หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 8:03 pm
โดย วอ
ระหว่างหมอบรัดเลย์ ผู้ริเริ่มการพิมพ์แห่งประเทศไทย และนำศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ เข้ามาเมืองไทย
หรือว่าปาลเลอกัวซ์
แต่เราว่า หมอบรัดเลย์เพราะว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีพร้อมเพรียง และท่านทำ หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทยอีกด้วย
*** ผมเชือ่ประวัติศาสตร์ที่เป็นกลาง
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 8:08 pm
โดย sinner
อ่านในประวัติศาสตร์พระศาสนจักรในเมืองไทย เล่มสีน้ำเงินมี

Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 8:17 pm
โดย antoinetty*
สิ่งพิมพ์ชิ้นแรกเป็นของพระคุณเจ้าปัลเลอกัวซ์ครับ
แต่โรงพิมพ์แห่งแรกเป็นของคุณหมอบรัดเลย์
เพราะบางท่านถือว่า เครื่องพิมพ์ของพระคุณเจ้าฯ ไม่นับเป็นโรงพิมพ์
(เหมือนกับที่บ้านมีปริ้นเตอร์ จะบอกว่าบ้านตัวเองเป็นโรงพิมพ์ ก็คงไม่ใช่)
เข้าใจว่าอย่างนี้นะครับ
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 8:33 pm
โดย วอ
ขอบคุณคุณ -AnToiNetty- จริงๆ เลยครับ
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 9:01 pm
โดย Ministry Of Men
-AnToiNetty- เขียน:
(เหมือนกับที่บ้านมีปริ้นเตอร์ จะบอกว่าบ้านตัวเองเป็นโรงพิมพ์ ก็คงไม่ใช่)
ถ้าที่บ้านมี All-In-One fax scan print copy คงไม่ได้ชื่อว่าเป็นร้านถ่ายเอกสารสินะ
ปล.ถูกแล้วนะ

Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 9:07 pm
โดย ~ฮีUโปฟัuxaoxน้ๅโJ™~
- -+++++++++++++++++++
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 9:09 pm
โดย P
แต่ทำไมที่บ้านมีเครื่องกลึงหนึ่งตัว กลับเรียกว่า "โรงกลึง" ???
(ไม่เชื่อหาดูได้ตามข้างถนน)
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 27, 2009 11:11 pm
โดย Edwardius
P เขียน:
แต่ทำไมที่บ้านมีเครื่องกลึงหนึ่งตัว กลับเรียกว่า "โรงกลึง" ???
(ไม่เชื่อหาดูได้ตามข้างถนน)
ไม่ต่างจากร้านอาหารติดแอร์ไม่มีสวน แต่เรียกตัวเองว่า สวนอาหาร แหละครับ
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 8:36 pm
โดย Jeab Agape
P เขียน:
แต่ทำไมที่บ้านมีเครื่องกลึงหนึ่งตัว กลับเรียกว่า "โรงกลึง" ???
(ไม่เชื่อหาดูได้ตามข้างถนน)
เพื่อนเจี๊ยบ มีละมุด 2 ต้น หลังบ้าน ออกผลดก เป็นร้อยๆ ผล มันเก็บไปฝากเพื่อนๆ
แล้วป่าวประกาศ ว่า "ละมุด จากสวนที่บ้าน ครับ "
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 8:49 pm
โดย Jeab Agape
หมอบรัดเลย์
บทความนี้ คัดตัดตอนมาจากหนังสือ "50 ปี โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน 1949-1999" จัดพิมพ์โดยโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
"ระหว่างช่วงแรกของศตวรรษที่ ๑๙ (ค.ศ. ๑๘๐๐-๑๘๔๐) ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการฟื้นฟูทางศาสนาเกิดขึ้นเป็นระลอก ซึ่งก่อให้เกิดลักษณะทางวัฒนธรรมมาจนถึงปัจจุบันนี้ ภาคตะวันตกของมลรัฐนิวยอร์ก มลรัฐเวอร์มอนต์ มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ หรือรวมเรียกว่า "ถิ่นแห่งความร้อนรน" (The Burned Over District) เป็นถิ่นที่ตั้งของขบวนการเคลื่อนไหวที่ดึงดูดคนหนุ่มสาวให้เข้าร่วม "สงครามทางศาสนา"
ขบวนการแรก คือการละเว้นสิ่งมึนเมา ขบวนการที่สอง คือการเลิกทาส ซึ่งในที่สุดจบลงด้วยสงครามกลางเมือง (ค.ศ. ๑๘๖๑-๑๘๖๕) ในสมัยของประธานาธิบดี Abraham Lincoln และขบวนการที่สาม คืองานของมิชชันนารี ซึ่งก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ไปทั่วโลก"
นี่คือส่วนหนึ่งในบทนำของหนังสือชื่อ Siam Then เขียนขึ้นโดย Dr.William L. Bradley ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. ๑๙๘๑ หนังสือเล่มนี้เขียนเล่าถึงประวัติของหมอบรัดเลย์ โดยวิธีเขียนแบบอัตชีวประวัติ ซึ่งท่านผู้เขียนหนังสือเล่มนี้สอนวิชาปรัชญาทางศาสนา เคยมาเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเหลนแท้ๆ ของหมอบรัดเลย์ จากข้อเขียนในบทนำดังกล่าวอธิบายได้ถึงสาเหตุเบื้องต้นที่เราได้หมอบรัดเลย์มาอยู่ในเมืองไทยในยุคสมัยที่พอเหมาะ ก่อเกิดการแพทย์แผนใหม่ กระทั่งพัฒนามาสู่ยุคปัจจุบัน และในขณะเดียวกันก็อธิบายได้ว่า ในปัจจุบันคงไม่มีคนที่จะมาอุทิศชีวิตทั้งชีวิตในเมืองไทยดังท่านอีกเป็นแน่แท้
หมอบรัดเลย์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๐๔ ที่เมือง Marcellus ในมลรัฐนิวยอร์ก ใกล้เมือง Syracuse ไม่ไกลจากทะเลสาบ Ontario บิดาของท่านชื่อ Dan Bradley ย้ายถิ่นฐานมาจากเมือง New Haven, Connecticut และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเมือง Marcellus นี้ มีอาชีพเป็นศาสนาจารย์ เกษตรกร ผู้พิพากษา และเป็นบรรณาธิการวารสารทางเกษตรกรรม
สิ่งที่ท่านได้จากบิดา คือความรักในวรรณคดี กับความมุ่งมั่นที่จะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า รวมถึงความสามารถในการเกษตร วิชาช่างไม้ และการพิมพ์ มารดาชื่อ Eunice Beach Bradley เสียชีวิตในวันที่ให้กำเนิดหมอบรัดเลย์ ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕ ท่านได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาผู้ให้ความรักและเคร่งในศาสนา กับจากมารดาเลี้ยงซึ่งให้ความห่วงใย จากขบวนการฟื้นฟูทางศาสนาที่เกิดขึ้นทำให้ท่านเกิดความตั้งใจที่จะทำงานทางศาสนาในขณะที่อายุ ๒๑ ปี แต่เนื่องจากสุขภาพไม่ดีจึงมิอาจศึกษาต่อ
ในสมัยนั้นมีความต้องการมิชชันนารีที่เป็นแพทย์มาก จึงทำให้หมอบรัดเลย์ตัดสินใจที่จะศึกษาวิชาแพทย์ ระยะแรกได้ศึกษากับ Dr.A.F. Oliver ที่เมือง Penn Yan แบบตามสบาย จนกว่าสุขภาพจะดีขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามแก้ไขการพูดติดอ่างซึ่งเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นโดยการเข้ากลุ่มฝึกพูด การศึกษาวิชาแพทย์ในสมัยนั้นเป็นการศึกษาแบบปฏิบัติกับแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ จนกระทั่งมีประสบการณ์เพียงพอจึงจะสอบเพื่อรับปริญญา ท่านเคยไปฟังบรรยายทางการแพทย์ที่ Harvard ในปี ค.ศ. ๑๘๓๐ และกลับไปฝึกปฏิบัติงานการแพทย์ สลับกับการเป็นครูในหมู่บ้าน เมื่อสะสมเงินได้เพียงพอ จึงไปที่โรงเรียนแพทย์ในกรุงนิวยอร์ก เพื่อเรียนและสอบได้ปริญญาแพทย์ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๘๓๓ ระหว่างอยู่ในนิวยอร์กยังได้ปฏิบัติงานหาความชำนาญ และระหว่างสองปีนั้น อหิวาตกโรคกำลังระบาดอยู่ในนิวยอร์ก โดยระบาดมาจากเมืองควิเบก ขณะศึกษาอยู่ในนิวยอร์ก ได้สมัครเป็นแพทย์มิชชันนารีกับ ABCFM (American Board of Commissioners of Foreign Missions) เพื่อทำงานในเอเชีย
ที่นิวยอร์ก หมอบรัดเลย์ได้รู้จักกับบุคคลสองคนซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตในระยะต่อมา คนแรกคือ Charles Grandison Finney ซึ่งเป็นนักเทศน์และอาจารย์จาก Oberlin College มีความเชื่อว่ามนุษย์ควรจะดำรงชีวิตโดยไม่มีบาป คือดำรงชีวิตของตนเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้า ความเชื่อนี้มีผลต่อการปฏิบัติงานของหมอบรัดเลย์ในเมืองไทย คนที่สองคือ Reverend Charles Eddy แห่งคณะ ABCFM ซึ่งแนะนำว่าการทำงานมิชชันนารีในต่างแดนควรจะมีผู้ช่วย ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การแต่งงานกับ Emelie Royce (ค.ศ. ๑๘๑๑-๑๘๔๕) แห่งเมือง Clinton, New York เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๑๘๓๔
หมอบรัดเลย์และภรรยาออกเดินทางจากเมืองบอสตัน เมืองท่าสำคัญทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา เมื่อวันพุธที่ ๒ กรกฎาคม ๑๘๓๔ พร้อมกับมิชชันนารีกลุ่มหนึ่งซึ่งจะเดินทางไปพม่า เรือชื่อ Cashmere ส่วนกัปตันชื่อ Hallet จะมุ่งไปปัตตาเวีย ขนาดของห้องพักในเรือประมาณ ๖x๖ ฟุต และสูง ๖ ฟุตเช่นกัน เตียงนอนกว้าง ๓ ฟุตครึ่ง สูงจากพื้น ๓ ฟุตครึ่ง ตลอดความกว้างของห้อง ใต้เตียงเป็นที่เก็บหีบสัมภาระ ในจำนวนนั้นมีกล่องใส่ส้มและมะนาว ถุงแอปเปิ้ลตากแห้ง ใกล้ประตูมุมห้องด้านซ้ายเป็นอ่างล้างมือ มีเก้าอี้นั่งมีเท้าแขนกับแผ่นรองเขียน มีหนังสือจำนวนมากที่หมอบรัดเลย์อ่านตลอดระยะการเดินทาง ใช้เวลา ๑๕๗ วัน จนกระทั่งมาถึงเมืองท่า Amherst ของพม่า เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๑๘๓๔ เมือง Amherst ปัจจุบันคือเมือง Kyaikkami อยู่ทางใต้ของเมืองมะละแหม่ง อยู่ในระดับเส้นรุ้ง ๑๖ องศาเหนือ ใกล้เคียงกับนครสวรรค์ของไทย วันขึ้นปีใหม่ ๑ มกราคม ๑๘๓๕ เรือได้มาจอดทอดสมอที่นอกเกาะปีนัง แล้วเดินทางต่อถึงเมืองสิงคโปร์ในวันที่ ๑๒ มกราคม ๑๘๓๕ เรือ Cashmere ที่หมอบรัดเลย์โดยสารมาจาก Boston รอนแรมผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย รวมเวลา ๖ เดือนกว่าจึงได้มาถึงสิงคโปร์ เป็นเรือใบอาศัยแรงลมในการเดินทาง
ในปี ๑๙๘๗ เมื่อผู้เขียนมีโอกาสเดินทางถึงเมือง Salem ทางเหนือของ Boston ในมลรัฐ Massachusetts ได้แวะชมพิพิธภัณฑ์การเดินเรือ Peabody Museum of Salem ซึ่งแสดงการเดินเรือในบริเวณ New England การทำการประมง การล่าปลาวาฬในศตวรรษที่ผ่านมา การเดินทางมาค้าขายกับประเทศจีน ญี่ปุ่น และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ภายในพิพิธภัณฑ์นี้มีห้องสมุด และมีส่วนหนึ่งที่รวบรวมชื่อกับภาพวาดของเรือที่จดทะเบียนในชายฝั่งทะเลแถบ New England ไว้ด้วยการช่วยเหลือของบรรณารักษ์ ได้ค้นหาหลักฐานของเรือชื่อ Cashmere พบว่ามีใน Ship Registers of Boston, Massachusetts, 1831-1840 หน้า ๑๒๔-๑๒๕ มีรายนามเรือที่ชื่อ Cashmere ๓ รายการ คือรายการที่สาม ความว่า
613. CASHMERE, ship, of Boston. Registered at Boston-Charlestown June 10, 1834-permanent. Built at lincolnville, Me. in 1826.
397 46/95 tons; length 115 ft. 3 in., breadth 27 ft. 8 in., depth 13 ft. 3 in. Master: Francis Hallett. Owners: Alfred Richardson, Boston. Two decks, three masts, square stern, no galleries, a billethead. Previously registered #182 at Boston-Charlestown June 2, 1834; now cancelled, property partially transferred. (Vol. 34, p.194)
ได้สำเนาภาพถ่ายรูปวาดของเรือ Cashmere ลำนี้ไว้ เชื่อว่าน่าจะเป็นเรือ Cashmere ลำเดียวกันกับที่หมอบรัดเลย์โดยสารมาเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๑๘๓๔ ในบันทึกการจดทะเบียนเรือให้ชื่อกัปตันว่า Francis Hallett ส่วนในบันทึกของหมอบรัดเลย์ให้ชื่อว่า Hallet หากว่ามิใช่เรือดังในภาพก็น่าจะเป็นเรือใบในลักษณะใกล้เคียงกัน เห็นได้ว่าการเดินทางนั้นยากลำบากและเสี่ยงอันตราย
เมื่อมาถึงสิงคโปร์ หมอบรัดเลย์ได้พักอาศัยอยู่กับ London Missionary Soceity ได้พยายามเรียนภาษาไทยกับชาวอินเดียในสิงคโปร์ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ Mrs.Dean ภรรยาของศาสนาจารย์วิลเลียม ดีน ที่มาจากอเมริกาพร้อมกันได้ให้กำเนิดบุตรสาวในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๑๘๓๕ แล้วมารดาเกิดมีอาการชัก ในที่สุดเสียชีวิตในวันที่ ๕ มีนาคม ในขณะที่หมอบรัดเลย์เตรียมที่จะให้การรักษาโดยให้เลือดที่เจาะจากสามีของเธอ
ส่วนในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ Mrs.Emelie Bradley ภรรยาของหมอบรัดเลย์ก็ให้กำเนิดบุตรชายก่อนกำหนด เด็กหยุดหายใจเป็นพักๆ ช่วยกันด้วยวิธีเป่าปากให้หายใจ แต่ก็เสียชีวิตหลังคลอด ๘ ชั่วโมง ในที่สุดภรรยาของหมอบรัดเลย์ก็ต้องดูแลลูกสาวของศาสนาจารย์ Dean ซึ่งกำพร้าแม่อยู่หลายปีกว่าจะพากลับไปอเมริกา หมอบรัดเลย์ออกเดินทางจากสิงคโปร์เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๑๘๓๕ โดยเรือชื่อ Futtlebarry
เรือมาทอดสมออยู่นอกสันดอนเจ้าพระยาตั้งแต่เช้า ๐๗.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๑๘๓๕ รอน้ำทะเลขึ้นและคนนำร่อง ในที่สุดทราบว่าต้องรออีกเกือบ ๑๐ วันกว่าเรือจะผ่านสันดอนได้ วันที่ ๑๘ กรกฎาคม จึงได้ลงเรือยาวพร้อมกับสัมภาระบางส่วนเพื่อเข้ากรุงเทพฯ มาถึงปากน้ำเวลาเที่ยงวัน รอใบผ่านทางอยู่ ๒ ชั่วโมง ๕ โมงเย็นถึงปากลัด และถึงกรุงเทพฯ เวลา ๒๑.๐๐ น. ของวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๑๘๓๕ ซึ่งตรงกับวันเกิดปีที่ ๓๑ ของหมอบรัดเลย์ เริ่มต้น Bradley"s Era หรือยุคของหมอบรัดเลย์ตามที่มิชชันนารีในยุคหลังอ้างถึง
หมอบรัดเลย์อยู่ในเมืองไทยตลอด ๓๘ ปี ยกเว้นเมื่อภายหลังภรรยาเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๑๘๔๕ จากวัณโรค แล้วหมอบรัดเลย์ได้พาลูกออกจากเมืองไทยวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๑๘๔๗ ไปอยู่ในอเมริกาประมาณ ๒ ปี และกลับมาถึงเมืองไทยอีกครั้งวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๑๘๕๐ ตลอดชีวิตการทำงานของหมอบรัดเลย์ จุดมุ่งหมายอันดับหนึ่งที่อยู่ในใจตลอดเวลา คือการเผยแผ่พระกิตติคุณของพระผู้เป็นเจ้า ดังจะเห็นได้จากความมุ่งมั่นตั้งแต่แรกว่าจะทำงานทางด้านศาสนา ต่อเมื่อพบว่าไม่สามารถเรียนได้โดยตรงก็มุ่งเข็มมาเรียนวิชาแพทย์ด้วยจุดประสงค์ที่จะทำงานมิชชันนารี เพราะความต้องการมิชชันนารีที่เป็นแพทย์ในสมัยนั้นมีสูง
หมอบรัดเลย์มีจิตใจมุ่งมั่นในการประกาศพระกิตติคุณของพระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองไทย สิ่งสำคัญที่ทำเป็นประจำคู่กับการรักษาคนเจ็บป่วยที่คลินิกคือการเทศน์และการอธิบายถึงพระเจ้าแท้จริง ท่านจะไปเทศน์อธิบายข้อความในพระคัมภีร์ทุกแห่งที่มีโอกาสแม้แต่ในวัด เช่น เมื่อครั้งไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชที่วัดราชาธิวาสก็จะถือโอกาสเทศน์ให้พระสงฆ์ในศาสนาพุทธฟัง หรือเมื่อไปรักษาคนเจ็บป่วยในวังก็จะเทศน์ให้ชาววังเสมอ ที่คู่กับการเทศน์อธิบายในพระคัมภีร์ คือการแจกแผ่นปลิวที่พิมพ์เป็นภาษาไทยจากการเพียรพยายามแปลด้วยตนเอง และมีครูภาษาไทยช่วยเรียบเรียงในระยะแรกๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการค้าขายกับเมืองจีน มีเรือสำเภามาจอดในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นจำนวนมาก โดยจอดเรียงรายตั้งแต่แถบบริเวณท่าดินแดง ราชวงศ์ คลองสาน เรื่อยลงมาถึงแถบบางรัก ยานนาวา หมอบรัดเลย์จะแวะขึ้นเรือสำเภาเหล่านี้ และแจกหนังสือแก่ลูกเรือชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งคนที่อ่านได้ก็จะอ่านให้คนอื่นฟัง บางคนบอกว่าเคยเห็นหนังสือแบบเดียวกันที่เมืองกวางตุ้ง ท่านเคยไปแจกหนังสือในงานพิธีพระบรมศพแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นบริเวณสนามหลวงใกล้กับพระบรมมหาราชวัง ปรากฏว่ามีคนมารับแจกกันมาก จนต้องกลับมายังเรือ ก็ยังมีคนว่ายน้ำมารับที่ข้างเรือ ท่านได้เช่าห้องห้องหนึ่งในชุมชนที่เป็นตลาด ทำเป็นที่สำหรับเทศน์และแจกแผ่นปลิวซึ่งท่านได้เอาใจใส่อยู่เสมอ
เป็นที่ทราบกันโดยกว้างขวางแล้วว่าหมอบรัดเลย์เป็นผู้นำการแพทย์แผนปัจจุบัน (แบบตะวันตก) เข้ามาหลายประการ ทั้งการผ่าตัดและการป้องกันโรคการรักษาโรคในระยะแรกๆ หมอบรัดเลย์จะตรวจผู้ป่วยได้เป็นจำนวนมากเกือบ ๗๐-๑๐๐ คน ในเวลา ๓-๔ ชั่วโมง ส่วนมากในช่วงเช้ามีคนช่วยจัดยาและแจกใบปลิวข้อความในพระคัมภีร์ด้วย
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 8:50 pm
โดย Jeab Agape
หมอบรัดเลย์เป็นผู้ที่มีจิตใจเป็นครู อยากสอนให้ผู้อื่นรู้ โดยเฉพาะอยากสอนให้หมอหลวงได้รู้จักการแพทย์สมัยใหม่ ในปีแรกเจ้าฟ้าน้อย (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้เสด็จมาเยี่ยม เล่าให้ฟังถึงประเพณีการอยู่ไฟของมารดาหลังคลอด หมอบรัดเลย์ก็เสนอว่าอยากจะสอนให้คนหนุ่มชาวไทยบางคนรู้จักภาษาอังกฤษ และจะสอนวิชาแพทย์ให้ ในช่วงที่มีการปลูกฝี ก็มีหมอหลวงมาศึกษาวิธีปลูกฝี หมอบรัดเลย์มีความคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ควรอุทิศเวลาให้กับการเขียนหนังสือเพื่อสอนหมอชาวสยาม ซึ่งต่อมาหมอบรัดเลย์ก็ได้เขียนบทความอธิบายถึงวิธีการปลูกฝีในภายหลังเมื่อทำการปลูกฝีมากขึ้น ในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๑๘๓๙ รัชกาลที่ ๓ ได้พระราชทานรางวัลให้ ๒๔๐ บาท (เท่ากับ ๑๔๕ ดอลลาร์อเมริกัน ซึ่งทำให้เรามองเห็นความแตกต่างของค่าเงินบาทในปัจจุบันอย่างชัดเจน ในปี ๒๐๐๔ นี้ ๑ ดอลลาร์อเมริกัน = ๔๐ บาท) หมอบรัดเลย์ได้กล่าวตอบเมื่อไปรับเงินรางวัลพระราชทานต่อเจ้าพระยาพระคลังว่าจะนำเงินนี้ไปใช้จ่ายในการเขียนตำราผดุงครรภ์ เพื่อเป็นความรู้ต่อหมอหลวงและหมอชาวบ้านโดยทั่วไป ในภายหลังก็สำเร็จ เป็นตำราแพทย์แผนปัจจุบันเล่มแรกชื่อว่า "ครรภ์ทรักษา" ในปี ๑๘๔๒ มีความหนาประมาณ ๒๐๐ หน้า มีภาพประกอบฝีมือคนไทยประมาณ ๕๐ ภาพ เกี่ยวกับอาการของโรคในการคลอดและวิธีการแก้ไขรักษา กับพยายามสอนให้คนไทยเลิกธรรมเนียมการอยู่ไฟ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มารดาหลังคลอดเสียชีวิต
สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้หมอบรัดเลย์มาก คือการผ่าตัด เนื่องจากเป็นสิ่งที่หมอไทยในสมัยนั้นทำไม่ได้ การผ่าตัดก้อนเนื้อที่หน้าผากของผู้ป่วยรายหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๑๘๓๕ (ประมาณ ๑ เดือนกว่าหลังจากมาถึงเมืองไทย) โดยไม่มียาสลบ เพราะสมัยนั้นยังไม่มี เมื่อทำการผ่าตัดก็กังวลใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ หรือหากผู้ป่วยรายนี้ถึงแก่ชีวิตเพราะการผ่าตัด ก็คงจะกระทบกระเทือนถึงชีวิตการทำงานทางศาสนาเป็นแน่ แต่ก็ทำการผ่าตัดได้สำเร็จท่ามกลางการเฝ้าดูและร้องเชียร์ของชาวบ้านเป็นอันมาก
การผ่าตัดอีกครั้งที่จารึกไว้คือ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๑๘๓๗ ในตอนเย็นขณะที่มีงานที่วัดประยุรวงศาวาส (เชิงสะพานพุทธในปัจจุบัน) เกิดการระเบิดของปืนใหญ่กระบอกหนึ่ง มีคนตายในที่เกิดเหตุ ๘ คน และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก การแสดงต่างๆ หยุดลงโดยฉับพลัน หมอบรัดเลย์ได้ตัดแขนของชายหนุ่มคนหนึ่ง (ในบันทึกไม่ได้บอกว่าเป็นภิกษุในขณะนั้น) ถึงเหนือหัวไหล่ ดูแลผู้บาดเจ็บจนถึงเที่ยงคืน โดยมี Brother Johnson และ Mr.Hunter (นายหันแตร พ่อค้าชาวอังกฤษ ซึ่งคอยช่วยเหลือหมอบรัดเลย์มาตั้งแต่ที่มาเมืองไทยใหม่ๆ) เป็นผู้ช่วย
ในภายหลัง วันที่ ๗ กันยายน ๑๘๔๐ หมอบรัดเลย์ได้บันทึกไว้อีกว่าได้ตัดแขนเด็กคนหนึ่งที่ได้รับอุบัติเหตุบนเรือฝรั่งเศส และได้กล่าวถึงชายหนุ่มที่ได้ช่วยชีวิตไว้โดยการตัดแขนเมื่อประมาณ ๔ ปีก่อนว่า ไม่เคยกลับมาหาหมอบรัดเลย์อีกเลย แม้ว่าตอนหลังได้บวชเป็นภิกษุอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในเขตกำแพงพระนครก็ตาม
นอกจากการผ่าตัดดังกล่าวยังมีบันทึกว่าเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๑๘๓๗ หมอบรัดเลย์ได้ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการแก้ไขกรามบนของชายผู้หนึ่งที่หักในงานวัดแห่งหนึ่ง ๖ วันก่อนนั้น ต้องใช้ความพยายามและความช่างประดิษฐ์มากยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่ผ่านมา
การผ่าตัดที่พบมากในบันทึกของหมอบรัดเลย์อีกชนิดหนึ่ง คือการผ่าตัดรักษาต้อกระจก (Cataract) รวมทั้งการผ่าตัดต้อเนื้อ ความชำนาญในด้านโรคตาคงจะแพร่กระจายไปไกล เช่น เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๑๘๓๖ มีพระภิกษุรูปหนึ่งจากสุโขทัยลงเรือเดินทางมา ๑๕ วัน พาพี่ชายที่ตาบอดเพราะการอักเสบมาตรวจ แต่ก็ช้าเกินกว่าจะรักษา หลังจากนั้นในวันที่ ๔ ธันวาคม ๑๘๓๖ พระภิกษุรูปเดิมก็พาพระภิกษุมา ๕ รูป จากสุโขทัยมาตรวจตา มีรูปหนึ่งอายุ ๘๐ ปี เป็นต้อเนื้อ ก็ได้รับการผ่าตัดลอกต้อให้เรียบร้อย
การผ่าตัดต้อกระจกที่บันทึกไว้ นอกจากชาวบ้านทั่วไปก็มีขุนนางผู้ใหญ่ เช่น เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๑๘๔๔ ได้ผ่าตัดต้อกระจกให้เจ้าพระยาพลเทพ อายุ ๗๓ ปี ซึ่งอีก ๒ เดือนต่อมาให้ใส่แว่นแล้วเห็นได้ชัดเจนดี ได้ให้ข้าวสาร ๔๕ ถังแก่หมอบรัดเลย์ (ราคา ๔๕ บาท/๔๕ ถัง)
จากประวัติการผ่าตัด Cataract ในตำราจักษุวิทยากล่าวว่า ในสมัยโบราณใช้วิธี Couching (คือการดันให้เลนส์ตาตกไปด้านหลัง) ต่อมาเริ่มในปี ๑๗๕๓ เป็นยุคใหม่ที่มีการผ่าตัดต้อกระจกโดยวิธี extracapsular extraction โดยจักษุแพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Daviel (๑๖๙๖-๑๗๖๒) และวิธีนี้ก็เผยแพร่ไปทั่วโลก ยุคที่หมอบรัดเลย์เรียนวิชาแพทย์และฝึกหัดโรคตาอยู่ในกรุงนิวยอร์กเป็นเวลาเกือบ ๘๐ ปี หลังจาก Daviel เริ่มวิธีนี้ ดังนั้นวิธีผ่า Cataract ของหมอบรัดเลย์ควรเป็นวิธีที่ทันสมัย ไม่ใช่วิธี Couching
การปลูกฝี เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้หมอบรัดเลย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มวิชาเวชศาสตร์ป้องกันในเมืองไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการระบาดของไข้ทรพิษเป็นระยะ มีอัตราตายสูงและทำให้เสียโฉม ในระยะแรกใช้การปลูกฝีโดยการใช้สะเก็ดจากคนที่เป็นฝีดาษมาปลูกให้คนปรกติ แต่เป็นวิธีการที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดฝีดาษ เรียกว่า inoculation ต่อมาใช้วิธี vaccination ซึ่งพบโดย Edward Jenner ในประเทศอังกฤษ ที่พบว่าหญิงที่รีดนมวัวที่ติดเชื้อฝีดาษวัว ทำให้หญิงรีดนมวัวนั้นไม่ติดโรคฝีดาษ Jenner ได้รายงานเรื่องนี้ในปี ๑๗๙๘ หมอบรัดเลย์อาศัยหนองฝีที่ส่งมาจากต่างประเทศ ทั้งจากประเทศจีนและจากอเมริกา (เมืองบอสตัน) น่าสนใจว่าเหตุใดหมอบรัดเลย์จึงสนใจการปลูกฝีมาก สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเป็นโรคระบาดร้ายแรง อีกสาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเคยเรียนรู้วิธีการเมื่อขณะเป็นแพทย์อยู่ในอเมริกา จาก Harvard University Gazette ฉบับ May 20, 1999 ได้อ่านพบเรื่อง The Beginning of the End of Smallpox กล่าวถึง Professor Benjamin Waterhouse (๑๗๕๔-๑๘๔๖) ขณะที่เป็นศาสตราจารย์ที่ Harvard ในปี ๑๘๐๐ ว่าเป็นคนแรกที่ทดลองปลูกฝีในอเมริกาโดยทดลองในครอบครัวของตนเอง ต่อมาได้รณรงค์การป้องกันไข้ทรพิษ โดยการส่งตัวอย่าง Cowpox ไปทั่วประเทศ โดยการสนับสนุนของประธานาธิบดี Thomas Jefferson ในปี ๑๘๑๒ ถูกต่อต้านเรื่องการปลูกฝี และออกจากการเป็นศาสตราจารย์ที่ Harvard แต่ก็ยังรณรงค์ต่อ ในปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ริเริ่มการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษในอเมริกา และมีรูปแขวนอยู่ในโรงเรียนแพทย์ Harvard เห็นได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในยุคที่หมอบรัดเลย์กำลังจะศึกษาแพทย์ เป็นวิทยาการที่ทันสมัยในยุคนั้น ซึ่งท่านได้นำมาเผยแพร่ในเมืองไทย
การพิมพ์หนังสือ เป็นอีกด้านหนึ่งที่หมอบรัดเลย์นำมาเผยแพร่ในยุคแรกๆ ภูมิหลังน่าจะได้มาจากบิดาของท่านซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือ และการสนใจในวรรณคดีตั้งแต่เด็ก การพิมพ์ในยุคแรกของหมอบรัดเลย์มุ่งเน้นเรื่องทางศาสนา โดยได้แปลและพิมพ์หนังสือ ใบปลิวที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก โดยไม่ยอมพิมพ์หนังสือเรื่องทางโลกอื่นๆ ยกเว้นเรื่องทางการแพทย์และเอกสารของราชการ แต่ต่อมาหลังจากกลับจากอเมริกาและกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๑๘๕๐ แล้ว มีความจำเป็นต้องพึ่งตัวเองมากขึ้นในการสอนศาสนา หมอบรัดเลย์จึงได้เริ่มพิมพ์งานอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เช่น ได้พิมพ์นิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัย หนังสือจินดามณี ภูมิประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส สามก๊ก และก่อนจะเสียชีวิตในปี ๑๘๗๓ ได้ตีพิมพ์พจนานุกรมไทยชื่อ "อักขราภิธานศรับท์" นอกจากนั้นยังได้เป็นผู้ริเริ่มการพิมพ์หนังสือในแนวจดหมายเหตุ และหนังสือพิมพ์ที่มีบทวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคมกับการเมือง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงถือว่าหมอบรัดเลย์เป็นพระสหาย พระองค์ทรงพระราชสมภพวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๑๘๐๔ ส่วนหมอบรัดเลย์เกิดวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๑๘๐๔ มิตรภาพเริ่มขึ้นจากการเป็นแพทย์ในการถวายการดูแลรักษา และได้รับการต้อนรับให้เกียรติแก่สตรีเช่นชาวตะวันตกปฏิบัติกัน ต่างให้ความรู้แก่กัน โดยเฉพาะรัชกาลที่ ๔ ทรงสนพระทัยวิชาทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ พระองค์ทรงให้เกียรติหมอบรัดเลย์มากขนาดที่ว่าหากปีใดวันพระราชสมภพตรงกับวันอาทิตย์ ก็จะทรงเลื่อนงานฉลองออกไปในวันถัดไป เพื่อให้มิชชันนารีมาร่วมงานได้ จนกระทั่งต่อมาพวกพ่อค้า กงสุล ได้ร้องเรียนว่าพระองค์ให้เกียรติแก่มิชชันนารีมากกว่า พระองค์จึงทรงแยกจัดงานเป็น ๒ งาน มิชชันนารีในยุคหลังเรียกยุคของหมอบรัดเลย์ จนกระทั่งถึงวันเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ ๔ เพราะหลังจากนั้นบทบาทของหมอบรัดเลย์ก็น้อยลง ไม่เกินความจริงที่มีผู้กล่าวว่าประเทศไทยไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ที่เปิดประเทศโดยอาศัยดินปืนของอังกฤษและเรือปืนของฝรั่งเศส หากเปิดประเทศสู่โลกตะวันตกด้วยกองทัพชาวอเมริกัน-กองทัพแห่งกางเขน ซึ่งหมายถึงมิชชันนารี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอบรัดเลย์
ความสนใจทางวิทยาศาสตร์ หมอบรัดเลย์ได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอไว้โดยละเอียด วันที่ ๗ สิงหาคม ๑๘๖๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปหัววาฬเพื่อเตรียมการเกี่ยวกับสุริยุปราคา และได้โปรดให้ชาวอเมริกันกับยุโรปได้ไปดูด้วยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย วันที่ ๑๒ สิงหาคม หมอบรัดเลย์และบุตรสาวชื่อ Sarah บุตรชายชื่อ Dwight ได้เดินทางไปด้วยโดยเรือกลไฟหลวง ออกจากกรุงเทพฯ เที่ยงวัน ถึงปากน้ำ ๑๖.๐๐ น. และถึง Hua Wan (หมายถึงหว้ากอ) เวลา ๒๓.๐๐ น. วันที่ ๑๖ สิงหาคม เป็นวันอาทิตย์ ได้ประกอบพิธีอธิษฐาน และหมอบรัดเลย์เป็นคนเทศน์สำหรับชาวต่างประเทศ รวมทั้งสมุหนายกของไทยด้วย เมื่อถึงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๑๘๖๘ อากาศตอนเช้าสดใส แต่มีเมฆมากขึ้นในตอนสาย เมื่อเวลา ๑๐.๐๗ น. อันเป็นเวลาเริ่มสัมผัสแรกของการเกิดคราสก็แทบมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เพราะเมฆบัง เมื่อเริ่มเห็นดวงอาทิตย์ รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงยิงปืนใหญ่หนึ่งนัดเพื่อเป็นสัญญาณ และมีการเป่าแตรสัญญาณจากบริเวณค่ายหลวง หมอบรัดเลย์บันทึกไว้ว่าทุกคนล้วนกังวลว่าจะมีเมฆมาบังเวลาเกิดคราสเต็มดวง จนถึงกับท่านสมุหนายกได้ขอร้องให้ผู้ที่สวดอ้อนวอนพระเป็นเจ้าได้ให้สวดขอให้พระองค์ได้ช่วยสลายหมู่เมฆ ตามการคำนวณของรัชกาลที่ ๔ สุริยุปราคาเริ่มเวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๖ นาที ๒๒ วินาที และเกิดติดต่อกันเป็นเวลา ๖ นาที ๔๕ วินาที ท้องฟ้ามืดคล้ายคืนข้างขึ้น ๘ ค่ำ มองเห็นดาวศุกร์ ท่านบันทึกว่าเป็นภาพน่าดูที่คุ้มค่าการเดินทางนับร้อยไมล์เพื่อมาชมปรากฏการณ์นี้ เห็นลำแสงแรกที่พุ่งออกหลังดวงจันทร์เมื่อสิ้นสุดการเกิดคราสเต็มดวง รัชกาลที่ ๔ ทรงยิงปืนใหญ่อีกหนึ่งนัดเมื่อสิ้นสุดปรากฏการณ์นี้ กับทรงพอพระราชหฤทัยที่ได้คำนวณได้แม่นยำกว่าทีมนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสถึง ๒ วินาที วันที่ ๑๙ สิงหาคม เดินทางกลับ ถึงนอกสันดอนเวลาเที่ยง และรอน้ำขึ้น กลับถึงกรุงเทพฯ เวลา ๒๓.๐๐ น.
สุริยุปราคาครั้งนี้อยู่ใน Saros ที่ ๑๓๓ วงศ์เดียวกับที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทอดพระเนตรที่ลพบุรีเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๑๖๘๘
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ที่หว้ากอ ก่อให้เกิดคนเสียชีวิตด้วยไข้ป่าถึง ๙ คนในเวลาต่อมา และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สวรรคตเมื่อประมาณ ๒๑.๐๐ น. ของวันที่ ๑ ตุลาคม ๑๘๖๘ หมอบรัดเลย์เพียรพยายามจะเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาส
บ้านของหมอบรัดเลย์ เมื่อแรกมาเมืองไทยพักอยู่บริเวณหน้าวัดเกาะ ต่อมาย้ายไปอยู่เรือนแพบริเวณกุฎีจีน ซึ่งเป็นถิ่นของชาวคริสต์คาทอลิกในละแวกวัดกัลยาณมิตร โบสถ์ซางตาครู้ส วัดประยุรวงศาวาส ทุกวันนี้ในวิหารวัดกัลยาณมิตรยังปรากฏภาพวาดฝาผนังเป็นรูปฝรั่งและแหม่มเดินตามทางเดินใกล้เรือนแพ คงเป็นภาพที่ปรากฏในสมัยนั้น บ้านที่หมอบรัดเลย์อยู่นานตลอดอายุ และต่อมาภรรยาคนที่สองคือ Sarah Blachly ได้อาศัยและดำเนินกิจการโรงพิมพ์ต่อหลังจากหมอบรัดเลย์เสียชีวิตแล้ว รวมทั้งลูกสาวคนสุดท้องคือ Irene ได้อยู่ต่อมาจนกระทั่งเสียชีวิตประมาณปี ๑๙๔๐ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือของปากคลองบางหลวง หรือคลองบางกอกใหญ่ หมอบรัดเลย์เป็นคนคุมการก่อสร้างเอง ปัจจุบันไม่ปรากฏตัวบ้านแล้ว บริเวณที่ตั้งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเรือ
บั้นปลายชีวิตของหมอบรัดเลย์ ระหว่างวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๑๘๗๑-๒๓ มกราคม ๑๘๗๒ หมอบรัดเลย์ได้เดินทางโดยเรืออเมริกันชื่อ Luzon ไปพักผ่อนเพื่อสุขภาพที่ฮ่องกง ได้แวะไปซัวเถา ได้พบ Cornelius ลูกชายและสะใภ้ซึ่งมาเยี่ยมจากอเมริกาเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๑๘๗๑
ระหว่างอยู่ที่ฮ่องกงได้ไปถ่ายรูปเดี่ยวที่ร้าน A Fong และไปรับรูปเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๑๘๗๒ โดยได้สั่งอัดรูปไว้ ๒๔ ใบ ออกเดินทางในวันเดียวกันกลับถึงนอกสันดอนปากน้ำในวันที่ ๒๓ มกราคม ๑๘๗๒ เมื่อถึงบ้านได้พบกับบุตรชายคือ Cornelius และภรรยาที่มาล่วงหน้าจากฮ่องกง
บั้นปลายชีวิตของท่านดำเนินการพิมพ์พจนานุกรม ซึ่งได้รับทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จะทรงช่วยซื้อไว้ ๑๐๐ เล่ม วันที่ ๘ พฤษภาคม ๑๘๗๓ ได้เขียนบันทึกเป็นวันสุดท้ายว่าเดินทางไปเที่ยวอ่างหิน แต่ต้องกลับมาปากน้ำเพราะลมแรงเกินไป หมอบรัดเลย์ล่วงลับไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๑๘๗๓ หลังจากไม่สบายอยู่ ๔๐ วัน ด้วยโรคไทฟอยด์ พจนานุกรมที่พิมพ์อยู่เสร็จสมบูรณ์หลังจากที่ท่านเสียชีวิตแล้ว บุตรชายชื่อ Dan F. Bradley เป็นผู้ดำเนินการต่อ
งานศพของท่านเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับชาวตะวันตกเท่าที่เคยมีมาในเมืองไทย ร่างของท่านอยู่ที่สุสานโปรเตสแตนต์ที่บ้านใหม่ ยานนาวา
เหลนของท่านคือ Helen G. Bradley, Barbara Sue Hildner, Dr.William L. Bradley ล้วนเคยมาเมืองไทย โดยเฉพาะ Dr.William เคยมาเยี่ยมชมอาคารหมอบรัดเลย์ในโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ซึ่งเป็นอนุสรณ์ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์คนหนึ่งจากแดนไกลสามารถมอบให้กับพี่น้องร่วมโลกโดยผ่านทางองค์พระผู้เป็นเจ้า
อ้างอิง
๑. หมอบรัดเลย์กับสังคมไทย. เอกสารวิชาการหมายเลข ๕๗ ประกอบการสัมมนาของโครงการไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ ๑๖-๑๗ กรกฎาคม ๑๙๘๕.
๒. Abstract of the Journal of Rev. Dan Beach Bradley, M.D. Medical Missionary in Siam, 1835-1873. Edited by Rev. George Haws Feltus. Printed in the Multigraph Department of Pilgrim Church, Cleveland, Ohio, 1936.
๓. Mo Bradley and Thailand. by Donald C. Lord., William B. Eerdmans. Publishing Company Grand Rapids, Michigan, 1969.
๔. Siam Then. by William L. Bradley. William Carey Library, Pasadena, California 1981.
July 18, 2004
http:// im.sut.ac.th/sutmobile/ mobile/page.php?ID=188&webID=12 - 27k
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 28, 2009 10:42 pm
โดย วอ
ขอบคุณพี่เจี๊ยบมากเลย
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 05, 2009 8:16 pm
โดย Léon
ความรู้ล้วนๆ คะ ขอบคุณมากค่ะ
น่าเองก็ทำงานด้านการพิมพ์ ก็ต้องรู้เรื่องพวกนี้เยอะๆ
จะได้รู้ที่มาที่ไป ขอเก็บสาระไปใช้นะคะคุณน้องเจี๊ยบ
Re: ใครรู้ ประวัติการพิมพ์ในประเทศไทยใครทำก่อนกันแน่
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 06, 2009 12:05 am
โดย Isolation
หนังสือพิมพ์รีคอร์เดอร์ไงง