เรื่องราวของผมที่ไม่เคยบอกใคร
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:02 pm
ความคิดที่ผมอยากจะเปลี่ยนเป็นคริสต์ก็มีต้นเหตุมาจากเรื่องนี้ ตอนปิดเทอมของชั้นม.2ของผมพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น(เดือนมีนาคม 2551) ต่อจากนั้นพ่อของผมมีความคิดว่าอยากจะส่งผม พี่สาว และน้องสาวไปอยู่ที่อเมริกากับป้า ซึ่งเรา3คนก็รู้สึกเฉยๆกับเรื่องที่พ่อคิดจะส่งเราไป พอถึงอเมริกาได้2อาทิตย์ป้าผมก็ชวนเรา3คนไปโบสถ์ของโปรแตสเตนท์ซึ่งเป็นนิกายที่แยกออกมาอีกคือนิกายแบ๊พติสต์(Baptist) ซึ่งในรัฐที่ผมไปอยู่นั้นเขานับถือนิกายนี้กันเยอะมาก คุณป้าบอกว่าที่พาไปไม่ใช่เพื่อหาเราไปเปลี่ยนศาสนาแต่พาไปพบปะผู้คนเพราะว่าพวกเราเอาแต่อยู่ที่บ้านไม่ยอมออกไปไหน แต่เราก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดีและอีกอย่างเราก็เคยอยู่โรงเรียนคาทอลิกมาและก็เคยเข้าโบสถ์ของโรงเรียนมา2-3ครั้งแล้ว วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่เราไปโบสถ์กันกับป้า ตอนแรกๆก็แต่งตัวไม่เป็นกันหรอก ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งตัวกันยังไง(เพราะว่าตอนที่เข้าโบสถ์ของโรงเรียนเราก็ใส่แต่ชุดนักเรียนเท่านั้น) แล้วคุณป้าก็บอกว่าเวลาไปโบสถ์เขาจะใส่ชุดเข้าสังคมกัน เราก็เลยแต่งตัวแบบใส่ชุดสูทและพี่กับน้องก็ใส่กระโปรงแบบสวยๆไป
พอตอนที่ไปถึงโบสถ์ก็ทำเราประหลาดใจมาก เพราะว่าผู้คนในโบสถ์เขาต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีมากๆ ผมก็คิดว่าทำไมฝรั่งพวกนี้เขาใจดีกับพวกเราจังนะ หลังจากที่ไปทักทายคนในโบสถ์แล้วคุณป้าก็พาเราไปห้องเรียนคำสอน ซึ่งห้องเรียนคำสอนของที่นั่นเขาจะแบ่งเป็นของเด็กกับของผู้ใหญ่ แต่ว่าเราเลือกที่จะไปเรียนกับคุณป้าดีกว่าเพราะเพื่อมีอะไรจะถามกันได้ หลังจากที่เรียนคำสอนแล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมคำสอนของศาสนาคริสต์ถึงได้สวยงามและกินใจของผมมาก หลังจากที่กลับไปโบสถ์ คืนนั้นผมก็เริ่มสวดภาวนาเป็นครั้งแรก ผมภาวนาว่าผมอยากที่จะเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า อยากที่จะรู้เรื่องราวและคำสอนของพระองค์ให้มากกว่านี้หลังจากสวดภาวนาเสร็จ ผมก็รู้สึกแปลกๆคือผมรู้สึกว่าตัวของผมสั่นสะท้านไปด้วยอะไรบางอย่าง ความรู้สึกระหว่างนั้นมันรู้สึกว่ามีความสุขเหนือคำบรรยาย และผมก็รู้เลยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินคำสวดของผมแล้ว
เรื่องที่ได้เกิดขึ้นเมื่อคืนผมไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่พี่และน้องของผม และผมก็ไปถามป้าของผมว่าทำไมป้าถึงคิดเปลี่ยนศาสนา(ในบ้านและครอบครัวของผมนั้นเป็นพุทธกันหมดรวมถึงป้าด้วย) คุณป้าบอกว่าตอนที่แต่งงานกับสามีของป้า(สามีของป้าชื่อ แดเนียล) ป้ายังนับถือศาสนาพุทธอยู่แต่ก็เข้าแต่งงานแบบคริสต์ หลังจากนั้นป้าก็ใส่สร้อยพระให้แดเนียล ปรากฏว่าเดเนียลเขาชอบสร้อยเส้นนี้มาก ต่อมาอีกไม่กี่อาทิตย์เดเนียลรู้สึกว่าเขาอารมณ์ร้อนขึ้นมาก หงุดหงิดไปหมดทุกอย่างซึ่งเขาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ป้าบอกผมว่า ป้าเชื่อว่าป้ากำลังโดนพระเจ้าลงโทษเนื่องจากพรากสาวกของพระองค์ไปจากพระองค์ ช่วงนั้นป้าบอกว่าป้าเสียใจมากๆหาทางออกไม่ได้ พอถึงวันอาทิตย์ตอนที่กำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่ป้าก็สวดภาวนาถึงพระเจ้าว่า ถ้าท่านสามารถทำให้สามีของป้าเป็นดังเดิมได้ ป้าจะยอมเป็นสาวกของพระองค์ และป้าก็ขอโทษพระองค์ในสิ่งที่ป้าได้ทำลงไป หลังจากกลับจากโบสถ์ป้าก็ถอดสร้อยพระของเดเนียลออก พอตอนเย็นสามีของป้าจะต้องไปทำงานข้างนอกกว่าจะกลับก็เป็นวันอาทิตย์หน้า พอวันอาทิตย์มาถึงในช่วงที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า อยู่ดีป้าก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัวและน้ำตาก็ไหลออกมาเอง เพื่อนของป้าที่เขามาโบสถ์ด้วยกันก็ตกใจและถามว่าเกิดอะไรขึ้น ป้าก็เล่าเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้เพื่อนของป้าฟัง เพื่อนของป้าก็บอกว่าป้าไม่น่าจะสัญญาแบบนั้นเลย และอาการที่ป้าเป็นเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเพราะมีเทวดามาแตะตัวป้า เพื่อนของป้าเขาบอกว่านั้น หลังจากกลับไปโบสถ์ป้าก็นั่งอยู่ที่บ้านรอให้สามีป้ากลับมาจาที่ทำงาน เพราะเขาบอกว่างานเสร็จไวก็เลยกลับบ้านได้วันนี้ พอตอนบ่าย3เดเนียลก็กลับมา จากนั้น แดเนียลเขาก็มาขอโทษป้าแล้วก็เล่าให้ป้าฟังว่า เมื่อตอนเช้าของวันอาทิตย์อยู่ดีๆก็มีคนที่ไม่รู้จักมานั่งคุยด้วย เขา2คนก็นั่งเล่าเรื่องปรับทุกข์กัน และชายคนนั้นเขาบอกกับแดเนียลว่า จริงๆแล้วป้าเขาเป็นคนดี จงอย่าได้ระแวงอะไรในตัวป้าอีกเลย หลังจากนั้นชายนั้นก็เดินจากไป แดเนียลก็เริ่มได้สติคิดถึงป้าขึ้นมาทันทีก็เลยกลับมาหาป้า แดเนียลเชื่อว่า ชายคนนั้นคงจะเป็นเทวทูตของพระเจ้า และหลังจากนั้นป้าก็ไปรับบัพติมา และเริ่มต้นความเป็น คริสเตียน
พอผมได้ฟังป้าเล่าผมก็รู้สึกเข้าใจในชีวิตของป้า ผมเริ่มที่จะศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยจนพี่และน้องสาวหาว่าผมบ้า แต่ผมก็ไม่สนใจ ต่อจากนั้นไม่นานเรื่องก็เริ่มเข้าหูพ่อและแม่ของผมเรื่องที่เราไปโบสถ์กัน พ่อกับแม่ไม่ค่อยจะพอใจ โดยเฉพาะแม่ที่ไม่พอใจอย่างมาก อีกสักอาทิตย์นึกแม่ก็มาอเมริกาเพื่อมาตามดูพฤติกรรมของผม แม่เริ่มที่จะทำสีหน้าไม่พอใจเวลาเห็นผมอ่านพระคัมภีร์ และต่อว่าผมเรื่องที่อยากจะเป็นคริสต์ ตั้งแต่แม่มาเราก็ได้ไปโบสถ์เพียงครั้งเดียวและแม่ก็ไปกับเราด้วย ผมรู้สึกลำคาญแม่มาก ซึ่งก็ที่จะเรียนคำสอนเราก็จะมีการสวดภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าก่อน แต่แม่กลับมองผมแบบตาเขียวเลย ผมก็เลยไม่ได้ทำ วันนั้นเป็นวันที่โบสถ์เขามีพิธีรับศีลมหาสนิท แม่ก็บอกว่าให้เรากินน้ำองุ่นกับขนมปังเสก เราก็ไม่ได้กิน คนที่โบสถ์เขาให้ของขวัญผมมา1ชิ้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แม่ผมก็บอกว่าต้องเป็นไบเบิ้ลแน่ๆ ผมก็ลองแกะดูปรากฏว่าเป็นไบเบิ้ล แม่ก็เลยโกรธผมใหญ่ พอกลับบ้าบไปแม่ก็บอกว่าอาทิตย์หน้าเราจะต้องเตรียมตัวกลับไทย และห้าม!เอาไบเบิ้ลเข้าบ้านเป็นอันขาด โอ้! ไม่นะไม่ให้เอาไบเบิ้ลกลับบ้านมันจะไม่ร้ายแรงไปหน่อยหรือผมคิด แต่ก่อนกลับผมก็แอบซื้อไบเบิ้ลเล่มเล็กหนึ่งเล่มแอบใส่กระเป๋าติดตัวไปตลอดการเดินทาง
เมื่อถึงเมืองไทยได้สัก 3 อาทิตย์ พ่อก็ถามผมเรื่องศาสนา ผมก็อธิบายให้พ่อฟังว่าการที่เราจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่มีศรัทธาให้ศาสนานั้นแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร หรือเปรียบเทียบได้เหมือนกับการเลือกซื้อเสื้อผ้า ทุกๆคนก็ต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่มีใครบังคับคนอื่นให้ชอบแบบที่ตัวเองชอบได้หรอก ผมอธิบายกับพ่ออย่างนี้ แต่ผมก็แปลกใจอยู่นิดๆว่าผมไม่ได้คิดคำพูดนี้มาเอง ผมก็เชื่อว่าคงจะเป็นพระจิตเจ้าที่ดลใจให้ผมพูดเช่นนี้ แล้วหลังจากนั้นมาพ่อก็ไม่เคยต่อต้านเรื่องศาสนากับผมอีกเลย ทีก็เหลือแต่แม่ แม่คอยสอดส่องหรือแอบค้นข้าวของของผมเพื่อหาอะไรเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แม่ชอบทำอย่างนี้อยู่เรื่อยตอนที่ผมไปเรียนพิเศษวันเสาร์ น้องผมเล่าให้ฟังว่าแม่ทำอย่างนี้บ่อยจะตายน้องผมทนไม่ไหวก็เลยมาบอกผม ในช่วงหลังๆผมเริ่มสนใจในนิกายคาทอลิกมากขึ้น ผมชอบที่จะสวดภาวนาต่อแม่พระ และผมก็จะพยายามหาซื้อสายประคำก็เลยตัดสินใจไปโรงเรียนเก่าซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก ตอนที่ไปติดต่อที่โบสถ์เขาบอกว่าสายประคำหมดและเลิกขายไปนานแล้ว ผมจึงรู้สึกหดหู่ใจและผมก็เริ่มภาวนาถึงแม่พระ พอผมเดินหันหลังกลับออกไป ครูที่เขาพูดกับผมเมื่อครู่นี้เขาก็เรียกผมอีกที เขาบอกว่าครูมีแต่สายประคำอันเล็กอยู่จึงให้ผมมาฟรีๆไม่เสียเงิน ผมรู้สึกขอบคุณพระแม่ที่ทรงมีน้ำพระทัยต่อผม
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้เป็นคริสตชนเลย เพราะว่าแม่ผมกำลังคอยจับผิดผมอยู่เรื่อยๆ อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง พยายามหลายหนแล้ว ส่วนพ่อผมเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากทั้งๆที่พ่อของผมเคร่งในศาสนาพุทธมากกว่าแม่ตั้งหลายเท่า ผมจึงยังเป็นคริสต์ไม่ได้ ผมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ายังคงมีแผนของพระองค์เสมอ ก็คือต้องรอจนกว่าผมจะโตขึ้นมาอีกหน่อย และค่อยตัดสินใจเป็นคาทอลิกโดยสมบูรณ์แบบ เพราะผมรู้สึกชอบ เมื่อตอนที่ผมเรียนตอนประถมผมก็อยู่โรงเรียนคาทอลิกมานานมากแล้วรู้สึกผูกพัน
พอตอนที่ไปถึงโบสถ์ก็ทำเราประหลาดใจมาก เพราะว่าผู้คนในโบสถ์เขาต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีมากๆ ผมก็คิดว่าทำไมฝรั่งพวกนี้เขาใจดีกับพวกเราจังนะ หลังจากที่ไปทักทายคนในโบสถ์แล้วคุณป้าก็พาเราไปห้องเรียนคำสอน ซึ่งห้องเรียนคำสอนของที่นั่นเขาจะแบ่งเป็นของเด็กกับของผู้ใหญ่ แต่ว่าเราเลือกที่จะไปเรียนกับคุณป้าดีกว่าเพราะเพื่อมีอะไรจะถามกันได้ หลังจากที่เรียนคำสอนแล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมคำสอนของศาสนาคริสต์ถึงได้สวยงามและกินใจของผมมาก หลังจากที่กลับไปโบสถ์ คืนนั้นผมก็เริ่มสวดภาวนาเป็นครั้งแรก ผมภาวนาว่าผมอยากที่จะเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า อยากที่จะรู้เรื่องราวและคำสอนของพระองค์ให้มากกว่านี้หลังจากสวดภาวนาเสร็จ ผมก็รู้สึกแปลกๆคือผมรู้สึกว่าตัวของผมสั่นสะท้านไปด้วยอะไรบางอย่าง ความรู้สึกระหว่างนั้นมันรู้สึกว่ามีความสุขเหนือคำบรรยาย และผมก็รู้เลยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินคำสวดของผมแล้ว
เรื่องที่ได้เกิดขึ้นเมื่อคืนผมไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่พี่และน้องของผม และผมก็ไปถามป้าของผมว่าทำไมป้าถึงคิดเปลี่ยนศาสนา(ในบ้านและครอบครัวของผมนั้นเป็นพุทธกันหมดรวมถึงป้าด้วย) คุณป้าบอกว่าตอนที่แต่งงานกับสามีของป้า(สามีของป้าชื่อ แดเนียล) ป้ายังนับถือศาสนาพุทธอยู่แต่ก็เข้าแต่งงานแบบคริสต์ หลังจากนั้นป้าก็ใส่สร้อยพระให้แดเนียล ปรากฏว่าเดเนียลเขาชอบสร้อยเส้นนี้มาก ต่อมาอีกไม่กี่อาทิตย์เดเนียลรู้สึกว่าเขาอารมณ์ร้อนขึ้นมาก หงุดหงิดไปหมดทุกอย่างซึ่งเขาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ป้าบอกผมว่า ป้าเชื่อว่าป้ากำลังโดนพระเจ้าลงโทษเนื่องจากพรากสาวกของพระองค์ไปจากพระองค์ ช่วงนั้นป้าบอกว่าป้าเสียใจมากๆหาทางออกไม่ได้ พอถึงวันอาทิตย์ตอนที่กำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่ป้าก็สวดภาวนาถึงพระเจ้าว่า ถ้าท่านสามารถทำให้สามีของป้าเป็นดังเดิมได้ ป้าจะยอมเป็นสาวกของพระองค์ และป้าก็ขอโทษพระองค์ในสิ่งที่ป้าได้ทำลงไป หลังจากกลับจากโบสถ์ป้าก็ถอดสร้อยพระของเดเนียลออก พอตอนเย็นสามีของป้าจะต้องไปทำงานข้างนอกกว่าจะกลับก็เป็นวันอาทิตย์หน้า พอวันอาทิตย์มาถึงในช่วงที่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า อยู่ดีป้าก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัวและน้ำตาก็ไหลออกมาเอง เพื่อนของป้าที่เขามาโบสถ์ด้วยกันก็ตกใจและถามว่าเกิดอะไรขึ้น ป้าก็เล่าเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้เพื่อนของป้าฟัง เพื่อนของป้าก็บอกว่าป้าไม่น่าจะสัญญาแบบนั้นเลย และอาการที่ป้าเป็นเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเพราะมีเทวดามาแตะตัวป้า เพื่อนของป้าเขาบอกว่านั้น หลังจากกลับไปโบสถ์ป้าก็นั่งอยู่ที่บ้านรอให้สามีป้ากลับมาจาที่ทำงาน เพราะเขาบอกว่างานเสร็จไวก็เลยกลับบ้านได้วันนี้ พอตอนบ่าย3เดเนียลก็กลับมา จากนั้น แดเนียลเขาก็มาขอโทษป้าแล้วก็เล่าให้ป้าฟังว่า เมื่อตอนเช้าของวันอาทิตย์อยู่ดีๆก็มีคนที่ไม่รู้จักมานั่งคุยด้วย เขา2คนก็นั่งเล่าเรื่องปรับทุกข์กัน และชายคนนั้นเขาบอกกับแดเนียลว่า จริงๆแล้วป้าเขาเป็นคนดี จงอย่าได้ระแวงอะไรในตัวป้าอีกเลย หลังจากนั้นชายนั้นก็เดินจากไป แดเนียลก็เริ่มได้สติคิดถึงป้าขึ้นมาทันทีก็เลยกลับมาหาป้า แดเนียลเชื่อว่า ชายคนนั้นคงจะเป็นเทวทูตของพระเจ้า และหลังจากนั้นป้าก็ไปรับบัพติมา และเริ่มต้นความเป็น คริสเตียน
พอผมได้ฟังป้าเล่าผมก็รู้สึกเข้าใจในชีวิตของป้า ผมเริ่มที่จะศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยจนพี่และน้องสาวหาว่าผมบ้า แต่ผมก็ไม่สนใจ ต่อจากนั้นไม่นานเรื่องก็เริ่มเข้าหูพ่อและแม่ของผมเรื่องที่เราไปโบสถ์กัน พ่อกับแม่ไม่ค่อยจะพอใจ โดยเฉพาะแม่ที่ไม่พอใจอย่างมาก อีกสักอาทิตย์นึกแม่ก็มาอเมริกาเพื่อมาตามดูพฤติกรรมของผม แม่เริ่มที่จะทำสีหน้าไม่พอใจเวลาเห็นผมอ่านพระคัมภีร์ และต่อว่าผมเรื่องที่อยากจะเป็นคริสต์ ตั้งแต่แม่มาเราก็ได้ไปโบสถ์เพียงครั้งเดียวและแม่ก็ไปกับเราด้วย ผมรู้สึกลำคาญแม่มาก ซึ่งก็ที่จะเรียนคำสอนเราก็จะมีการสวดภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าก่อน แต่แม่กลับมองผมแบบตาเขียวเลย ผมก็เลยไม่ได้ทำ วันนั้นเป็นวันที่โบสถ์เขามีพิธีรับศีลมหาสนิท แม่ก็บอกว่าให้เรากินน้ำองุ่นกับขนมปังเสก เราก็ไม่ได้กิน คนที่โบสถ์เขาให้ของขวัญผมมา1ชิ้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แม่ผมก็บอกว่าต้องเป็นไบเบิ้ลแน่ๆ ผมก็ลองแกะดูปรากฏว่าเป็นไบเบิ้ล แม่ก็เลยโกรธผมใหญ่ พอกลับบ้าบไปแม่ก็บอกว่าอาทิตย์หน้าเราจะต้องเตรียมตัวกลับไทย และห้าม!เอาไบเบิ้ลเข้าบ้านเป็นอันขาด โอ้! ไม่นะไม่ให้เอาไบเบิ้ลกลับบ้านมันจะไม่ร้ายแรงไปหน่อยหรือผมคิด แต่ก่อนกลับผมก็แอบซื้อไบเบิ้ลเล่มเล็กหนึ่งเล่มแอบใส่กระเป๋าติดตัวไปตลอดการเดินทาง
เมื่อถึงเมืองไทยได้สัก 3 อาทิตย์ พ่อก็ถามผมเรื่องศาสนา ผมก็อธิบายให้พ่อฟังว่าการที่เราจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่มีศรัทธาให้ศาสนานั้นแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร หรือเปรียบเทียบได้เหมือนกับการเลือกซื้อเสื้อผ้า ทุกๆคนก็ต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่มีใครบังคับคนอื่นให้ชอบแบบที่ตัวเองชอบได้หรอก ผมอธิบายกับพ่ออย่างนี้ แต่ผมก็แปลกใจอยู่นิดๆว่าผมไม่ได้คิดคำพูดนี้มาเอง ผมก็เชื่อว่าคงจะเป็นพระจิตเจ้าที่ดลใจให้ผมพูดเช่นนี้ แล้วหลังจากนั้นมาพ่อก็ไม่เคยต่อต้านเรื่องศาสนากับผมอีกเลย ทีก็เหลือแต่แม่ แม่คอยสอดส่องหรือแอบค้นข้าวของของผมเพื่อหาอะไรเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แม่ชอบทำอย่างนี้อยู่เรื่อยตอนที่ผมไปเรียนพิเศษวันเสาร์ น้องผมเล่าให้ฟังว่าแม่ทำอย่างนี้บ่อยจะตายน้องผมทนไม่ไหวก็เลยมาบอกผม ในช่วงหลังๆผมเริ่มสนใจในนิกายคาทอลิกมากขึ้น ผมชอบที่จะสวดภาวนาต่อแม่พระ และผมก็จะพยายามหาซื้อสายประคำก็เลยตัดสินใจไปโรงเรียนเก่าซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิก ตอนที่ไปติดต่อที่โบสถ์เขาบอกว่าสายประคำหมดและเลิกขายไปนานแล้ว ผมจึงรู้สึกหดหู่ใจและผมก็เริ่มภาวนาถึงแม่พระ พอผมเดินหันหลังกลับออกไป ครูที่เขาพูดกับผมเมื่อครู่นี้เขาก็เรียกผมอีกที เขาบอกว่าครูมีแต่สายประคำอันเล็กอยู่จึงให้ผมมาฟรีๆไม่เสียเงิน ผมรู้สึกขอบคุณพระแม่ที่ทรงมีน้ำพระทัยต่อผม
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้เป็นคริสตชนเลย เพราะว่าแม่ผมกำลังคอยจับผิดผมอยู่เรื่อยๆ อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง พยายามหลายหนแล้ว ส่วนพ่อผมเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากทั้งๆที่พ่อของผมเคร่งในศาสนาพุทธมากกว่าแม่ตั้งหลายเท่า ผมจึงยังเป็นคริสต์ไม่ได้ ผมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ายังคงมีแผนของพระองค์เสมอ ก็คือต้องรอจนกว่าผมจะโตขึ้นมาอีกหน่อย และค่อยตัดสินใจเป็นคาทอลิกโดยสมบูรณ์แบบ เพราะผมรู้สึกชอบ เมื่อตอนที่ผมเรียนตอนประถมผมก็อยู่โรงเรียนคาทอลิกมานานมากแล้วรู้สึกผูกพัน