เรื่องเดิม ๆ สรุปสั้น ๆ ไม่มีใจรักใจชอบพอจะเรียนจะทำงานในสาขาวิชาที่เรียนอยู่นี้ต่อ แถมไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะทำแล็บ (มีทำคนไข้แหละที่พอได้บ้าง แต่คนอื่นเก่งกว่าเราเยอะ ที่สำคัญเรากลัวที่สุดเรื่องทำคนไข้เจ็บ)
พูดไป สุดท้ายก็ไม่ต่างจากตอนปีสองเลยสักนิด
พ่อไม่ยอมเข้าใจ
แม่ยังเหมือนเดิม ไม่สนับสนุนให้ซิ่วไปคณะอื่น พูดออกมาได้ว่าแก่เกินจะเรียนแล้ว แถมยังบอกอีกว่า ถ้าไม่เรียนคณะนี้(ทันตะ)ก็ไม่ต้องเรียนอะไรเลย ไปทำสวนกับยายซะดีกว่า ทำนองนี้แหละ
คุยไปก็ไม่มีวันเข้าใจกัน แม้แต่สำเนียงภาษาการสื่อสารก็ต่างกันเกินไป พูดไปก็เข้าใจผิด ๆ ถูก ๆ กัน
พวกเขาสุดท้ายก็ทำตัวเหมือนเป็นพระเจ้าคอยกำหนดเราเสียเอง ทำทุกอย่างให้เราเป็นของเขา แต่...... ไม่เคยรักเราที่เป็น "ตัวของตัวเรา" เพียงหนึ่งไม่มีสอง
แต่ก็นะ เพราะไอ้ตัวเราที่ว่า เรายังไม่รักตัวเองเล้ย จะให้รักได้ไง
ทั้งพลังกาย พลังใจ พลังสมอง สติปัญญา ความคิดอ่าน "กาก" หมด
แต่เรื่องลักษณะตัวเองที่ชอบ (ซึ่งน่าจะพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเราอยากเป็นยังไง) พวกเขาก็คงไม่เอาอยู่ดี ในเมื่อไม่ใช่อุดมคติที่พวกเขาอยากได้ ก็อย่าหวัง
ไม่เอาแล้ว
คุณพ่อคุณแม่บ่อยครั้งที่บังคับลูก ก็เพราะหวังให้ลูกได้ดี อยากให้ลูกมีอนาคต
เมื่อคืนดูข่าว นศ. วิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ออกมาร้องไห้ที่เรียนจบแล้วทำงานไม่ได้เพราะหลักสูตรไม่ได้รับการยอมรับจากองค์กรวิชาชีพ น่าสงสารมาก มีคนบอกว่าส่วนใหญ่เพื่อนๆกันก็ลูกชาวนาทั้งนั้น พ่อแม่กู้หนี้ยืมสิน ขายที่นา ฯลฯ เพื่อให้ลูกได้มาเรียน .. ฟังแล้วน้ำตาจะร่วง
ลองคิดถึงคนๆนึง ทำนามาหลายชั่วอายุคน ทรัพย์สินก็มีไม่มาก แต่เพื่ออนาคตของลูก ต้องไปหากู้หนี้ยืมสินคนอื่น หรือเอาที่นาที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายให้มาไปขาย ไปจำนอง ตัวเองก็ไม่เหลืออะไร วันพรุ่งนี้จะทำยังไงก็ไม่รู้ หนี้ก็ต้องใช้คนอื่น เงินก็ไม่รู้จะหาจากไหนแล้ว แต่ก็ต้องทำ
เพราะท้ายที่สุด มันคือคำว่า "เพื่อลูก"
ผมเปล่าบอกว่าสิ่งที่พ่อแม่คุณทำนั้นถูกต้องหรือเหมาะสม เพียงแต่อยากให้เข้าใจท่านบ้างเท่านั้น ว่าท้ายที่สุด มันคือความหวังดี
ท่านแค่อยากให้คุณทำในสิ่งที่ท่านคิดว่าดีกับคุณ ทำแล้วคุณจะมีอนาคต ก็เท่านั้นเองครับ
ส่วนปัญหาของคุณที่แก้ไม่ตก ก็ต้องคุยกับท่านอย่างเปิดอก บอกให้ท่านทราบว่าทางที่ท่านเลือกให้น่ะ ดี แต่มันเดินไม่ไหว ไม่ใช่ไม่อยากทำ ไม่ใช่อยากต่อต้าน แต่มันทำไม่ได้ มันไม่มีความสามารถจะให้ทำยังไงไหว อยากหาทางใหม่ดู ท่านคิดว่าควรจะเลือกอะไรดี
แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องบอกให้ท่านรู้ว่าเรารู้ว่าท่านอยากให้เราได้ดี และเรารู้สึกขอบคุณตรงนั้นมากๆ เท่านั้นเองครับ
เมื่อคืนดูข่าว นศ. วิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ออกมาร้องไห้ที่เรียนจบแล้วทำงานไม่ได้เพราะหลักสูตรไม่ได้รับการยอมรับจากองค์กรวิชาชีพ น่าสงสารมาก มีคนบอกว่าส่วนใหญ่เพื่อนๆกันก็ลูกชาวนาทั้งนั้น พ่อแม่กู้หนี้ยืมสิน ขายที่นา ฯลฯ เพื่อให้ลูกได้มาเรียน .. ฟังแล้วน้ำตาจะร่วง
ลองคิดถึงคนๆนึง ทำนามาหลายชั่วอายุคน ทรัพย์สินก็มีไม่มาก แต่เพื่ออนาคตของลูก ต้องไปหากู้หนี้ยืมสินคนอื่น หรือเอาที่นาที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายให้มาไปขาย ไปจำนอง ตัวเองก็ไม่เหลืออะไร วันพรุ่งนี้จะทำยังไงก็ไม่รู้ หนี้ก็ต้องใช้คนอื่น เงินก็ไม่รู้จะหาจากไหนแล้ว แต่ก็ต้องทำ
เพราะท้ายที่สุด มันคือคำว่า "เพื่อลูก"
ผมเปล่าบอกว่าสิ่งที่พ่อแม่คุณทำนั้นถูกต้องหรือเหมาะสม เพียงแต่อยากให้เข้าใจท่านบ้างเท่านั้น ว่าท้ายที่สุด มันคือความหวังดี
ท่านแค่อยากให้คุณทำในสิ่งที่ท่านคิดว่าดีกับคุณ ทำแล้วคุณจะมีอนาคต ก็เท่านั้นเองครับ
ส่วนปัญหาของคุณที่แก้ไม่ตก ก็ต้องคุยกับท่านอย่างเปิดอก บอกให้ท่านทราบว่าทางที่ท่านเลือกให้น่ะ ดี แต่มันเดินไม่ไหว ไม่ใช่ไม่อยากทำ ไม่ใช่อยากต่อต้าน แต่มันทำไม่ได้ มันไม่มีความสามารถจะให้ทำยังไงไหว อยากหาทางใหม่ดู ท่านคิดว่าควรจะเลือกอะไรดี
แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องบอกให้ท่านรู้ว่าเรารู้ว่าท่านอยากให้เราได้ดี และเรารู้สึกขอบคุณตรงนั้นมากๆ เท่านั้นเองครับ
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
พวกเขาปฏิเสธทุกอย่างที่มาจากความคิดเรา เพื่อยัดเยียดความคิดของเขาให้เราแทนค่ะ
สำคัญตัวว่ารักเรา จึงคิดว่าทำอะไรกับเราก็ได้ไม่มีผิด ถ้าเราเถียงก็จะหาว่าเราไม่ฟัง แต่ทีพวกเขาไม่ฟังเรา เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง
ถ้าเขาแตะต้องคนที่เรารัก ดังที่พวกเขาเคยทำล่ะก็...... จะปลุกปีศาจในตัวให้ตื่นขึ้นมาเต็มสูบให้ดู
สำคัญตัวว่ารักเรา จึงคิดว่าทำอะไรกับเราก็ได้ไม่มีผิด ถ้าเราเถียงก็จะหาว่าเราไม่ฟัง แต่ทีพวกเขาไม่ฟังเรา เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง
ถ้าเขาแตะต้องคนที่เรารัก ดังที่พวกเขาเคยทำล่ะก็...... จะปลุกปีศาจในตัวให้ตื่นขึ้นมาเต็มสูบให้ดู
- dark-kanita
- โพสต์: 317
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 18, 2007 2:37 pm
ชะตากรรมเริ่มจะคล้ายชั้นนะเนี่ย เง้อจะสวดให้นะคะ จะเป็นกำลังใจให้อีกแรง
เราก้เคยตกลงกันไม่ได้กับพ่อแม่เรื่องการเรียนนี่และ
ไอ้เราถนัดไปคนละอย่าง แต่ไห้ไปเรียนอีกอย่าง เง้อทรมารสุดๆเลย ตอนอยู่มัทธยม ถูกบังคับว่าให้เรียนต่อพยาบาล แต่ข้าพเจ้ามีหัวด้านศิลป์ พูดกันยังไงก็เถียงไม่ชนะ สุดท้ายก็เลยบอกไปว่า
เอาละจะเรียนให้ก็ได้ แต่จบมาเจ้จะไม่รับอาชีพนี้ จะไปหางานทำแล้วเรียนต่อไอ้ที่ตัวเองพอจะไปรอด
แล้วก็ใช้เวลาพูดคุยกันอีกนานเลยละ กว่าจะตกลงกันได้
ต่างคนต่างพยายามเข้าใจกัน (ย้ำว่าพยายาม) สุดท้ายเราก็ไม่ได้เรียนศิลป์และก็ไม่ได้เรียนพยาบาล
555555 แต่ไปเรียนฟิสิกส์โน่น เก่งศิลป์แต่ไปเรียนต่อฟิสิกส์ ตอนแรกโกรธพระเจ้ามากเลยละ ที่อธิฐานแล้วมันออกมาในรูปนี้ แต่ปัจจุบันดีใจมากเลยคะ เพราะว่าเรียนวิชานี้แล้วหัวทางด้านศิลป์ยิ่งบันเจิด(ชอบ มันเวอร์ดีอะ)
ขอบคุณพระเจ้า ลองอธิฐานดูนะคะ และที่สำคัญใจเย็นๆ พยายามพูดกันต่อไป วันนี้ไม่ได้ก็พรุ่งนี้ พยายามพูดให้พ่อแม่สงสาร แบบว่าถ้าไปไม่ไหวจริงๆแล้วสู้เรียนต่อไปเผลอๆ มันจะจบช้ากว่าซิ่วนะคะ
แต่ว่าถ้ายังพอทนเรียนได้ และยังพอมีหัวทางนี้อยู่บ้างก็ลองพยายามเรียนต่อดูนะ จงมีความมั่นใจเข้าไว้
ทุกสิ่งไม่ยากเกินมนุษย์หรอกนะคะ (บางทีพระเจ้าอาจจะอยากให้เธอเป็นทันตะจริงก็ได้นะ)
ขอพระเจ้าคุ้มครองคะ
เราก้เคยตกลงกันไม่ได้กับพ่อแม่เรื่องการเรียนนี่และ
ไอ้เราถนัดไปคนละอย่าง แต่ไห้ไปเรียนอีกอย่าง เง้อทรมารสุดๆเลย ตอนอยู่มัทธยม ถูกบังคับว่าให้เรียนต่อพยาบาล แต่ข้าพเจ้ามีหัวด้านศิลป์ พูดกันยังไงก็เถียงไม่ชนะ สุดท้ายก็เลยบอกไปว่า
เอาละจะเรียนให้ก็ได้ แต่จบมาเจ้จะไม่รับอาชีพนี้ จะไปหางานทำแล้วเรียนต่อไอ้ที่ตัวเองพอจะไปรอด
แล้วก็ใช้เวลาพูดคุยกันอีกนานเลยละ กว่าจะตกลงกันได้
ต่างคนต่างพยายามเข้าใจกัน (ย้ำว่าพยายาม) สุดท้ายเราก็ไม่ได้เรียนศิลป์และก็ไม่ได้เรียนพยาบาล
555555 แต่ไปเรียนฟิสิกส์โน่น เก่งศิลป์แต่ไปเรียนต่อฟิสิกส์ ตอนแรกโกรธพระเจ้ามากเลยละ ที่อธิฐานแล้วมันออกมาในรูปนี้ แต่ปัจจุบันดีใจมากเลยคะ เพราะว่าเรียนวิชานี้แล้วหัวทางด้านศิลป์ยิ่งบันเจิด(ชอบ มันเวอร์ดีอะ)
ขอบคุณพระเจ้า ลองอธิฐานดูนะคะ และที่สำคัญใจเย็นๆ พยายามพูดกันต่อไป วันนี้ไม่ได้ก็พรุ่งนี้ พยายามพูดให้พ่อแม่สงสาร แบบว่าถ้าไปไม่ไหวจริงๆแล้วสู้เรียนต่อไปเผลอๆ มันจะจบช้ากว่าซิ่วนะคะ
แต่ว่าถ้ายังพอทนเรียนได้ และยังพอมีหัวทางนี้อยู่บ้างก็ลองพยายามเรียนต่อดูนะ จงมีความมั่นใจเข้าไว้
ทุกสิ่งไม่ยากเกินมนุษย์หรอกนะคะ (บางทีพระเจ้าอาจจะอยากให้เธอเป็นทันตะจริงก็ได้นะ)
ขอพระเจ้าคุ้มครองคะ
- (⊙△⊙)คุณxuู๓้uxoม(⊙△⊙)
- โพสต์: 892
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 12:38 am
เป็นเหมือนกันค่ะ อาการเบื่อกำเริบ
สู้ๆนะค่ะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
สู้ๆนะค่ะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
ให้กำลังใจค่ะ
มีความรู้สึก(เกี่ยวกับการเรียน)เหมือนกันเปี๊ยบบบบเลยค่ะ เพราะเราเองก็เรียนหมอ ซึ่งหนักพอดูเหมือนกัน: xemo017 :
ตอนแรกก็รู้สึกต่อต้านพ่อแม่เหมือนกัน
แต่สำหรับเราที่เรียนมาหลสยปีแล้ว(ห้าห้า) พอแก่แล้วเริ่มคิดได้ค่ะ
พ่อแม่รักเราก็ต้องมีแผนการที่ดีสำหรับเรา เหมือนพระเจ้าทรงวางหนทางให้เราไงคะ
...ตั้งใจและเข้มแข็งไว้ค่ะ ทางที่คุณกำลังจะไปเป็นทางที่ดีแน่นอนค่ะ สู้วววววว
มีความรู้สึก(เกี่ยวกับการเรียน)เหมือนกันเปี๊ยบบบบเลยค่ะ เพราะเราเองก็เรียนหมอ ซึ่งหนักพอดูเหมือนกัน: xemo017 :
ตอนแรกก็รู้สึกต่อต้านพ่อแม่เหมือนกัน
แต่สำหรับเราที่เรียนมาหลสยปีแล้ว(ห้าห้า) พอแก่แล้วเริ่มคิดได้ค่ะ
พ่อแม่รักเราก็ต้องมีแผนการที่ดีสำหรับเรา เหมือนพระเจ้าทรงวางหนทางให้เราไงคะ
...ตั้งใจและเข้มแข็งไว้ค่ะ ทางที่คุณกำลังจะไปเป็นทางที่ดีแน่นอนค่ะ สู้วววววว
ต้องภาวนาให้มากนะครับ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย
สมัยผมเรียนแพทย์ที่จุฬาฯก็คิดเปลี่ยนคณะตั้งแต่อยู่ปี 1 ถึงปี 5 คิดมันทุกปี เพราะรู้สึกว่าไม่ถนัด และไม่ชอบวิชาสายวิทยาศาสตร์
พ่อแม่ผมก็ไม่ได้ห้ามเพียงแต่เตือนว่าถ้าลาออกไปอาจจะทำให้ตัวเองรู้สึกเสีย self พอมาปี 6 คิดว่าเอาวะทนๆไป ยังไงให้มันจบสักใบก่อน
จบมาทำงาน 3 เดือนแรก เป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะที่จังหวัดทางภาคเหนือก็เผชิญความเครียดไม่น้อย สุดท้ายก็เลือกที่จะลองทนทำไป เพราะว่าไม่ได้รังเกียจวิชาชีพนี้ขนาดนั้น และคิดว่าเป็นวิชาที่ทำประโยชน์ได้มาก
ตอนใกล้จะใช้ทุนครบก็มีตำแหน่งอาจารย์มาเสนอให้แต่ต้องไปเรียนเฉพาะทางอีก 3 ปี ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าตอนเรียนแพทย์ทั่วไปกับตอนใช้ทุนเสียอีก สุดท้ายเรียนไปอีก 10 เดือน เจอปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกไปต่อท่าจะไม่ไหว ตอนนั้นเลยตัดสินใจลาออก ต้องเสียค่าปรับให้มหาลัยต้นสังกัดอีกราวๆ 4 แสน (แต่ถ้าเรียนจบตามหลักสูตรแล้วไม่กลับไปเป็นอาจารย์จะโดนราวๆ 1.2 ล้าน) เลยยืมตังค์คุณแม่มาจ่ายไปก่อน ซึ่งท่านก็ผิดหวังอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เพราะท่านเป็นคนที่สนับสนุนให้เรียนต่อแบบเชียร์ขาดใจ
ย้ายมาอยู่ภาคเอกชนอีกปีกว่าก็มีปัญหาที่ทำงานอีก คราวนี้เลยย้ายมาอยู่รพ.คาทอลิก แม้จะมีปัญหา เรื่องหงุดหงิดรำคาญใจบ้างแต่ชีวิตการทำงานตอนนี้ก็ดีกว่าที่ผ่านๆมามาก เมื่อหักข้อดีข้อเสียแล้ว มาอยู่ที่นี่ได้ไปหน่วยตรวจสุขภาพกับชมรมเวชบุคคลคาทอลิกของมิสซังและของรพ.
มานั่งคิดว่าถ้าพระเจ้าทรงให้เรามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก เราอาจจะเก็บเงินได้มากกว่านี้มาก อาจจะไม่ต้องไปเสียสุขภาพทั้งกายและใจ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีตทำให้เราเรียนรู้ว่า ไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่รู้จักสุข ไม่เจออะไรแย่ๆก็จะไม่รู้ค่าของสิ่งดีๆที่ได้รับมา
หลังจากภาวนาแล้วคุณต้องถามใจคุณเองว่าเกลียดวิชาชีพหรือลักษณะงานแบบที่เป็นอยู่มากขนาดสุดๆจริงๆหรือเปล่า และมีทางเลือกอื่นๆที่เห็นแววชัดๆว่าตัวเองชอบ มีทักษะความสามารถที่จะทำได้ และไม่ไส้แห้งหรือไม่ จากนั้นเอามาชั่งน้ำหนักดูว่าคุ้มจริงๆไหมที่จะเปลี่ยนสายการเรียน และเปลี่ยนสายอาชีพ
ไอ้เรื่องทำคนไข้เจ็บนี่ต้องทำใจและไม่น่าจะทำยากนักหรอกครับ คิดง่ายๆทำฟันประเทศไหนวะไม่เจ็บ คำตอบก็คือไม่มี จะเจ็บมากเจ็บน้อยนั่นอีกเรื่อง คนมาทำฟันทุกคนหรือเกือบทุกคนหนะเขาทำใจมาล่วงหน้าแล้วว่าเจ็บ หรือคุณจะเถียงว่าไม่จริง
อีกเรื่องที่ต้องระลึกไว้เสมอคือพ่อแม่เป็น sponsor คนสำคัญที่สุดของคุณ (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) ดังนั้นเราจะต้องมีเหตุผลที่ดีที่ฟังแล้วดูเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ฟังแล้วกลายเป็นวัยรุ่นที่ไร้ความอดทน ไม่งั้นจะให้ผู้ใหญ่เข้าใจและเห็นด้วยคงจะยากครับ
ขอพระเจ้าอวยพรคุณ
สมัยผมเรียนแพทย์ที่จุฬาฯก็คิดเปลี่ยนคณะตั้งแต่อยู่ปี 1 ถึงปี 5 คิดมันทุกปี เพราะรู้สึกว่าไม่ถนัด และไม่ชอบวิชาสายวิทยาศาสตร์
พ่อแม่ผมก็ไม่ได้ห้ามเพียงแต่เตือนว่าถ้าลาออกไปอาจจะทำให้ตัวเองรู้สึกเสีย self พอมาปี 6 คิดว่าเอาวะทนๆไป ยังไงให้มันจบสักใบก่อน
จบมาทำงาน 3 เดือนแรก เป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะที่จังหวัดทางภาคเหนือก็เผชิญความเครียดไม่น้อย สุดท้ายก็เลือกที่จะลองทนทำไป เพราะว่าไม่ได้รังเกียจวิชาชีพนี้ขนาดนั้น และคิดว่าเป็นวิชาที่ทำประโยชน์ได้มาก
ตอนใกล้จะใช้ทุนครบก็มีตำแหน่งอาจารย์มาเสนอให้แต่ต้องไปเรียนเฉพาะทางอีก 3 ปี ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าตอนเรียนแพทย์ทั่วไปกับตอนใช้ทุนเสียอีก สุดท้ายเรียนไปอีก 10 เดือน เจอปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกไปต่อท่าจะไม่ไหว ตอนนั้นเลยตัดสินใจลาออก ต้องเสียค่าปรับให้มหาลัยต้นสังกัดอีกราวๆ 4 แสน (แต่ถ้าเรียนจบตามหลักสูตรแล้วไม่กลับไปเป็นอาจารย์จะโดนราวๆ 1.2 ล้าน) เลยยืมตังค์คุณแม่มาจ่ายไปก่อน ซึ่งท่านก็ผิดหวังอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เพราะท่านเป็นคนที่สนับสนุนให้เรียนต่อแบบเชียร์ขาดใจ
ย้ายมาอยู่ภาคเอกชนอีกปีกว่าก็มีปัญหาที่ทำงานอีก คราวนี้เลยย้ายมาอยู่รพ.คาทอลิก แม้จะมีปัญหา เรื่องหงุดหงิดรำคาญใจบ้างแต่ชีวิตการทำงานตอนนี้ก็ดีกว่าที่ผ่านๆมามาก เมื่อหักข้อดีข้อเสียแล้ว มาอยู่ที่นี่ได้ไปหน่วยตรวจสุขภาพกับชมรมเวชบุคคลคาทอลิกของมิสซังและของรพ.
มานั่งคิดว่าถ้าพระเจ้าทรงให้เรามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก เราอาจจะเก็บเงินได้มากกว่านี้มาก อาจจะไม่ต้องไปเสียสุขภาพทั้งกายและใจ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีตทำให้เราเรียนรู้ว่า ไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่รู้จักสุข ไม่เจออะไรแย่ๆก็จะไม่รู้ค่าของสิ่งดีๆที่ได้รับมา
หลังจากภาวนาแล้วคุณต้องถามใจคุณเองว่าเกลียดวิชาชีพหรือลักษณะงานแบบที่เป็นอยู่มากขนาดสุดๆจริงๆหรือเปล่า และมีทางเลือกอื่นๆที่เห็นแววชัดๆว่าตัวเองชอบ มีทักษะความสามารถที่จะทำได้ และไม่ไส้แห้งหรือไม่ จากนั้นเอามาชั่งน้ำหนักดูว่าคุ้มจริงๆไหมที่จะเปลี่ยนสายการเรียน และเปลี่ยนสายอาชีพ
ไอ้เรื่องทำคนไข้เจ็บนี่ต้องทำใจและไม่น่าจะทำยากนักหรอกครับ คิดง่ายๆทำฟันประเทศไหนวะไม่เจ็บ คำตอบก็คือไม่มี จะเจ็บมากเจ็บน้อยนั่นอีกเรื่อง คนมาทำฟันทุกคนหรือเกือบทุกคนหนะเขาทำใจมาล่วงหน้าแล้วว่าเจ็บ หรือคุณจะเถียงว่าไม่จริง
อีกเรื่องที่ต้องระลึกไว้เสมอคือพ่อแม่เป็น sponsor คนสำคัญที่สุดของคุณ (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) ดังนั้นเราจะต้องมีเหตุผลที่ดีที่ฟังแล้วดูเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ฟังแล้วกลายเป็นวัยรุ่นที่ไร้ความอดทน ไม่งั้นจะให้ผู้ใหญ่เข้าใจและเห็นด้วยคงจะยากครับ
ขอพระเจ้าอวยพรคุณ
- antoinetty*
- โพสต์: 451
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 04, 2007 9:39 pm
^
^
ตอนนี้ประสบปัญหาเหมือนพี่โต้งเลยครับ T ^ T
^
ตอนนี้ประสบปัญหาเหมือนพี่โต้งเลยครับ T ^ T