เครียดกับบาป
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 12, 2009 2:46 am
คือเรามีแฟนเป็นเพศเดียวกัน
และเมื่อตอนที่ยังคิดไม่ได้ เราก็ดันไปมีอะไรกับแฟนเราซะงั้น
รู้นะว่าผิด แต่มันก็ถูกล่อลวงซะทุกครั้งไป
ช่วงนั้นเราไม่รับศีลเลย เพราะรู้สึกผิดต่อพระเจ้ามาก และอายที่จะแก้บาปนั้นกับคุณพ่อมากๆ
แต่ก็ยังไปโบสถ์ปกติอยู่ทุกอาิทิตย์
และสวดขอโทษกับพระเจ้าเสมอ สำหรับบาปอันน่ารังเกียจของตัวเอง
แต่ตอนนี้เราคิดอะไรได้มากขึ้น และหยุดการกระทำเหล่านั้นลง
เราได้ไปแก้บาปกับคุณพ่อ แต่เราก็ยังคงอายกับสิ่งที่ได้ทำลงไป จึงแก้บาปที่ได้ทำนั้นว่า "คิดและทำอุลามก" โดยคิดว่ามันคงครอบคลุมได้ถึงสิ่งที่เราทำลงไป
ซึ่งคุณพ่อก็ไม่ได้ถามไถ่อะไร และยกบาปให้
หลังจากแก้บาปแล้ว เราก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากๆ และกล้ากลับไปรับศีลตามปกติอีกครั้ง
แต่เราก็คิดมาตลอดนะว่า สิ่งที่เราแก้บาปนั้นมันถูกหรือเปล่า
แบบนี้ถือว่าเราจงใจปกปิดบาปหรือเปล่า เราอายไม่กล้าพูดถึงสิ่งที่เราได้ทำลงไปต่อหน้าคุณพ่อ เราเลยเลือกใช้วิธีพูดแบบนั้น
แบบนี้พระเจ้าจะให้อภัยเราไม๊? กว่าที่เราจะรวบรวมความกล้าแก้บาปคิดและทำอุลามก เราก็ใช้เวลานานมากที่เราจะกล้าพูดออกไป
ตอนนี้เรากลัวว่าสิ่งที่เราแก้ไปมันจะยิ่งกลายเป็นเพิ่มบาปให้เราอีกหรือเปล่า คือ การจงใจปกปิดบาป หรือสิ่งที่เราทำไปมันถือว่าได้รับการให้อภัยแล้ว
ตอนนี้เรารู้สึกเครียดมาก
ช่วยตอบปัญหาให้เราหายข้องใจทีเถอะ
ปล.และหากมันเป็นการปกปิดบาปจริงๆ สิ่งที่เราต้องแก้บาปในครั้งหน้า นอกจากบาปทุราจารศีลมหาสนิท และปกปิดบาปแล้ว
บาปทีเราทำไปเมื่อครั้งก่อน (มีอะไรกับแฟนที่เป็นเพศเดียวกัน) เราจะแก้บาปนั้นกับคุณพ่ออย่างไรดี เรารู้สึกอายจริงๆ และไม่กล้าพูดสิ่งที่ทำออกไปตรงๆ
ถึงแม้เราจะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงรับรู้สิ่งนั้นอยุ่แล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกเรา คุณพ่อก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่คงจะรู้สึกแปลกกับเรื่องแบบนี้ มันทำให้เราไม่กล้าที่จะพูดออกไป
รบกวนขอคำแนะนำหากเราต้องแก้บาปนั้นซ้ำถ้าที่ผ่านมามันคือการปกปิดบาป เราควรแก้อย่างไรดีให้รู้สึกไม่อายต่อคุณพ่อที่เราเข้าไปแก้บาปด้วย
เครียดๆมากๆ
ขอบคุณนะ
และเมื่อตอนที่ยังคิดไม่ได้ เราก็ดันไปมีอะไรกับแฟนเราซะงั้น
รู้นะว่าผิด แต่มันก็ถูกล่อลวงซะทุกครั้งไป
ช่วงนั้นเราไม่รับศีลเลย เพราะรู้สึกผิดต่อพระเจ้ามาก และอายที่จะแก้บาปนั้นกับคุณพ่อมากๆ
แต่ก็ยังไปโบสถ์ปกติอยู่ทุกอาิทิตย์
และสวดขอโทษกับพระเจ้าเสมอ สำหรับบาปอันน่ารังเกียจของตัวเอง
แต่ตอนนี้เราคิดอะไรได้มากขึ้น และหยุดการกระทำเหล่านั้นลง
เราได้ไปแก้บาปกับคุณพ่อ แต่เราก็ยังคงอายกับสิ่งที่ได้ทำลงไป จึงแก้บาปที่ได้ทำนั้นว่า "คิดและทำอุลามก" โดยคิดว่ามันคงครอบคลุมได้ถึงสิ่งที่เราทำลงไป
ซึ่งคุณพ่อก็ไม่ได้ถามไถ่อะไร และยกบาปให้
หลังจากแก้บาปแล้ว เราก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากๆ และกล้ากลับไปรับศีลตามปกติอีกครั้ง
แต่เราก็คิดมาตลอดนะว่า สิ่งที่เราแก้บาปนั้นมันถูกหรือเปล่า
แบบนี้ถือว่าเราจงใจปกปิดบาปหรือเปล่า เราอายไม่กล้าพูดถึงสิ่งที่เราได้ทำลงไปต่อหน้าคุณพ่อ เราเลยเลือกใช้วิธีพูดแบบนั้น
แบบนี้พระเจ้าจะให้อภัยเราไม๊? กว่าที่เราจะรวบรวมความกล้าแก้บาปคิดและทำอุลามก เราก็ใช้เวลานานมากที่เราจะกล้าพูดออกไป
ตอนนี้เรากลัวว่าสิ่งที่เราแก้ไปมันจะยิ่งกลายเป็นเพิ่มบาปให้เราอีกหรือเปล่า คือ การจงใจปกปิดบาป หรือสิ่งที่เราทำไปมันถือว่าได้รับการให้อภัยแล้ว
ตอนนี้เรารู้สึกเครียดมาก
ช่วยตอบปัญหาให้เราหายข้องใจทีเถอะ
ปล.และหากมันเป็นการปกปิดบาปจริงๆ สิ่งที่เราต้องแก้บาปในครั้งหน้า นอกจากบาปทุราจารศีลมหาสนิท และปกปิดบาปแล้ว
บาปทีเราทำไปเมื่อครั้งก่อน (มีอะไรกับแฟนที่เป็นเพศเดียวกัน) เราจะแก้บาปนั้นกับคุณพ่ออย่างไรดี เรารู้สึกอายจริงๆ และไม่กล้าพูดสิ่งที่ทำออกไปตรงๆ
ถึงแม้เราจะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงรับรู้สิ่งนั้นอยุ่แล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกเรา คุณพ่อก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่คงจะรู้สึกแปลกกับเรื่องแบบนี้ มันทำให้เราไม่กล้าที่จะพูดออกไป
รบกวนขอคำแนะนำหากเราต้องแก้บาปนั้นซ้ำถ้าที่ผ่านมามันคือการปกปิดบาป เราควรแก้อย่างไรดีให้รู้สึกไม่อายต่อคุณพ่อที่เราเข้าไปแก้บาปด้วย
เครียดๆมากๆ
ขอบคุณนะ