมา พร้อมกับอัศวินอีก3000คนพุ่งเข้าสู่สนามรบเบื้องหน้า
แสงตะวังที่สาดส่องกระทบร่างของพระองค็ครานั้นช่างงดงามนัก ดาบสะท้อนแสงแดดเจิดจ้าสวางไสว พลังใจอันเปี่ยมล้นที่ว่าตนเองจะไม่แพ้ พร้อมกับตวัดดาบด้วยวิถีดาบอันงดงาม รัศมีแห่งการทำลายล้างพุ่งหวืดไปยังกองทับปีศาจกระหายเลือดนับแสน
เเสงเจิดจ้าแสบตาจนมองไม่เห็นสิ่งใด แต่ทั้งที่คิดว่าแพ้ กลับเป็นว่า ชนะราวกับว่าเป็ฯเรื่องโกหก ด้วยดาบเดียวแห่งความหวังที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ดาบธรรมดาๆมีใช่ดาบวิเศษในตำนาน หากแต่เกิดจากใจที่มุ่งมั่น ที่สามาถรเอาชนะความมืดได้ทั้งมวล
กษัตริย์หนุ่มเดินไปทั่วสนามรบเพื่อมองหาข้า หญิงสวยในชุดคลุมสีขาว ผมดำ ดวงตาสีทอง ถือดาบขึ้นสนิมที่หายไปในสนามรบไม่เห็นแม้แต่เงา
"คงตายที่ไหนสักแห่งแล้วมั้ง" พระองค์ว่าแล้วถอนใจพร้อมกลับหันหลังกลับ แต่ว่าทันใดนั้นก็ได้เหลือบไปเห็น ดาบขึ้นสนิมเล่มหนึ่ง ปักอยู่บนเนินหิน
"ดาบของนางนั่น!!!!!!!!"
เขาพยายามที่จะดึงดาบแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ต่อให้ออกแรงเพียงใด ดาบเล่มนั้นก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย พระองค์ถอนใจพร้อมกับเหลือบไปเห็นบทกลอนที่สลักไว้บนตัวดาบ
เมื่อความมืดบดบังหัวใจเจ้า
แม้ไฟเผารอบกายแทบปี้ป่น
แม้แผ่นดินรกร้างไร้ผู้คน
แม้อับจนสิ้นหวังหนทางไป
ดั่งบทสวดเหมือนไร้สิ้นความหมาย
มอดมลายไร้ความหวังจนร่ำให้
เช็ดน้ำตาชูดาบเจ้าขึ้นทันใด
พร้อมหัวใจศัทธาต่อเบื้องบน
ด้วยอัศจรรย์แห่งองค์พระเป็นเจ้า
ขอเพียงเรายึดมั่นไม่สับสน
ตวัดดาบศักดิ์สิทธิ์พิชิตทรชน
ภัยมืดทุกแห่งหลสูญสิ้นจากแผ่นดิน
หลังจากนั้นว่ากันว่าพระองค์ออกตามหาข้าถึงหนึ่งเดือนเต็ม แล้วก็เลิกราไป พร้อมกับกลับประเทศของตนด้วยชัยชนะเด็จขาดเหนือจอมซาตาล
สาวน้อยผมดำในชุดคลุมสีขาว นั่งเงียบไปพร้อมกับทำกิริยาราวกับว่าเรื่องเล่าของเธอจบแล้ว ส่งผลให้คนเลี้ยงแกะและพ่อค้าเร่ร่อน อีกหลายสิบคน มองเธอราวกับว่าจบแล้วหรือ เธอลุกขึ้นดึงหมวกออกแล้วคำนับผู้ฟังทั้งหลาย ดวงตาสีทองสะท้อนแสงจันกลับมา พร้อมกับเดินออกจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่รอบกองไฟ กลางทุ่งหญ้าไกล้กับเมืองเบคเลเฮม
และทันใดนั้นก็ปรากฎดวงดาวสีทองสดใส พุ่งผ่านข้ามศรีษะเธอไปยัง มันพุ่งไปทางเมืองเบคเลเฮม
"คำพยากรเป็นจริงแล้วสินะ บุตรมนุษย์ได้ถือกำเนิดแล้ว" เธอว่าแล้วยิ้ม
พร้อมกับมองไปยังทิศที่ดวงดาวดวงนั้นพุ่งไป แต่สายตาแสนเศร้าก็ปรากฎมาแทนที่
"มนุษย์เอ๋ย.... เจ้าจะทำให้พระเจ้าเจ็บปวดเพราะบาปของพวกเจ้ามากเท่าใดจึงจะเพียงพอ"
เธอว่าขณะยืนอยู่หน้าเนินหินที่มีดาบขึ้นสนิมเล่มเก่าๆปักอยู่ เธอหัวเราะพร้อมกับวิ่งไปสมทบกับเหล่าคนเลี้ยงแกะ
พร้ามกับครวญเพลงที่ปรากฎบนด้ามดาบเสียงใส
ด้วยอัศจรรย์แห่งองค์พระเป็นเจ้า
ขอเพียงเราศัธทาไม่สับสน
ตวัดดาบสักดิ์สิทธิ์พิชิตทรชน
ภัยมืดทุกแห่งหลสูญสิ้งจากแผ่นดิน
ยังไงง่ะ งงนิดๆ