Belong to the Truth Jesus Christ

เพื่อนผมเป็นเกย์นับถือพุทธกำลังจะกลับใจมาเป็นคริสต์ และเขาก็มีแฟนเป็นคาทอลิคที่ศรัทธาก็คบกันด้วยดีแต่เพื่อนผมติดแต่เรื่องเดียวคือ "ความต้องการทางเพศ" ซึ่งทางศาสนจักรโรมันคาทอลิคไม่ยอมรับ ทำให้ผมรู้ว่าความเชื่อที่เขามีนั้นไม่แน่นเอาซะเลย(คงเป็นแผนการของพระที่ทำให้ผมรู้) เพื่อนผมคนนี้เขากำลังถูกมารแห่งตัณหาตามรังควานอยู่ครับและหน่ำซ้ำผมก็ไปพูดให้เค้าเข้าใจเค้าก็ว่าผมว่าเป็นพวกเคร่งเกิดเหตุอีกกลายเป็นโดนมารล้อมรอบเลยครับโปรดช่วยเหลือผมและเพื่อนผมด้วย

ปล.ถ้าตอนผมรับศีลมหาสนิทผมภาวนาว่า "ข้าแต่พระบิดาลูกขอแลกพระกายของพระเยซูคริสต์ในศีลมหาสนิทนี้กับวิญญานของเพื่อนผม" จะได้ไหมครับ? เพราะเพื่อนคนนี้ก็สนิทและแฟนเค้าผมก็สนิท
ปล2.ขอโทษนะครับสำหรับคนที่ทนฟังไม่ได้

ข้าแต่พระบิดาลูกขอแลกพระกายของพระเยซูคริสต์ในศีลมหาสนิทนี้กับวิญญานของเพื่อนผม--> Can we say that? I mean we cannot trade God with anything else eventhough it's your good intention.. What you think is good may not be good in the eyes of God.... You shouldn't trade God with anything else.

Why don't you just pray for him in a simple way?.. like Lord, have mecy to my friends... or in the name of Jesus, I command the Satan who's working in my friends to go away from them IMMEDIATELY... This prayer works na ja..

God's way is so straight... God is very straightforward... We shouldn't think of any complicated prayer on our own or we'll fall in Satan's trap.. :)

เราต้องให้เกียรติ ร่างกายของเราด้วยนะครับ *blushhappy

"ข้าแต่พระบิดาลูกขอแลกพระกายของพระเยซูคริสต์ในศีลมหาสนิทนี้กับวิญญานของเพื่อนผม"

พี่ว่าแทนที่จะขอแบบนี้
ลองเปลี่ยนมาเป็น

"ลูกขอถวายการรับศีลมหาสนิทอย่างดีนี้ เพื่อการกลับใจของเพื่อนผม"
น่าจะดีกว่านะจ๊ะ ;)


ส่วนเรื่องเพื่อน
หลังจากที่พี่คุยกับเขาวันนั้น
เขายังเป็นเด็กตามกระแสโลกอยู่จ๊ะ

เขาอาจจะสนใจศาสนาคริสต์ เพราะแฟนเขาเป้นคริสต์
ทำให้ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งเท่าไหร่
สวดให้มากขึ้น เพื่อการกลับใจของเขานะจ๊ะ


ปล.
เรื่องการให้เกียรติร่างกายของเรา

จริงๆแล้วมาจาก พระคัมภีร์ตอนที่ว่า

ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า

เมื่อร่างกายเป็นวิหารของพระเจ้า เราก็จึงควรกระทำต่อร่างกายอย่างสมควร
ไม่ปล่อยตัวไปตามราคะตัณหา เพราะจะไม่ใช่แค่ร่างกายเราแปดเปื้อน
แต่เราได้ทำให้วิรของพระเจ้าแปดเปื้อนด้วย

:-X ขอโทษที่ให้คำแนะนำไม่ได้ครับ
ยังงัยก็จะพยายามสวดให้นะ>_<

ขอบพระคุณพี่ๆเพื่อนๆมากครับ รักทุกคนที่นี่มาก

จ๊า~~~~~~~~

รักเจ๊ทาเหมือนกัน :-*

ที่จริงตรงนั้นมีพูดถึงในหนังสือ วิญญาณในไฟชำระบอกข้าพเจ้าว่า


"ลูกที่รัก พระสงฆ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งเสียใจมากที่เขาเสียเพื่อนรักไปคนหนึ่ง เขาจึงสวดภาวนาให้เขาบ่อย ๆ วันหนึ่งพระเจ้าให้เขารู้ว่า เพื่อนเขาทรมานมากในไฟชำระ เขาคิดว่าไม่มีอะไรดีกว่าถวายบูชามิสซาอุทิศให้เพื่อนของเขาซึ่งตายไปนั้น เมื่อถึงตอนเสกศีล เขายกแผ่นศีลขึ้นในมือ และพูดว่า

yes.. Nihil... Jesus offer himself to the Father in every mass... but I guess it's different from what princess of wand would like to say that ข้าแต่พระบิดาลูกขอแลกพระกายของพระเยซูคริสต์ในศีลมหาสนิทนี้กับวิญญานของเพื่อนผม... It's at the moment of receiving Christ.... and it's like he wouldn't like to receive Jesus for the sake of his friend's soul... The priest pray that Jesus will redeem that soul .... i think it's different na...

Or are they the same?? .. Oh.. sorry. I'm not sure now... I'm just confused myself... :P

ผมจะช่วยสวดภาวนาให้ครับ ที่จริงผมก็รู้จักน้องคนนึงที่เป็นคาทอลิกแต่ก็เป็นแบบเพื่อนของprincess of wands ผมก็สวดภาวนาให้เขาเสมอ เพราะเขายังหมกมุ่นในความผิดบาปแห่งร่ายกายนี้อยู่ ผมสวดขอให้พระเจ้าทรงสอนเค้า ให้เค้าได้เข้าใจว่าอะไรควร อะไรผิด ในสายพระเนตรของพระเจ้า เหมือนที่พระองคืทรงสอนผม ตอนนี้เราอธิบายอะไรเขาคงไม่ฟัง ไม่เข้าใจ เพราะเขายังเป็นเด็ก ขาดประสบการณ์ ขาดการมองโลกที่รอบด้าน แต่ผมเชื่อว่าด้วยคำภาวนา ซึ่งเรามีให้เขา พระเจ้าย่อมทรงสดับฟังและจะทรงช่วยเขาให้กลับมาอยู่ในหนทางแห่งพระหรรษทานของพระองค์สักวันหนึ่ง

อืมสวด ให้เขามากๆนะ

พระเจ้า ทรง แลกทุกอย่าง ของเรา ดว้ยชีวิตอันบริสุทธิของพระองคื

ปัญหาอยู่ที่ว่า


"ท่าน ยอมรับการไถ่หรือไม่"


นั่นเป็นสิทธิ พระเจ้าให้คุณเลือก


จงภาวนาเถิด

หนูขอเอาบทความของคุณพ่อ โรแบต์ กอสเต ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่อง อย่าทำอุลามก นะค่ะ

การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

เป็นการหาความสุขทางเพศกับร่างกายของตน พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงความผิดชนิดนี้โดยตรง แต่ที่จริงแล้ว เมื่อท่านนักบุญกล่าวถึงความอุลามกทั่วไปก็หมายถึงความผิดนี้ด้วย "ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระจิตเจ้า ผู้สถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านมิใช่เจ้าตัวของท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายและของตนเถิด" (1 คร 6:19-20)

การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นความผิดก็เพราะ เพศมีไว้เพื่อแสดงความรักต่อผู้อื่นและเพื่อสืบชีวิต ฉะนั้น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว

เช่นเดียวกันกับความผิดต่อความยุติธรรม ความซื่อสัตย์หรือความรัก ความผิดในเรื่องเพศเป็นความผิดหนัก แต่ความรับผิดชอบในความผิดนั้นขึ้นอยู่กับความรู้ที่เรามีในเรื่องนี้ และอิสรภาพทางใจ ในทางปฏิบัติเราต้องรักษาสายกลาง คือไม่เห็นอะไรเป็นบาปไปหมด และไม่ถือว่าไม่เป็นบาปเลย อยากทำอะไรก็ทำได้ เมื่อข้องใจในเรื่องไหนควรจะปรึกษากับพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาป

เราต้องหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่ยั่วยุไปในทางกามารมณ์ เช่น ภาพยนตร์ที่ไม่ดี หนังสือ วีดีโอ เพลงหรือสถานเริงรมย์ที่ส่อเค้าไปในทางกามารมณ์ การที่เราได้อ่านได้ฟัง ได้ดูหรือร่วมอยู่ในที่นั่นก็เท่ากับว่าเรายอมตามการยั่วยวนนั้น

ที่หนูป๊อบได้ขีดเส้นใต้ไว้ และอยากให้พี่ๆ ที่นี่ได้อ่านกัน อยากให้เปิดหูเปิดตา ไปตอบกระทู้ของเวปอื่นบ้างน่ะค่ะ ความรู้สึกของหนูคิดว่าบอร์ดนี้ มีการเล่นพรรคเล่นพวกรายงี้ คนที่เข้ามาตอบไม่หลากหลายเท่าที่หนูต้องการ บอร์ดหรือกระทู้ที่ดีน่าจะมีพวกที่เคร่งมากที่สุด ไปจนถึงกระทั่ง พวกที่ไม่เคร่งเลย หนูว่าพี่ๆ ควรจะให้โอกาสเขานะค่ะ เพราะบอร์ดเป็นที่แสดงความคิดเห็น นั่นคือบอร์ดในอุดมคติค่ะ :)

ข้อความที่ขีดเส้นใต้ที่ 1 หนูงงมาก ไม่แน่ใจเลยว่า คนที่เคร่งมากๆ ตีความไปเองรึป่าว เกี่ยวกับการช่วยตัวเองน่ะค่ะ
ข้อความที่ขีดเส้นใต้ที่ 2 หนูเขาใจว่า การช่วยตัวเองผิด เพราะไม่ได้กระทำกับคนที่เรารัก เพศเป็นการแสดงความรักต่อคนที่เรารักด้วยนะค่ะ
ข้อความที่ขีดเส้นใต้ที่ 3 หนูเห็นด้วยกับคุณพ่อค่ะ เราควรจะอยู่ในโลกของความจริง ในทางปฏิบัติกับทางทฤษฎีนั้นต่างกันมาก ยืดหยุ่นกันบ้าง แล้วเรากับคนที่เรารักก็จะมีความสุขค่ะ
ข้อความที่ขีดเส้นใต้ที่ 4 สุดท้ายแล้ว หนูเห็นด้วยค่ะ นั่นคือเราไม่หมกมุ่น คำว่าอุลามก มันมีความหมายที่ต่างจากพี่ๆ ตอบด้วยนะค่ะ ไว้หนูจะหาข้อมูลมาอีกทีนะค่ะ


ข้อความที่หนูเอามา เอามาจาก http://www.issara.com ค่ะ สามารถอ้างอิงได้แน่นอน
อีกอย่างคือหนูเคยเคร่งศาสนามาก ไม่กล้าช่วยตัวเองหรือ เรื่องเพศเลย จนป๊อบจะต้องไปพบจิตแพทย์ กลัวเสียความบริสุทธิ์บ้าง กลัวผิดต่อศาสนาบ้าง แต่หลังจากหนูได้รับการบำบัดมา หนูรู้จักการยืดหยุ่น ลดความเครียดไปได้เยอะ ชีวิตก็กลับมีความสุขมากขึ้นทั้งกับตัวเองและคนที่เรารัก อันนี้เวปของคุณหมอค่ะ หนูตั้งไว้หลายกระทู้เลยในนี้ :-[ XXXXX(เวบเพศศึกษาขออณุญาติยังไม่ให้ลิงค์ เพราะคนที่เข้าบอร์ดนี้มีหลายระดับอายุ---Defender of lawS)

สุดท้ายนี้หวังว่าจะช่วยคุณเจ้าของกระทู้ และคนอื่นไม่มากก็น้อยนะค่ะ
ขอบคุณที่ให้โอกาสหนูแสดงความคิดเห็นค่ะ

เพิ่มเติมหน่อยค่ะ พี่ Holy ใช่คนเดียวที่เล่นบอร์ด issara รึป่าวค่ะ คือหนูเล่นบอร์ดที่นั่น เพิ่งมาทราบว่า พี่ Holy เป็น Mod อยู่ที่นี่เอง

หนูจะมาบอกว่า บทความนั่นไม่ได้อยุ่ในบอร์ดนะค่ะ เปนบทความจริงๆ กลัวเพื่อนๆ คิดว่า หนูเอามาจากบอร์ด ที่ใครโพสก็ได้ :'(

แล้วหนูก็เล่นบอร์ดxxxxxด้วยค่ะ << Last Edit: Yesterday at 10:07:59pm by Holy
ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ

ยินดีต้อนรับน้อง Pop Angel นะคะ :D

Pop Angel เขียน: เพิ่มเติมหน่อยค่ะ พี่ Holy ใช่คนเดียวที่เล่นบอร์ด issara รึป่าวค่ะ คือหนูเล่นบอร์ดที่นั่น เพิ่งมาทราบว่า พี่ Holy เป็น Mod อยู่ที่นี่เอง

หนูจะมาบอกว่า บทความนั่นไม่ได้อยุ่ในบอร์ดนะค่ะ เปนบทความจริงๆ กลัวเพื่อนๆ คิดว่า หนูเอามาจากบอร์ด ที่ใครโพสก็ได้ :'(

แล้วหนูก็เล่นบอร์ดคลีนิครักด้วยค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ

คนเดียวกันครับ เรื่องบทความถ้ามีอ้างอิงชัดเจนอย่างนี้ไม่มีปัญหาครับ :D

Pop Angel เขียน:
เป็นการหาความสุขทางเพศกับร่างกายของตน พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงความผิดชนิดนี้โดยตรง แต่ที่จริงแล้ว เมื่อท่านนักบุญกล่าวถึงความอุลามกทั่วไปก็หมายถึงความผิดนี้ด้วย "ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระจิตเจ้า ผู้สถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านมิใช่เจ้าตัวของท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายและของตนเถิด" (1 คร 6:19-20)

การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นความผิดก็เพราะ เพศมีไว้เพื่อแสดงความรักต่อผู้อื่นและเพื่อสืบชีวิต ฉะนั้น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว

เช่นเดียวกันกับความผิดต่อความยุติธรรม ความซื่อสัตย์หรือความรัก ความผิดในเรื่องเพศเป็นความผิดหนัก แต่ความรับผิดชอบในความผิดนั้นขึ้นอยู่กับความรู้ที่เรามีในเรื่องนี้ และอิสรภาพทางใจ ในทางปฏิบัติเราต้องรักษาสายกลาง คือไม่เห็นอะไรเป็นบาปไปหมด และไม่ถือว่าไม่เป็นบาปเลย อยากทำอะไรก็ทำได้ เมื่อข้องใจในเรื่องไหนควรจะปรึกษากับพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาป


ข้อความที่ขีดเส้นใต้ที่ 1 หนูงงมาก ไม่แน่ใจเลยว่า คนที่เคร่งมากๆ ตีความไปเองรึป่าว เกี่ยวกับการช่วยตัวเองน่ะค่ะ
ข้อความที่ขีดเส้นใต้ที่ 2 หนูเขาใจว่า การช่วยตัวเองผิด เพราะไม่ได้กระทำกับคนที่เรารัก เพศเป็นการแสดงความรักต่อคนที่เรารักด้วยนะค่ะ
ข้อความที่ขีดเส้นใต้ที่ 3 หนูเห็นด้วยกับคุณพ่อค่ะ เราควรจะอยู่ในโลกของความจริง ในทางปฏิบัติกับทางทฤษฎีนั้นต่างกันมาก ยืดหยุ่นกันบ้าง แล้วเรากับคนที่เรารักก็จะมีความสุขค่ะ

หนูอย่าอ่านแต่ประโยคที่ต้องการจะอ่านสิจ๊ะ


เป็นการหาความสุขทางเพศกับร่างกายของตน พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงความผิดชนิดนี้โดยตรง แต่ที่จริงแล้ว เมื่อท่านนักบุญกล่าวถึงความอุลามกทั่วไปก็หมายถึงความผิดนี้ด้วย "ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระจิตเจ้า ผู้สถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านมิใช่เจ้าตัวของท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายและของตนเถิด" (1 คร 6:19-20)



แต่ความหมายจริงๆ คือ ประโยคหลังทั้งหมดคะ



+++++++++++++++++++++++


การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นความผิดก็เพราะ เพศมีไว้เพื่อแสดงความรักต่อผู้อื่นและเพื่อสืบชีวิต ฉะนั้น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว



เพื่อสืบชีวิตด้วยอีกคำคะ เพื่อแสดงความรักและเพื่อสืบชีวิต
ใช้คำว่า และ ไม่ใช่คำว่า หรือ
ดังนั้น ต้องมีทั้งความรัก และ เพื่อ สืบชีวิต คะ

++++++++++++++++++++++++++

ในทางปฏิบัติเราต้องรักษาสายกลาง คือไม่เห็นอะไรเป็นบาปไปหมด และไม่ถือว่าไม่เป็นบาปเลย อยากทำอะไรก็ทำได้ เมื่อข้องใจในเรื่องไหนควรจะปรึกษากับพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาป


คุณพ่อบอกให้ปรึกษาคุณพ่อคะ ไม่ใช่คุณหมอ :D
คนธรรมดาคิด กับ พระคิดไม่เหมือนกันนะคะ อย่าสับสน

++++++++++++++++++++++++++++++++



พี่ยังยืนยันว่า
การแสดงความรักของคู่รัก มีได้ แต่ไม่ใช่เกินเลย
ไม่ใช่ไปถึงสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน
ไม่ใช่การสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง

อย่าพยายามตีความเพื่อให้ตัวเองมีอิสระในการทำบาป
ชีวิตเรามีอะไรมากกว่าเรื่องเพศ
เรามีชีวิตเพื่อไปหาพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อมีความสุขในเรื่องเพศ

รักร่างกายของเราอย่างความรักที่บริสุทธิ์
ไม่ใช่รักร่างกายแบบมีเรื่องคาวโลกีย์มาแทรก
ความรักของพระเจ้า ไม่มีคำว่ากิเลส หรือ ตัณหา
เราก็ควรจะมีความรักแบบนั้นคะ

ขอพระเจ้าอวยพรนะคะ :D


ปล.
บอร์ดในอุดมคติ ของพี่ๆ คงไม่เหมือน ในอุดมคติของน้อง
พี่ๆมีมาตราฐานเรื่องบอร์ดอยู่แล้ว
ลองไปอ่าน บัญญัติบอร์ด 10 ประการ ดูนะคะ *no1

ขอบคุณพี่ LL มากนะคะ หนูคงไม่ได้อ่านกฎใช้บอร์ดนี่ก่อน แน่ๆ เลย แต่หนูอยากให้คำปรึกษากับเจ้าของกระทู้ จากใจจริง :-[

คือหนูเขาใจความรู้สึกของคนที่มีคู่อ่ะค่ะ ไม่ว่าจะคบดูใจกัน หรือ คบแบบแฟนไปก่อน

หนูไม่เข้าใจว่า การที่พี่ LL คิดอย่างนี้ ทำให้ไม่มีแฟนรึป่าวค่ะ (อิอิ แอบอ่านเจอ) ;D บอร์ดอุดมคติของหนู อยากให้ผู้ที่มีแฟนและเป็นคาทอลิก ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยอ่ะค่ะ ไม่ใช่แค่สาวโสดรายงี้อ่ะค่ะ

การที่ คน 2 คนจะอยู่ร่วมกัน ควรจะปรับเข้าหากัน "ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะปรับตัวก็จะอยู่รวมกันไม่ได้หรอกค่ะ" อันนี้เป็นคำของคุณหมอค่ะ

พี่อาจจะเห็นหนูเป็นคนบ้า ที่ผ่านการบำบัดมาแล้ว แต่หนูคิดว่าหนู มีประสพการณ์ คล้ายพี่เจ้าของกระทู้ต้องการความคิดเห็นอยู่ และหนูก็มีความสุข ที่ไม่เดือดร้อนใครเลย ตอนนี้

*ขอแนะนำให้ พี่เจ้าของกระทู้ ลองไปโพสที่ อิสระดูนะค่ะ หนูเห็นว่า มีคนหลากหลาย ทั้งที่มีแฟนและไม่มี ทั้งที่เป็นพวกรักร่วมเพศ และไม่เป็นเยอะกว่าที่นี่อ่ะค่ะ*

ปล. อย่าเห็นว่าหนูแย่งลูกค้าเลยนะค่ะ :-[ ไว้เจอพี่ Holy ที่อิสระ อีกนะค่ะ
ปล2. ที่หนูขีดเส้นใต้พระ หนูงง ว่า ถ้านักบุญ ตีความหมายผิดล่ะค่ะ และอยากให้เห็นว่า เรื่องเพศ สามารถแสดงความรักได้ค่ะ

ขอบคุณที่ให้โอกาสหนูแสดงความคิดเห็นอีกค่ะ เปิดรับฟังคนอื่นบ้างนะคะ :-[

ผมจะช่วยอธิษฐานเผื่อให้นะครับ ;)

จะโพสที่ไหนมีใครมีสิทธิ์ห้ามล่ะครับ ผมทำงานตั้งบอร์ดไม่ได้ขายโฆษณาหวังกำไร แต่ทำการรับใช้เพื่อนพี่น้องตามพระประสงค์ของพระเยซูเจ้า ดังนั้นถ้าใครคิดว่าแย่งลูกค้าก็ไม่ใช่ลูกค้าผม แต่เป็นของพระเยซู และที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องการค้าดังนั้นไม่สมควรใช้คำว่าลูกค้า กับผู้ใช้เวบบอร์ดนี้ แต่เราคือพี่น้องในพระคริสต์

ส่วนการอยากโพสที่อิสระนั้น ผมว่าเจ้าของกระทู้เขาคงไม่ไปหรอกครับ เพราะที่นั่นมีคนที่นอกจากจะแอนตี้เกย์แล้ว ยังมีทัศนคติรุนแรงเช่นที่ว่าไม่ควรให้เกย์เข้าวัดรับศีลด้วยซ้ำอยู่คนนึง และยังมีคนที่มีทัศนคติแคบขนาดที่ว่าอย่าว่าแต่มีเพศสัมพันธ์ แค่แต่งงานกันคนต่างศาสนายังบาปในสายตาเขาด้วยซ้ำ แถมมีทัศนคติว่าเป็นเกย์ผิดเสมอ ตราบใดที่ไม่เปลี่ยนมาชอบให้ถูกเพศคือบาปตลอดด้วย ต่อให้คุณถือพรหมจรรย์ แต่ถ้าไม่หันมาชอบถูกเพศก็บาปอยู่ดี กระทู้เรื่องเกย์นี้ไม่ใช่ไม่เคยตั้งที่อื่น แต่ที่อื่นเขายำกันแรงกว่าที่นี่มาก ดังนั้นถ้าคุณป๊อปคิดว่าจะได้ทัศนคติที่สนับสนุนความคิดตนที่นั่น ก็เตรียมรับมือสงครามน้ำลายไว้ด้วยแล้วกันครับ

ที่นี่เรายังเปิดกว้างนะครับ ไม่ตัดสินคุณจากสิ่งที่คุณเป็น เราถือว่าเพศนอกสมรสทุกกรณีเป็นบาป แต่ใครชอบอะไรนั้นยังไม่บาป

ผมว่าคุณป๊อปถ้าอยากทราบว่าพระเจ้าทรงตัดสินเรื่องนี้อย่างไรทำไมไม่อ่านจากพระคัมภีร์ ไปถามหมอ หมอก็ตอบตามประสาโลก ตามประสาคนไม่มีความเชื่อ ไม่ได้คิดหรือตอบแบบคนที่มีความเชื่อ

ทำไมไม่ถามจากพรีคัมภีร์แทนที่จะมาเอาผลโหวตจากประชาชน นี่เรื่องหลักศีลธรรมไม่ใช่บิ๊กบราเดอร์นะครับ จะได้โหวตเอาตามเหตุผลแค่ว่าชอบกับไม่ชอบ และผมไม่นิยมการถกเถียงไม่รู้จบ แต่ที่นี่เราแบ่งปันความรู้ที่ถูกต้องนะครับ

อ่านพระคัมภีร์บทนี้ครับ ผมอธิษฐานเรื่องกระทู้นี้เมื่สักครู่นี้ และพระองค์ทรงตอบมาตรงเป๊ะครับ

กท 5:13-26 เสรีภาพและความรัก
พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มารับอิสรภาพ ขอเพียงแต่อย่าใช้อิสรภาพนั้นเป็นข้อแก้ตัวที่จะทำตามใจตน แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก เพราะธรรมบัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นข้อเดียวว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ถ้าท่านกัดกันและกินกัน ก็จงระวังตัวไว้เถิดว่า ท่านจะทำลายกันจนหมดสิ้น

ไหนๆอ้างอิสระแล้ว ก็เอาจากอิสระมาตอบเหมือนกันครับ นี่จากคุณพ่อไพบูลย์1ในคณะกรรมาการเจ้าของเวบอิสระเลยก็ว่าได้

การช่วยตัวเองบาปหรือไม่อย่างไร?
คุณพ่อไพบูลย์ อุดมเดช, C.Ss.R.

จากหนังสือคำสอนเล่มใหม่ที่ประกาศใช้โดยพระสันตะปาปายอห์นพอลที่สอง ข้อที่ 2396 บอกว่าโดยตัวมันเองการช่วยตัวเองทางเพศเป็น บาป ครับรวม ทั้งบาป Fornication, (การใช้เพศนอกศีลแต่งงาน) Homosexual, Pornography(ดูสื่อลามก) เป็นบาปที่ตรงกันข้ามหรือผิดต่อความบริสุทธิ์

ในแง่นี้จะสังเกตว่านักเทววิทยาเองพยายามเน้นให้เข้าใจคำว่า บาป หรือ Sin ให้กระจ่างด้วย เนื่องจากพฤติกรรมของคนเรานั้นจะเข้าข่ายของบาปได้ต้องพิจารณาถึง สิ่งที่ทำ เจตนาผู้กระทำ และสภาพแวดล้อมนั้นๆ เนื่องจากไม่สามารถจะบอกลงไปได้ว่าพฤติกรรมของคนๆหนึ่งที่ช่วยตัวเองทางเพศนั้นเกิดขึ้นมาจากแรงกระตุ้นอะไร เพราะฉะนั้นต่อคำถามที่ว่าบาปหรือไม่นั้นตัวของมันเองนั้นเป็นบาปแต่คนที่ได้กระทำนั้นได้กระทำบาปหรือเปล่าอันนี้ไม่สามารถจะตอบได้เพราะเป็นเรื่องของเจ้าตัวเองว่ามีเจตนาเช่นไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากบุคคลถูกรุมล้อมด้วยแรงกดทางภายนอกให้เขาต้องเครียด เขาอาจต้องปลดปล่อยความเครียดนั้นในชวยตัวเองทางเพศ หรือบุคคลมีความผิดปรกติทางฮอร์โมนผิดปรกติก็จะถูกกดดันให้เขาต้องกระทำแม้ใจของเขาไม่อยากดังนี้เป็นต้น

การที่จะบอกว่าคนหนึ่งคนใดทำบาปหรือเปล่านั้นเรามนุษย์ไม่สามารถจะตัดสินใครได้เนื่องจากเราไม่รู้สภาพแวดล้อม สภาพของจิตใจของผู้ใดได้ พระศาสนจักรได้วางมาตรการไว้กว้างๆ ตามบัญญัติสิบประการดังที่เราทราบดีว่าเป็นบัญญัติของพระเป็นเจ้า อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการตีความและแจกแจงเหตุผลว่าพฤติกรรมนั้นๆเข้าข่ายผิดมากผิดน้อยเพียงใดต่อพระบัญญัติ

นักจริยศาสตร์ในยุคปัจจุบันอยากเปลี่ยนแนวคิดของคริสตชนเราให้หันมามองด้านบวกมากกว่าด้านลบ ความหมายคือ แทนที่คนเราจะมองแต่ด้านบาปมากเกินไปก็ให้หันมามองด้านความเมตตาของพระเป็นเจ้าให้มากขึ้น โดยพยายามอธิบายว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับความอ่อนแอ การตกลงในความผิดหรือไม่ได้มาตรฐานตามกฏนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอในความเป็นมนุษย์ ขอให้เรามองไปที่พระเมตตาและเน้นการกลับใจให้มากขึ้น อันที่จริงเพราะบาปนั่นเองพระผู้ไถ่ถึงได้เสด็จมาเพื่อเรา นั่นคือผลดีที่เกิดจากบาป

ท่าทีของนักเทวศาสตร์เกี่ยวกับบาปคืออะไร?

คำสอนของเราบอกว่าบาปแบ่งได้สองประการคือบาปหนักและเบา นักเทวศาสตร์ปัจจุบันมองว่าคนเราจะทำบาปหนักบริสุทธิ์จริงๆได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะนั่นหมายความว่าเขาจะต้องรักตัวบาปนั้นจริงๆเต็มหัวใจ เขาจะต้องต่อต้านพระเป็นเจ้าจริง กระนั้นก็ตามไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะคนประเภทนี้ก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าจะนับเป็นจำนวนแล้วก็น้อย ส่วนใหญ่คนเรามักจะทำบาปเนื่องจากมีแรงกดดันด้านอื่นๆเขามาแทรก รวมถึงบาปหนักเช่นการฆ่าคน การทำแท้ง ฯลฯ ยิ่งทุกวันนี้วิทยาการด้านจิตวิทยาและการแพทย์เจริญมากขึ้น ชี้ให้เราเห็นว่าพฤติกรรมของคนเรานั้น ฮอร์โมนในร่างกาย ความผิดปรกติของยีนส์มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้คนเราเมื่อเติบโตขึ้นมามีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน การตัดสินว่าพฤติกรรมหนึ่งๆเป็นบาปโดยมิได้ตระหนักถึงความผิดปรกติของยีนส์ในร่างกายเลยนั้นก็ไม่ถูกต้อง เช่น คนเมาลืมตัวฆ่าเพื่อนด้วยโทสะ อันนี้ก็เห็นได้ชัด แต่ถ้ากรณีที่เห็นไม่ชัดแต่มีผลจริงเช่น คนที่มีความผิดปรกติทางจิตใจแล้วเขาฆ่าคนอื่น เราจะว่าอย่างไร บาปของเขานั้นเท่ากับบาปของคนที่มีจิตปรกติดีหรือ คนที่ถือว่าคนเราเกิดมาบริบูรณ์เมื่อทำผิดก็ต้องรับผลเต็มที่ แต่คนเราเกิดมาบริบูรณ์จริงหรือ คำว่าสมบูรณ์ของคนเรานั้นสมบูรณ์ขนาดไหน มองจากภายนอกหรือว่าต้องมองจากภายในด้วย นี่คือสิ่งที่ท้าทายเราในทุกวันนี้ในการมองว่าอะไรบาปหรือไม่บาป

ด้วยเหตุผลอะไรพระศาสนจักรถึงบอกว่าการช่วยตัวเองทางเพศเป็นพฤติกรรมที่ผิด?

ด้วยเหตุผลที่พระศาสนจักรถือว่าชีวิตเป็นผลงานที่ล้ำค่าของพระเป็นเจ้าและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามนุษย์ต้องให้ความเคารพ พฤติกรรมที่ทำให้องค์ประกอบของการกำเนิดชีวิตเสียหายโดยตั้งใจเพียงเพื่อความพึงพอใจของตัวเองเท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (ฟังแล้วก็เข้าใจยากใช่ไหมครับ เพราะมันเป็นปัญหาที่คล้ายกับการที่เราจะแยกช่วงไหนว่าเป็นสีขาวหรือสีเทาหรือสีดำ มันแยกยากครับ ดังนั้นพฤติกรรมของเราจึงต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก แต่เจตนาเองจะถูกครอบงำด้วยแรงกดดันทั้งภายนอกและภายในก็ได้เช่นกัน เช่นนี้แล้ว เจตจำนงของเราก็มีปัญหา และนี่คือปัญหาทางจริยศาสตร์ในปัจจุบันที่กำลังเผชิญอยู่ครับว่าเราจะชี้ชัดได้อย่างไรว่าเจตจำนงอยู่ที่ใด เกิดขึ้นเมื่อได้ มีผลกระทบจากที่ไหน เมื่อไหร่บ้าง) นอกนั้นพระศาสนจักรยังถือว่าการช่วยตัวเองทางเพศขัดต่อคุณธรรมความบริสุทธิ์และบูรณการของธรรมชาติของเพศมนุษย์

จากปัญหาดังกล่าวพ่อขอแนะนำในด้านการอภิบาลดังต่อไปนี้

หนึ่ง เมื่อเกิดความรู้สึกอยากช่วยตัวเองทางเพศ ขอให้พยายามต่อสู้และปัดความคิดไปทางอื่น เรียกหาพระองค์ช่วย บอกพระองค์ว่าลูกไม่อยากทำให้พระองค์เสียพระทัย นั่นจะช่วยตั้งมโนธรรมของเราให้อยู่ในทางที่ตรงได้ แม้เราจะทำผิดอีกก็จะช่วยได้ว่าเจตจำนงของเราไม่ได้ต้องการทำบาปแต่มันอาจจะเกิดจากภาวะของฮอร์โมนผลักดันหรือสภาพแวดล้อมผลักดัน

สอง ถ้าทำผิดแล้วมโนธรรมเตือนเรา เราควรจะทำอย่างไร ก็ให้ขอโทษพระองค์ในใจ หรืออาจทำกิจการดีอื่นชดเชย การช่วยตัวเองคงไม่ร้ายแรงถึงเป็นบาปหนัก (แต่ถ้าลุ่มหลงในมันมากเกินไปก็จะนำไปสู่บาปหนักได้เนื่องจากอภัยตัวเองจนเคยตัว) ดังนั้นการชดเชยเช่น การสวดสายประคำ การทำบุญให้ทาน การร่วมมิสซาอย่างดีก็จะช่วยชดเชยความผิดได้

สาม จำเป็นเสมอไปหรือไม่ที่ต้องบอกบาปกับคุณพ่อเวลาช่วยตัวเอง คำตอบคือไม่จำเป็นเสมอไป เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า เครื่องหมายของการกลับใจนั้นทำโดยวิธีอื่นก็ได้ เช่น ร่วมมิสซาอย่างดี สวดเรียกหาพระองค์ให้มากขึ้น ไปสวดตามวัดต่างๆ ดังนี้เป็นต้น แต่ถ้าเป็นบาปหนักอื่นก็จำเป็นต้องแก้บาปกับคุณพ่อครับเพราะพระศาสนจักรสอนว่าบาปหนักนั้นต้องการศีลแก้บาปเป็นเครื่องเยียวยา

หวังว่าคงจะช่วยให้กระจ่างได้บ้างต่อปัญหาข้อนี้นะครับ

555555 ตาเอก......
พี่ว่าเก็บเอาไว้ก็ได้นะ เป็นการยืนยันว่า
เราเคยพลาด แต่ไม่พลาดอีก
และเป็นการดีที่เราให้เกียรติแฟนของเราคนนี้ *no1

สู้ตาย ;)


++++++++++++++++++++++++++++

พี่อาจจะเห็นหนูเป็นคนบ้า ที่ผ่านการบำบัดมาแล้ว

พี่ไม่เคยเห็นว่าหนูบ้าคะ
การปรึกษาจิตแพทย์ไม่ได้หมายความเขา/เธอ บ้า
หนูเข้าใจว่าการไปปรึกษาจิตแพทย์ คือเป็น บ้า รึคะ


++++++++++++++++++++++++++++++

คือหนูเขาใจความรู้สึกของคนที่มีคู่อ่ะค่ะ ไม่ว่าจะคบดูใจกัน หรือ คบแบบแฟนไปก่อน

หนูไม่เข้าใจว่า การที่พี่ LL คิดอย่างนี้ ทำให้ไม่มีแฟนรึป่าวค่ะ (อิอิ แอบอ่านเจอ) บอร์ดอุดมคติของหนู อยากให้ผู้ที่มีแฟนและเป็นคาทอลิก ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยอ่ะค่ะ ไม่ใช่แค่สาวโสดรายงี้อ่ะค่ะ

พี่ก็เคยมีแฟนคะ เคยมีความรักคะ พี่ก็เข้าใจความรู้สึกของคนมีคู่เช่นกัน

พี่เห็นอะไรมาเยอะเช่นกันด้วย พี่เป็นคนมีเพื่อนเยอะ
และหลายครั้งเพื่อนๆก็มาขอคำปรึกษาจากพี่ ทั้งพาคนรู้จักมาปรึกษาด้วย
ไม่ว่าจะเป็น

- ท้องก่อนแต่ง
- เรียนไม่จบเพราะท้องก่อน
- โดนแฟนข่มขืน
- โดนแฟนเก่าตามรังควาน
- เพื่อนผู้ชายถูกเกย์ข่มขืน
- เพื่อนที่เป็นผู้ชาย แล้วผันตัวไปเป็นเกย์
- รุ่นน้องที่เป็นเกย์อกหัก
- รุ่นน้องที่พยายามฆ่าตัวตาย
- เพื่อนที่ขาดความรักจนแสวงหาผู้ชายเพื่อ... เพราะคิดว่าคือความรัก
- เพื่อนที่ครองคู่กับแฟนโดยไม่มีอะไรกัน จนแต่งงานอย่างมีความสุข
- เพื่อนที่พยายาม...กับแฟน เพราะคิดว่าจะมอบความสุขให้แฟน
ทั้งๆที่แฟนไม่เต็มใจ จนสุดท้ายกลับไม่มีความสุขทั้งคู่
- ฯลฯ

พี่เจอคนมาเยอะ ให้คำปรึกษาไปก็แยะ
ไม่ได้จะอวดตัวว่าพี่เข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะคะ
แอบคิดอยู่ล่ะสิ (รึเปล่า) ?? ::)

แต่พี่เห็นคนที่ประสบความสำเร็จในความรัก และ ล้มเหลวในความรักมาเยอะ
ดังนั้นพี่จึงเข้าใจ เห็นใจ และ พยายามให้คำปรึกษาที่พี่คิดว่าดีกับเขา
โดยยึดตอบคำสอนของพระเยซูเจ้า และ พระคัมภีร์
แต่เขาจะเชื่อ หรือ ปฏิบัติตามหรือไม่ ก็อยู่ที่เขา ไม่ใช่พี่จ๊ะ
ถ้าเชื่อเขาก็คงจะนำไปใช้
ถ้าไม่เชื่อเขาก็แสวงหาคำตอบที่เขาพอใจและคำตอบที่เขาอยากจะฟัง
(อย่างที่หนูทำงัยจ๊ะ) ซึ่งพี่ก็คงทำได้แค่สวดภาวนาให้ ;)


++++++++++++++++++++++++++++

การที่ คน 2 คนจะอยู่ร่วมกัน ควรจะปรับเข้าหากัน "ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะปรับตัวก็จะอยู่รวมกันไม่ได้หรอกค่ะ"

อย่างที่น้องยกมา ถ้าน้องหมายถึงสามี-ภรรยา หรือ เพื่อน หรือ แฟน
โดยหมายถึงการปรับนิสัย การความเข้าใจ ก็ถูกต้องแล้วคะ
ซึ่งพี่ไม่ได้หมายความถึง การเปลื้องผ้าเข้าหากันนะคะ
แม้แต่ในศาสนาอื่น ก็ยังไม่สนับสนุนการมีเพศสัมพันธ์
กับคนที่ไม่ใช่สามี/ภรรยาตน
(ซึ่ง แค่แฟน ยังไม่ถือว่าเป้น สามี/ภรรยา)


และในกรณีที่ Princess of wand กล่าวถึง
คือกรณีของ ชาวรักร่วมเพศ ซึ่งยังไม่ได้รับการยอมรับ
เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ หรือ การแต่งงานในพระศาสนาจักร
ตามที่หนูยกมา

เพศมีไว้เพื่อแสดงความรักต่อผู้อื่นและเพื่อสืบชีวิต

ดังนั้น จึงเอามารวมกันไม่ได้คะ


++++++++++++++++++++++++

ที่หนูขีดเส้นใต้พระ หนูงง ว่า ถ้านักบุญ ตีความหมายผิดล่ะค่ะ และอยากให้เห็นว่า เรื่องเพศ สามารถแสดงความรักได้ค่ะ

อย่างที่บอกไปแล้ว แค่แสดงความรักมันไม่พอคะ
ต้อง เพศมีไว้เพื่อแสดงความรักต่อผู้อื่นและเพื่อสืบชีวิต


และเรื่อง นักบุญตีความผิด ไม่มีทางเป็นไปได้คะ
ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญ จะถูกสืบประวัติอย่างละเอียด
ประวัติต้องไม่มั่วหมอง ความเชื่อต้องไม่ด่างพร้อย
เพื่อคริสตชนจะสามารถนำชีวิตของท่านมาเป็นแบบอย่างได้

หากท่านสอนผิด หรือ เชื่อผิด หรือ มีข้อด่างพร้อย
ท่านจะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญ หรือ อาจถูกถอดออกจากทำเนียบนักบุญ



และที่สำคัญ พระเยซูเจ้าเองก็ทรงตรัสถึงเรื่องการล่วงประเวณีไว้ว่า

มธ 5/27 - 30

'ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี
แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว
ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก
ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก


ดังนั้น ไม่ใช่แค่การมีเพศสัมพันธ์กับแฟน หรือ สำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง/คนอื่น
แค่เรามองใครเพื่อความใคร่ของตัวเองก็บาปแล้ว


ขอพระเจ้าอวยพรคะ

ฝากพระวาจาบทนี้ให้ครับ

มัทธิว บทที่ 19:10
บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า "ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรแต่งงานเลย?" พระองค์ตรัสตอบว่า "บางคนเท่านั้นที่เข้าใจคำสอนนี้ คือผู้ที่พระเจ้าประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันที และบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่สามารถเข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด"

อ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นเยอะเลย^_^
รู้สึกดีจัง~!
ขอบคุณทุกๆโพสครับ โดยเฉพาะพี่ปอกะพี่จิง อ่านแล้วเข้าใจดีมากๆเลยฮะ :-*

Ot@ เขียน: อ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นเยอะเลย^_^
รู้สึกดีจัง~!
ขอบคุณทุกๆโพสครับ โดยเฉพาะพี่ปอกะพี่จิง อ่านแล้วเข้าใจดีมากๆเลยฮะ :-*

อ่านแล้ว เวียนหัวด้วย ขอลอก พี่โอ๊ตว่าขอบคุณทุกๆโพสครับ โดยเฉพาะพี่ปอกะพี่จิง อ่านแล้วเข้าใจดีมากๆเลยฮะ :-*

เป็นกำลังใจให้

I think the psychiatrist just tried to release your stress.... God knows that we can't keep us away from sin all the times.. That's why God privided us the sacrament of reconciliation. This sacrament helps you to release the feeling of guilt.

Masterbation is sin.... but we should see the mercy of God instead of punishment. ... When we sin, just go to confession...

Being flexible doesn't mean that we can sin. A flexible person is a loving and forgiving person which is what Christ wants us to be. .... You are not flexible simply because you can't forgive anyone when they do something wrong ....... simply because you can't forgive yourself when you've done something wrong.

I'd suggest you to go confession as much as you can... Confession is the way out... It's the way for you to release your guilt and be flexible. .... It's just like seeing a psychiatrist... You are talking to someone you can trust the most, who's Jesus Christ. It would be better than seeing a psychiatrist... because Jesus is a great healer.... :) The psychiatrist doesn't know the value of confession.. or maybe he just doesn't realize that we have this.

You'll find yourself more forgiving, simply because you are forgiven so easily.... :) Go Confession!!