อยากได้ student visa ของอเมริกา
ดิฉันมีแผนการที่จะไปอเมริการในปีหน้าค่ะ แต่ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจในการขอ student visa ไปอเมริกาเลยอ่ะ และที่สำคัญดิฉันก็ไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน passportเลยขาวสะอาดเลย พอดีมีคนรู้จักอยู่ที่นั่นเค้าก็เลยอาสาจะทำเรื่องเกี่ยวกับการติดต่อลงเรียนคอสภาษาอังกฤษที่นั่นเป็นคอสสั้นๆให้ค่ะเพื่อว่าจะได้โชว์กับทางสถานทูตว่าเราไปเรียนจริงๆใน ชิคาโก้ ค่ะ
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นดิฉันอยากจะไปทำงานเพื่อหาประสบการณ์และก็เรียนภาษาค่ะ ตั้งใจว่าจะไปทำร้านอาหารไทยในชิคาโก้ ถ้าหากเพื่อนๆคนไหนเคยมีประสบการณ์ไปที่อเมริการวมถึงการขอวีซ่ามาแล้วทั้งที่ผ่านและไม่ผ่าน ขอช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นดิฉันอยากจะไปทำงานเพื่อหาประสบการณ์และก็เรียนภาษาค่ะ ตั้งใจว่าจะไปทำร้านอาหารไทยในชิคาโก้ ถ้าหากเพื่อนๆคนไหนเคยมีประสบการณ์ไปที่อเมริการวมถึงการขอวีซ่ามาแล้วทั้งที่ผ่านและไม่ผ่าน ขอช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
- ~~~พระเจ้าทรงคุ้มครอง~~~
- โพสต์: 139
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ค. 18, 2009 12:13 am
ขอทราบสถานภาพทางการสมรส การเงิน อายุ การศึกษา
เพราะบางส่วนจะมีผลต่อการตัดสินใจให้/ไม่ให้วีซ่าครับ
ถ้าคุณยังเป็นนักศึกษา/นัีกศึกษาปีสุดท้าย คุณขอวีซ่า J1 ไม่เกิน 4 เดืิอน เพื่อการแลกเปลี่ยนเหมือน Work&Travel หรือ Aupair
ถ้าคุณจบแล้วไม่ถึง 1 ปี คุณสามารถขอ J1 เป็นเวลา่ไม่เกิน 1 ปี เพื่อการฝึกงานได้
ถ้าคุณต้องการ F1 ผ่านการเรียนภาษา คุณต้องขอ I-20 จากสถาบันภาษานั้นๆ เพื่อประกอบการขอ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามกฎหมายแล้ว ถ้าไม่ใช่ J1 เพื่อประโยชน์ข้างต้น และไม่ใช่ visa เำืพื่อการทำงาน จะไม่สามารถทำงานได้
แต่ illegally สามารถเป็นไปได้ครับ คนหลายคนก็ทำ แต่อยากบอกว่า ไม่ปลอดภัยในหลายๆ กรณี
วิธีที่ใกล้เคีัยงและใช้บ่อยที่สุดก็คือของ F1 ผ่านสถาบันภาษาที่อเมริกา แล้วก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
โดยมาได้เฉพาะร้านอาหารไทย หรือร้านอาหารต่างชาติเท่านั้นครับ
เพราะบางส่วนจะมีผลต่อการตัดสินใจให้/ไม่ให้วีซ่าครับ
ถ้าคุณยังเป็นนักศึกษา/นัีกศึกษาปีสุดท้าย คุณขอวีซ่า J1 ไม่เกิน 4 เดืิอน เพื่อการแลกเปลี่ยนเหมือน Work&Travel หรือ Aupair
ถ้าคุณจบแล้วไม่ถึง 1 ปี คุณสามารถขอ J1 เป็นเวลา่ไม่เกิน 1 ปี เพื่อการฝึกงานได้
ถ้าคุณต้องการ F1 ผ่านการเรียนภาษา คุณต้องขอ I-20 จากสถาบันภาษานั้นๆ เพื่อประกอบการขอ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามกฎหมายแล้ว ถ้าไม่ใช่ J1 เพื่อประโยชน์ข้างต้น และไม่ใช่ visa เำืพื่อการทำงาน จะไม่สามารถทำงานได้
แต่ illegally สามารถเป็นไปได้ครับ คนหลายคนก็ทำ แต่อยากบอกว่า ไม่ปลอดภัยในหลายๆ กรณี
วิธีที่ใกล้เคีัยงและใช้บ่อยที่สุดก็คือของ F1 ผ่านสถาบันภาษาที่อเมริกา แล้วก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
โดยมาได้เฉพาะร้านอาหารไทย หรือร้านอาหารต่างชาติเท่านั้นครับ
Edwardius เขียน: ขอทราบสถานภาพทางการสมรส การเงิน อายุ การศึกษา
เพราะบางส่วนจะมีผลต่อการตัดสินใจให้/ไม่ให้วีซ่าครับ
ถ้าคุณยังเป็นนักศึกษา/นัีกศึกษาปีสุดท้าย คุณขอวีซ่า J1 ไม่เกิน 4 เดืิอน เพื่อการแลกเปลี่ยนเหมือน Work&Travel หรือ Aupair
ถ้าคุณจบแล้วไม่ถึง 1 ปี คุณสามารถขอ J1 เป็นเวลา่ไม่เกิน 1 ปี เพื่อการฝึกงานได้
ถ้าคุณต้องการ F1 ผ่านการเรียนภาษา คุณต้องขอ I-20 จากสถาบันภาษานั้นๆ เพื่อประกอบการขอ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามกฎหมายแล้ว ถ้าไม่ใช่ J1 เพื่อประโยชน์ข้างต้น และไม่ใช่ visa เำืพื่อการทำงาน จะไม่สามารถทำงานได้
แต่ illegally สามารถเป็นไปได้ครับ คนหลายคนก็ทำ แต่อยากบอกว่า ไม่ปลอดภัยในหลายๆ กรณี
วิธีที่ใกล้เคีัยงและใช้บ่อยที่สุดก็คือของ F1 ผ่านสถาบันภาษาที่อเมริกา แล้วก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
โดยมาได้เฉพาะร้านอาหารไทย หรือร้านอาหารต่างชาติเท่านั้นครับ
มาตบ มือให้คะ เก่งจัง

รู้เฉพาะอเมริกาแหละครับjacky เขียน:Edwardius เขียน: ขอทราบสถานภาพทางการสมรส การเงิน อายุ การศึกษา
เพราะบางส่วนจะมีผลต่อการตัดสินใจให้/ไม่ให้วีซ่าครับ
ถ้าคุณยังเป็นนักศึกษา/นัีกศึกษาปีสุดท้าย คุณขอวีซ่า J1 ไม่เกิน 4 เดืิอน เพื่อการแลกเปลี่ยนเหมือน Work&Travel หรือ Aupair
ถ้าคุณจบแล้วไม่ถึง 1 ปี คุณสามารถขอ J1 เป็นเวลา่ไม่เกิน 1 ปี เพื่อการฝึกงานได้
ถ้าคุณต้องการ F1 ผ่านการเรียนภาษา คุณต้องขอ I-20 จากสถาบันภาษานั้นๆ เพื่อประกอบการขอ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามกฎหมายแล้ว ถ้าไม่ใช่ J1 เพื่อประโยชน์ข้างต้น และไม่ใช่ visa เำืพื่อการทำงาน จะไม่สามารถทำงานได้
แต่ illegally สามารถเป็นไปได้ครับ คนหลายคนก็ทำ แต่อยากบอกว่า ไม่ปลอดภัยในหลายๆ กรณี
วิธีที่ใกล้เคีัยงและใช้บ่อยที่สุดก็คือของ F1 ผ่านสถาบันภาษาที่อเมริกา แล้วก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย
โดยมาได้เฉพาะร้านอาหารไทย หรือร้านอาหารต่างชาติเท่านั้นครับ
มาตบ มือให้คะ เก่งจัง : xemo026 :
...อดีตประธานชมรมฯ แห่งหนึ่ง
วีซ่ามี 2 อย่างคือ ขาเข้า กับตอนอยู่
วีซ่าขาเข้า ต้องสามารถใช้ได้ ณ วันที่เข้า โดยพาสปอร์ตต้องมีอายุเกิน 6 เดือน
ส่วนวีซ่าอยู่ ตราบใดที่ยังไม่หมด เราไม่ต้องออกจากประเทศเขาก็ได้ ถึงแม้วีซ่าเข้าประเทศจะหมดไปแล้วก็ตาม (แต่ต้องดูข้อแม้ประกอบด้วย)
เช่น
โดยปกติ ถ้าเป็นการไปเข้าศึกษาแบบคนทั่วไป (ไม่ได้ไปกับโครงการแลกเปลี่ยนหรืออะไร) สถานศึกษาจะออกฟอร์มชื่อ I-20 ให้เมื่อตอบรับเราเข้าศึกษา เราก็เอาวีซ่านั้นไปที่สถานทูตอเมริกัน แล้วขอวีซ่าเข้าประเทศเขา ซึ่งเรียกว่า F-1 (ถ้าไม่มี I-20 จากสถานศึกษา จะไปขอ F-1 เฉยๆไม่ได้ ต้องมี I-20 ก่อน)
(ถ้าไปในรูปแบบอื่น เช่น โครงการแลกเปลี่ยน ฯลฯ ก็จะเป็นวีซ่าแบบอื่น และสถานศึกษาก็จะออกฟอร์มอื่นให้)
F-1 จะเป็นวีซ่าเข้าประเทศ เข้าได้กี่ครั้งขึ้นกับเงื่อนไขบนวีซ่า (ส่วนใหญ่เป็น multiple คือเข้ากี่ครั้งก็ได้) แต่เมื่อไหร่หมด ก็เข้าไม่ได้แล้ว ต้องขอใหม่
I-20 จะเป็นวีซ่าสำหรับอยู่ในประเทศ (แต่ต้องเข้ามาให้ได้เสียก่อน เข้าไม่ได้ มันก็เป็นเศษกระดาษพับจรวดแผ่นนึง) แม้จะมี"วันหมดอายุ" แต่จะมีข้อแม้ด้วยว่า หมดเมื่อจบการศึกษา ดังนั้น เรียนจบเมื่อไหร่ เขาก็จะให้เวลาเก็บข้าวของประมาณ 1-2 เดือน (จำไม่ได้แล้ว) แล้วก็ต้องออกประเทศเขาไป แต่ตราบใดก็ตามที่ยังไม่หมด ก็อยู่ได้เรื่อยๆ แม้ว่าวีซ่า F-1 จะหมดแล้วก็ตาม
นั่นคือ เข้าประเทศได้ไหม ดูที่ F-1 (แต่ต้องเอา I-20 มาด้วย ไม่งั้นก็ไม่ได้เข้าอยู่ดี)
อยู่ในประเทศเขาได้ไหม ดูที่ I-20
พอไปถึงสถานศึกษาแล้ว ต้องไปรายงานตัวกับ International student advisor ให้เซ็นใบ I-20 ให้เรียบร้อย จึงจะอยู่ได้อย่างแท้จริงนะครับ และทุกครั้งก่อนออกนอกประเทศ ก็ต้องเอาใบ I-20 ไปให้เขาเซ็น จึงจะสามารถกลับเข้ามาได้ใหม่ (เพราะตอนกลับเข้าประเทศอีกครั้ง ตม. ต้องดูว่าเราเรียนยังไม่จบ ใช้ I-20 เดิมได้)
ปกติแล้ว ผู้เป็นนักเรียนนักศึกษา จะสามารถทำงานในมหาวิทยาลัยได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 20 ชั่วโมง นั่นคือ จะไปทำงานในห้องสมุด หรืออะไรก็ได้ของมหาวิทยาลัย ถูกกฎหมายทุกประการ (แต่ต้องแจ้ง International student advisor ก่อน) และสามารถทำงานนอกมหาวิทยาลัยได้ หากเกิดภาวะขัดสนทางการเงินแบบที่ไม่เคยคาดหมายมาก่อน (คือ ต้องเป็นเหตุฉุกเฉินแบบที่ไม่เคยคิดไว้ตอนก่อนมาเข้าเรียน เช่น วันมาเรียนยังมีตังค์อยู่ แต่เมื่อวานธุรกิจทางบ้านล่มกระทันหัน) แต่ทั้งนี้ กระบวนการในการสมัครใช้เวลาค่อนข้างยืดเย้อยาวนานเป็นเดือนๆ และไม่มีการรับประกันว่าจะได้รับอนุญาต
ส่วนใหญ่ นักเรียนไทย มักจะไปเข้าทำงานตามร้านอาหาร ซึ่งก็แน่นอนว่าผิดกฎหมาย แต่รายได้ดี บางคนเรียนจบ ไม่ทำอะไร ทำงานร้านอาหารต่อ ทำครึ่งอาทิตย์ อีกครึ่งอาทิตย์เอาเงินที่ได้ไปเที่ยว เพราะค่าตอบแทนดี ถ้าเป็นร้านดีๆลูกค้าเยอะๆ รายได้ถึง $200 - $300 ต่อวันก็เป็นไปได้ (ถ้าเสาร์อาทิตย์ ได้แน่ๆ) จึงมักมีพวกคนไทยไปทำงานผิดกฎหมาย โดยเอาวีซ่าท่องเที่ยวไป แล้วไปทำงานเลยสามเดือน (วีซ่าท่องเที่ยวได้สามเดือน) แล้วค่อยกลับ สักพักก็ไปอีก อะไรทำนองนี้ รายได้ดีเป็นกอบเป็นกำจริงๆ
แต่ถ้าถูกจับได้ ก็โดนส่งกลับประเทศ กลับเข้าประเทศเขาไม่ได้อย่างน้อย 5 ปี ดังนั้นจะเสี่ยงไม่เสี่ยงก็ขึ้นกับคุณเองครับ

วีซ่าขาเข้า ต้องสามารถใช้ได้ ณ วันที่เข้า โดยพาสปอร์ตต้องมีอายุเกิน 6 เดือน
ส่วนวีซ่าอยู่ ตราบใดที่ยังไม่หมด เราไม่ต้องออกจากประเทศเขาก็ได้ ถึงแม้วีซ่าเข้าประเทศจะหมดไปแล้วก็ตาม (แต่ต้องดูข้อแม้ประกอบด้วย)
เช่น
โดยปกติ ถ้าเป็นการไปเข้าศึกษาแบบคนทั่วไป (ไม่ได้ไปกับโครงการแลกเปลี่ยนหรืออะไร) สถานศึกษาจะออกฟอร์มชื่อ I-20 ให้เมื่อตอบรับเราเข้าศึกษา เราก็เอาวีซ่านั้นไปที่สถานทูตอเมริกัน แล้วขอวีซ่าเข้าประเทศเขา ซึ่งเรียกว่า F-1 (ถ้าไม่มี I-20 จากสถานศึกษา จะไปขอ F-1 เฉยๆไม่ได้ ต้องมี I-20 ก่อน)
(ถ้าไปในรูปแบบอื่น เช่น โครงการแลกเปลี่ยน ฯลฯ ก็จะเป็นวีซ่าแบบอื่น และสถานศึกษาก็จะออกฟอร์มอื่นให้)
F-1 จะเป็นวีซ่าเข้าประเทศ เข้าได้กี่ครั้งขึ้นกับเงื่อนไขบนวีซ่า (ส่วนใหญ่เป็น multiple คือเข้ากี่ครั้งก็ได้) แต่เมื่อไหร่หมด ก็เข้าไม่ได้แล้ว ต้องขอใหม่
I-20 จะเป็นวีซ่าสำหรับอยู่ในประเทศ (แต่ต้องเข้ามาให้ได้เสียก่อน เข้าไม่ได้ มันก็เป็นเศษกระดาษพับจรวดแผ่นนึง) แม้จะมี"วันหมดอายุ" แต่จะมีข้อแม้ด้วยว่า หมดเมื่อจบการศึกษา ดังนั้น เรียนจบเมื่อไหร่ เขาก็จะให้เวลาเก็บข้าวของประมาณ 1-2 เดือน (จำไม่ได้แล้ว) แล้วก็ต้องออกประเทศเขาไป แต่ตราบใดก็ตามที่ยังไม่หมด ก็อยู่ได้เรื่อยๆ แม้ว่าวีซ่า F-1 จะหมดแล้วก็ตาม
นั่นคือ เข้าประเทศได้ไหม ดูที่ F-1 (แต่ต้องเอา I-20 มาด้วย ไม่งั้นก็ไม่ได้เข้าอยู่ดี)
อยู่ในประเทศเขาได้ไหม ดูที่ I-20
พอไปถึงสถานศึกษาแล้ว ต้องไปรายงานตัวกับ International student advisor ให้เซ็นใบ I-20 ให้เรียบร้อย จึงจะอยู่ได้อย่างแท้จริงนะครับ และทุกครั้งก่อนออกนอกประเทศ ก็ต้องเอาใบ I-20 ไปให้เขาเซ็น จึงจะสามารถกลับเข้ามาได้ใหม่ (เพราะตอนกลับเข้าประเทศอีกครั้ง ตม. ต้องดูว่าเราเรียนยังไม่จบ ใช้ I-20 เดิมได้)
ปกติแล้ว ผู้เป็นนักเรียนนักศึกษา จะสามารถทำงานในมหาวิทยาลัยได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 20 ชั่วโมง นั่นคือ จะไปทำงานในห้องสมุด หรืออะไรก็ได้ของมหาวิทยาลัย ถูกกฎหมายทุกประการ (แต่ต้องแจ้ง International student advisor ก่อน) และสามารถทำงานนอกมหาวิทยาลัยได้ หากเกิดภาวะขัดสนทางการเงินแบบที่ไม่เคยคาดหมายมาก่อน (คือ ต้องเป็นเหตุฉุกเฉินแบบที่ไม่เคยคิดไว้ตอนก่อนมาเข้าเรียน เช่น วันมาเรียนยังมีตังค์อยู่ แต่เมื่อวานธุรกิจทางบ้านล่มกระทันหัน) แต่ทั้งนี้ กระบวนการในการสมัครใช้เวลาค่อนข้างยืดเย้อยาวนานเป็นเดือนๆ และไม่มีการรับประกันว่าจะได้รับอนุญาต
ส่วนใหญ่ นักเรียนไทย มักจะไปเข้าทำงานตามร้านอาหาร ซึ่งก็แน่นอนว่าผิดกฎหมาย แต่รายได้ดี บางคนเรียนจบ ไม่ทำอะไร ทำงานร้านอาหารต่อ ทำครึ่งอาทิตย์ อีกครึ่งอาทิตย์เอาเงินที่ได้ไปเที่ยว เพราะค่าตอบแทนดี ถ้าเป็นร้านดีๆลูกค้าเยอะๆ รายได้ถึง $200 - $300 ต่อวันก็เป็นไปได้ (ถ้าเสาร์อาทิตย์ ได้แน่ๆ) จึงมักมีพวกคนไทยไปทำงานผิดกฎหมาย โดยเอาวีซ่าท่องเที่ยวไป แล้วไปทำงานเลยสามเดือน (วีซ่าท่องเที่ยวได้สามเดือน) แล้วค่อยกลับ สักพักก็ไปอีก อะไรทำนองนี้ รายได้ดีเป็นกอบเป็นกำจริงๆ
แต่ถ้าถูกจับได้ ก็โดนส่งกลับประเทศ กลับเข้าประเทศเขาไม่ได้อย่างน้อย 5 ปี ดังนั้นจะเสี่ยงไม่เสี่ยงก็ขึ้นกับคุณเองครับ

ได้ยินมาว่า มันต้องต่อสู้หลายอย่างเหมือนกันนะคะ เป็นธรรมดาของการแข่งขัน รายได้ดี เค้าก็แย่งกัน บางทีก็เหมือนดูในหนังเลยMemory เขียน:โห..เยอะนะนั่น ขอถามนิดนึงครับแล้วถ้าต้องการจะไปปักหลักอยู่เลยนี่ได้ไหมครับP เขียน: ถ้าเป็นร้านดีๆลูกค้าเยอะๆ รายได้ถึง $200 - $300 ต่อวันก็เป็นไปได้ (ถ้าเสาร์อาทิตย์ ได้แน่ๆ)

อยากไปอยู่ เหมือนกันคะ อยู่เมืองไทย รายได้น้อย นิด : xemo016 : เงินเดือน 15,000 ค่าเดิน ทางไปทำงาน ค่า กิน ค่าห้องเช่า ค่า ส่งเสีย ให้พ่อ แม่ ถ้าเป็นผู้หญิง ก็จะมีค่า จิปาถะ ของให้สำหรับผู้หญิง อีก คะ นึกแล้ว กลุ้ม : xemo026 :
จะไปปักหลักอยู่ ก็ต้องขอกรีนการ์ดล่ะมังครับ ซึ่งก็ยากและรอเวลาพอสมควรBuddy เขียน:ได้ยินมาว่า มันต้องต่อสู้หลายอย่างเหมือนกันนะคะ เป็นธรรมดาของการแข่งขัน รายได้ดี เค้าก็แย่งกัน บางทีก็เหมือนดูในหนังเลยMemory เขียน:
โห..เยอะนะนั่น ขอถามนิดนึงครับแล้วถ้าต้องการจะไปปักหลักอยู่เลยนี่ได้ไหมครับ![]()

---
เรื่องสู้หรือไม่สู้ มันขึ้นอยู่กับแต่ละร้านครับ เพราะเงินที่ได้ก็คือเงินค่าทิปในแต่ละวัน อย่างร้านที่มีพนักงานน้อยๆ แต่ลูกค้าเยอะๆ แล้วเอาค่าทิปจากทุกคนมารวมกันแล้วแบ่งกัน โอกาสที่จะได้เงินเยอะก็สูง ถ้าร้านไหนเงียบเหงา ก็อาจจะไม่ได้อย่างที่ผมพูด ไม่ใช่ว่าทุกร้านจะได้ $200-$300 เสมอไป
คือบางร้านเจ้าของร้านไม่สนใจค่าทิป เงินที่ได้มาทั้งหมด ให้แม่ครัวนิดหน่อย (บวกๆกับเงินเดือนก็เยอะอยู่) แล้วที่เหลือก็แบ่งกันในหมู่คนเสิร์ฟ โดยไม่หักเข้าร้านเลย แบบนี้ได้เยอะครับ
บางคนเรียนกลางวัน วันศุกร์มาทำแค่ตอนเย็น ก็ได้ประมาณ $120 แล้ว ส่วนวันเสาร์ ก็ได้ประมาณ $200 ส่วนวันธรรมดาอาจจะน้อยหน่อย อันนี้ก็เป็นไปได้ครับ บางร้านคนเสิร์ฟได้เยอะกว่านี้อีก แบบไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรกันเลยทีเดียว
แต่ก็อีกนั่นแหละ มีบางร้านขี้เหนียว เจ้าของร้านเก็บหมด ให้คนละ $100 ถ้าทำเต็มวัน และลูกค้าเยอะ อะไรแบบนี้ก็มีครับ ต้องทำใจกันหน่อยว่าเราจะไปทำร้านแบบไหน ลูกค้าเยอะไหม มีคนมา "แบ่ง" ค่าทิปกับเราเยอะไหม เจ้าของร้านให้หมดหรือเปล่า พวกนี้ครับ ต้องดูเป็นกรณีไป
---
สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ปกติแล้วลูกค้าเข้าร้านที่มีบริกรคอยบริการอาหารให้"ต้อง"จ่ายทิปครับ ไม่ทิปไม่ได้ ทิปที่ว่าก็.. บริการแย่หน่อยก็สัก 10% ของค่าอาหาร ถ้าโอเคก็ 15% ถ้าประทับใจมากหน่อยก็ให้มากกว่านั้น จะเท่าไหร่ก็แล้วแต่คนให้ กรณีที่ลูกค้าไม่จ่ายทิป บริกรจะวิ่งตามเลยว่า ไม่ทราบมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ตือ ถ้าร้านมีปัญหาจริงๆ เช่น ทอดทิ้งเขาไว้เป็นชั่วโมงๆ อาหารมาก็เย็น แถมไม่ตรงกับที่สั่ง ฯลฯ เขาจะไม่จ่ายทิปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เลวร้ายอะไรนัก ก็ต้องจ่าย..อย่างที่บอกครับ อย่างน้อยก็สัก 10%
ลูกค้ามากินโต๊ะนึง 2 คน เอาชาเย็นคนละแก้ว ข้าวแกงเขียวหวานไก่คนละจาน ตกประมาณคนละ $14 ดังนั้นโต๊ะนั้นได้ค่าทิป $4-5 สมมติว่าคนนึงเฉลี่ยดู 4-5 โต๊ะ ก็ได้แล้ว $20 ต่อชั่วโมง วันนึงสัก $80 ไม่เป็นปัญหา (สำหรับวันที่แขกไม่มากนัก) เพราะเฉลี่ยเอาว่าเวลากลางวันคนเข้าสัก 2 ชั่วโมง (แต่ข้าวราคาถูกหน่อย) กลางคืนสัก 3 ชั่วโมง (แต่ข้าวราคาแพงหน่อย)
ส่วนคืนวันศุกร์วันเสาร์ โอ้โห สุดยอด มากันโต๊ะละ 4-5 คน กินกันโต๊ะละ $50-60 ถ้าสั่งไวน์ ขนม ฯลฯ อีกนี่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แถมร้านเปิดดึกเป็นพิเศษ ปกติสามทุ่มครึ่งก็ปิดแล้ว คืนวันศุกร์วันเสาร์บางร้านเปิดถึงเกือบเที่ยงคืน เมืองที่เป็นเมืองมหาวิทยาลัย สามทุ่มครึ่งวันศุกร์วันเสาร์ยังมีคนต่อคิวหน้าร้านอยู่เลย แถมบางร้านหลังสี่ทุ่มเปลี่ยนเป็น"ผับ" ลูกค้าฟาดเครื่องดื่มเข้าไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ดังนั้นพอเห็นนะครับว่ารายได้มาจากไหนเยอะแยะ โอเค วันอาทิตย์กับวันธรรมดาอาจจะน้อยหน่อย (ขอแก้ไขที่เขียนไว้ข้างบนว่าเสาร์อาทิตย์ จริงๆผมหมายถึงศุกร์เสาร์) แต่มันก็อยู่ได้ครับ

แก้ไขข้อมูลครับ
Visa หรือ ตรวจลงตรา หมายถึง เอกสารเพื่อขออนุญาตเข้าประเทศ
Visa ทุกชนิด จะมีระบุ ระยะเวลาที่สามารถจะอยู่ได้ ตั้งแต่้เมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่
Visa บางชนิดเท่านั้น จะสามารถ extend หรือ ยืดระยะเวลาการอยู่ออกไปได้ เช่น J1/J2 F1/F2 B1/B2 H1/H2 เป็นต้น
พวกที่เป็น 2 หมายความว่าเป็น ผู้ติดตาม (dependents) โดยมากก็หมายถึง ภรรยาและบุตร น้อยนักที่จะเป็นบิดามารดา
สิทธิ์ของพวกที่ 2 คือ ให้อยู่ได้ แต่ทำอย่างอื่นไม่ได้เว้นแต่เด็กที่ต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถทำเรื่องเข้าเรียน High School ได้
ทั้งนี้พอ extend ได้แล้ว การอนุญาตให้อยู่จะไม่พิจารณาจากวันที่บนหน้า Visa อีกต่อไป แต่จะเป็นวันที่ใน I-20 ใบใหม่ (สำหรับ F1) หรือ DS-2019 ใบใหม่ (สำหรับ J1)
ทั้งนี้ ใบสำหรับอนุญาตให้อยู่้ และจำเป็นต่อการแสดงตัว และต้องเวนคืนเมื่อออกจากประเทศคือ I-94 ครับ
เมื่อกรอกเอกสาร และเข้าประเทศไปแล้ว นอกจากเอกสารที่มีอยู่ เจ้าหน้าที่จะแนบใน I-94 ที่เรากรอกแล้วเขาประทับตราแล้วให้กลับมา
--
ส่วนเรื่องการทำงาน อยากบอกว่า ช่วงนี้ Homeland อาจไม่เคร่งเท่าไหร่ แต่ถ้าเศรษฐกิจทรุดไปกว่านี้ ก็ไม่แน่ครับ ระัวังกันไว้ให้ดี
การทำงาน ปกติ rate ก็แล้วแต่รัฐ และถ้าเป็นงานประเภทเสิร์ฟ คุณอาจได้ 2 ดอลลาร์ั/ชั่วโมง แต่มีชีวิตอยู่กับทิป
ซึ่ง rate ปกติ ของอเมริกาคือ 15% ของค่าอาหาร แต่คนไทยที่ไปที่โน่นมักจะไม่ค่อยทิปใคร
รู้เรื่องนี้แล้วอย่าลืม เอาใจเอาใส่ใจเราด้วยนะครับ
การแบ่งทิปก็แล้วแต่ระบบของร้าน บางร้านก็ทิปรวม คือ รวมกันแล้วแบ่งจ่าย บางร้านก็ทิปเดี่ยว คือ แบ่งโซนบริการและดูแลไปเลย
---
การขอ Green Card มีหลายวิธีครับ วิธีที่นิยมที่สุดคือ เอาวีซ่าคู่หมั้นให้ครบตามกำหนด แล้วจึงของ GC ในภายหลัง
วิธีนี้ต้องทำผ่านการสมรสทางกฏหมายเท่านั้นนะครับ
วิธีที่ 2 คือ การของ GC ผ่านโปรแกรม GC Lotto (ไปหาเวบเอาเองนะครับ)
อารมณ์ประมาณหวยกรีนการ์ด หรือส่งชื่อพร้อมประวัติไปจับฉลาก
วิธีนี้ถ้าทำเองก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าทำผ่านบริษัทก็อาจมีบ้าง (400-1000 น่ะครับ) แต่กว่าจะได้ก็นานชาติ และไม่มีการรับประกันว่าคุณจะได้จริง
Visa หรือ ตรวจลงตรา หมายถึง เอกสารเพื่อขออนุญาตเข้าประเทศ
Visa ทุกชนิด จะมีระบุ ระยะเวลาที่สามารถจะอยู่ได้ ตั้งแต่้เมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่
Visa บางชนิดเท่านั้น จะสามารถ extend หรือ ยืดระยะเวลาการอยู่ออกไปได้ เช่น J1/J2 F1/F2 B1/B2 H1/H2 เป็นต้น
พวกที่เป็น 2 หมายความว่าเป็น ผู้ติดตาม (dependents) โดยมากก็หมายถึง ภรรยาและบุตร น้อยนักที่จะเป็นบิดามารดา
สิทธิ์ของพวกที่ 2 คือ ให้อยู่ได้ แต่ทำอย่างอื่นไม่ได้เว้นแต่เด็กที่ต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถทำเรื่องเข้าเรียน High School ได้
ทั้งนี้พอ extend ได้แล้ว การอนุญาตให้อยู่จะไม่พิจารณาจากวันที่บนหน้า Visa อีกต่อไป แต่จะเป็นวันที่ใน I-20 ใบใหม่ (สำหรับ F1) หรือ DS-2019 ใบใหม่ (สำหรับ J1)
ทั้งนี้ ใบสำหรับอนุญาตให้อยู่้ และจำเป็นต่อการแสดงตัว และต้องเวนคืนเมื่อออกจากประเทศคือ I-94 ครับ
เมื่อกรอกเอกสาร และเข้าประเทศไปแล้ว นอกจากเอกสารที่มีอยู่ เจ้าหน้าที่จะแนบใน I-94 ที่เรากรอกแล้วเขาประทับตราแล้วให้กลับมา
--
ส่วนเรื่องการทำงาน อยากบอกว่า ช่วงนี้ Homeland อาจไม่เคร่งเท่าไหร่ แต่ถ้าเศรษฐกิจทรุดไปกว่านี้ ก็ไม่แน่ครับ ระัวังกันไว้ให้ดี
การทำงาน ปกติ rate ก็แล้วแต่รัฐ และถ้าเป็นงานประเภทเสิร์ฟ คุณอาจได้ 2 ดอลลาร์ั/ชั่วโมง แต่มีชีวิตอยู่กับทิป
ซึ่ง rate ปกติ ของอเมริกาคือ 15% ของค่าอาหาร แต่คนไทยที่ไปที่โน่นมักจะไม่ค่อยทิปใคร
รู้เรื่องนี้แล้วอย่าลืม เอาใจเอาใส่ใจเราด้วยนะครับ
การแบ่งทิปก็แล้วแต่ระบบของร้าน บางร้านก็ทิปรวม คือ รวมกันแล้วแบ่งจ่าย บางร้านก็ทิปเดี่ยว คือ แบ่งโซนบริการและดูแลไปเลย
---
การขอ Green Card มีหลายวิธีครับ วิธีที่นิยมที่สุดคือ เอาวีซ่าคู่หมั้นให้ครบตามกำหนด แล้วจึงของ GC ในภายหลัง
วิธีนี้ต้องทำผ่านการสมรสทางกฏหมายเท่านั้นนะครับ
วิธีที่ 2 คือ การของ GC ผ่านโปรแกรม GC Lotto (ไปหาเวบเอาเองนะครับ)
อารมณ์ประมาณหวยกรีนการ์ด หรือส่งชื่อพร้อมประวัติไปจับฉลาก
วิธีนี้ถ้าทำเองก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าทำผ่านบริษัทก็อาจมีบ้าง (400-1000 น่ะครับ) แต่กว่าจะได้ก็นานชาติ และไม่มีการรับประกันว่าคุณจะได้จริง
Edwardius เขียน: แก้ไขข้อมูลครับ
Visa หรือ ตรวจลงตรา หมายถึง เอกสารเพื่อขออนุญาตเข้าประเทศ
Visa ทุกชนิด จะมีระบุ ระยะเวลาที่สามารถจะอยู่ได้ ตั้งแต่้เมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่
Visa บางชนิดเท่านั้น จะสามารถ extend หรือ ยืดระยะเวลาการอยู่ออกไปได้ เช่น J1/J2 F1/F2 B1/B2 H1/H2 เป็นต้น
พวกที่เป็น 2 หมายความว่าเป็น ผู้ติดตาม (dependents) โดยมากก็หมายถึง ภรรยาและบุตร น้อยนักที่จะเป็นบิดามารดา
สิทธิ์ของพวกที่ 2 คือ ให้อยู่ได้ แต่ทำอย่างอื่นไม่ได้เว้นแต่เด็กที่ต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถทำเรื่องเข้าเรียน High School ได้
ทั้งนี้พอ extend ได้แล้ว การอนุญาตให้อยู่จะไม่พิจารณาจากวันที่บนหน้า Visa อีกต่อไป แต่จะเป็นวันที่ใน I-20 ใบใหม่ (สำหรับ F1) หรือ DS-2019 ใบใหม่ (สำหรับ J1)
ทั้งนี้ ใบสำหรับอนุญาตให้อยู่้ และจำเป็นต่อการแสดงตัว และต้องเวนคืนเมื่อออกจากประเทศคือ I-94 ครับ
เมื่อกรอกเอกสาร และเข้าประเทศไปแล้ว นอกจากเอกสารที่มีอยู่ เจ้าหน้าที่จะแนบใน I-94 ที่เรากรอกแล้วเขาประทับตราแล้วให้กลับมา
--
ส่วนเรื่องการทำงาน อยากบอกว่า ช่วงนี้ Homeland อาจไม่เคร่งเท่าไหร่ แต่ถ้าเศรษฐกิจทรุดไปกว่านี้ ก็ไม่แน่ครับ ระัวังกันไว้ให้ดี
การทำงาน ปกติ rate ก็แล้วแต่รัฐ และถ้าเป็นงานประเภทเสิร์ฟ คุณอาจได้ 2 ดอลลาร์ั/ชั่วโมง แต่มีชีวิตอยู่กับทิป
ซึ่ง rate ปกติ ของอเมริกาคือ 15% ของค่าอาหาร แต่คนไทยที่ไปที่โน่นมักจะไม่ค่อยทิปใคร
รู้เรื่องนี้แล้วอย่าลืม เอาใจเอาใส่ใจเราด้วยนะครับ
การแบ่งทิปก็แล้วแต่ระบบของร้าน บางร้านก็ทิปรวม คือ รวมกันแล้วแบ่งจ่าย บางร้านก็ทิปเดี่ยว คือ แบ่งโซนบริการและดูแลไปเลย
---
การขอ Green Card มีหลายวิธีครับ วิธีที่นิยมที่สุดคือ เอาวีซ่าคู่หมั้นให้ครบตามกำหนด แล้วจึงของ GC ในภายหลัง
วิธีนี้ต้องทำผ่านการสมรสทางกฏหมายเท่านั้นนะครับ
วิธีที่ 2 คือ การของ GC ผ่านโปรแกรม GC Lotto (ไปหาเวบเอาเองนะครับ)
อารมณ์ประมาณหวยกรีนการ์ด หรือส่งชื่อพร้อมประวัติไปจับฉลาก
วิธีนี้ถ้าทำเองก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าทำผ่านบริษัทก็อาจมีบ้าง (400-1000 น่ะครับ) แต่กว่าจะได้ก็นานชาติ และไม่มีการรับประกันว่าคุณจะได้จริง
ุคุณ Edwardius เคยไปอยู่ต่างประเทศ ใช่ป่าวคะ ถ้าเคยไปแนะนำด้วย

ตอนนี้เป็นนักเรียน/นักศึกษา หรือว่าจบแล้วครับ?jacky เขียน:แบบว่า ไปวีซ่า นักเรียนต้อง มีเงิน สำรองในบัญชี เท่าใหร่คะเวลายืนขอ วีซ่าถึงจะผ่านEdwardius เขียน: จะให้แนะนำตรงไหนครับ?![]()
ถ้าจบแล้ว varies ระหว่าง 1 แสน - 3 แสน ครับ ก็ประมาณ 3500-10000 USD
แล้วแต่ เจ้าหน้าที่จะกรุณาเรียกหาครับ
ถ้ามี guarantor ก็ต้องดูว่า degree ความใกล้ชิดระดับไหน และมีทรัพย์เ่ท่าใด
ปกติเรื่องของเงินค้ำประกันในบัญชี ควรจะครอบคลุมค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ตั๋วไปกลับ-ค่าที่อยู่-ค่าครองชีพ ระหว่างที่อาศัยอยู่อเมริกา
ก็ปกติ ตั๋วไปกลับก็ต่ำสุด 35000 บาท ค่าครองชีพ/เดือนอัตราโดยไม่ทำงาน 400 เหรียญ
ก็ลองดูเอาเถอะครับว่า จะขอวีซ่ากี่เดือน อะไร ยังไง
ขอบคุณมากๆ รู้เยอะเลยEdwardius เขียน:ตอนนี้เป็นนักเรียน/นักศึกษา หรือว่าจบแล้วครับ?jacky เขียน:แบบว่า ไปวีซ่า นักเรียนต้อง มีเงิน สำรองในบัญชี เท่าใหร่คะเวลายืนขอ วีซ่าถึงจะผ่านEdwardius เขียน: จะให้แนะนำตรงไหนครับ?![]()
ถ้าจบแล้ว varies ระหว่าง 1 แสน - 3 แสน ครับ ก็ประมาณ 3500-10000 USD
แล้วแต่ เจ้าหน้าที่จะกรุณาเรียกหาครับ
ถ้ามี guarantor ก็ต้องดูว่า degree ความใกล้ชิดระดับไหน และมีทรัพย์เ่ท่าใด
ปกติเรื่องของเงินค้ำประกันในบัญชี ควรจะครอบคลุมค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ตั๋วไปกลับ-ค่าที่อยู่-ค่าครองชีพ ระหว่างที่อาศัยอยู่อเมริกา
ก็ปกติ ตั๋วไปกลับก็ต่ำสุด 35000 บาท ค่าครองชีพ/เดือนอัตราโดยไม่ทำงาน 400 เหรียญ
ก็ลองดูเอาเถอะครับว่า จะขอวีซ่ากี่เดือน อะไร ยังไง

เคยได้ยิน คนไทยทะเลาะกันเองเรื่องที่ทำกินนี่ล่ะค่ะ ร้านดีๆ ใครก็อยากได้มาทำ ก็จะมีการแก่งแย่งกัน เหมือนในหนังไทย ประมาณนั้นค่ะP เขียน:จะไปปักหลักอยู่ ก็ต้องขอกรีนการ์ดล่ะมังครับ ซึ่งก็ยากและรอเวลาพอสมควรBuddy เขียน:ได้ยินมาว่า มันต้องต่อสู้หลายอย่างเหมือนกันนะคะ เป็นธรรมดาของการแข่งขัน รายได้ดี เค้าก็แย่งกัน บางทีก็เหมือนดูในหนังเลยMemory เขียน:
โห..เยอะนะนั่น ขอถามนิดนึงครับแล้วถ้าต้องการจะไปปักหลักอยู่เลยนี่ได้ไหมครับ![]()
---
เรื่องสู้หรือไม่สู้ มันขึ้นอยู่กับแต่ละร้านครับ เพราะเงินที่ได้ก็คือเงินค่าทิปในแต่ละวัน อย่างร้านที่มีพนักงานน้อยๆ แต่ลูกค้าเยอะๆ แล้วเอาค่าทิปจากทุกคนมารวมกันแล้วแบ่งกัน โอกาสที่จะได้เงินเยอะก็สูง ถ้าร้านไหนเงียบเหงา ก็อาจจะไม่ได้อย่างที่ผมพูด ไม่ใช่ว่าทุกร้านจะได้ $200-$300 เสมอไป ...

เรื่องแย่งงาน ต้องถามว่า
1. ไปทำงานที่ไหน?
2. ไปทำงานอะไร?
3. งานที่ทำมีคนทำเยอะไหม?
ถ้าอยู่ แถบบนๆ แล้วทำงานร้านอาหารไทย ส่วนใหญ่ก็ fight กับคนไทยด้วยกัน ไม่ค่อยแรงเท่าไหร่
ถ้าล่างๆ หน่อยก็ต้อง fight กับพวก mex อีกหนึ่ง
เรื่องการแย่งงาน เป้นเรื่องปกติครับ
เพราะ demand งานสูง แต่ supply ที่ร้านจะจ้างมีน้อย เลยต้องแบ่ง แก่งแย่ง เป็นธรรมดา
1. ไปทำงานที่ไหน?
2. ไปทำงานอะไร?
3. งานที่ทำมีคนทำเยอะไหม?
ถ้าอยู่ แถบบนๆ แล้วทำงานร้านอาหารไทย ส่วนใหญ่ก็ fight กับคนไทยด้วยกัน ไม่ค่อยแรงเท่าไหร่
ถ้าล่างๆ หน่อยก็ต้อง fight กับพวก mex อีกหนึ่ง
เรื่องการแย่งงาน เป้นเรื่องปกติครับ
เพราะ demand งานสูง แต่ supply ที่ร้านจะจ้างมีน้อย เลยต้องแบ่ง แก่งแย่ง เป็นธรรมดา