ทำอย่างไร เราจึงจะไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่นเหรอคะ

ปรับทุกข์ หนุนใจ ขอคำภาวนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jira
โพสต์: 213
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 11:21 am

ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 4:13 pm

          ตอนนี้กังวลใจเกี่ยวกับตัวเอง  ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีค่ะ เรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับเราเองทั้งหมด แต่เป็นเรื่องของเพื่อนค่ะ

            มีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนหนึ่งค่ะ เราทำงานด้วยกัน เค้าไม่สบายใจ เราก็ปลอบใจเค้า แต่ทีนี้ไม่รู้ว่าเราจะปลอบยังไง เพราะกลัวคำพูดเราไปทำให้

            เค้าไม่สบายใจมากเข้าไปอีก พอเราจะไม่ปลอบเค้าเลย ก็นึกถึงตัวเองเมื่อตอนที่มีปัญหาไม่มีใครปลอบ สงสารเพื่อนน่ะค่ะก็เลยบอกเค้าไปว่า
       
          " ลองไปนึกดูทีละอย่างนะ ว่าได้ทำอะไรที่เป็นบาปลงไปบ้างมั้ย ที่ทำให้เป็นสาเหตุเกิดทุกข์ " เราก็เลยลองยกตัวอย่าง การกระทำของตนเองไปว่าทำบาปแล้วทุกข์เพราะบาปยังไงบ้างให้เค้าฟัง แล้วพอสารภาพบาปกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทรงเมตตาเรายังไงบ้าง เล่าให้เค้าฟังหมด เล่าแบบว่ามีความสุขมาก กลัวว่าจะทำให้เพื่อนเค้าทุกข์ใจเข้าไปอีก (เพื่อนคนนี้เค้าบอกว่าเค้าสนใจที่จะต้อนรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเค้าค่ะ  แต่เค้ายังไม่ได้เริ่มจะอ่านเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างจริงจังค่ะ) อยากถามทุกคนว่า แบบนี้จีจะบาปมั้ยคะ ที่ไปพูดเกี่ยวกับตัวเอง แล้วพูดเหมือนว่าตัวเองมีความสุข มันเหมือนกับอวดตัวเองมั้ยคะ

            แล้วจีจำยังไงดีคะ ทุกคนเคยเจอแบบนี้มั้ยคะ รู้สึกอึดอัดกับพฤติกรรมของเพื่อน แล้วเราจะว่าก็ไม่ได้ จีกลัวบาป ถ้าจีไปเตือนเค้า ไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เพราะจีได้อ่านในพระคัมภีร์............

        "อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ' ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด ' ขณะที่มีท่อนซุงทั้งท่อนอยู่ในดวงตาของท่าน ท่านหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่นเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง" (มัทธิว 7 : 12)

          จีพอจะรู้บ้างว่าทำไมเพื่อนคนนี้ถึงมีปัญหาสุขภาพ และปัญหาในการดำเนินชีวิต เพราะจีเห็นพฤติกรรมของเค้ามาตลอด แต่จีไม่สามารถพูดถึงพฤติกรรมเหล่านั้นได้ แต่กับเพื่อนด้วยกันแล้ว เค้าเป็นเพื่อนที่มีน้ำใจ จีจึงรักเค้าเหมือนน้องสาว อยากให้เค้าทิ้งนิสัยเดิม ๆ ของเค้า บางทีเราคิดเรื่องเพื่อนคนนี้จนปวดหัว

            พยายามที่จะเฉย ๆ เพราะกลัวว่า ยิ่งเราเห็นจะยิ่งทำให้เราทำบาปด้วยการกล่าวว่าเค้า ยอมรับว่า บางครั้งเกิดคำถามขึ้นในใจ เมื่อเห็นเพื่อนคนนี้ทำแบบเดิมในแต่ละวัน แล้วจะคิดในใจว่า ทำไมเพื่อจึงยังทำแบบนั้น รู้ว่าผิด ก็ยังทำ  ตอนนี้จีรู้สึกสับสนใจตัวเอง เพราะทุกครั้งที่พยายามจะปลอบเพื่อนคนนี้ด้วยคำพูด เหมือนเราเองก็จะมีเรื่องไม่สบายใจเข้ามา ไม่รู้เป็นเพราะตัวเองคิดมากไปเองหรือเปล่า เลยกังวลใจ เพราะรักพระเจ้ามากค่ะ กลัวว่าพระองค์จะกริ้ว  หากเรายังไปใส่ใจในเรื่องของเพื่อนผู้หญิงคนนี้อีกน่ะค่ะ

            ทุกคน พอจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างมั้ยคะ แล้วแก้ปัญหากับสิ่งที่ยั่วยุเราให้เกิดความขุ่นมัวในจิตใจได้อย่างไรคะ อยากจะเตือนการกระของเค้า แต่ตัวเราเองก็ยังทำบาปซ้ำซากเหมือนกับเค้า แต่ก็เหมือนกับที่คุณ LL ได้บอกจีว่า เมื่อเรารักพระเจ้ามาก ถึงแม้เราจะเลิกทำบาปซ้ำวากไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราพยายามที่จะเลิกการทำบาป และเราจะสังเกตว่า ความถี่ในการทำบาปของเราลดลง

            ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

            ขอพระเจ้าอวยพร

           

           

           
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 4:37 pm

ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ::001::
ตราบเท่าที่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้ทำลายสันติสุขในใจของเรา

เรื่องบาปซ้ำซากนี่ผมก็เจอมาครับ
สิ่งที่ผมคิดว่าผมทำได้ดีที่สุดก็คือ คอยเตือนอยู่เสมอๆ และสวดให้เค้าเลิก
ก็หวังว่าแม่พระจะสะกิดใจเค้าซักวัน... : emo031 :

ทำใจให้สบาย วางใจในพระนะครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ทำเท่าที่ราทำได้ ที่เหลือพระจะจัดการตามแผนการของพระเอง... : emo045 :
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 6:09 pm

อย่าให้มากไป และอย่าให้น้อยไป ต้องเดินสายกลาง คร้าบ :cheesy:

เรื่องพูดคำว่า "บาป" หรือทำบาปนั้น คนที่ไม่เป็นคริสต์ มีคอนเซป ไม่เหมือนกับที่เราต้องการสื่อหรอก :wink:

และบางที บาปที่เราว่าเขาแนะนำเขา เขาไม่ได้คิดว่าบาป เขาจะมองว่าเป็นการปรักปรำเขาหรือเปล่า :cheesy:
พยายามสื่อสารแบบปกติ ที่เราเห็นใจเขารัก ห่วงเขา บอกว่าเขาจะวิงวอน หรือ อธิษฐาน ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ทำนองนั่นแหละ :wink: บางทีปัญหาบางอย่าง ไม่พูด แต่มีความห่วงใยเขาก็พอเข้าใจฮะ :sad:
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 7:46 pm

ใส่ใจนะคะ  พระสอนให้เราเป็นห่วงเป็นใยกัน  เพียงแต่ไม่ให้กังวลแค่นั้นเอง  เพราะเราแก้ไขอะไรให้เค้าไม่ได้  แต่เราเดินเคียงข้างเค้าได้ ...  เค้าไว้ใจเรา  เห็นเราเป็นเพื่อน 

อันนี้คือวิธีการของ counsellor นะคะ  1) Be a good listener 2) Don't take it personal 3) Don't worker harder than your client

" นีไม่ใช่ปัญหาของคุณ  คุณแก้ปัญหาให้เค้าไม่ได้  คุณรับฟังได้  แสดงปฎิกิริยาได้  แต่วิธีแก้ปัญหา  ต้องให้เค้าพูดออกมาเอง  เราจะเป็นแค่ listener เป็นแค่ไม้ค้ำให้เค้า  และเป็นเพื่อนเค้า"  ...  สิ่งสำคัญคือ  เป็นผู้ฟังที่ดี  ให้เค้าได้ระบาย  มากกว่า ใส่ความคิดเราลงไป

เพราะถ้าคุณไปแก้ปัญหาให้เค้าเนี่ย  แก้ไม่ได้ดี  เพราะเราไม่ได้อยู่ในสถาการณ์  ถึงเค้าเล่าหมดยังไง  เราก็ไม่รู้ 100% และวิธีของเรา  อาจไม่เหมาะกับเค้า  ถ้าเค้าเห็นเราแก้ได้  เค้าจะติดเรามาก  และเดินเองไม่เป็น กลายเป็นว่า  ไม่มีเรา  เค้าอยู่ไม่ได้

สิ่งสำคัญคือ  ต้องช่วยให้เค้ามีวิธีแก้ปัญหาเองได้  เหมือนสอนการบ้าน  ดีกว่าให้ลอกการบ้านน่ะค่ะ 

แต่เราแบ่งปันได้นะคะ  แต่เค้าจะฟังหรือไม่  อยู่ที่เค้า  ขอแค่มีเพื่อนเดิน  แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้วค่ะ  ::001::

เหมือนพระเยซูเจ้าตอนกลับคืนชีพที่เดินไป Emmaus  น่ะค่ะ (ลูกา 24:13-31)  คือคุยกันนานมากเลยนะ  พระองค์ก็ไม่บอกว่า  เป็นใคร  ให้เค้ารู้เอง  แบบเดียวกันน่ะค่ะ ... เพราะ idea ที่ว่า  คนตายกลับเป็นขึ้นมา  บางทีมันยากที่จะรับ  พระองค์ก็เดินไปกับเค้าก่อน ....  พระองค์เดินไปกับเค้า  เป็นเพื่อนเค้า  ไม่ได้บอกว่า  พระองค์เป็นใคร  คุยกับเค้า  รับฟังเค้า  และสุดท้าย  เค้าจะบอกออกมาเอง  เค้าจะหาทางออกได้เอง  (แต่บางที่ต้องใช้เวลานะคะ  เราเห็นทางแล้วล่ะ  แต่เค้ายังไม่เห็น)

และควรต้องสวดให้เค้าด้วยนะคะ  เราห่วงเค้ายังไง  ก็สวดให้เค้าอย่างนั้น  สวดแล้วก็ปล่อยนะคะ  ปล่อยให้เป็นไปตามน้ำพระทัย  ขอให้เชื่อว่า  พระจะจัดการ แต่ทุกอย่างมีเวลาของพระองค์เสมอ

มีอะไรคุยกับพี่ LL นะคะ   ::001::
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 8:01 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
lordtole
โพสต์: 131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.พ. 14, 2006 12:38 am
ที่อยู่: Bangkok , St.JoHn Church & Fatima

ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 8:38 pm

รู้สึกดีจังเลยนะครับ ที่ดูเป็นห่วงเพื่อนมากขนาดนี้  แต่ไม่ต้องกลัวบาปหรอกครับ เตือนเขาได้ เราไม่ได้ไปกล่าวหา หรือด่าว่าเขานี่นา ไม่เตือนแสดงว่าไม่ได้รักเขานะครับ
นั่นแหละบาปนะ  แค่คุณรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้ พระก็เข้าใจ และก็ดีใจแล้วล่ะครับ สู้ๆ
Mean

ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 9:30 pm

อันที่จริงนะครับ เราลองมาคิดกันก้จะมีแนวคิด 2 แนวคิดครับ คือ แนวคิดแบบชาวโลก และชาวธรรมครับ
    แบบชาวโลกคือว่าสิ่งที่พี่ทำลงไปนั้น มันถือเป็นการกระทำที่เพื่อนคนนึงพึงกระทำต่อเพื่อนคนนึงครับ เข้าคติที่ว่า ถ้าเพื่อนไม่เตือนเพื่อน แล้วเพื่อนจะไปเตือน....แมว...ทีไหนละครับ ชึ่งเป้นปกติวิสัยของคนที่มีเยื่อใยที่ดีต่อกันนะครับ เพราะเรารักเพื่อนดอกจึงบอกเขา เพราะเราไม่ต้องการให้เพื่อนตกอยู่ในภาวะโลกร้อน เฮ้ย ภาวะหลงผิด ครับ ซึ่งถ้าเราไม่รักเขาจริงนี่ เราจะไม่สนใจเขาเละ แม้กระทั่งว่าเขากำลังจะระเบิดตัวเองก็ตามที่ เราก็ไม่เดือดร้อน(เว้นแต่มันดันยืนใกล้ๆเรานะ) ซึ่งผมก็มีเพื่อนครับ ถ้าเพื่อนผมทำผิด หรือจะทำผิดผมก็จะเตือนเขาครับ เพราะ...(เพื่อน.กูรักมึงวะ) เรารักเพื่อนงัยละครับ ตามคติไทยโบราณที่ว่า
คบคนพาล พาลพาไปหาผิด 
คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
ประมาณนี้
  ส่วนแบบชาวธรรมกล่าวคือ เปรียบเสมือนเราทั้งหลายเป็นตะเกียงครับ เมื่อเรารู้และเห็นในความจริงเราก็ควรกล่าวต่อคนที่ไม่รู้ครับ
ก็ดั่งที่พี่จี บอกกับเพื่อนนั้นแหละครับ เพราะเรารู้แล้วในสิ่งที่เขาไม่รู้แต่เขาควรจะรู้และมีสิทธิ์ที่จะรู้ ดังนั้นเราทั้งในซานะเพื่อนเเละคนที่รู้แล้วจึงต้องบอกเขาครับ
  ส่วนที่พี่เกรงว่าจะบาป หรือไม่บาปนั้น ไม่ต้องกังวลครับ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เราทำลงโดยเจตนาที่ดีแล้ว พระเจ้าทรงรับรู้ครับ เพราะยังงัยๆ ทุกๆการกระทำของทุกคนในโลกนี้ เขาต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าอยู่แล้วในทุกการกระทำครับ ใครทำดีมีบำเน็จ ใครไมดีก็มีค่าตอบแทนในแต่ละสิ่งอยู้แล้วครับ
ดังนั้นอย่ากังวลเลย เฝ้าคอยอธิฐานเผื่อเขา ทุกๆวัน แล้วพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนเเปลงเขาเองครับ
สันติสุขจงมีแด่ท่าน
เอเมน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Acts 20:35 s
โพสต์: 55
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 03, 2006 8:42 am
ติดต่อ:

ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 9:49 pm

ถ้าไม่ทำอะไรเลยระวังจะเป็น บาปละเลย นะจ๊ะ วันก่อนผมก็ถามพระเจ้าว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร ผมเปิดพระคัมภีร์
ได้คำตอบที่ 1โครินธ์12:31-13:1-13

ท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานอันใหญ่ยิ่งกว่านั้นและข้าพเจ้าจะแสดงทางดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:1            แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้เป็นภาษามนุษย์ก็ดีเป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดีแต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:2            แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้นและมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้แต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:3            แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสียแต่ไม่มีความรักจะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:4            ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ความรักไม่อิจฉาไม่อวดตัว..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:5            ไม่หยิ่งผยองไม่หยาบคายไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียวไม่ฉุนเฉียวไม่ช่างจดจำความผิด..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:6            ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิดแต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:7            ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่นและเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอและมีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:8            ความรักไม่มีวันสูญสิ้นแม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไปแม้การพูดภาษาแปลกๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกกันแม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:9            เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:10            แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้วความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:11            เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็กข้าพเจ้าพูดอย่างเด็กคิดอย่างเด็กใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็กแต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:12            เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจกแต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจนเดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า..

  บทที่ / ข้อที่ : 1 โครินธ์ 13:13            ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่งคือความเชื่อความหวังใจและความรักแต่ความรักใหญ่ที่สุด..
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ต.ค. 20, 2007 2:12 am

กท 6:1
พี่น้องทั้งหลาย ถ้าท่านพบว่าใครคนหนึ่งทำผิด ท่านซึ่งมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ จงตักเตือนแก้ไขเขาด้วยความอ่อนโยน จงระวังตัว ท่านอาจถูกทดลองด้วย จงแบ่งเบาภาระของกันและกัน แล้วท่านก็จะปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระคริสตเจ้าอย่างสมบูรณ์

---สรุปว่าพระคัมภีร์สอนเราว่าไม่ให้ตัดสินแต่ให้ตักเตือนนะครับ มันอยู่ที่ศิลปะในการพูดของเราน่ะครับ ถ้าซากผ่าขวานเกินไป มันดูหยาบคาย เขารับไม่ได้ ในทางกลับกัน ต้องตักเตือนด้วยความรักและความอ่อนโยนนะครับ ให้เขาเข้าใจว่าเราพูดเพราะห่วงและรักเขาครับ

แต่ขณะเดียวกันเราต้องระวังการทดลองด้วย หมายความว่า ในการตักเตือนใครให้เป็นคนดี ซาตานไม่ชอบหรอกครับ มันก็จะหันมาเล่นงานเราแทน อาจจะด้วยการทำให้คนนั้นโกรธ หรือไม่เข้าใจ หรือแกล้งทำให้เรากังวลสับสน หรือทำให้เราไม่มั่นใจฯลฯ

ดังนั้น อธิษฐานภาวนาก่อนจะทำสิ่งใดๆ ให้พระจิตเจ้าทรงนำครับ

ขอพระเจ้าอวยพร
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jira
โพสต์: 213
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 21, 2007 11:21 am

เสาร์ ต.ค. 20, 2007 9:29 am

          ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตาลูก พระองค์ประทานหนทางในการแก้ไขให้แก่ลูก และให้ลูกรู้ว่าลูกควรจะประพฤติตนเช่นไร

            ขอบคุณทุก ๆ คน มาก ๆ เลยนะคะ

            จะภาวนาให้พระเจ้าทรงนำทางแก่เราค่ะ

            โปรดเมตตาลูกด้วยเถิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

จันทร์ ต.ค. 22, 2007 1:39 am

โอ...ทุก ๆ คนก็ให้คำแนะนำดี ๆ ทั้งนั้น  LL คงไม่ต้องพูดเยอะแล้วเน๊อ เหะ เหะ
มาช้าไปหน่อยขออภัยค่ะ

แต่ขอแนะนำเพิ่มว่า....

ให้ทำทุกอย่างบนพื้นฐานของความรัก  บอกสิ่งที่ถูก แนะนำสิ่งที่ควรทำ
คิดว่าถ้าเป็นพระเยซูเจ้า  พระองค์จะบอกกับเพื่อนคนนั้นอย่างไร  ก็ให้ทำแบบนั้นค่ะ

เราไม่ได้ไปตัดสินว่า เธอมันผิด เธอมันเลว พระเจ้าไม่ปลื้มเธอนะ  อย่างนั้นแหละตัดสิน


แต่ถ้าเมื่อเตือนแล้ว  เพื่อนเกิดปฏิกิริยา 180 องศา  หันมาแง่ง ๆ ใส่เราแทน
ถ้าอย่างนั้นก็หยุดเตือนค่ะ    ถือว่าเราทำหน้าที่ของเราแล้ว  เพื่อนไม่รับก็หยุด  แล้วให้สวดภาวนาให้แทน 
เรามันมนุษย์ธรรมดาไม่มีปัญญาจะเปลี่ยนใครหรอก  ถ้าเขาไม่ฟัง  ก็ต้องให้พระเจ้าเมตตาเปลี่ยนเขาค่ะ

และ อีกอย่างคือ เมื่อเตือน บอก สอนแล้ว  ก็อย่าคาดหวังผลที่จะได้ค่ะ
เช่นเตือนแล้วหวังว่าเขาจะฟัง  หวังว่าเขาจะเปลี่ยนนิสัย  หวังว่าเขาจะแฮปปี้ขอบใจเรา
ถ้าเราคาดหวัง..... เมื่อไม่เป็นดังหวัง  เราก็เจ็บเอง ช้ำเอง
คาดหวังทีไร เจ็บจุกเองทุกทีค่ะ  ::006::
ตอบกลับโพส