หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 10:52 am
โดย Florian
สวัสดีครับ
ผมทุกข์ใจจังเลยครับ เพื่อนๆคิดเห็นอย่างไรครับ
ผมมองย้อนไป ก็รู้สึกประหลาดใจ ทำไมผมไม่มีงานเงินเดือนดีๆ ตำแหน่งเด่นๆ อย่างคนอื่นบ้าง งานที่ทำเป็นงานธรรมดา รายได้ธรรมดา ไม่โดดไม่เด่น ในขณะที่ชาวบ้านเขารวยเอา เด่นเอา ผมเองก็พยายามตะเกียกตะกายหานะ แต่หาไม่ได้ คนเขาว่างานดีๆ ค่าตอบแทนสูงๆ พวกพาร์ทไทม์ก็เยอะแยะ เขาหากันได้ดาษดื่น ทำไมผมหาไม่ได้ล่ะ
ผมอยากมีเพื่อนฝ่ายศาสนา ซึ่งก็หายากเหลือเกิน ผมจึงโดดเดี่ยวฝ่ายจิตใจมาก ในขณะที่คนอื่นเพื่อนเยอะเพื่อนแยะ ไปวัดไปวา โอ เพื่อนเยอะมาก ผมสิ ไม่มีเลย ยิ่งพยายามหาก็ยิ่งเหนื่อย เหมือนไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ผมทำแบบนี้ เหมือนพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผมหาความบรรเทาใจจากมนุษย์ แต่พระองค์จะบรรเทาใจผมเอง
ผมคิดว่าทำไมเป็นเช่นนี้ มันผ่านมานานปี ก็ยังเป็นแบบนี้ ถ้ามองดูเผินๆ อาจมองได้ว่า พระไม่อวยพรผม แต่ทว่า ผมก็ได้มาฉุกคิด หรือว่า พระเจ้าประสงค์เช่นนี้
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งคณะคาร์เมไลท์สอนไว้ว่า ผู้ที่จะเข้าถึงพระเจ้าได้ต้องตัดสละทุกสิ่ง แม้แต่ตัวเอง เพื่อที่จะโบยบินไปหาพระเจ้าได้ การที่มนุษย์คนหนึ่งจะพบความชื่นชมยินดีในสิ่งสร้าง ก็ต้องปล่อยให้สิ่งสร้างนั้นล่วงไป ไม่เห็นว่าสิ่งสร้างนั้นเป็นสิ่งที่ควรคว้าไว้ ไม่ติดไม่ยึด แม้แต่ตัวตนของตัว ปรารถนาแต่เพียงพระเจ้าเท่านั้น
ผมเลยมองตัวผมว่า พระเจ้าคงจะสงวนตัวผมไว้สำหรับพระองค์ พระองค์ไม่ให้มีอะไรมาให้ผมยึดติด ผมคิดอย่างนี้จริงๆนะ ไม่งั้นแล้วทำไมผมไม่มีงานดีๆเด่นๆให้ติดยึด แล้วทำไมผมไม่มีเพื่อนๆฝ่ายศาสนาให้ติดยึด ผมไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ ว่างเปล่าจริงๆครับ ผมถึงสงสัยไงครับว่าพระเจ้าจัดการให้ว่าง
แล้วพระองค์จะทำเช่นนั้นทำไมครับ ผมก็ลองใคร่ครวญดูครับ
ผมเหมือนเป็นคนที่น่ารังเกียจสำหรับคนฝ่ายโลกเลย ไม่เคยมีใครมาชวนผมไปทำงานที่ค่าตอบแทนสูงๆเลย งานดีๆหลายงาน ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเลย ชาวบ้านเขาทำกันโครม หากันได้หากันดี แต่ผมไม่มีโอกาสเช่นนั้น คนฝ่ายโลกแทบไม่มีใครมาหยิบยื่นโอกาสใดๆ คนที่จะมาเป็นเพื่อนฝ่ายศาสนาของผม ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมี
แต่คนฝ่ายพระเจ้านั้น มาคุยกับผม เป็นมิตรกับผม ชวนผมไปบวช โอ สำหรับผมแล้ว ดูเหมือนกับว่าเรื่องทางพระจะดูราบรื่นและมีโอกาสมากมายนัก เมื่อเทียบกับเรื่องฝ่ายโลก ดูผมจะเป็นที่รักใคร่ของคนฝ่ายพระมากเหลือเกินครับ
ทำไมชีวิตผมเป็นเช่นนี้ ผมเห็นคนในโลกเฮฮากับหมู่เพื่อน สนุกสนานกับเรื่องของโลก ทำงานหาเงินแล้วหาเงิน เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ผมกลับเฉาลงๆ ผมอยากเป็นเหมือนคนอื่นบ้าง แต่ดูเหมือนไม่มีโอกาสเลยครับ
มีซิสเตอร์คามิลเลียนกลุ่มหนึ่งเคยให้กำลังใจผม บอกให้ผมลองไปสัมผัสชีวิตนักบวช แถมให้เข็มกลัดพระธาตุบุญราศีโดเมนิกา บรุนบารบันตีนี คุณแม่ผู้ตั้งคณะ แก่ผมด้วยนะครับ บอกด้วยว่า ถ้าผมเป็นผู้หญิง ซิสเตอร์จะพาผมกลับไปเข้าอารามด้วยแน่นอน สงสัยเห็นผมมีหน่วยก้านดีมั้ง
มีซิสเตอร์คนหนึ่งเคยบอกผมว่า "ซิสเตอร์ว่าหนูมีกระแสเรียกที่ทำให้คนอื่นหัวเราะ ร่าเริงนะคะ" ผมว่า "เหรอครับ" ถ้าเป็นเช่นนี้ กระแสเรียกของผมคงเป็นคนที่ทำให้คนอื่นเริงร่า หัวเราะคิกคัก หนุกหนาน
ตอนที่ผมไปสัมผัสกระแสเรียกที่สิงคโปร์ คุณพ่อท่านหนึ่งในบ้านอบรมถามผมว่า "เธอชอบที่นี่ไหม" ผมตอบว่า"ผมชอบครับ ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์การจำแลงพระกายของพระเยซูเจ้าบนภูเขาทาบอร์ นักบุญเปโตรกล่าวว่าจะสร้างกระโจมขึ้นสามหลัง แล้วจะอาศัยกันบนเขานั้น ไม่ต้องลงมา ความรู้สึกของผมตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น" แล้วถาม "คนที่นี่เขาชอบเธอไหม" ผมว่า "คนที่นี่รักผมทั้งนั้น พวกเขาปฏิบัติต่อผมราวกับเป็นพี่และน้อง เป็นเพื่อนที่รักและพร้อมจะรับใช้กันและกัน" หลังจากนั้นมา พ่อก็บอกกับผมหลายครั้งหลายครา "เธอกลับไปเมืองไทยแล้วก็กลับมาที่นี่อีก มาอยู่ด้วยกันที่นี่ คนที่นี่รักเธอทุกคน" ผมว่าก็จริงนะ ที่บ้านอบรมนั้นเหมือนสวรรค์ ต่างจากโลกภายนอกราวฟ้ากับดิน ในนั้นทุกคนรักกัน ไม่ทะเลาะกัน รับใช้กัน ปฏิบัติหน้าที่ไม่บกพร่อง มีความรับผิดชอบ มันสวรรค์จริงๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในสังคมภายนอก แม้แต่ในสังคมคาทอลิกก็ตามครับ พ่อคนนั้น แกก็ย้ำแล้วย้ำอีก "คนที่นี่รักเธอทุกคน กลับมาอีกนะ" ครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ กระแสเรียกของผมคงเป็นภราดาคาร์เมไลท์
ถ้านำสองอย่างมาบวกกัน พระเจ้าอาจอยากให้ผมเป็นภราดาคาร์เมไลท์อารมณ์ดีมั้ง ใช่หรือเปล่าเอ่ย ผมยังไม่รู้เลยเนี่ย ตอบตัวเองไม่ได้แน่ชัด แต่ผมก็สงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ เพราะผมไม่เหลืออะไรจริงๆ ไม่มีงานดีๆ เงินเดือนสูงๆ ไม่มีเพื่อนฝ่ายศาสนาที่เป็นที่บรรเทาใจได้ ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่เหลืออะไรจริงๆครับ พระองค์ไม่ต้องการให้ผมยึดติดกับอะไรเลย ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นครับ
โอ พระองค์จะไม่ให้ผมมีอะไรสักอย่าง โดยจะสงวนผมไว้สำหรับพระองค์ผู้เดียวจริงๆเหรอเนี่ย
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 11:01 am
โดย อันตน
คำตอบนี้มาจากความรู้สึกส่วนตัวของผนนะครับ
ไม่ใช่ไม่มีมั้งตั้ว คิดว่ามีแต่ยังไม่พบ อีกอย่างอาจจะเพราะพระเตรียมไว้ในทางแบบนั้น บางทีตั้วอาจจะทำอย่างที่ "พวกโลกๆเขาทำกัน" ไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะว่ากลายเป็นไปว่า "เหมาะแล้ว" ที่ตั้วจะไปเฝ้าสวดอธิษฐานกับพระ เพราะน่าจะทำได้ดีไม่วอกแวกเหมือนอย่างที่คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกเยอะๆเป็น ผมว่าพระไม่ใจร้ายหรอกน่า พระไม่เคยใจร้ายเลยจริงๆ
สรุปคือ แทนที่จะมองว่า "หมดแล้ว" ให้มองว่า "เหมาะแล้ว" น่าจะดีกว่ามังครับ
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 11:27 am
โดย TheGrace
ชีวิตในโลกนี้อาจจะดูมืดมน อาจจะดูปล่าวเปลี่ยว
แต่เราเอง เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้แค่ 50 - 60 - 70 ปี เท่านั้นครับ
วันหนึ่ง เราเองจะต้องไปกลับไปอยู่กับพระบิดาของเรา ไปใช้ชีวิตนิรันดร์กับพระองค์
ดังนั้นไม่ว่าเราจะเจออะไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะทุกข์ใจเพียงไรก็ตาม อย่าหวั่นไหวกับความเชื่อ
อย่าหวั่นไหวกับความศรัทธาครับ
พระเยซูเจ้า ก่อนพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานมากมายเพื่อพวกเรา
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเราทุกคน
พระองค์สิ้นพระชนม์เยี่ยงทาสผู้ไร้ศักดิ์ศรี เพื่อใครเหรอครับ ก็เพื่อเราทุกคนอีก
ผมคิดว่าไม่มีทรมานใด ๆ ในแผ่นดินเบื้องล่าง ฟ้าเบื้องบน ที่จะทุกข์แสนสาหัสแบบที่พระองค์ได้รับ
ดังนั้นอยากให้เราคิดว่า ทุกข์ของเราแค่นี้น่ะ เปรียบไม่ได้กับที่พระองค์ได้รับ
พระบิดาของเราบนสวรรค์ พระองค์ทรงทราบถึงความทุกข์ทรมานของคุณดีครับ
แต่การที่พระองค์ยังทรงนิ่งเฉยนั้น พระองค์ทรงมีแผนการณ์ พระองค์จัดเตรียมอนาคตให้คุณไว้อยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่ามันอาจจะยังไม่ถึงเวลาของคุณเท่านั้นเอง
ให้เราดูตัวอย่างจาก โยบ ครับ
โยบ 42 : 10 และพระเจ้าทรงให้โยบกลับสู่สภาพดีเมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่านและพระเจ้าประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน
โยบ 42 : 12 และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าบั้นต้นของท่านและท่านมีแกะหนึ่งหมื่นสี่พันอูฐหกพันวัวผู้พันคู่และลาตัวเมียหนึ่งพัน
ภาวนา อธิษฐานนะครับ อย่างสุดจิตสุดใจ สิ้นสุดกำลัง แล้วพระองค์จะทรงอวยพระพรครับ
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 12:19 pm
โดย พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
ดีใจนะครับที่คุณ Asleep but Live มองพระพรที่ซ่อนอยู่ในเหตุการ์ณนี้ได้ :D
พระเรียกคุณมารับใช้นั้นแน่นอนอยู่แล้วนะครับ แต่เรื่องบวชนี้คิดดูให้ดีๆอีกทีนะครับว่าเป็นพระประสค์จริงๆหรือเปล่า เอาใจช่วยครับ ;)
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 12:38 pm
โดย lordtole
(มัธธิว 9:23) "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เป็นการยากที่คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า"
(มาระโก 10:25) "ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า"
(ลูกา 6:24) "แต่วิบัติแก่เจ้าผู้มั่งมีเพราะว่าเจ้าได้รับความสุขสบายแล้ว"
ทั้งข้อพระคัมภีร์ที่ผมยกขึ้นมาทั้ง 3 ข้อนี้ ผมอยากจะบอกว่า ขอบคุณพระเจ้าเถิดครับ เพราะพระเจ้าทรงรักท่านมาก พระเจ้าจึงไม่อยากจะประทานสิ่งของที่โลกมองว่ามีค่าให่กับท่าน เกรงว่าท่านจะหลงผิดไปกับสิ่งเหล่านี้ จนได้ลืมพระเจ้าไปเสีย เพราะพระเจ้าทรงรู้จักเราดีมากกว่าที่ท่านรู้จักตัวท่านเองเสียอีก และรู้ดีว่าหากท่านได้รับสิ่งของหรือเงินที่จะไปปรนเปรอตัวเอง ท่านก็จะลืมพระเจ้าเสีย และความรอดก็จะไม่ได้อยู่กับท่าน แต่วันนี้จงขอบพระคุณพระเจ้า ที่ความรักของพระองค์ทรงดีกับท่าน ที่พระองค์จะทรงประทานสันติสุขให้กับท่าน ที่โลกนี้หามิได้ เงินซื้อมิได้ แต่อยู่ในพระคุณอ้อมกอดของพระเจ้า หากท่านมองว่า เหตุใดคนโน้นคนนี้จึงมั่งมีเล่า ก็เพราะว่าเขาได้ละพระองค์ไปเสีย และได้ไปปรนเปรอกับสิ่งที่อยู่ในโลก พระเยซูตรัสว่า "จงอย่ารักโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ผู้นั้นก้ไม่ได้อยู่ในเรา" "เงินทอง เกียรติยศอยู่ที่ใด ใจมนุษย์ก็อยู่ที่นั่น" วันนี้ท่านสามารถเลือกได้ว่า ท่านจะอยู่กับผู้ใด ระหว่างพระเยซู กับ โลก ซึ่งเป็นของมารซาตาน
ขอหนุนใจนะครับ
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 2:42 pm
โดย St.paul
พระเจ้าจะเช็ดน้ำตาพี่ตั้วทุกหยดในโลกนี้ครับและได้ของประทานในสวรรค์อย่างแน่นอนอดทนในโลกชั่วคราวไปก่อนครับตอนนี้พี่กำลังแบกกางเขนนะครับ
พอถึงเวลาแล้วเราจะได้พระพรมากมายจากการแบกกางเขนผู้ที่ตามพระองค์จะไม่มือมนครับ
ขอพระเจ้าและแม่พระอวยพรครับ
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 3:45 pm
โดย ~@Little lamb@~
คุณอยุ่ที่ไหนมีความสุขที่สุด
ที่นั่นก็คือบ้านของคุณคะ
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 4:11 pm
โดย Batholomew
จริง ๆ จะบอกว่า ไม่จำเป็นต้องโดดเด่นหรอกครับ พระองค์ยังให้เรารักเพื่อนพี่น้องเรา
แม้คนที่ต่ำต้อยที่สุดก็ตาม
พระองค์ทรงรักเราจนถึงที่สุดแล้วครับ
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 8:51 pm
โดย BARKER BARBER
;D ทุกคนเป็นหนึ่งในโลก ครับ ไม่มีใครเหมือนใคร เก่งคนละอย่างครับ เมื่อก่อนผมก็คิดอย่างงี้ ครับ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ..
วางใจในพระเถอะครับ เชื่อผม ดิ ..
;)
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 10:31 pm
โดย Buddy
มีซิสเตอร์คนหนึ่งเคยบอกผมว่า "ซิสเตอร์ว่าหนูมีกระแสเรียกที่ทำให้คนอื่นหัวเราะ ร่าเริงนะคะ" ผมว่า "เหรอครับ" ถ้าเป็นเช่นนี้ กระแสเรียกของผมคงเป็นคนที่ทำให้คนอื่นเริงร่า หัวเราะคิกคัก หนุกหนาน
I think I agree with that sister na ka.... even though you didn't post anything funny ..... but I feel joy... :) or even in this topic that you are writing what you are upset about, it's not depressive at all.. :) This may be your gift... :)
คุณอยุ่ที่ไหนมีความสุขที่สุด
ที่นั่นก็คือบ้านของคุณคะ
I agree with LL... It's not easy to find a place you feel like home... :)
Jesus comes to us so that we have life... When you find a place that give you life, just follow it.. :)
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 06, 2006 6:52 pm
โดย warlock
ตอนเกิด...ผมว่าเราก็ไม่มีอะไรติดตัวกันมา........ตอนตายก็คงจะเอาอะไรไปไม่ได้อีกน่ะแหละ ;D
ชีวิตนั้นสั้นนัก แป๊บเดียวก็หมดแล้ว...เหอะๆ..
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 07, 2006 8:29 am
โดย Buddy
I just found the following article from here:
http://www.goodshepherdsisters.org/howdoiknow.htm
As I've read what you posted, I think you've been in the discernment retreat already... From this article, feeling at home is one of the things that you can count... :)
How Do I Know?
Discernment: The Call To Religious Life
How do you know if you have a vocation to religious life? First of all it is not the typical experience for God to call in dramatic or earth shattering ways. The call for most people is gradual and organic; a whisper, an inclination, a thought that keeps recurring. You begin to get in touch with God
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 08, 2006 8:42 am
โดย minnie
แง๊วววว
พี่คิดอีกมุมหนึ่งจิ๊
มองตัวเองว่าไม่เหลืออะไร
มีหลายคนหนักกว่าพี่อีก เค้าไม่พูด เค้ายิ้ม น้อมรับกับความลำบาก ดูภายนอกไม่รู้เลยว่าเค้าลำบากแค่ใหน
ง่ายๆๆคือ ลำบากจนชินอะพี่ แต่เค้าอยู่ได้ เพราะเค้ามีความเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์
เชื่อในพระทำให้เรารอด หนูคิดง่ายๆๆแค่นี้งะ
ที่เหลือ อำเภอใจ มโนธรรม ที่เราเลือก ในเมื่อพระอยู่กับเรา พระจิตอยู่กับเรา พระพรทุกคนก็มี
พี่เห็นพระพรที่พระเป็นเจ้าให้พี่มาหรือยัง พี่ดึงออกมาใช้ยัง
อีกมุม เมื่อพี่มองว่า พระเรียกพี่เข้าคณะคาแมล
พี่คิดว่าปัญหาไม่มีเหรอ
ปัญหาการอยู่ร่วมกันมีทุกที่ แต่ปัญหาที่พี่ไปอยู่ อาจมีการขัดแย้งกัน
แต่เข้าใจ ว่า การขัดแย้งกัน ทำให้งานประสบความสำเร็จ งานเดินรวดเร็วขึ้น
พี่น้อมรับกับปัญหาได้อะปะงะ
ยิ่งโพสยิ่งมึน :D
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 09, 2006 4:56 pm
โดย Andreas
ผมเห็นว่าชีวิตคริสตชนไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาสต่างมีทั้งสุขและทุกข์ มีบางครั้งที่เรามีความสุขเหมือนอยู่บนภูเขาทาร์บอ และบางครั้งเราก็ต้องอเผชิญความทุกข์บนเขากัลวารีโอด้วย พระเยซูเจ้าไม่ทรงต้องการให้เราหลงกับความสุขเพียงชั่วคราว ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้เราจมกับความทุกข์บนโลกอนิจจังนี้ด้วย เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะไม่ยึดติดกับทุก ๆ สิ่งที่เป็นสิ่งสร้าง แต่ให้เรายึดองค์พระผู้สร้างไว้อย่างมั่นคง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับนิรันดรภาพ และเราก็กล่าวว่า " ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด"
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 10, 2006 9:56 am
โดย จอมนางกระบี่เดี่ยว
จริงอย่างที่ LL ว่านะ ที่ไหนมีความสุข ที่นั่นก็คือบ้าน
อย่ากังวลถึงสมบัติฝ่ายโลก สมบัติจริง ๆของเราอยู่โลกหน้านู่น
ทำใจให้สงบ ค้นหาความสุขในใจตัวเอง ไม่ว่าจะเป้นฆราวาสหรือนักบวช
เราก็ควรที่ไม่สนใจกังวลถึงสมบัติฝ่ายโลก เพียงพระเจ้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิต
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 10, 2006 10:15 am
โดย yuki
พี่ครับ ผมว่าพี่โดดเด่น ร่ำรวยและมีทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์แล้วน่ะ เพราะว่าพี่มีพระเจ้า เหมือนอย่างที่พวกเรามี
คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสพระเป็นเจ้าเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเค้าตาย
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 20, 2006 6:36 am
โดย Jeab Agape
หนูจำขี้ปากของคนอื่นมาดังนี้ เมื่อ ท่านมาร์ติน ลูเธอร์ นำปฏิรูปศาสนา ท่านได้ทำการรื้อ โละ ทิ้งสารพัด
แล้ว ฆราวาส จำนวนมาก ร้องห่ม ร้องไห้ คร่ำครวญว่า ต่อไปนี้ เราไม่เหลือ อะไรอีกแล้ว
ท่านมาร์ติน ลูเธอร์ ตอบพวกเขาว่า ขอให้เหลือพระเยซูคริสตเจ้าครอบครองในจิตใจของท่านก็เกินพอแล้วล่ะ หนูอยากจะใช้คำพูดเดียว กับท่านลูเธอร์ว่า "ขอให้พี่แกะอ้วนเหลือพระเยซูคริสตเจ้าก็เพียงพอแล้วฮะ"
Re:ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 20, 2006 9:00 pm
โดย Nativity
:D
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 12, 2006 5:51 pm
โดย :+:Regina Pacis:+:
อย่าน้อยใจไปค่ะ
เราเป็นลุกของพระคนหนึ่งเหมือนกัน
พระเป็นเจ้าย่อมทราบดีว่า
ขณะที่เราอยู่ตรงนี้ย่อมถูกที่ ถูกทางดีอยู่แล้ว
แม้เราจะไม่มีเงินมากมาย แม้เราจะไม่เป็นคนโดดเด่น
แต่พระก็มองเห็นเราเสมอ
พระก็อยู่ข้างๆเราเสมอ
เราจะอยากได้อะไรอีก เมื่อเรามี พระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงอยู่เคียงข้างเรา
วิญญาณของเราได้รับการเลือกสรรให้เป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้เผยแพร่พระองค์ให้โลกรู้
เราควรดีใจที่เราได้รับพระพรต่างๆมากมายนั้น
ที่ให้เราได้มีชีวิตที่ดีทุกวัน
ให้เราได้ตื่นเช้ามาพบสิ่งสร้างที่สวยงามของพระองค์
ให้เราได้ให้กำลังใจผู้ที่เดือดร้อนใจ รอรับการบรรเทาใจ
((แม้เพียงในเว็บบอร์ด เราก็สามารถทำได้))
ยังมีคนอีกมากมายต้องการคำภาวนาจากเรา
และเช่นเดียวกันเค้าก็จะภาวนาให้เราด้วย
สิ่งที่เราได้รับจากพระมากมายเหลือคณานับ
อย่าคิดว่า เรา ไม่เคยได้อะไรมากมายเหมือนคนอื่น
แต่จงคิดว่า
ในวันหนึ่ง ท่านได้ ให้ อะไรแก่ผู้อื่นบ้างแล้วหรือยัง
สิ่งเล็กน้อย เพียงแค่คำปลอบใจกับผู้ที่ต้องการการบรรเทาใจ
ที่เค้าเดือดร้อนกว่าเรา
หรือ ขอทานที่ฐานะเค้าด้อยกว่าเรา
เราได้เจียดเงินสักเล็กน้อยให้เค้าบ้างหรือไม่
เพราะทุกคนก็เป็ฯลูกของพระและพระ รักเราเท่าเทียมกัน
วางใจในพระเป็นเจ้าและพระแม่มารีค่ะ
แล้วเราจะไม่นึกน้อยใจเลย
ที่ได้เกิดมาเป็นลูกพระ
++++
คุณเป็นคนที่มีค่ามากกกก ถึงมากกที่สุดคนนึง
ในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้าค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
God Bless You
:)
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 15, 2006 2:02 pm
โดย Nano Lamp
Fat Shepherd เขียน:
สวัสดีครับ
ผมเหมือนเป็นคนที่น่ารังเกียจสำหรับคนฝ่ายโลกเลย ไม่เคยมีใครมาชวนผมไปทำงานที่ค่าตอบแทนสูงๆเลย งานดีๆหลายงาน ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเลย ชาวบ้านเขาทำกันโครม หากันได้หากันดี แต่ผมไม่มีโอกาสเช่นนั้น คนฝ่ายโลกแทบไม่มีใครมาหยิบยื่นโอกาสใดๆ คนที่จะมาเป็นเพื่อนฝ่ายศาสนาของผม ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมี
แต่คนฝ่ายพระเจ้านั้น มาคุยกับผม เป็นมิตรกับผม ชวนผมไปบวช โอ สำหรับผมแล้ว ดูเหมือนกับว่าเรื่องทางพระจะดูราบรื่นและมีโอกาสมากมายนัก เมื่อเทียบกับเรื่องฝ่ายโลก ดูผมจะเป็นที่รักใคร่ของคนฝ่ายพระมากเหลือเกินครับ
ดีแล้วล่ะ
ผมสิ ทั้งฝ่ายโลก ก็ไม่เคยมีใครจ้างผมแพงเลย
ฝ่ายพระเจ้า ก็ไม่มีใครคุยกับผม
ดีกว่าผมร้อยเท่าแล้ว
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 15, 2006 2:49 pm
โดย Batholomew
Nano Lamp เขียน:
ฝ่ายพระเจ้า ก็ไม่มีใครคุยกับผม
ทำไมหล่ะครับ
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 15, 2006 3:30 pm
โดย :+: seraphim :+:
Batholomew เขียน:
Nano Lamp เขียน:
ฝ่ายพระเจ้า ก็ไม่มีใครคุยกับผม
ทำไมหล่ะครับ
??? แล้วไอ้ที่เราคุยๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ฝ่ายอะไรหล่ะจ๊ะ
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 15, 2006 3:41 pm
โดย Nano Lamp
เพิ่งจะมาเจอนี่แหละ
ปกติ เขียนไปก็ไม่มีใครสนใจจะตอบ
ขอบคุณครับ
ดีใจจังที่มีคนอ่าน post ของเราแล้ว
ขอบคุณจริงๆ จะเข้ามาบ่อยๆ
ตอบคุณ Batholomew
ผมอยู่ในที่ที่ไกลปืนเที่ยง
ไม่มีผู้มีคนน่ะครับ
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 15, 2006 6:25 pm
โดย Joseph
ในด้านบทบาทหน้าที่บนโลกแล้ว พระเยซูก็เป็นแค่ช้างไม้จนๆ ธรรมดาคนหนึ่งไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรที่สูงๆ ในสังคมเลย พระองค์ก็ยังพอใจ นักบุญฟรังซิส อัสซีซี ท่านเป็นลูกพ่อค้าที่ร่ำรวยแห่งเมืองอัสซีซีในที่สุดท่านก็เอาของๆ พ่อเขาไปแจกคนจน ไปใช้ชีวิตแบบคนจนท่านก็มีความสุข น้องต้องหากระแสเรียกให้พบว่าต้องกระแสงเรียกอะไรกันแน่ การงานที่ดีๆ หรือว่าต้องการเป็นนักบวช ถ้าต้องการงานดีๆ แล้วงานประเภทไหนต้องระบุให้ชัดแล้วเดินตามกระแสเรียกนั้น พยายามเรียน พยายามศึกษาในสิ่งที่เราอยากเป็น อยากจะทำ แล้วคิดว่าสิ่งนั้นคือเรา มันคือตัวเรา ตัวเราเป็นสิ่งนั้น เพราะเจ้าสร้างเรามาเพื่อให้เราเป็นสิ่งนั้น อาชีพนั้น แล้วเราจะมีคุณค่ามากขึ้น
ในด้านของจิตใจแล้วเราพระเจ้าสร้างเราขึ้นมาเพื่อให้เราร่ำรวยความรักนะครับ พระเยซูคริสต์ทางโลกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากความรัก เขารักเพื่อนมนุษย์ อภัยให้ทุกคน ยอมใช้ชีวิตอย่างลำบากก็เพื่อนเพือนมนุษย์ ยอมทรมาน แล้วในที่สุดก็ตายเพราะรักเพื่อนมนุษย์ ต่อให้เราได้ทุกสิ่งแต่ขาดความรักก็ไม่มีประโยชน์เลยครับ
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 15, 2006 9:20 pm
โดย Batholomew
Nano Lamp เขียน:
ตอบคุณ Batholomew
ผมอยู่ในที่ที่ไกลปืนเที่ยง
ไม่มีผู้มีคนน่ะครับ
ไม่เป็นไรนะครับ พระองค์อยู่กับเราทุกที่นะครับ

Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 16, 2006 10:43 am
โดย Nano Lamp
Batholomew เขียน:
Nano Lamp เขียน:
ไม่เป็นไรนะครับ พระองค์อยู่กับเราทุกที่นะครับ
ขอบคุณครับ
ตะเกียงผมมักจะน้ำมันหมดเสมอ
ลืมนึกถึงพระ แล้วก็จมอยู่กับตัวเอง
ผมจะนึกถึงพระให้มากขึ้น
Re: ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 16, 2006 9:30 pm
โดย Batholomew
Nano Lamp เขียน:
Batholomew เขียน:
Nano Lamp เขียน:
ไม่เป็นไรนะครับ พระองค์อยู่กับเราทุกที่นะครับ
ขอบคุณครับ
ตะเกียงผมมักจะน้ำมันหมดเสมอ
ลืมนึกถึงพระ แล้วก็จมอยู่กับตัวเอง
ผมจะนึกถึงพระให้มากขึ้น
ก็เติมน้ำมันตะเกียงที่ชื่อว่า "วันทามารีอา" สิครับ
ยิ่งเติม ไฟยิ่งลุกโชติช่วงนะครับ