ทำไมผมจะต้องมาเจอะคนประเภทนี้ด้วย
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 04, 2010 10:20 am
ผมตัดสินใจออกจากบ้านเณรที่สิงคโปร์ เหตุผลหนึ่งก็เพราะผมไม่ชอบคนที่ชอบใช้อำนาจหน้าที่ของตนเองไปข่มเหงรังแกคนอื่น และมีพฤติกรรมที่ทำร้ายองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่ ซึ่งที่บ้านเณรที่สิงคโปร์ก็มีเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่ง ที่มีลักษณะนิสัยอย่างนั้น ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่มีอำนาจบังคับบัญชาเธอและกับคนที่มีฐานะดี คุณเธอจะพินอบพิเทา เลียแข้งเลียขนจนลิ้นแทบสึก แต่พฤติกรรมต่อหน้าคนอื่นกลับตรงกันข้าม เธอมองไม่เห็นหัวใคร ทำอะไรตามใจตนเอง เธอมีหน้าที่เป็นธุรการ และฝ่ายทะเบียนไปพร้อม ๆ กัน การทำงานของเธอถือว่ามีสองมาตรฐาน เธอจะเป็นมิตรและอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาคนที่เธอชอบเธอ แต่คนที่ไม่มีผลประโยชน์ให้เธอ เธอกลับแทบไม่มอง เวลาคนเหล่านั้นมีธุระมาขอให้เธอช่วยจัดการ เป็นต้นเรื่องเอกสารต่าง ๆ หากมาในขณะที่เธอกำลังโทรศัพท์อยู่ เธอจะปล่อยให้รอแล้วรอเล่าเป็นเวลานาน ซึ่งหลาย ๆ ครั้งที่ได้ยินเธอคุยในโทรศัพท์ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงาน จนผู้รอหมดความอดทนและเดินออกไป และหาโอกาสมาเวลาอื่น ที่ครั้งหนึ่ง เณรไทยคนหนึ่ง มีความจำเป็นต้องกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย เณรคนนี้ได้ฝากใบลาให้เพื่อนเณรอีกคนนำมายื่นให้เธอ แต่เมื่อเณรไทยคนนั้นกลับมา เขากลับพบว่า เขาถูกถอนชื่อออกจากบ้านเณร เพราะหยุดเรียนไปโดยไม่ได้แจ้ง ซึ่งที่จริงเพื่อนเณรที่ได้รับฝากจดหมายใบลาจากเณรไทย ก็ยืนยันว่าเขาได้นำใบลาไปยื่นที่เจ้าหน้าที่คนนั้นแล้ว ดังนั้น เณรคนนั้นเลยถูกดับฝันที่จะได้เป็นพระสงฆ์ (เณรไทยคนนั้นเป็นรุ่นพี่ของผมครับ)
และเมื่อผมกลับมาทำงานที่เมืองไทย ในหน่วยงานหนึ่งของพระศาสนจักร ผมก็ต้องมาเจอะกับคนประเภทนี้อีก เธอก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าหน้าที่บ้านเณรสิงคโปร์คนนั้น เธอมีหน้าที่ดูแลเรื่องการเงิน พร้อมทั้งงานด้านการประสานงานกับองค์กรอื่น ๆ ด้วย หน่วยงานนี้เมื่อก่อนมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถหลายคน แต่เมื่อเธอคนนี้มาทำงาน พนักงานก็ค่อย ๆ ลาออกไป จนที่สุดเหลือเธอเพียงคนเดียว จนสำนักงานที่เคยตั้งอยู่เป็นเอกเทศ ต้องถูกยุบรวมเข้าไปอยู่ที่ตึกสภาพระสังฆราชฯ เหตุผลหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะลักษณะนิสัยของเธอที่เป็นคนใจแคบ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ใส่ใจในความรู้สึกและความคิดของคนอื่น ตามธรรมดาแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานโดยได้รับค่าตอบแทน โดยมีเจ้าหน้าที่การเงินเป็นผู้เบิกจ่ายเงินเดือนให้พนักงานทุกคน ซึ่งปกติแล้วทุกหน่วยงานในสภาพระสังฆราชฯ จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน แต่เจ้าหน้าที่คนนี้ เบิกจ่ายเงินตามใจของเธอ ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน บางเดือนเลยมาจนถึงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนถัดไป เธอจะชอบอ้างว่า งานยุ่ง ไม่มีเวลาไปธนาคาร ซึ่งเจ้าหน้าที่การเงินในหน่วยงานอื่น ๆ บอกผมว่า เค้าจะเอาเหตุผลนี้มาอ้างไม่ได้ เพราะเป้นหน้าที่ของเค้าต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด ถ้าคนที่เค้ามีภาระต้องจ่ายนู่นจ่ายนี้ ก็คงต้องพบความยากลำบากมากมาย ซึ่งก็มีคนร้องเรียนคุณพ่อที่เป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว คุณพ่อก็บอกเธอหลายครั้งว่าให้จ่ายเงินเดือนตรงกำหนดเวลา แต่เธอก็ไม่เคยจ่ายตรงสักครั้ง จนในที่สุดพนักงานก็ทะยอยลาออกไปจนหมด เพราะหมดกำลังใจและความมั่นคงในการทำงาน
เมื่อผมเข้ามาทำงานที่นี่ ก็มีคนเตือนผมให้คิดดี ๆ เพราะได้ข่าวมาว่าหน่วยงานนี้กำลังไปไม่รอด ก็แม่เจ้าหน้าที่ตัวแสบนี้เที่ยวประโคมข่าวว่า หน่วยงานไม่มีงบประมาณแล้ว บางครั้งเธอยังต้องเอาเงินตัวเองออกค่าใช้จ่ายของสำนักงาน ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย เพราะหน่วยงานยังมีเงินฝากในบัญชีเป็นล้าน ๆ แต่คนเราเมื่ออยู่กับเงิน เห็นตัวเงิน ก็เกิดความยึดมั่นถือมั่น ถึงแม้จะไม่เอามาใช้สำหรับตนเอง แต่ก็เข้าข่ายตระหนี่ ไม่อยากนำมาใช้ในงานของหน่วยงาน เงินก็ไม่ใช่เงินตัวเอง แต่หวงจัง จนท้ายสุดเธอเองก็กลายเป็นย่าโสมเฝ้าทรัพย์อยู่คนเดียว ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตของหน่วยงานนี้จะเป็นอย่างไร เพราะคุณพ่อที่ดูแลด้านนี้อยากจะรื้อฟื้นงานขึ้นมาใหม่ จึงจ้างพนักงานเพิ่มมา 2 คน คือผมกับเจ้าหน้าที่อีกคน และก็ได้ฝากให้ผมและเจ้าหน้าที่อีกคนศึกษางานกับหน่วยงานอื่นประมาณ 3 เดือนก่อน แต่ก็ปล่อยเจ้าหน้าที่การเงินคนนั้นให้อยู่เฝ้าออฟฟิซคนเดียวไปก่อน มีบางคนเคยบอกพระคุณเจ้าและคุณพ่อที่ดูแลหน่วยงานนี้ว่า เพราะเจ้าหน้าที่คนนี้ยังอยู่ หน่วยงานนี้มันจึงย่ำแย่ พนักงงานลาออกหมด ทำไมไม่เอาคนนี้ออกไป แต่ท่านก็ยังเมตตาไม่ทำอะไร เพราะเวลาอยู่ต่อหน้าพระคุณเจ้า พระสงฆ์ เธอจะปฏิบัติตัวต่างจากที่เธอทำต่อเพื่อนร่วมงานด้วยกัน พูดได้ว่า"เลีย" พระคุณเจ้าและคุณพ่อจนท่านใจอ่อน ไม่ทำอะไรเธอจนบัดนี้
ผมจึงอยากระบายและขอคำภาวนาตลอดจนกำลังใจ ทีแรกผมคิดจะลาออกแล้วหละหลังจากที่รับเงินเดือน ๆ แรก เพราะมันรู้สึกขยาดที่ต้องมาเจอคนประเภทนี้ ที่จ้องแต่จะทำลายคนอื่น ไม่เห็นใจคนอื่น แต่ผมก็จะพยายามอยู่ไปก่อน เผื่อว่าอะไร ๆ จะดีขึ้น ถ้าผมสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ผมไม่อยากเป็นคนที่พอเจออะไรที่ไม่ชอบแล้วจะต้องหนีต่อไป ผมเองรักการทำงานในหน่วยงานของพระศาสนจักร
และเมื่อผมกลับมาทำงานที่เมืองไทย ในหน่วยงานหนึ่งของพระศาสนจักร ผมก็ต้องมาเจอะกับคนประเภทนี้อีก เธอก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าหน้าที่บ้านเณรสิงคโปร์คนนั้น เธอมีหน้าที่ดูแลเรื่องการเงิน พร้อมทั้งงานด้านการประสานงานกับองค์กรอื่น ๆ ด้วย หน่วยงานนี้เมื่อก่อนมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถหลายคน แต่เมื่อเธอคนนี้มาทำงาน พนักงานก็ค่อย ๆ ลาออกไป จนที่สุดเหลือเธอเพียงคนเดียว จนสำนักงานที่เคยตั้งอยู่เป็นเอกเทศ ต้องถูกยุบรวมเข้าไปอยู่ที่ตึกสภาพระสังฆราชฯ เหตุผลหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะลักษณะนิสัยของเธอที่เป็นคนใจแคบ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ใส่ใจในความรู้สึกและความคิดของคนอื่น ตามธรรมดาแล้ว เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานโดยได้รับค่าตอบแทน โดยมีเจ้าหน้าที่การเงินเป็นผู้เบิกจ่ายเงินเดือนให้พนักงานทุกคน ซึ่งปกติแล้วทุกหน่วยงานในสภาพระสังฆราชฯ จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน แต่เจ้าหน้าที่คนนี้ เบิกจ่ายเงินตามใจของเธอ ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน บางเดือนเลยมาจนถึงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนถัดไป เธอจะชอบอ้างว่า งานยุ่ง ไม่มีเวลาไปธนาคาร ซึ่งเจ้าหน้าที่การเงินในหน่วยงานอื่น ๆ บอกผมว่า เค้าจะเอาเหตุผลนี้มาอ้างไม่ได้ เพราะเป้นหน้าที่ของเค้าต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด ถ้าคนที่เค้ามีภาระต้องจ่ายนู่นจ่ายนี้ ก็คงต้องพบความยากลำบากมากมาย ซึ่งก็มีคนร้องเรียนคุณพ่อที่เป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว คุณพ่อก็บอกเธอหลายครั้งว่าให้จ่ายเงินเดือนตรงกำหนดเวลา แต่เธอก็ไม่เคยจ่ายตรงสักครั้ง จนในที่สุดพนักงานก็ทะยอยลาออกไปจนหมด เพราะหมดกำลังใจและความมั่นคงในการทำงาน
เมื่อผมเข้ามาทำงานที่นี่ ก็มีคนเตือนผมให้คิดดี ๆ เพราะได้ข่าวมาว่าหน่วยงานนี้กำลังไปไม่รอด ก็แม่เจ้าหน้าที่ตัวแสบนี้เที่ยวประโคมข่าวว่า หน่วยงานไม่มีงบประมาณแล้ว บางครั้งเธอยังต้องเอาเงินตัวเองออกค่าใช้จ่ายของสำนักงาน ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย เพราะหน่วยงานยังมีเงินฝากในบัญชีเป็นล้าน ๆ แต่คนเราเมื่ออยู่กับเงิน เห็นตัวเงิน ก็เกิดความยึดมั่นถือมั่น ถึงแม้จะไม่เอามาใช้สำหรับตนเอง แต่ก็เข้าข่ายตระหนี่ ไม่อยากนำมาใช้ในงานของหน่วยงาน เงินก็ไม่ใช่เงินตัวเอง แต่หวงจัง จนท้ายสุดเธอเองก็กลายเป็นย่าโสมเฝ้าทรัพย์อยู่คนเดียว ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตของหน่วยงานนี้จะเป็นอย่างไร เพราะคุณพ่อที่ดูแลด้านนี้อยากจะรื้อฟื้นงานขึ้นมาใหม่ จึงจ้างพนักงานเพิ่มมา 2 คน คือผมกับเจ้าหน้าที่อีกคน และก็ได้ฝากให้ผมและเจ้าหน้าที่อีกคนศึกษางานกับหน่วยงานอื่นประมาณ 3 เดือนก่อน แต่ก็ปล่อยเจ้าหน้าที่การเงินคนนั้นให้อยู่เฝ้าออฟฟิซคนเดียวไปก่อน มีบางคนเคยบอกพระคุณเจ้าและคุณพ่อที่ดูแลหน่วยงานนี้ว่า เพราะเจ้าหน้าที่คนนี้ยังอยู่ หน่วยงานนี้มันจึงย่ำแย่ พนักงงานลาออกหมด ทำไมไม่เอาคนนี้ออกไป แต่ท่านก็ยังเมตตาไม่ทำอะไร เพราะเวลาอยู่ต่อหน้าพระคุณเจ้า พระสงฆ์ เธอจะปฏิบัติตัวต่างจากที่เธอทำต่อเพื่อนร่วมงานด้วยกัน พูดได้ว่า"เลีย" พระคุณเจ้าและคุณพ่อจนท่านใจอ่อน ไม่ทำอะไรเธอจนบัดนี้
ผมจึงอยากระบายและขอคำภาวนาตลอดจนกำลังใจ ทีแรกผมคิดจะลาออกแล้วหละหลังจากที่รับเงินเดือน ๆ แรก เพราะมันรู้สึกขยาดที่ต้องมาเจอคนประเภทนี้ ที่จ้องแต่จะทำลายคนอื่น ไม่เห็นใจคนอื่น แต่ผมก็จะพยายามอยู่ไปก่อน เผื่อว่าอะไร ๆ จะดีขึ้น ถ้าผมสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ผมไม่อยากเป็นคนที่พอเจออะไรที่ไม่ชอบแล้วจะต้องหนีต่อไป ผมเองรักการทำงานในหน่วยงานของพระศาสนจักร