เหนื่อย(ทางจิตใจ)มาก ๆ
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 20, 2012 10:35 am
หลังจากผ่านวิกฤติความแค้น = หายนะของคนที่เรารักทุกคน มาได้.....(อย่างน้อยก็อยากให้เป็นอย่างนั้น)
พยายามไปวัดให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การสวดบ่ายสาม และสวดพระเมตตาก่อนนอนถูกเพิ่มขึ้นมา
......แต่ ถ้าทุกอย่างมันจบได้แฮปปี้ขนาดนั้นก็ยังดี......
ยิ่งใช้ชีวิตไป ยิ่งพบว่า..... บางสิ่งบางอย่าง...... มันไม่ได้หายไปจากใจตามคาด
ในออฟฟิศ แม้ว่า "หมอนั่น" จะไม่อยู่แล้ว..... แต่ก็ยังรู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่า บาดแผลในใจ อาการหลอกหลอน นึกถึงเหมือนหมอนั่นมาคอยระรานชีวิต เหยียดหยามความเป็นส่วนตัว ยังคอยรังควานไม่เคยขาด
และแม้แต่เพื่อนร่วมออฟฟิศเอง ในตอนนี้ก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง ยังไงเราก็ต้องแข็งไว้บ้างเวลาเจ้าตัวทำอะไรที่หยามศักดิ์ศรี..... เพราะถ้าไม่มีศักดิ์ศรีของตัวเอง เราก็ตายทั้งเป็นอยู่ดี ในฐานะเบี้ยล่างที่น่าสมเพชดังที่เป็นมาทั้งชีวิต
......เมื่อมีความทุกข์และความเจ็บปวดในใจ ความรู้สึกที่คล้ายจะนำไปสู่ความโกรธ ความแค้น มันก็คล้ายจะกลับมาอีก แม้จะพยายามกดมันไม่ให้ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่า......ตราบที่ยังคงนึกถึงมันได้แม้ในเวลาที่ไม่อยาก จะโดนหาว่ายังไม่เลิกแค้นอยู่รึเปล่านะ
แม้จะพยายามหายโกรธ(จากคนตรงหน้า) ให้ได้ก่อนตะวันตกดินได้แล้วก็เถอะ แต่มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน
.......ยิ่งนึกถึง "หมอนั่น" มันจะกลับใจได้จริง ๆ น่ะหรือ การที่เราต้องสวดให้ "ศัตรู" นี่แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าอิงตามจิตใจ มันก็ยากจะยอมรับได้ (ยอมรับว่าบางทีสวดโดยพยายามไม่แม้แต่จะนึกถึง อย่างน้อยก็หวังว่าจะได้ไม่เกิดความแค้นผุดมาแทนในขณะที่ต้องสวดให้คนอื่นที่สำคัญกว่า "มากๆๆๆๆ" ด้วย)
ความเป็นธรรมล่ะ....... ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหนกัน เท่ากับว่าคดีต้องจบลงโดยที่ ผู้เสียหายได้บาดแผลต่อไป โดยที่ตัวการมันยังไม่ได้รับผลของการกระทำใด ๆ เลย อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามันได้รับ
(แต่คิดแบบนี้..... มีความหมายเท่ากับ "ความแค้น" ไหมนะ หลัก ๆ เลยก็คือ กลัวอยู่ว่าถ้าเกิดความแค้น จะเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนอยู่ดี ตอนนี้แฟนก็เรียนเช้าทำงานพิเศษดึก เนตเน่าสัปดาห์นึง กว่าจะได้โทรคุยก็ดึกเลยไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกันเท่าเมื่อก่อน น้องสาวก็มาป่วยออด ๆ แอด ๆ ไหนจะเริ่มลามถึงแฟนน้องสาวอีกคน......)
ตอนนี้ ความแค้นต่อคนที่ก่อนหน้าหมอนี่ ชักจะลืม ๆ ได้จนแทบไม่นึกถึงอีกแล้ว ถึงจะนึกถึงก็ไม่รุนแรงมากเท่าเคสนี้...... แต่ว่า........
ขอพูดตามความรู้สึกของตัวเองไม่ซึนเดเระเลย ไม่ว่ายังไง เราก็รู้สึกว่า หมอนั่นเป็นคนเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องมาลำบากลำบนกลับต้องเป็นเรากันแน่นะ แถมการที่มันไม่อยู่ตรงนี้ แม้จะมีผลดี แต่ก็ทำให้เราไม่สามารถคุยหรือระบายแค้นกับมันให้สิ้น ๆ ได้ (แต่ก็อย่างว่าแหละ...... ตอนนี้ "พวกคนที่เรารักทุกคน" เท่ากับเป็นตัวประกัน เหมือนกับถ้าตอบโต้ พวกเค้าจะเจ็บด้วย นี่เราทำได้เพียงแค่กัดฟันแบบที่เป็นมาเท่านั้นรึ)
อดคิดไม่ได้ว่า สุดท้าย พระเจ้ารักคนเกรียน ๆ ที่ไม่แม้แต่จะรู้จักพระองค์ มากกว่าเรางั้นรึ.....
ก็รู้อยู่ว่าตัวเองก็ชอบขบถ ไม่มีดีอะไรเลย แต่ว่า.....ต้องมาสิ้นหวังขนาดนี้นี่มัน.......
พูดก็พูดนะ เรื่องจิตใจเนี่ย มันบังคับกันไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังใช่ว่าจะสกัดความคิดที่ออกมาเป็นถ้อยคำในหัวได้ง่าย ๆ เลย ยิ่งถ้าปิดบังซ่อนจากพระองค์ไม่ได้ด้วยนี่.......
(แต่จะให้ทำใจ "รัก" คนที่เล่นวิธีตัวประกันหรือไม่ยอมพูดจาอะไรตรง ๆ เลยนี่มัน..... ตอนเราเด็กยังรักพระองค์มากกว่านี้เพราะไม่เคยเห็นพระองค์ทำแบบนี้นะ)
นี่ยังแค่ส่วนหนึ่งของความรู้สึกทุกข์ใจที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้ (ว่ากันจริง ๆ แล้วเรื่องที่เราอยากเป็นผู้หญิง ก็ยังไม่ได้คิดจะลืมหรือเลิกต้องการหรอกนะ เหตุผลน่ะมีเตรียมไว้พูดกับพระองค์เป็นกระตั้กเลยเหมือนเดิมนั่นแหละ)
แค่การวางใจ แค่ความรู้สึก มันช่วยแก้ไขอะไรได้จริง ๆ นะเหรอ.......
(กลัวอีกเรื่องก็คงเป็น...... "ฉากจบ" ล่ะมั้ง เพราะถ้าทุกอย่างดำเนินไปในทางที่เลวร้ายที่สุด เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่า จะยังคงยอมให้พระองค์ได้อีกหรือเปล่า..... อย่าว่าแต่ตอนจบเลย แค่ตอนนี้ก็ไม่ปฏิเสธเลยว่า มีความรู้สึก "ต่อต้าน" หลายเรื่องอยู่แล้ว ทั้งวิธีการบางอย่าง ทั้งอะไร)
พยายามไปวัดให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การสวดบ่ายสาม และสวดพระเมตตาก่อนนอนถูกเพิ่มขึ้นมา
......แต่ ถ้าทุกอย่างมันจบได้แฮปปี้ขนาดนั้นก็ยังดี......
ยิ่งใช้ชีวิตไป ยิ่งพบว่า..... บางสิ่งบางอย่าง...... มันไม่ได้หายไปจากใจตามคาด
ในออฟฟิศ แม้ว่า "หมอนั่น" จะไม่อยู่แล้ว..... แต่ก็ยังรู้สึกอยู่กลาย ๆ ว่า บาดแผลในใจ อาการหลอกหลอน นึกถึงเหมือนหมอนั่นมาคอยระรานชีวิต เหยียดหยามความเป็นส่วนตัว ยังคอยรังควานไม่เคยขาด
และแม้แต่เพื่อนร่วมออฟฟิศเอง ในตอนนี้ก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง ยังไงเราก็ต้องแข็งไว้บ้างเวลาเจ้าตัวทำอะไรที่หยามศักดิ์ศรี..... เพราะถ้าไม่มีศักดิ์ศรีของตัวเอง เราก็ตายทั้งเป็นอยู่ดี ในฐานะเบี้ยล่างที่น่าสมเพชดังที่เป็นมาทั้งชีวิต
......เมื่อมีความทุกข์และความเจ็บปวดในใจ ความรู้สึกที่คล้ายจะนำไปสู่ความโกรธ ความแค้น มันก็คล้ายจะกลับมาอีก แม้จะพยายามกดมันไม่ให้ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่า......ตราบที่ยังคงนึกถึงมันได้แม้ในเวลาที่ไม่อยาก จะโดนหาว่ายังไม่เลิกแค้นอยู่รึเปล่านะ
แม้จะพยายามหายโกรธ(จากคนตรงหน้า) ให้ได้ก่อนตะวันตกดินได้แล้วก็เถอะ แต่มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน
.......ยิ่งนึกถึง "หมอนั่น" มันจะกลับใจได้จริง ๆ น่ะหรือ การที่เราต้องสวดให้ "ศัตรู" นี่แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าอิงตามจิตใจ มันก็ยากจะยอมรับได้ (ยอมรับว่าบางทีสวดโดยพยายามไม่แม้แต่จะนึกถึง อย่างน้อยก็หวังว่าจะได้ไม่เกิดความแค้นผุดมาแทนในขณะที่ต้องสวดให้คนอื่นที่สำคัญกว่า "มากๆๆๆๆ" ด้วย)
ความเป็นธรรมล่ะ....... ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหนกัน เท่ากับว่าคดีต้องจบลงโดยที่ ผู้เสียหายได้บาดแผลต่อไป โดยที่ตัวการมันยังไม่ได้รับผลของการกระทำใด ๆ เลย อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามันได้รับ
(แต่คิดแบบนี้..... มีความหมายเท่ากับ "ความแค้น" ไหมนะ หลัก ๆ เลยก็คือ กลัวอยู่ว่าถ้าเกิดความแค้น จะเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนอยู่ดี ตอนนี้แฟนก็เรียนเช้าทำงานพิเศษดึก เนตเน่าสัปดาห์นึง กว่าจะได้โทรคุยก็ดึกเลยไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกันเท่าเมื่อก่อน น้องสาวก็มาป่วยออด ๆ แอด ๆ ไหนจะเริ่มลามถึงแฟนน้องสาวอีกคน......)
ตอนนี้ ความแค้นต่อคนที่ก่อนหน้าหมอนี่ ชักจะลืม ๆ ได้จนแทบไม่นึกถึงอีกแล้ว ถึงจะนึกถึงก็ไม่รุนแรงมากเท่าเคสนี้...... แต่ว่า........
ขอพูดตามความรู้สึกของตัวเองไม่ซึนเดเระเลย ไม่ว่ายังไง เราก็รู้สึกว่า หมอนั่นเป็นคนเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่ทำไมคนที่ต้องมาลำบากลำบนกลับต้องเป็นเรากันแน่นะ แถมการที่มันไม่อยู่ตรงนี้ แม้จะมีผลดี แต่ก็ทำให้เราไม่สามารถคุยหรือระบายแค้นกับมันให้สิ้น ๆ ได้ (แต่ก็อย่างว่าแหละ...... ตอนนี้ "พวกคนที่เรารักทุกคน" เท่ากับเป็นตัวประกัน เหมือนกับถ้าตอบโต้ พวกเค้าจะเจ็บด้วย นี่เราทำได้เพียงแค่กัดฟันแบบที่เป็นมาเท่านั้นรึ)
อดคิดไม่ได้ว่า สุดท้าย พระเจ้ารักคนเกรียน ๆ ที่ไม่แม้แต่จะรู้จักพระองค์ มากกว่าเรางั้นรึ.....
ก็รู้อยู่ว่าตัวเองก็ชอบขบถ ไม่มีดีอะไรเลย แต่ว่า.....ต้องมาสิ้นหวังขนาดนี้นี่มัน.......
พูดก็พูดนะ เรื่องจิตใจเนี่ย มันบังคับกันไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังใช่ว่าจะสกัดความคิดที่ออกมาเป็นถ้อยคำในหัวได้ง่าย ๆ เลย ยิ่งถ้าปิดบังซ่อนจากพระองค์ไม่ได้ด้วยนี่.......
(แต่จะให้ทำใจ "รัก" คนที่เล่นวิธีตัวประกันหรือไม่ยอมพูดจาอะไรตรง ๆ เลยนี่มัน..... ตอนเราเด็กยังรักพระองค์มากกว่านี้เพราะไม่เคยเห็นพระองค์ทำแบบนี้นะ)
นี่ยังแค่ส่วนหนึ่งของความรู้สึกทุกข์ใจที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้ (ว่ากันจริง ๆ แล้วเรื่องที่เราอยากเป็นผู้หญิง ก็ยังไม่ได้คิดจะลืมหรือเลิกต้องการหรอกนะ เหตุผลน่ะมีเตรียมไว้พูดกับพระองค์เป็นกระตั้กเลยเหมือนเดิมนั่นแหละ)
แค่การวางใจ แค่ความรู้สึก มันช่วยแก้ไขอะไรได้จริง ๆ นะเหรอ.......
(กลัวอีกเรื่องก็คงเป็น...... "ฉากจบ" ล่ะมั้ง เพราะถ้าทุกอย่างดำเนินไปในทางที่เลวร้ายที่สุด เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่า จะยังคงยอมให้พระองค์ได้อีกหรือเปล่า..... อย่าว่าแต่ตอนจบเลย แค่ตอนนี้ก็ไม่ปฏิเสธเลยว่า มีความรู้สึก "ต่อต้าน" หลายเรื่องอยู่แล้ว ทั้งวิธีการบางอย่าง ทั้งอะไร)