มุสลิมในอัฟริกาเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ปีละ 6 ล้านคน

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พุธ ก.ย. 01, 2010 2:37 pm

สำนักข่าวอัลจาซีราห์ได้สัมภาษ์นักวิชาการมุสลิม Sheikh Ahmad Al Katani; ประธาน The Companions Lighthouse for the Science of Islamic Law in Libya

อิสลามเคยเป็นศาสนาหลักของทวีปแอฟริกา จำนวนของชาวมุสลิมในแอฟริกาได้ลดลงไปครึ่ง 316,000,000 ของผู้ที่เป็นอาหรับในแอฟริกาเหนือ ดังนั้นในส่วนของแอฟริกาที่เรากำลังพูดถึง ส่วนอาหรับไม่ใช่ชาวมุสลิมจำนวนไม่เกิน 150 ล้านคน เมื่อเราตระหนักดีว่าประชากรทั้งหมดของแอฟริกาเป็นหนึ่งพันล้านคน เราจะเห็นว่าจำนวนของชาวมุสลิมได้ลดลงอย่างมากจากจุดเริ่มต้นของศตวรรษที่ผ่านมา จำนวนคาทอลิกเพิ่มขึ้นจากหนึ่งล้านใน 1902 เป็น 329ล้านแปดแสนกว่าคน (329,882,000)

สิ่งที่ที่เกิดขึ้นอย่างมีตอนนี้ คือมี โบสถ์ 1.5 ล้านแห่ง ในทุกชั่วโมง มีมุสลิม 667 เปลี่ยนศาสนาไปเป็นคริสตชน ทุกวันมีมุสลิม 16,000 คนเปลี่ยนไปเป็นคริสเตียน และทุกปี มีมุสลิม 6 ล้านเปลี่ยนไปเป็นคริสตชน นี้เป็นจำนวนที่มากจริง ๆ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.orthodoxytoday.org/articles6 ... Africa.php
วอ
โพสต์: 1153
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ย. 13, 2008 7:36 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 02, 2010 9:32 pm

เห็นว่า ทางเหนือของแอฟริกาเป็นทะเลทรายซาฮารา และติดกับทวีปเอเชีย เช่น อียิปต์ ลิเบีย ตูนิเซีย โมร็อคโค ซูดาน ฯลฯ ประชนส่วนใหญ่ในแอฟริกาเหนือเป็นอิสลาม ส่วนกลางจรดลงไปทางใต้จะเป็นคริสต์ซะส่วนใหญ่ เช่น เอธิโอเปีย แอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ เคนยา แอฟริกากลาง ฯลฯ พวกนี้เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกมาก่อน สมัยก่อนที่บอกว่าแอฟริกาเดินทางยาก แต่ทางเหนือเดินทางง่ายหน่อยเพราะเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณ อย่างอียิปต์ มีแผ่นดินติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียบน ค้าขาย กับอาณาจักรใกล้เตียงได้ เช่น กรีก โรมัน ฮิตไทต์ บาบิโลเนีย ฯลฯ เป็นทะเลทรายไม่รกเหมือนป่าไม้ ตอนกลางจรดใต้เป็นป่าไม้มีทะเลทรายบ้าง สมัยก่อนยังไงๆ แอฟริกาเจริญมีอารายธรรมแรกๆ คือแอฟริกาเหนือ
เวิด ลีฟวิ่งสโตน มิสชันนารีชาวอังกฤษ เป็นผู้นำการแพทย์สมัยใหม่ รักษาผู้ป่วยพื้นเมือง ทำการสำรวจทวีปแอฟริกา นำศาสนาคริสตืไปเผยแพร่ในแอฟริกา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 3:43 am

http://www.orthodoxytoday.org/articles6 ... Africa.php




Six Million African Muslims Convert to Christianity Each Year
Al-Jazeerah Website


ในแต่ละปี กว่า 6 ล้านของชาวมุสลิมแอฟริกัน หันมารับเชื่อคริสต์ศาสนา
เว็บไซท์ อัลจาซีร่าห์





จากการแปลบทสนทนาทางโทรทัศน์นี้ ได้เผยให้เราเห็นถึงภาพรวม ความวิตกห่วงกังวลของนักวิชาการชาวมุสลิม ที่มีต่อการเติบโตของคริสต์ศาสนา แขกรับเชิญคราวนี้คือ เชค อาห์มัด อัล คาตานี่ ประธานแห่งหุ้นส่วนประภาคารเพื่อการวิทยาศาสตร์ สำหรับกฎหมายอิสลามในลิเบีย อันเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในการให้การศึกษาอิม่าม และบรรดานักเทศน์ชาวอิสลาม



คาตานิ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงภาพรวมของปัญหาทั้งหมด :
อิสลามเคยเป็นตัวแทน ความเชื่อศาสนาหลัก ของชนชาวแอฟริกาอย่างที่กล่าวถึงก่อนหน้านั้น และยังมีภาษาแอฟริกันอีกกว่า 30 ภาษา ที่ถูกเขียนด้วยอักษรอาหรับ จำนวนประชากรมุสลิมได้ลดน้อยถอยลงสู่ 316 ล้านคน ครึ่งหนึ่งในนั้นคือบรรดาชาวอาหรับในแอฟริกาเหนือ ดังนั้นหากจะกล่าวถึงส่วนภาคพื้นแอฟริกา ส่วนที่ไม่ใช่ชาวอาหรับอย่างที่เราพูดถึงอยู่นี้ จำนวนประชากรมุสลิมกลับไม่สามารถเพิ่มขึ้นเกินไปกว่า 150 ล้านคนได้ เมื่อเราตระหนักรู้ว่า ประชากรชนชาวแอฟริกันทั้งหมดมีสูงถึงกว่าพันล้านคน เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประชากรชาวมุสลิม ได้ลดน้อยถอยลงไปมากเพียงใด เมื่อเทียบกับยอดรวมในช่วงต้นศตวรรษที่ผ่านมา ในทางกลับกัน ประชากรชาวคาทอลิกกลับพุ่งสูงขึ้นมาก โดยเพิ่มจาก 1 ล้านคนในปี 1902 ไปเป็น 329 ล้าน 8 แสน 8 หมื่น 2 พันคน (329,882,000) หรือตีง่ายๆ ว่าประมาณ 330 ล้านคนในช่วงปี 2000


ถ้าถามว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เราต้องมาลองวิเคราะห์ดูกัน มีโบสถ์ 1.5 ล้านแห่งเปิดให้บรรดาผู้คนมาร่วมชุมนุม ร่วมพิธีกิจกรรม และรองรับคนได้ 46 ล้านคน ในทุกๆ ชั่วโมง มีชาวมุสลิม 667 คน เปลี่ยนศาสนาหันมารับเชื่อคริสต์ศาสนาแทน และในทุกๆ วัน มีชาวมุสลิม 16,000 คน หันมารับเชื่อคริสต์ศาสนา และในทุกๆ ปี มีชาวมุสลิม 6 ล้านคน ที่หันมารับเชื่อคริสต์ศาสนา ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนทั้งหมดนั้นมากโขอยู่ทีเดียว


จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้จากที่ผมได้ยินมา 6 ล้านคน อาจจะเป็นจำนวนที่น้อยไปเสียด้วยซ้ำ อ้างอิงจากจำนวนที่เชื่อถือได้นี้ เราเชื่อกันว่ามีชาวแอฟริกันถึง 1 แสนคน ที่หันมารับเชื่อคริสตศาสนาในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตามที่เป็นชาวมุสลิม





คาตานี แสดงทัศนะออกมาว่า ชาวมุสลิม ควรให้ความสำคัญกับการสร้างโรงเรียนมากกว่ามัสยิด เพื่อสร้างประชากร ชาวมุสลิมขึ้นมาก่อน ก่อนจะสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นมา และถ้าถามว่าทำไม ? ก็แน่นอนว่าเพื่อที่จะหยุดภัยอันตรายของพวก “ปลาหมึก มิชชันนารีคริสเตียน” พวกนั้น



สิ่งนี้เกิดขึ้นเสมอๆ คือ ชาวอาหรับที่ร่ำรวย โปรดปรานที่จะให้มีการก่อสร้างมัสยิดขึ้นสำหรับตนเอง สำหรับบุพการีของตน หรือแม้แต่สำหรับสหายของตน แต่การสร้างมัสยิดควรเป็นสิ่งที่ตามมาทีหลัง หาใช่สาระสำคัญอันดับแรกแต่ประการใดไม่ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรียนอิสลามขึ้นมาซะแห่ง ตกโรงเรียนละ 5 ล้านดอลล่าร์ ขณะที่ในแอฟริกา เพียงแค่ 5 หมื่นดอลล่าร์ ก็มากเพียงพอแล้วที่จะสร้างโรงเรียนที่พอเหมาะพอเจาะขึ้นมาซะโรงเรียนหนึ่งแล้ว ผมกล่าวสิ่งนี้อย่างมั่นใจ และขอรับผิดชอบทุกคำพูดที่ได้กล่าวออกไป เพราะมันเป็นความจริง การสร้างโรงเรียนต้องมาก่อนการสร้างมัสยิด สร้างผู้ที่จะมาสักการะ ก่อนการสร้างสักการะสถานขึ้น



คุณสามารถยกเรื่องนี้เป็นตัวอย่างได้ คุณไปยังมัสยิด 5 ครั้งต่อวัน ถ้านำเวลาทั้งหมดมานับรวมกัน จะมีค่าเท่ากับ 1-2 ชั่วโมง และถ้าคุณนับรวมเวลาสวดภาวนาวันศุกร์เข้าไปอีก มันก็กินเวลาได้ไม่น้อย แต่กระนั้นก็ดี ถ้าผมถามคุณว่า แล้วถ้าเป็นโรงเรียนละ คุณจะใช้เวลาหมดไปเท่าไหร่ ? แน่นอน คุณต้องตอบว่าใช้เวลาไปหลายปีทีเดียวกับการเรียนในชั้นประถมและมัธยมศึกษา เช่นเดียวกัน ชาวแอฟริกันมีไปมัสยิด แต่ถ้าเราให้โรงเรียนกับพวกเค้า พวกเค้าจะใช้เวลาไปกับมันได้มากกว่า และแน่นอน ถ้าเราจัดผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา มาใส่ไว้ในโรงเรียนนั้นๆ เราก็น่าจะสร้างประชากรชาวมุสลิม แนะแนวทางที่ถูกที่ควร และหยุดยั้งภัยอันตรายที่มาจากพวกปลาหมึก มิชชันนารีคริสเตียน พวกนั้นได้





คาตานี ยังกล่าวเสริมต่อ ถึงจุดประสงค์ของการมีโรงเรียนเช่นนี้ :

ความจริงคือ สถาบันที่ผมให้การดูแลอยู่ ก็อาจจำแนกเป็นสถาบันประเภทเตรียมอุดมศึกษาได้ เพราะเป็นสถาบันที่ให้การศึกษา และเตรียมความพร้อมให้กับบรรดามิชชันนารี ละออกจากประเทศของพวกตน มุ่งสู่ลิเบีย เพื่อฝึกสอนและเรียนรู้ และเมื่อสำเร็จเสร็จแล้ว จึงเดินทางกลับไปยังประเทศของตน พร้อมกับนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มากมีกลับไปด้วย ซึ่งนี่แหละคือการประกาศ การแพร่ธรรม ผ่านองค์กรของอิสลาม


องค์กรนี้ให้นักเรียนมารับการศึกษาได้สำเร็จออกไปได้หลายต่อหลายรุ่น นักเรียนหลายคนได้สำเร็จปริญญาต่อถึงระดับขั้นปริญญาโท และ ปริญญาเอก และพวกนักเรียนที่สำเร็จไปเหล่านี้ ก็สุกงอมเฟื่องฟู และดึงดูดผู้คนได้อีกมากมายจากดินแดนประเทศบ้านเกิดเมืองนอน ให้มาสนใจศาสนาอิสลาม และสถาบันเช่นนี้ ด้วยว่าพวกเขาพูดทั้งหมดนี้ด้วยภาษาถิ่นบ้านเกิดของตน พูดกับผู้คนของพวกตน ด้วยความรู้และความเข้าใจในขนบประเพณีของพวกตนอย่างถ่องแท้

ด้วยวิถีทางแบบนี้นี่แหละ ทำให้มิชชันนารี ไม่ใช่การนำชนชาวต่างชาติที่ไม่รู้จัก โยนเข้าไปกลางชุมชนสังคมของพวกเค้า แต่เป็นคนในสังคมชุมชนของพวกตนที่คุ้นเคยกันดีเอง มาประกาศด้วยตัวเอง





ผมขอยกตัวอย่างขึ้นมาซะเรื่อง
สมมุติว่าผมต้องไปประเทศฟิลิปปินส์ แน่นอนผมพูดภาษาฟิลิปปินส์ไม่ได้ แล้วคนแปลกหน้าที่พูดภาษาของพวกเค้าไม่ได้ จะมากล่าวเชิญชวนให้พวกเค้าหันมารับเชื่อได้อย่างไรกัน แต่ ณ ตอนนี้ มีผู้นำชาวมุสลิมหลายคนมาเข้าร่วมกับเรา คุณ อับบาส ฮามิด ผู้อาศัยอยู่ในประเทศฮอล์แลนด์ และเขาสลดเสียใจยิ่ง ที่ไม่สามารถประพฤติตามวิถีชีวิตของชาวมุสลิมร่วมกับผู้คนที่นั่นได้


เพื่อนพี่น้องเอ๋ย ขอพระอัลเลาะห์ตอบแทนท่าน เราชาวมุสลิมทุกข์ทรมานใจยิ่งนักเมื่อเราพบเห็นปัญหาเช่นนี้ และเรายิ่งเป็นทุกข์ยิ่ง เมื่อเห็นชาวมุสลิมบางจำพวก ใช้จ่ายเงินไปเป็นล้านในผับ ในบาร์ และธุรกิจการบันเทิง ขณะที่ชาวมุสลิมอื่นๆ กำลังหลงทาง และไม่ แม้แต่จะมีบทแปลของคัมภีร์อัลกุรอ่าน ให้ได้อ่านในภาษาของตน และแน่นอน แม้แต่เด็กที่เรียนมา ก็ยังไม่สามารถจะท่องจำอัลกุรอ่านได้หมด พวกเขาไม่สามารถหาอัลกุรอ่าน หรือแม้แต่หนังสือศาสนาที่แปลแล้วได้ สิ่งที่พวกเราต้องเร่งทำ คือ การช่วยเหลือพวกเราเอง โดยเริ่มจากประเทศของตนก่อน แก้ไขประเทศพวกตนให้ดีก่อน ก่อนที่จะหันไปมองแอฟริกา
ขอพระอัลเลาะห์โปรดอวยพระพรท่าน





หลังจากนั้น ในช่วงต่อมาของรายการ
ได้มีชาวคริสต์ผู้สามารถพูดภาษาอาหรับได้ ได้มาร่วมสนทนา ถกร่วมกันกับประเด็นที่ว่า ศาสนาอิสลาม ต้องเป็นศาสนาที่แพร่ธรรม เทศน์สอน และเน้นในเรื่องของความรักและสันติภาพ และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคัดค้านไม่เห็นด้วย รวมถึงนักวิชาการมุสลิมผู้มาร่วมรายการด้วย

พวกเขาเห็นพ้องร่วมกันว่า ศาสนามีสิทธิในการแพร่ธรรม (ยกเว้นในประเทศประเทศอิสลามที่เคร่งครัด) แต่ผู้นำทางศาสนาเหล่านี้ตื่นตระหนกมากเกินกว่าเหตุ พวกเขาแสดงความขุนข้องหมองใจออกมาอย่างชัดเจน ต่อความพยายามของอิสลามในการจะคงรักษาประชากรชาวมุสลิมในแอฟริกาเอาไว้ พวกเค้าไม่เข้าใจ และตีความสรุปเอาเองจากภาพลวงว่า ศาสนาอิสลามเองนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา เพราะอิสลามเป็นศาสนาแห่งปัญหาและความหยาบกระด้างรุนแรง ซึ่งนักวิชาการมุสลิมเอง ก็แสดงทรรศนะออกมาในเรื่องการนำ ชารีอะ หรือกฎหมายของศาสนาอิสลาม ไปปรับใช้ให้เห็นกระจ่างแจ้งว่า สิ่งเหล่านี้สามารถก่อเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมได้มากเพียงใด



สุดท้าย พวกเขาสรุปร่วมกันว่า การถกสนทนาในครั้งนี้น่าสนใจ และได้ประโยชน์กลับไปมาก พวกเขาเน้นว่าแต่ละคนจะต้องศึกษาให้ถ่องแท้เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และด้วยการคงอยู่ของ www ในโลกไซเบอร์ ก็เป็นโอกาส ที่สามารถใช้ให้เกิดผลได้อย่างอเนกอนันต์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ก.ย. 04, 2010 10:38 pm

ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงเปิดใจคนเหล่านี้ได้ :s007:

อย่างไรก็ตามอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มุสลิมจะเป็นประชากรมากที่สุด และอาจจะมีสงครามหลายแห่ง
เหมือนที่กระหึ่มๆๆๆๆ ที่ฝรั่งเศส สเปน และสหรัฐฯ :s002:

สัปดาห์ก่อนไปกินข้าวเย็น (จริงๆแล้วร้อน) กับพี่ที่มาจากชิคาโก้ เล่าว่า โบสถ์เขาขอซื้อ มาจากฝรั่ง แย่งมาจากมุสลิม
เพราะโบสถ์ฝรั่ง (คณะลูเทอร์แรน) เหลือคนแก่ๆ 5-8 คน พวกกรรมการโบสถ์ (สภาวัด) ได้ประกาศขาย โบสถ์ไทย
ของพี่คนนี้ เข้าไปชิงซื้อก่อน เพราะทราบจากวงในว่า พี่แขกกำลังเจรจา และให้ราคางามด้วย ทางนี้ไปต่อรองว่า
ถ้าขายให้เรา ราคาแค่นี้แต่ยังเป็นโบสถ์คริสเตียน ถ้าขายราคาแพงกว่านี้ จะได้ปรับเป็นมัสยิด ลองคิดดูว่า
พระเจ้าจะพอพระทัยอย่างไร ..........นี่คือคำขาด ในที่สุด กรรมการ ไม่งก ขายให้คริสเตียนไทย ครับ
Berserker
โพสต์: 94
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 09, 2010 4:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 05, 2010 11:07 am

นึกว่าเป็นมุสลิมแล้วออกจากศาสนาไม่ได้ซะอีก ::007::
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

อาทิตย์ ก.ย. 05, 2010 11:22 pm

ทางมุสลิมมีเขียนไ้ว้ค่ะ แต่จำไม่ได้บทไหนประมาณว่า
ถ้าเลิกเป็นมุสลิม (หรือเลิกนับถือพระเจ้า ตรงนี้ไม่แน่ใจ)
ให้พี่น้องญาติของคน ๆ นั้น ฆ่าเขาเสียดีกว่า

ตอนอ่านก็อึ้ง ๆ ไปพอสมควร
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ก.ย. 06, 2010 10:31 am

ฟังเรื่องหนึ่งจากเพื่อนของเพื่อน เป็นศิษยาภิบาลจากปากีสถาน เขาเล่าว่า
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนมาจับตัวศิษยาภิบาล มัดตัว ผูกตา แล้วขับรถไปไกลมากทีเดียว
เมื่อไปถึงที่นั้น เขาเปิดตาศิษยาภิบาล แล้วพาเข้าถ้ำ ที่ถ้ำนั้นมีคนอยู่นับร้อยๆคน

ชายที่จับตัวได้ขอโทษศิษยาภิบาล บอกว่าที่จับตัวท่านมาวันนี้ อยากให้ท่านเทศนา และสอนพระคัมภีร์ให้พวกเราด้วย เพราะเราเป็นคริสต์แล้วไม่สามารถประกาศตัวได้จะโดนญาติ
หรือเพื่อนบ้านฆ่า จะนมัสการเปิดเผย ก็ไม่ได้ เราได้เชิญศิษยาภิบาลหลายคนมาเทศนาและ
ทำศาสนพิธี ก็ไม่มีใครมา เพราะกลัวถูกมุสลิมทำร้าย ดังนั้นเราจึงต้องเชิญอาจารย์ด้วยวิธีนี้แหละ ฟังแล้งอึ้งนะครับ และรักเมืองไทยใหญ่อุดมมากขึ้น จริงๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร ก.ย. 07, 2010 3:54 pm

ผมได้ดูวีดีโอที่เบาสัมภาษณ์ชาวคริสต์ที่เคยเป็นมุสลิมมาก่อน พวกเขาบอกว่า เมื่อพวกเขารับเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พวกเค้ามาความหวัง และมีอิสระ เพราะศาสนาอิสลามสอนให้เคารพยำเกรงพระเจ้า แต่ไม่ได้มีคำสัญญาว่าแล้วหลังจากนั้นหละ พวกเขาจะได้อะไร แต่ในศาสนาคริสต์มีพระสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ คือชีวิตนิรันดร การเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ศาสนาอิสลามมีแต่คำสั่งที่ต้องเชื่อฟังและความกลัว
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 22, 2010 7:53 am

littleseal เขียน:ทางมุสลิมมีเขียนไ้ว้ค่ะ แต่จำไม่ได้บทไหนประมาณว่า
ถ้าเลิกเป็นมุสลิม (หรือเลิกนับถือพระเจ้า ตรงนี้ไม่แน่ใจ)
ให้พี่น้องญาติของคน ๆ นั้น ฆ่าเขาเสียดีกว่า

ตอนอ่านก็อึ้ง ๆ ไปพอสมควร
การน้อมรับ คือพื้นฐานของหลักความเชื่อ ดังนั้น หลักความเชื่อที่แท้จริงต้องขึ้นอยู่บนการน้อมรับและความมั่นใจและไม่ใช่มา จากการเลียนแบบและบีบบังคับ และทุก ๆ คน ย่อมมีอิสระภาพในการยึดถือสิ่งที่ตนเองต้องการและสามารถมีพื้นฐานแนวคิดต่าง ๆ ตามที่ตัวเขาเองปรารถนา แม้กระทั้งสิ่งที่เขาเชื่อนั้นจะเป็นแนวคิดที่นอกลู่ก็ตาม ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถหักห้ามสิ่งดังกล่าวกับเขาได้ ตราบใดที่เขายังเก็บรักษาแนวคิดดังกล่าวไว้กับตนเอง และไม่นำมาสร้างความเดือนร้อนแก่ผู้ใด และเมื่อเขาพยายามที่จะเผยแพร่บรรดาแนวคิดดังกล่าวที่ไปคัดค้านกับหลักความ เชื่อของบุคคลอื่น และไปคัดค้านกับคุณค่าในความหลักเชื่อของพวกเขาที่เป็นมิตรภาพ ดังนั้น ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ จึงเป็นการละเมิดระเบียบของประเทศโดยรวมที่เขาได้อาศัยอยู่ ด้วยการจุดความสับสนวุ่นวายและสร้างความคลุมเครือให้เกิดขึ้นในบรรดาหัวใจ ของพวกเขา และคนใดก็ตามที่ละเมิดระเบียบของประเทศโดยรวม ซึ่งไม่ว่าจะในประชาชาติใดก็ตาม เขาย่อมได้รับการลงโทษ และดังกล่าวนี้ อาจถึงขั้นถูกข้อหากบฏซึ่งบรรดาประเทศส่วนมากจะลงโทษด้วยการประหารชีวิต

ดัง นั้น ผู้ตกศาสนาตามหลักชาริอัตอิสลามนั้น จะถูกประหาร ไม่ใช่เพียงเพราะเขาตกศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเหตุที่เขาได้ก่อความสับสนวุ่นวาย ความไม่สงบ และทำให้ระบบโดยรวมของประเทศอิสลามต้องขุ่นมัว และสำหรับผู้ที่ตกศาสนาโดยส่วนตัวของเขาเองโดยไม่เผยแพร่หลักการและสร้าง ความสงสัยในบรรดาหัวใจของผู้คนทั้งหลาย ก็ไม่มีผู้ใดที่จะไปสร้างความเดือนร้อนแก่เขาได้ ดังนั้น อัลเลาะฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของเขา

นัก ปราชญ์หะดิษบางส่วนมีทัศนะว่า การลงโทษผู้ตกศาสนานั้นไม่ใช่ในโลกดุนยาแต่ลงโทษในโลกหน้า และสิ่งที่เกิดขึ้นจากการประหารบรรดาผู้ตกศาสนาในอิสลามนั้น โดยยึดหะดิษนบีบางตัวบท แต่ไม่ใช่เพราะเหตุตกศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะพวกเขาทำการต่อต้านอิสลามและมุสลิมีน๑ และนี้คือแนวคิดที่กินกับสติปัญญาและสมควรแก่การใคร่ครวญ
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 22, 2010 8:52 am

Andreas เขียน:ผมได้ดูวีดีโอที่เบาสัมภาษณ์ชาวคริสต์ที่เคยเป็นมุสลิมมาก่อน พวกเขาบอกว่า เมื่อพวกเขารับเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พวกเค้ามาความหวัง และมีอิสระ เพราะศาสนาอิสลามสอนให้เคารพยำเกรงพระเจ้า แต่ไม่ได้มีคำสัญญาว่าแล้วหลังจากนั้นหละ พวกเขาจะได้อะไร แต่ในศาสนาคริสต์มีพระสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ คือชีวิตนิรันดร การเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ศาสนาอิสลามมีแต่คำสั่งที่ต้องเชื่อฟังและความกลัว
ศาสนาอิสลามสอนให้เคารพยำเกรงพระเจ้า แต่ไม่ได้มีคำสัญญาว่าแล้วหลังจากนั้นหละ พวกเขาจะได้อะไร
ไม่ใช่ค่ะ พระเจ้่าทรงตรัสไว้ความว่า "และสวนสวรรค์จะถูกนำมาใกล้แก่บรรดา ผู้ยำเกรง มันมิำำำได้อยู่ำำำำไกลเลย # นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้ถูกสัญญาไว้สำหรับทุกคนที่สำนึกผิด(หันหน้าเข้าหาอัลลอฮฺ) ผู้รักษาบัญญัติ(ของอัลลอฮฺ) # ผู้ที่เกรงกลัวพระผู้ทรงปรานีโดยทางลับ และมาหา(พระองค์)ด้วยจิตใจที่สำนึุกผิด กลับเนื้อกลับตัว # พวกเจ้่าจงเข้าไปในสวนสวรรค์ด้วยความศานติ นั่นคือวันแห่งการพำนักอยู่ตลอดกาล"

แต่ในศาสนาคริสต์มีพระสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ คือชีวิตนิรันดร การเป็นบุตรของพระเจ้า
ในอิสลามพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ว่าจะทรงประทานชีวิตที่นิรันดร์ในสวนสวรรค์สำหรับผู้ยำเกรง แต่ไม่ได้สัญญาจะประทานการเป็นบุตรของพระองค์ ดังที่พระ้เจ้าทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานความว่า " จงกล่าวเุถิด(มูฮำหมัด) พระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ำไม่ประสูติและไม่ถูกประสูติ และำไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์"
และอีกโองการหนึ่ง พระองค์ทรงตรัส ความว่า " อัีลลอฮฺมิำได้ทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตร และไม่มีำำพระเจ้าอื่นใดเคียงคู่กัีบพระองค์ ถ้า้เช่นนั้นพระเจ้าแต่ละองค์ก็จะนำสิ่งที่ตนสร้างไปเสียหมด และแน่นอนพระ้เจ้าบางองค์ในหมู่พวกเขาก็จะมีอำนาจเหนือกว่าอีกบางองค์ มหาบริสุทธิ็์ฺยิ่งแห่งอัลลอฮฺ ให้พ้นจากสิ่งที่ำพวกเขากล่าวหา # พระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัยและสิ่งที่มองเห็นได้ พระิองค์ทรงสูงส่งยิ่งจากสิ่งที่ำพวกเขาตั้งภาคี"
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 22, 2010 9:33 am

Andreas เขียน:ผมได้ดูวีดีโอที่เบาสัมภาษณ์ชาวคริสต์ที่เคยเป็นมุสลิมมาก่อน พวกเขาบอกว่า เมื่อพวกเขารับเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พวกเค้ามาความหวัง และมีอิสระ เพราะศาสนาอิสลามสอนให้เคารพยำเกรงพระเจ้า แต่ไม่ได้มีคำสัญญาว่าแล้วหลังจากนั้นหละ พวกเขาจะได้อะไร แต่ในศาสนาคริสต์มีพระสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ คือชีวิตนิรันดร การเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ศาสนาอิสลามมีแต่คำสั่งที่ต้องเชื่อฟังและความกลัว
แต่ศาสนาอิสลามมีแต่คำสั่งที่ต้องเชื่อฟังและความกลัว
ขออธิบายอย่างนี้ละกันน่ะค่ะ
อิสลามได้แบ่งความศรัทธา(อีมาน)ออกเป็น 5 ระดับ
1. อีมาน ตักลีด คืออีมานชนิดลอกเลียนแบบ โดยหลักภาษา อีมานตักลีด ก็คือ อีมานแบบตามๆเขาไปนั่นเอง หมายความว่า บุคคลที่ศรัทธาต่อหลักศรัทธาทั้งหมดแค่เพียงลอกเลียนแบบ คนอื่นว่าอย่างไรเขาก็ว่าตามนั้นด้วย
การศรัทธา(อีัมา่น)ของเขาไม่แข็งแกร่ง ขาดความเข้าใจในหลักการอิสลามอย่างแท้จริง เขาไม่มีเหตุผลเพียงพอว่าทำไมเขาต้องศรัทธา หากเขาถูกถามว่า “อะไรคือหลักฐานที่ว่า อัลเลาะห์นั้นทรงมี ?” เขาก็จะตอบได้เพียงว่า “ฉันได้ยินคนทั้งหลายพูดว่ามี ฉันก็ว่ามีด้วยนั่นแหละ....”
ลักษณะของบุคคลที่มีอีมานตักลีด ตามทัศนะของศาสนาอิสลามนั้น พวกเขาจะเปรียบเสมือนกับลักษณะของใบตองแห้งที่พัดไปมาตามกระแสลม หากลมแรงพัดไปทิศเหนือ พวกเขาก็จะไปสู่ทิศเหนือ หากลมเปลี่ยนทิศพัดสู่ทิศใต้ เขาก็จะหันไปทางทิศใต้ คนส่วนใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลในสังคมทำอะไร เขาก็จะทำตาม ความศรัทธาที่เขามีอยู่นั้นไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ใฝ่ต่ำหรือกิเลสในตัวของเขาเองได้เลย พวกเขาไม่กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ ซึ่งหากสภาพการณ์เช่นนี้ถูกปล่อยให้คงอยู่ ประชาชาติอิสลามก็จะต้องตกต่ำในสายตาของศัตรู


2. อีมาน อิลมุ คืออีมานที่อาศัยวิชาความรู้เป็นหลัก ความรู้ในที่นี้หมายถึงวิชาความรู้แห่งการศรัทธาตามบัญญัติแห่งอิสลาม บุคคลที่มีอีมานอิลมุคือบุคคลที่ร่ำเรียนวิชาที่ว่าด้วยการรู้จักอัลเลาะห์ มาลาอีกะห์ บรรดาคัมภีร์ บรรดานบี(ศาสดา) และวันกิยามะห์(วันสิ้นโลก)เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะเป็นต้องศรัทธายึดมั่น วิชาการดังกล่าวที่จำเป็นต้องเรียนรู้และศรัทธา
บุคคลที่มีอีมานอิลมุนั้น การศรัทธาเชื่อมันของเขา จะมีรากฐานและรากแก้วที่เข้มแข็งอยู่ในความคิดของเขา พวกเขามีสติปัญญาที่อยู่ในเตาฮีด(หลักเอกภาพ)ที่แน่วแน่และมั่นคง แต่ทว่า บุคคลที่มีอีมานอิลมุนั้น อีมานของเขาอยู่เพียงแค่สติปัญญา มิใช่อยู่ในจิตใจ บรรดาสิ่งต่างๆ ที่เขาศรัทธามุ่งมั่นนั้น อยู่ในรูปแบบของความเข้าใจ มิได้ฝังลงไปในจิตวิญญาณ เขารู้ว่าอัลเลาะห์ทรงมี แต่รู้ด้วยสมองและสติปัญญา แต่ไม่ได้รู้จักโดยจิตใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกว่าอัลเลาะห์ทรงมี และไม่เกรงกลัวพระองค์ จิตใจของเขาไม่ผูกพันอยู่กับอัลเลาะห์ ไม่โน้มน้าวไปสู่พระองค์ ดังนั้น เขาจึงไม่รำลึกนึกถึงพระองค์ หากว่าเขานึกถึงอัลเลาะห์ ก็เพียงบางครั้งบางคราวและต้องบังคับจิตใจของตัวเอง
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ พวกเขายังกล้าทรยศต่อพระองค์อัลเลาะห์ คำดำรัสใช้ของพระองค์ ก็ทำเพียงส่วนน้อย ในขณะเดียวกัน คำสั่งห้ามของพระองค์ก็ยังคงปฏิบัติไว้มากมาย พวกเขายังมัวเมาในการทำความชั่ว เหตุเพราะพลังอีมานอิลมุที่พวกเขาครอบครองอยู่นั้นไม่สามารถต่อต้านกับนัฟซู(อารมณ์ใฝ่ต่ำ) และไซตอน (มารร้าย)ที่ฝังอยู่ในจิตใจของพวกเขาได้ พวกเขาจึงตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ และอยู่ในบาปเสมอ


3. อีมาน อะยาน คืออีมานของคนที่มีอีมานอิลมุ ต่อมาภายหลังได้ขยันมุ่งมั่นปฏิบัติอิบาดะห์ที่สามารถเพิ่มพูนอีมานได้ เขาก็จะเลื่อนขึ้นจากอีมานอิลมุไปสู่อีมานอะยาน เช่นเดียวกับบุคคลที่มีอีมานตักลีด เมื่อเขาร่ำเรียนแสวงหาวิชาความรู้ เขาก็จะเลื่อนไปสู่ระดับอีมานอิลมุ แต่สำหรับผู้ที่มีอีมานอิลมุจะเลื่อนระดับอีมานของเขาสู่อีมานอะยานได้นั้น เขาจะต้องปฏิบัติในวิชาความรู้ที่เขาได้เรียนรู้มา ด้วยความเข้าใจในเนื้อหาและพิถีพิถัน มีสมาธิ
อีมานอิลมุนั้นการศรัทธาของเขาอยู่ที่สติปัญญา แต่อีมานอะยานนั้นการศรัทธาของเขาอยู่ที่จิตตใจ โดยการศึกษาเรื่องที่ว่าด้วยอีมานจนซึมซาบเข้าสู่สติปัญญา และทำอิบาดะห์อย่างมีสมาธิพร้อมใคร่ครวญถึงความเกรียงไกรของอัลเลาะห์ จนอีมานของเขาซึมซาบเข้าสู่จิตใจ เขารู้สึกด้วยกับจิตใจของเขาว่าอัลเลาะห์ทรงมี ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิจิตใจที่ผูกพันอยู่กับอัลเลาะห์ รำลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ บุคคลแบบนี้เองที่พระองค์อัลเลาะห์ได้กล่าวไว้ในคำดำรัสของพระองค์ ซึ่งมีใจความว่า :

“คือบรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลเลาะห์ทั้งในสภาพยืนและนั่งและในสภาพที่นอนตะแคง และพวกเขาพินิจพิจารณากันในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน(โดยกล่าวว่า) โอ้ พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์มิได้ทรงสร้างสิ่งนี้มาโดยไร้สาระ มหาบริสุทธิ์พระองค์เจ้า โปรดทรงคุ้มครองพวกข้าพระองค์ได้พ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรกด้วยเถิด” อัล อิมรอน : 191

ความรู้สึกถึงการภักดีอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้น ย่อมไม่อาจมีได้หากบุคคลหนึ่งนั้น ยังไม่ถึงขั้นของอีมานอะยาน เขาก็ไม่อาจจะปฏิบัติหรือไม่สามารถฝืนบังคับตนเองได้ ดังนั้นการรู้สึกภักดีอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้น คือการประทานให้ของอัลเลาะห์ ซึ่งเป็นผลมาจากความบริสุทธิ์และการปฏิบัติเป็นประจำในการงานของบุคคล หนึ่ง
ผู้มีอีมานอะยาน เขายังไม่สามารถนึกถึงอัลเลาะห์อยู่ตลอด 24 ชั่วโมงได้ ยังมีเวลาที่เขายังหลงลืมและทำบาปเล็กๆ อยู่ แต่ทุกครั้งที่ปรากฏเช่นนั้นขึ้นมา พวกเขาจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดความละอายและกลัวการลงโทษจากพระองค์อัลเลาะห์ สิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาเตาบัต(กลับเนื้อกลับตัว)อย่างเสียอกเสียใจ พร้อมทั้งได้ให้สัญญาว่าจะไม่กลับไปทำบาปเช่นนั้นอีก
ท่านรอซูลุลเลาะห์ ได้ทรงให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ไว้โดยมีใจความว่า :
“คนมุมินนั้น เมื่อเขาทำความชั่วเพียงน้อยนิด เขามีความรู้สึกเสมือนกับว่าภูเขาที่ใหญ่โตจะหล่นมาทับลงบนตัวเขา”


4. อีมาน ฮักก์ คือ อีมานแท้ เป็นการเลื่อนขึ้นของผู้ที่มีอีมานอะยาน บุคคลที่สามารถขึ้นถึงระดับอีมานฮักก์ได้นั้น คือบุคคลที่มองเห็นพระองค์อัลเลาะห์ด้วยกับจิตใจ ทุกครั้งที่เขามองดูสรรพสิ่ง จิตใจของเขาจะใคร่ครวญระลึกถึงอัลเลาะห์ โดยปราสจากการเสแสร้ง ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ โดยมาพร้อมกับความเกรงกลัว เกรงขาม สรรเสริญ และมีความภักดีต่อพระองค์อัลเลาะห์
บุคคลที่มีอีมานฮักก์ จะไม่ลุ่มหลงในความสวยงามและความเพลิดเพลินของโลกแห่งวัตถุ เขามีความรักต่ออัลเลาะห์และชีวิตในอาคีเราะห์(โลกหน้่า)อย่างเต็มเปี่ยม นัฟซู(อารมณ์ใฝ่ต่ำ กิเลส)และไซตอน(มารร้่าย ซาตาน)ไม่สามารถทำให้เขาหลงลืมอัลเลาะห์ได้เลย
สำหรับคนกลุ่มนี้ นัฟซู(อารมณ์ใฝ่ต่ำ กิเลส)จะก้มหัวให้กับเขา ไซตอน(มารร้่าย ซาตาน)ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ท่าน อุมัรได้รายงานว่า เมื่อเขาเดินผ่านเส้นทางหนึ่ง ไซตอนจะไม่กล้าเดินผ่านเส้นทางนั้นอีกเลย เพราะกลัวท่านซัยยิดินาอุมัร เพราะเหตุนั้นบุคคนที่มีอีมานฮักก์ จะไม่ทำบาปแม้เพียงนิดเดียว และก็ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่อนุญาตให้กับเขา ที่อาจทำให้พวกเขาต้องถูกสอบสวนอย่างมากมาย
บุคคลที่สามารถถึงระดับอีมานฮักก์ได้ พระองค์อัลเลาะห์จะทรงให้ตำแหน่งเขา ให้เป็นผู้ใกล้ชิดกับพระองค์อัลเลาะห์ คุณลักษณะพิเศษของพวกเขา พระองค์อัลเลาะห์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 62 ซึ่งมีใจความว่า :
“พึงสังวร แท้จริงบรรดาผู้สนิทกับอัลเลาะห์นั้น พวกเขาย่อมไม่ประสบความหวั่นกลัวใดๆ และพวกเขาไม่มีความโศกเศร้า”


5. อีมาน ฮากีกัต คือระดับอีมานขั้นสูงสุด อีมานที่สมบูรณ์แบบ เป็นอีมานของบรรดารอซูล(ศานทูต) บรรดานบี(ศาสดา) พระองค์อัลเลาะห์ทรงให้สถานที่อยู่แก่พวกเขาในสวรงสวรรค์ชั้นสูงสุด โดยไม่ต้องถูกอาซาบหรือถูกสอบสวน
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของบรรดาผู้ที่มีอีมานฮากีกัตนั้น เขาจะจมอยู่ในความรำลึกความหลงรักและเมามายอยู่กับพระองค์อัลเลาะห์ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งในยามหลับหรือในขณะตื่น อิริยาบถของพวกเขา การพูดจา การกิน การดื่ม การประพฤติทั้งหมดของพวกเขาจะอยู่ในความภักดีต่อพระองค์อัลเลาะ ห์เสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 23, 2010 4:01 am

vbvk เขียน:
littleseal เขียน:ทางมุสลิมมีเขียนไ้ว้ค่ะ แต่จำไม่ได้บทไหนประมาณว่า
ถ้าเลิกเป็นมุสลิม (หรือเลิกนับถือพระเจ้า ตรงนี้ไม่แน่ใจ)
ให้พี่น้องญาติของคน ๆ นั้น ฆ่าเขาเสียดีกว่า

ตอนอ่านก็อึ้ง ๆ ไปพอสมควร
การน้อมรับ คือพื้นฐานของหลักความเชื่อ ดังนั้น หลักความเชื่อที่แท้จริงต้องขึ้นอยู่บนการน้อมรับและความมั่นใจและไม่ใช่มา จากการเลียนแบบและบีบบังคับ และทุก ๆ คน ย่อมมีอิสระภาพในการยึดถือสิ่งที่ตนเองต้องการและสามารถมีพื้นฐานแนวคิดต่าง ๆ ตามที่ตัวเขาเองปรารถนา แม้กระทั้งสิ่งที่เขาเชื่อนั้นจะเป็นแนวคิดที่นอกลู่ก็ตาม ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถหักห้ามสิ่งดังกล่าวกับเขาได้ ตราบใดที่เขายังเก็บรักษาแนวคิดดังกล่าวไว้กับตนเอง และไม่นำมาสร้างความเดือนร้อนแก่ผู้ใด และเมื่อเขาพยายามที่จะเผยแพร่บรรดาแนวคิดดังกล่าวที่ไปคัดค้านกับหลักความ เชื่อของบุคคลอื่น และไปคัดค้านกับคุณค่าในความหลักเชื่อของพวกเขาที่เป็นมิตรภาพ ดังนั้น ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ จึงเป็นการละเมิดระเบียบของประเทศโดยรวมที่เขาได้อาศัยอยู่ ด้วยการจุดความสับสนวุ่นวายและสร้างความคลุมเครือให้เกิดขึ้นในบรรดาหัวใจ ของพวกเขา และคนใดก็ตามที่ละเมิดระเบียบของประเทศโดยรวม ซึ่งไม่ว่าจะในประชาชาติใดก็ตาม เขาย่อมได้รับการลงโทษ และดังกล่าวนี้ อาจถึงขั้นถูกข้อหากบฏซึ่งบรรดาประเทศส่วนมากจะลงโทษด้วยการประหารชีวิต

ดัง นั้น ผู้ตกศาสนาตามหลักชาริอัตอิสลามนั้น จะถูกประหาร ไม่ใช่เพียงเพราะเขาตกศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเหตุที่เขาได้ก่อความสับสนวุ่นวาย ความไม่สงบ และทำให้ระบบโดยรวมของประเทศอิสลามต้องขุ่นมัว และสำหรับผู้ที่ตกศาสนาโดยส่วนตัวของเขาเองโดยไม่เผยแพร่หลักการและสร้าง ความสงสัยในบรรดาหัวใจของผู้คนทั้งหลาย ก็ไม่มีผู้ใดที่จะไปสร้างความเดือนร้อนแก่เขาได้ ดังนั้น อัลเลาะฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของเขา

นัก ปราชญ์หะดิษบางส่วนมีทัศนะว่า การลงโทษผู้ตกศาสนานั้นไม่ใช่ในโลกดุนยาแต่ลงโทษในโลกหน้า และสิ่งที่เกิดขึ้นจากการประหารบรรดาผู้ตกศาสนาในอิสลามนั้น โดยยึดหะดิษนบีบางตัวบท แต่ไม่ใช่เพราะเหตุตกศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะพวกเขาทำการต่อต้านอิสลามและมุสลิมีน๑ และนี้คือแนวคิดที่กินกับสติปัญญาและสมควรแก่การใคร่ครวญ

ผมกำลังคิดว่า ในทางปฎิบัติ หลายๆครั้ง คนเปลี่ยนศาสนาคนนั้นยังไม่ทันอ้าปากหลอกล่อให้ใครสับสนกับศาสนาของเขา แต่แค่เปลี่ยนส่วนตัวคนเดียวก็โดนฆ่าแล้ว

และผมกำลังคิดว่า ถ้าศาสนาคริสต์และยิวในตะวันออกกลาง เมื่อ1500ปีก่อน สอนให้คิดแบบนี้บ้าง คงไม่มีศาสนาอิสลามเกิดขึ้นมาได้ถึงวันนี้ เพราะคงโดนฆ่าตายหมดตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

เสาร์ ก.ย. 25, 2010 9:08 pm

Holy เขียน: ผมกำลังคิดว่า ในทางปฎิบัติ หลายๆครั้ง คนเปลี่ยนศาสนาคนนั้นยังไม่ทันอ้าปากหลอกล่อให้ใครสับสนกับศาสนาของเขา แต่แค่เปลี่ยนส่วนตัวคนเดียวก็โดนฆ่าแล้ว

และผมกำลังคิดว่า ถ้าศาสนาคริสต์และยิวในตะวันออกกลาง เมื่อ1500ปีก่อน สอนให้คิดแบบนี้บ้าง คงไม่มีศาสนาอิสลามเกิดขึ้นมาได้ถึงวันนี้ เพราะคงโดนฆ่าตายหมดตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว
1.เท่าที่vbvkทราบมุสลิมออกนอกศาสนาเพราะ เช่น
เข้าใจผิดว่าในอิสลามพระเจ้าจะให้พระเยซูเป็นผู้พิพากษา และ เข้าใจผิดว่าผู้ศรัทธาและเคารพภัคดีไม่ได้ถูกสัญญาไว้ด้วยชีวิตที่นิรันดร์
ในอิสลามมุสลิมไม่สามารถฆ่าใครได้ตามอำเภอใจ ผู้ที่ฆ่าคนโดยเจตนาโดยที่เขาไม่มีความผิดใดๆต้องถูกชดใช้ด้วยชีวิต
ผู้ที่กระทำผิดในอิสลาม มุสลิมต้องเรียกมาตักเตือน หรือหากกระผิดจนกระทั่งตกศาสนาเพราะความเข้าใจผิด เขาจะต้องถูกเรียกมาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ตักเตือน และเรียกร้องกลับสู่การศรัทธา และให้โอกาสกลับตัว แต่หากเขาเข้าใจถูกต้องแล้วแต่ยังยืนกรานปฏิเสธก็เหมือนเขาพยายามสร้างความวุ่นวายและเดือนร้อนให้อิสลาม เขาจึงต้องถูกประหารไม่ใช่เพราะเปลี่ยนศาสนาแต่เพราะเป็นศัตรูอิสลาม
พระเจ้าทรงแบ่งมนุษย์ไว้ 3 พวก คือ ผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผู้ปฎิเสธโดยสิ้นเชิง และผู้ที่ภายนอกแสดงว่าศรัทธาแต่ภายในไม่ เหตุผลเพื่อทำลายอิสลาม
ในสมัยท่านนบีและหลังท่านเสียชีวิตพวกกลุ่มที่3นี้ได้ปรากฎตัวและสร้างความวุ่นวายจนทำให้มุสลิมตกศาสนาหลายคน ท่านอบูบักรจึงให้ประหารพวกสร้างความวุ่นวายนี้เสีย

2.เมื่อประมาณ 1500 ปีก่อน อิสลามได้ปรากฎตัวขึ้นท่ามกลาม ญาฮีลียะฮ์
“ ญาฮิลียะฮ ” ในพจนานุกรมอาหรับ – อังกฤษว่า หมายถึง “Pre Islamic Paganism, Pre Islamic Time” ( สมัยป่าเถื่อนก่อนอิสลาม , สมัยก่อนอิสลาม )
ยะหยาและหะลีมี (Yahaya and Halimi, 1994–31–32) ได้สรุปลักษณะของสมัยญาฮิลียะฮ ดังต่อไปนี้

1. ไม่มีศาสดาและคำภีร์ชี้นำ

2. ไม่มีอารยธรรม

3. เป็นสังคมที่ไร้จริยธรรม

4. เป็นสังคมที่ไม่รู้หนังสือ
ชาวอาหรับญาฮิลียะฮนั้นนับถือศาสนาบูชาเจว็ดเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งในวิหารกะอบะฮสถานที่ศักสิทธิ์ของชาวอาหรับยังมีเจว็ดวางอยู่เป็นจำนวนมาก และภายในบริเวณกะอบะฮมีเจว็ดวางอยู่ 300 กว่าองค์ พระเจ้าจึงมอบอิสลามเพื่อนำแสงสว่างแห่งการศรัทธาในพระเจ้ากลับมาอีกครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 1:45 pm

สรุปว่า ถ้าเปลี่ยนศาสนาไปแล้วโดยเรียกมาสั่งให้เปลี่ยนกลับคืนแล้วเขาไม่ยอม ถือว่าเขาได้รับข้อหาเขาสร้างความวุ่นวายแล้ว ฆ่าทิ้งได้ทันที

สรุปอีกคือถ้าเกิดเป็นอิสลาม(เป็นอิสลามโดยไม่ได้เลือก) ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนศาสนา ถ้าเปลี่ยนจะถูกฆ่าตายด้วยข้อหาก่อความวุ่นวาย และถือว่าคนฆ่าไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์์ แต่ฆ่าผู้มีความผิดเพราะก่อความวุ่นวายเนื่องจากเชื่อศาสนาอื่นแล้วไม่ยอมเปลี่ยน ถูกไหมครับ
endage2121
โพสต์: 30
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ค. 31, 2010 3:40 pm

อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 8:19 pm

1.เท่าที่vbvkทราบมุสลิมออกนอกศาสนาเพราะ เช่น
เข้าใจผิดว่าในอิสลามพระเจ้าจะให้พระเยซูเป็นผู้พิพากษา และ เข้าใจผิดว่าผู้ศรัทธาและเคารพภัคดีไม่ได้ถูกสัญญาไว้ด้วยชีวิตที่นิรันดร์
ในอิสลามมุสลิมไม่สามารถฆ่าใครได้ตามอำเภอใจ ผู้ที่ฆ่าคนโดยเจตนาโดยที่เขาไม่มีความผิดใดๆต้องถูกชดใช้ด้วยชีวิต
ผู้ที่กระทำผิดในอิสลาม มุสลิมต้องเรียกมาตักเตือน หรือหากกระผิดจนกระทั่งตกศาสนาเพราะความเข้าใจผิด เขาจะต้องถูกเรียกมาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ตักเตือน และเรียกร้องกลับสู่การศรัทธา และให้โอกาสกลับตัว แต่หากเขาเข้าใจถูกต้องแล้วแต่ยังยืนกรานปฏิเสธก็เหมือนเขาพยายามสร้างความวุ่นวายและเดือนร้อนให้อิสลาม เขาจึงต้องถูกประหารไม่ใช่เพราะเปลี่ยนศาสนาแต่เพราะเป็นศัตรูอิสลาม
[/quote]

การเปลี่ยนศาสนามีเกิดจากความเข้าใจผิดด้วยเหรอคะ พี่คิดว่าน่าจะเกิดจากความศรัทธามากกว่า :s005:
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 8:59 pm

Holy เขียน:สรุปว่า ถ้าเปลี่ยนศาสนาไปแล้วโดยเรียกมาสั่งให้เปลี่ยนกลับคืนแล้วเขาไม่ยอม ถือว่าเขาได้รับข้อหาเขาสร้างความวุ่นวายแล้ว ฆ่าทิ้งได้ทันที

สรุปอีกคือถ้าเกิดเป็นอิสลาม(เป็นอิสลามโดยไม่ได้เลือก) ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนศาสนา ถ้าเปลี่ยนจะถูกฆ่าตายด้วยข้อหาก่อความวุ่นวาย และถือว่าคนฆ่าไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์์ แต่ฆ่าผู้มีความผิดเพราะก่อความวุ่นวายเนื่องจากเชื่อศาสนาอื่นแล้วไม่ยอมเปลี่ยน ถูกไหมครับ
สรุปว่า ถ้าเปลี่ยนศาสนาไปแล้วโดยเรียกมาสั่งให้เปลี่ยนกลับคืนแล้วเขาไม่ยอม ถือว่าเขาได้รับข้อหาเขาสร้างความวุ่นวายแล้ว ฆ่าทิ้งได้ทันที
หากเขาจะออกเพราะเข้่าใจผิด เราจึงต้องเรียกมาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แต่ถ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว แต่ยังยืนกรานปฎิเสธ นั่นแสดงว่าเขาอาจไม่ได้ศรัทธาจริงๆตั้งแต่แรกแต่แสร้งทำว่าศรัทธาเฉพาะภายนอก จงใจสร้างความสับสน หากเขาศรัทธาจริงๆแล้วเกิดเข้าใจผิดจนถึงขั้นจะออกจากศาสนาหลังจากเข้าใจถูกแล้วจะคงยืนกรานดื้อดึุงไปทำไม

สรุปอีกคือถ้าเกิดเป็นอิสลาม(เป็นอิสลามโดยไม่ได้เลือก) ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนศาสนา ถ้าเปลี่ยนจะถูกฆ่าตายด้วยข้อหาก่อความวุ่นวาย มนุษย์ที่เกิดมาทุกคนบริสุทธิ็ดั่งผ้าขาว พ่อแม่และสิ่งแวดล้อมของเขาจะทำให้ปฏิเสธพระเจ้า อิสลามสอนให้รู้จักพระเจ้าตั้งแต่ออกจากท้องมารดาโดยการอาซานข้างหู อิสลามให้เรียนตั้งแต่ในเปลจนถึงหลุมฝังศพ ไม่เคยมีมุสลิมตั้งแต่เกิดคนไหนที่ออกจากศาสนาเพราะเข้าใจศาสนาและกุรอานอย่างชัดเจน จะให้ยกตัวอย่างคนที่อ่านและเข้าใจใบเบิลแล้วออกจากศาสนาไหม?
และถือว่าคนฆ่าไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์์คนประหารก็ไม่ใช่เป็นใครก็ได้ และไม่ใช่ว่าประหารได้เลยตามอำเภอใจ แต่ฆ่าผู้มีความผิดเพราะก่อความวุ่นวายเนื่องจากเชื่อศาสนาอื่น แล้วไม่ยอมเปลี่ยน ถูกไหมครับไม่เคยมีมุสลิมตั้งแต่เกิดคนไหนที่ออกจากศาสนาแล้วออกมาบอกว่าเพราะเขาเข้าใจศาสนาอิสลามและกุรอานอย่างถูกต้อง
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 9:14 pm

endage2121 เขียน: การเปลี่ยนศาสนามีเกิดจากความเข้าใจผิดด้วยเหรอคะ พี่คิดว่าน่าจะเกิดจากความศรัทธามากกว่า :s005:
1 คนหนึ่งเคยออกจากอิสลามเพราะเข้าใจผิดว่า ในทรรศนะของอิสลาม พระเยซูจะมาเ้ป็นผู้ำพิพากษา
แต่ความเป็นจริงในอิสลามพระเจ้า(อัลลอฮฺ)จะเป็นผู้พิพากษาเอง ไม่ใช่พระเยซู
2 คนหนึ่งเคยออกจากอิสลามเพราะเชื่อว่าผู้ปฎิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้มอบชีวิตที่นิรันดร์ แท้ที่จริงแล้วในอิสลาม พระเจ้าทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า"สำหรับผู้กระทำความดี จะได้รับความดี (สวนสวรรค์) และได้เพิ่มขึ้นอีก (การได้มองไปยังพระพักตร์ของพระองค์) ความหมองคล้ำและความต่ำต้อยจะไม่ปกคลุมใบหน้าของพวกเขา ชนเหล่านี้คือชาวสวรรค์ พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล"
3 ขอโทษน่ะค่ะเคยดูรายการเจาะใจ มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเป็นพุทธแล้วเป็นคริสตร์แต่ไม่ใช่เพราะศรัทธาตั้งแต่แรก ท่านบอกเองว่าเพราะมีคนมาเสนอว่าถ้าเ้ป็นคริสตร์จะให้เรียนฟรี ตอนนี้ท่านบอกว่าท่านมี2ศาสนา คือพุทธและคริสตร์
endage2121
โพสต์: 30
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ค. 31, 2010 3:40 pm

จันทร์ ก.ย. 27, 2010 5:47 am

สรุปว่า ถ้าเปลี่ยนศาสนาไปแล้วโดยเรียกมาสั่งให้เปลี่ยนกลับคืนแล้วเขาไม่ยอม ถือว่าเขาได้รับข้อหาเขาสร้างความวุ่นวายแล้ว ฆ่าทิ้งได้ทันที
สำหรับพี่มองว่า บังคับ

สรุปอีกคือถ้าเกิดเป็นอิสลาม(เป็นอิสลามโดยไม่ได้เลือก) ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนศาสนา ถ้าเปลี่ยนจะถูกฆ่าตายด้วยข้อหาก่อความวุ่นวาย
สำหรับพี่มองว่า บังคับ

สรุปอีกคือถ้าเกิดเป็นอิสลาม(เป็นอิสลามโดยไม่ได้เลือก) ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนศาสนา ถ้าเปลี่ยนจะถูกฆ่าตายด้วยข้อหาก่อความวุ่นวาย และถือว่าคนฆ่าไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์์ แต่ฆ่าผู้มีความผิดเพราะก่อความวุ่นวายเนื่องจากเชื่อศาสนาอื่นแล้วไม่ยอมเปลี่ยน ถูกไหมครับ[/color]
ช่วยอธิบายคำว่าก่อความวุ่นวายให้พี่อ่านหน่อยเถอะค่ะ เพราะสำหรับพี่ คำนี้คงจะมองเห็นภาพว่า ทำให้เกิดจลาจล
ถ้าเค้ากลับมาเชื่อตามศาสนาเพราะกลัวถูกฆ่าตาย ละหมาดไปอย่างนั้น โดยไม่ได้คิดอะไรก็เหมือนคนไม่เต็มใจทำ มันจะดีเหรอคะ
:s030:
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

จันทร์ ก.ย. 27, 2010 6:43 am

endage2121 เขียน:สรุปว่า ถ้าเปลี่ยนศาสนาไปแล้วโดยเรียกมาสั่งให้เปลี่ยนกลับคืนแล้วเขาไม่ยอม ถือว่าเขาได้รับข้อหาเขาสร้างความวุ่นวายแล้ว ฆ่าทิ้งได้ทันที
สำหรับพี่มองว่า บังคับ แยกระหว่างคำพูดของ vbvk กับ คุณ holy ด้วยน่ะค่ะ
สรุปอีกคือถ้าเกิดเป็นอิสลาม(เป็นอิสลามโดยไม่ได้เลือก) ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนศาสนา ถ้าเปลี่ยนจะถูกฆ่าตายด้วยข้อหาก่อความวุ่นวาย
สำหรับพี่มองว่า บังคับ แยกระหว่างคำพูดของ vbvk กับ คุณ holy ด้วยน่ะค่ะ

สรุปอีกคือถ้าเกิดเป็นอิสลาม(เป็นอิสลามโดยไม่ได้เลือก) ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนศาสนา ถ้าเปลี่ยนจะถูกฆ่าตายด้วยข้อหาก่อความวุ่นวาย และถือว่าคนฆ่าไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์์ แต่ฆ่าผู้มีความผิดเพราะก่อความวุ่นวายเนื่องจากเชื่อศาสนาอื่นแล้วไม่ยอมเปลี่ยน ถูกไหมครับ[/color] แยกระหว่างคำพูดของ vbvk กับ คุณ holy ด้วยน่ะค่ะ

ช่วยอธิบายคำว่าก่อความวุ่นวายให้พี่อ่านหน่อยเถอะค่ะ เพราะสำหรับพี่ คำนี้คงจะมองเห็นภาพว่า ทำให้เกิดจลาจล
ถ้าเค้ากลับมาเชื่อตามศาสนาเพราะกลัวถูกฆ่าตาย ละหมาดไปอย่างนั้น โดยไม่ได้คิดอะไรก็เหมือนคนไม่เต็มใจทำ มันจะดีเหรอคะ
:s030:
ความวุ่นวายในที่นี้ คือ การสร้างความสับสนให้กับผู้ศรัทธาอื่นๆ เป็นต้นค่ะ
ไม่มีผู้ศรัทธาแท้จริงคนใหนหรอกค่ะ ละหมาดไปอย่างนั้น แต่อาจมีเพราะความขี้เกียจที่ทำให้ทำไปลวกๆ ไม่ใช่เพราะไม่ศรัทธา

ถ้าหากพี่endage ทราบมาบ้างพอบอกได้ไม๊ค่ะ ว่าผู้ศรัทธาที่เข้าใจบทบัญญัติและคัมภีร์ของพระเจ้าและต้องการเป็นผู้ที่พระเจ้าพึงพอใจ เขาจะละหมาดไปอย่างนั้น นอกจากว่าเขาไม่ได้ศรัทธาตั้งแต่แรกแต่แสร้งว่าศรัทธา หรือไม่เขาก้อไม่เข้าใจบทบัญญัติตั้งแต่แรก หากเขาออกเพราะไม่เข้าใจ มุสลิมที่เข้าใจต้องเรียกมาทำความเข้าใจ และหากเขาเกิดเป็นมุสลิมโดยกำเนิดเขาต้องศึกษาเพื่อรู้จักพระเจ้าและเข้าใจวจนะของพระเจ้า แต่ถ้าเขาไม่ศึกษานั้นเป็นความประพฤติของเขาค่ะไม่ใช่คำสอนของศาสนา และเท่าที่ทราบไม่มีมุสลิมคนไหนเลยค่ะ ที่ออกจากศาสนาแล้วมาบอกว่าเพราะเขาอ่านอัลกุรอานวจนะของพระเจ้า ขอโทษน่ะค่ะvbvkเคยทราบว่าบุคคลท่านหนึ่งออกจากคริสตร์เพราะอ่านใบเบิล เขาเป็นคนที่เคร่งศาสนาด้วย

ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

จันทร์ ก.ย. 27, 2010 11:16 am

ก็คือจะบอกว่า อิสลามถูกที่สุด คนที่เป็นอิสลามแล้วไปเข้าศาสนาอื่น เป็นการเข้าใจผิด ไม่ถูกต้อง จะต้องกลับมาเป็นอิสลามตามเดิมเท่านั้น สินะ
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

จันทร์ ก.ย. 27, 2010 11:28 am

กลัวสืบแล้วตามไปถึงเพื่อนตัวเองจัง

เพื่อนตัวเองเป็นมุสลิมตั้งแต่เกิดค่ะ ถูกบังคับให้เรียนอัลกุรอาน
ตั้งแต่เล็ก อ่านอาหรับได้บ้าง ตอนอยู่กับพ่อแม่ต้องเคร่ง
คลุมผม อาบน้ำก่อนละหมาด ถ้ามีประจำเดือนห้ามแตะอัลกุรอาน

แต่พอแยกมาอยู่เอง เคยถามไม่ต้องละหมาดเหรอ
เธอก็ตอบ ขี้เกียจ จะละหมาดทีต้องจัดที่ที ไม่ทำดีกว่า
ถึงทำก็ทำแบบจบ ๆ ไปทีเหมือนไม่อยากทำ

ถ้าเป็นคนเดียวคงจะนึกว่าเป็นข้อยกเ้ว้น แต่เห็นหลายคน
ก็มีพฤติกรรมคล้าย ๆ กัน เลยไม่อยากฟันธงว่ามุสลิมทุกคน
ต้องเคร่งครัด โดยเฉพาะมุสลิมที่เป็นตั้งแต่เกิดกับแต่งงาน
พอถามแบบนี้ไม่ผิดเหรอ มักจะได้คำตอบทำนอง เราไม่เคร่ง
บางคนบอกด้วยซ้ำไม่ได้เชื่อแต่นับถือเพราะสามี ไม่อยากมีปัญหา
endage2121
โพสต์: 30
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ค. 31, 2010 3:40 pm

จันทร์ ก.ย. 27, 2010 5:56 pm

พี่ก็เจอคล้ายๆกับคุณ littleseal ค่ะ แต่คุณ vbvk ก็คงจะบอกว่าเป็นเพราะความประพฤติใช่ไหมคะ พี่ก็เชื่อว่า ที่เขาออกจากพระเจ้าเป็นเพราะว่าตัวเค้าศรัทธาในศาสนานั้นๆ แต่ก็คงไม่มีใครไปบอกให้เค้ากลับมาเชื่อพระเจ้า หรือถ้ามีก็คงไม่มีใครสามารถฆ่าเค้าได้ เพราะตัวเค้าเลือกทางของเค้าเอง แต่พี่อยากรู้ว่าถ้าคนคนนึงเปลี่ยนไปนับถืออิสลาม ผ่านไป 10 ปี เค้ากลับเปลี่ยนมาเชื่อในศาสนาเดิมของเขา เขาจะผิดตรงที่ก่อความวุ่นวายไหมคะ แล้วเค้าจะถูกสั่งฆ่าไหมคะ :s030:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

จันทร์ ก.ย. 27, 2010 5:59 pm

vbvk เขียน:
endage2121 เขียน: การเปลี่ยนศาสนามีเกิดจากความเข้าใจผิดด้วยเหรอคะ พี่คิดว่าน่าจะเกิดจากความศรัทธามากกว่า :s005:
1 คนหนึ่งเคยออกจากอิสลามเพราะเข้าใจผิดว่า ในทรรศนะของอิสลาม พระเยซูจะมาเ้ป็นผู้ำพิพากษา
แต่ความเป็นจริงในอิสลามพระเจ้า(อัลลอฮฺ)จะเป็นผู้พิพากษาเอง ไม่ใช่พระเยซู
2 คนหนึ่งเคยออกจากอิสลามเพราะเชื่อว่าผู้ปฎิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้มอบชีวิตที่นิรันดร์ แท้ที่จริงแล้วในอิสลาม พระเจ้าทรงตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า"สำหรับผู้กระทำความดี จะได้รับความดี (สวนสวรรค์) และได้เพิ่มขึ้นอีก (การได้มองไปยังพระพักตร์ของพระองค์) ความหมองคล้ำและความต่ำต้อยจะไม่ปกคลุมใบหน้าของพวกเขา ชนเหล่านี้คือชาวสวรรค์ พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล"
3 ขอโทษน่ะค่ะเคยดูรายการเจาะใจ มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเป็นพุทธแล้วเป็นคริสตร์แต่ไม่ใช่เพราะศรัทธาตั้งแต่แรก ท่านบอกเองว่าเพราะมีคนมาเสนอว่าถ้าเ้ป็นคริสตร์จะให้เรียนฟรี ตอนนี้ท่านบอกว่าท่านมี2ศาสนา คือพุทธและคริสตร์
1.สงสัย แค่คิดต่างกันว่าใครจะมาเป็นผู้พิพากษา ก็ฆ่าเลยหรือ พระเจ้าจะมาเองหรือใช้บุตรของพระองค์ก็เรื่องของพระองค์สิ ในเื่มื่อทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว หรือจะคิดแทน?

2.ฆ่าคนแล้วได้ขึ้นสวรรค์ โชคดีจังเลยนะ
(ขนาดชั้นถ้าเกิดต้องฆ่าศัตรูสักคนเข้าจริง ๆ ก็ไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองจะได้ขึ้นสวรรค์ด้วยเหตุผลว่าเพราะฆ่าศัตรูคนนั้น ต่อให้เกลียดมันมากแค่ไหนก็ตาม)

3.ยังน้อยกว่าบอกว่าเปลี่ยนศาสนาปุ๊บจะเชือดทิ้งเลยละกัน
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 29, 2010 4:08 am

Immanuel (MichaelPaul) เขียน:ก็คือจะบอกว่า อิสลามถูกที่สุด คนที่เป็นอิสลามแล้วไปเข้าศาสนาอื่น เป็นการเข้าใจผิด ไม่ถูกต้อง จะต้องกลับมาเป็นอิสลามตามเดิมเท่านั้น สินะ
คืออย่างงี้ค่ะ การเข้าใจผิดในที่นี้ คือการเข้าใจอิสลามแบบผิดๆแล้วประกาศเปลี่ยนศาสนา เข้าใจไม๊ค่ะ ยกตัวอย่างง่ายๆเลยละกันน่ะค่ะ สมมุติว่าคุณเป็นมุสลิมอยู่ดีๆ ไม่ได้คิดจะออกจากศาสนา แล้วอยู่วันหนึ่งมีคนมาบอกคุณว่า เป็นมุสลิมไปทำไมทำความดีไปก็สูญเปล่าเพราะในอิสลามพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าตอบแทนสวรรค์ให้คนทำความดีหรอก คุณไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอิสลามไม่ได้สอนอย่างนั้น แล้วคุณก้อออก นี่แหละค่ะ เข้าใจผิด มุสลิมผู้รู้จึงต้องเรียกมาทำความเข้าใจ ด้วยหลักฐาน แล้วให้ขออภัยจากพระเจ้า แต่เมื่อคุณก้อเข้าใจถูกแล้วว่าอิสลามไม่ได้สอนอย่างที่คนเมื่อกี๊บอกสักหน่อย แล้วคุณจะออกอีกทำไม
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 29, 2010 4:26 am

endage2121 เขียน:พี่ก็เจอคล้ายๆกับคุณ littleseal ค่ะ แต่คุณ vbvk ก็คงจะบอกว่าเป็นเพราะความประพฤติใช่ไหมคะ พี่ก็เชื่อว่า ที่เขาออกจากพระเจ้าเป็นเพราะว่าตัวเค้าศรัทธาในศาสนานั้นๆ แต่ก็คงไม่มีใครไปบอกให้เค้ากลับมาเชื่อพระเจ้า หรือถ้ามีก็คงไม่มีใครสามารถฆ่าเค้าได้ เพราะตัวเค้าเลือกทางของเค้าเอง
:s030:
พี่ก็เจอคล้ายๆกับคุณ littleseal ค่ะ แต่คุณ vbvk ก็คงจะบอกว่าเป็นเพราะความประพฤติใช่ไหมคะสมมุติว่าพี่หรือใคร(หลายๆคน)จะขับรถ พี่ก้อรู้ว่าบนท้องถนน เค้ามีกฏจราจร แต่พี่ไม่อยากศึกษา หรือศึกษาแบบลวกๆ ไม่เข้าใจไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามีอะไร พอถึงเวลาขับรถ พี่ก็ขับตามใจอยากขับจะแซงซ้ายแซงขวาช่างชั้น ไฟแดงไม่อยากจอดก้อเรื่องของฉัน แล้วมีคนต่างชาติมาเห็น แล้วบอกว่ากฎจราจรไทยห่วยแตก เป็นพี่พี่จะไปบอกว่าต่างชาติคนนั้นว่ากฎจราจรไทยห่วยแตกจริงอย่างที่เขาว่าหรือว่าพี่จะโทษคนขับละค่ะ

แต่พี่อยากรู้ว่าถ้าคนคนนึงเปลี่ยนไปนับถืออิสลาม ผ่านไป 10 ปี เค้ากลับเปลี่ยนมาเชื่อในศาสนาเดิมของเขา เขาจะผิดตรงที่ก่อความวุ่นวายไหมคะ แล้วเค้าจะถูกสั่งฆ่าไหมคะ ถ้าเขาแค่กลับมาเชื่อหรือเข้าโดยไม่ได้เชื่อตั้งแต่แรก เรื่องในจิตใจของเขาก้อเป็นเรื่องระหว่างเขากับพระเจ้าละค่ะ พระเจ้าและเขาเท่านั้นที่รู้เรื่องในจิตใจของเขา
แก้ไขล่าสุดโดย vbvk เมื่อ พุธ ก.ย. 29, 2010 5:46 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

พุธ ก.ย. 29, 2010 4:27 am

vbvk เขียน:
Immanuel (MichaelPaul) เขียน:ก็คือจะบอกว่า อิสลามถูกที่สุด คนที่เป็นอิสลามแล้วไปเข้าศาสนาอื่น เป็นการเข้าใจผิด ไม่ถูกต้อง จะต้องกลับมาเป็นอิสลามตามเดิมเท่านั้น สินะ
คืออย่างงี้ค่ะ การเข้าใจผิดในที่นี้ คือการเข้าใจอิสลามแบบผิดๆแล้วประกาศเปลี่ยนศาสนา เข้าใจไม๊ค่ะ ยกตัวอย่างง่ายๆเลยละกันน่ะค่ะ สมมุติว่าคุณเป็นมุสลิมอยู่ดีๆ ไม่ได้คิดจะออกจากศาสนา แล้วอยู่วันหนึ่งมีคนมาบอกคุณว่า เป็นมุสลิมไปทำไมทำความดีไปก็สูญเปล่าเพราะในอิสลามพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าตอบแทนสวรรค์ให้คนทำความดีหรอก คุณไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอิสลามไม่ได้สอนอย่างนั้น แล้วคุณก้อออก นี่แหละค่ะ เข้าใจผิด มุสลิมผู้รู้จึงต้องเรียกมาทำความเข้าใจ ด้วยหลักฐาน แล้วให้ขออภัยจากพระเจ้า แต่เมื่อคุณก้อเข้าใจถูกแล้วว่าอิสลามไม่ได้สอนอย่างที่คนเมื่อกี๊บอกสักหน่อย แล้วคุณจะออกอีกทำไม
แล้วจะยืนยันได้มั้ย ว่าคนที่ตายไป เข้าใจอิสลามผิดจริง หรือว่า "ถูกใส่ร้าย"
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 29, 2010 4:45 am

littleseal เขียน:กลัวสืบแล้วตามไปถึงเพื่อนตัวเองจังจิงๆแล้วvbvkก้อไม่อยากสืบสาวไปถึงคนระดับบาทหลวงเลยค่ะ แต่ถ้ามีคนอยากรู้ก้อจะเอามาเล่าให้ฟ้ง

เพื่อนตัวเองเป็นมุสลิมตั้งแต่เกิดค่ะ ถูกบังคับให้เรียนอัลกุรอาน
ตั้งแต่เล็ก อ่านอาหรับได้บ้าง อัลกุรอานเป็นภาษาอาหรับ ขนาดอ่านยังพอได้บ้างแล้วนับประสาอะไรกับเข้าใจกุรอานละค่ะตอนอยู่กับพ่อแม่ต้องเคร่ง
คลุมผม อาบน้ำก่อนละหมาด ถ้ามีประจำเดือนห้ามแตะอัลกุรอาน

แต่พอแยกมาอยู่เอง เคยถามไม่ต้องละหมาดเหรอ
เธอก็ตอบ ขี้เกียจ จะละหมาดทีต้องจัดที่ที ไม่ทำดีกว่า
ถึงทำก็ทำแบบจบ ๆ ไปทีเหมือนไม่อยากทำ vbvk เคยเขียนไว้แล้วค่ะ ว่าอิสลามได้แบ่งระดับความศรัทธาไว้ 5 ระดับ vbvk คิดว่าเพื่อนคุณคนนี้ดูจากลักษณะที่คุณบอกน่ะค่ะ น่าจะไม่เกินระดับ 2 หรืออาจต่ำกว่า อืม พระเจ้าและเขาเท่านั้นที่รู้จักจิตใจเขา (ขอพระองค์ทรงชี้ทางและเพิ่มพูนความศรัทธาของเขาด้วยเถิด เพื่อเขาจะได้เป็นบ่าวที่เหยียบย่ำอยู่บนแผ่นดินของพระองค์อย่างขอบคุณ)

ถ้าเป็นคนเดียวคงจะนึกว่าเป็นข้อยกเ้ว้น แต่เห็นหลายคน
ก็มีพฤติกรรมคล้าย ๆ กัน เลยไม่อยากฟันธงว่ามุสลิมทุกคน
ต้องเคร่งครัด เคร่งหรือไม่ก้ออยู่ที่เขาเลือกละค่ะ อัล-กุรอาน กล่าวว่า อัลลอฮฺ จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใด เว้นเสียแต่ตามความสามารถของชีวิตนั้น และชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนความดีในสิ่งที่เขาได้แสวงหาไว้ และจะได้รับการลงโทษในสิ่งชั่วที่เขาได้แสวงไว้เช่นกัน ดังนั้น พระองค์จะพิพากษามนุษย์ไปตามเจตนารมณ์เสรีและตามการขวนขวายของเขา
โดยเฉพาะมุสลิมที่เป็นตั้งแต่เกิดกับแต่งงาน
พอถามแบบนี้ไม่ผิดเหรอ มักจะได้คำตอบทำนอง เราไม่เคร่ง
บางคนบอกด้วยซ้ำไม่ได้เชื่อแต่นับถือเพราะสามี ไม่อยากมีปัญหา จะเชื่อจริงหรือไม่มันเป็นเรื่องในจิตใจเขา มันเป็นเรื่องระหว่างเขากับพระเจ้า พระเจ้าและเขาเท่านั้นที่รู้เรื่องในใจเขา ฉะนั้นพระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินเขาเอง
แก้ไขล่าสุดโดย vbvk เมื่อ พุธ ก.ย. 29, 2010 5:49 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 29, 2010 5:12 am

Valkyrie Zero Number เขียน:
vbvk เขียน:
Immanuel (MichaelPaul) เขียน:ก็คือจะบอกว่า อิสลามถูกที่สุด คนที่เป็นอิสลามแล้วไปเข้าศาสนาอื่น เป็นการเข้าใจผิด ไม่ถูกต้อง จะต้องกลับมาเป็นอิสลามตามเดิมเท่านั้น สินะ
คืออย่างงี้ค่ะ การเข้าใจผิดในที่นี้ คือการเข้าใจอิสลามแบบผิดๆแล้วประกาศเปลี่ยนศาสนา เข้าใจไม๊ค่ะ ยกตัวอย่างง่ายๆเลยละกันน่ะค่ะ สมมุติว่าคุณเป็นมุสลิมอยู่ดีๆ ไม่ได้คิดจะออกจากศาสนา แล้วอยู่วันหนึ่งมีคนมาบอกคุณว่า เป็นมุสลิมไปทำไมทำความดีไปก็สูญเปล่าเพราะในอิสลามพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าตอบแทนสวรรค์ให้คนทำความดีหรอก คุณไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอิสลามไม่ได้สอนอย่างนั้น แล้วคุณก้อออก นี่แหละค่ะ เข้าใจผิด มุสลิมผู้รู้จึงต้องเรียกมาทำความเข้าใจ ด้วยหลักฐาน แล้วให้ขออภัยจากพระเจ้า แต่เมื่อคุณก้อเข้าใจถูกแล้วว่าอิสลามไม่ได้สอนอย่างที่คนเมื่อกี๊บอกสักหน่อย แล้วคุณจะออกอีกทำไม
แล้วจะยืนยันได้มั้ย ว่าคนที่ตายไป เข้าใจอิสลามผิดจริง หรือว่า "ถูกใส่ร้าย"
หมายถึงคนที่ถูกประหารใช่ไม๊ค่ะ ไม่ใช่ว่าประหารได้เลยง่ายๆตามอำเภอใจน่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าจะกล่าวหาว่าใครตกศาสนาได้ง่ายๆน่ะ มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่สามรถสินโดยคนๆเดียวและไร้หลักฐาน การพิพากษาเรื่องนี้เหมือนกับการพิพากษาในกรณีอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติแห่งศาสนา ซึ่งบางครั้งมีหลักฐานที่แน่นอนและมั่นคง บางครั้งมีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากกว่าหลักฐานฝ่ายตรงข้าม และบางครั้งมีหลักฐานที่มีข้อสงสัย ในกรณีเช่นนี้การยุติการกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นผู้ปฎิเสธมีความสมควรอย่างยิ่ง ส่วนการด่วนพิพากษาผู้อื่นว่าเป็นกาฟิรทั้งๆที่ยังมีข้อสงสัยนั้น เป็นการกระทำของคนโง่เขลา คนที่ใส่ร้ายกล่าวหาผู้ศรัทธาว่าเป็นผู้ปฎิเสธ ท่านนบี กล่าวว่า “การสาปแช่งมุอฺมินเปรียบเสมือนการเข่นฆ่าเขา และใครก็ตามที่กล่าวหามุอฺมินว่าเป็นกาฟิร ก็เปรียบเสมือนการเข่นฆ่าเขา” และมีบทหะดีษในอัศศ่อฮี้ฮฺว่า ท่านนบีมุฮัมมัด กล่าวว่า “ใครก็ตามที่กล่าวถึงพี่น้องของเขาว่า “โอ้กาฟิร” แน่นอนคนหนึ่งในสองคน(คนกล่าวหาและคนที่ถูกกล่าวหา) จะประสบกับคำกล่าวหานั้น”
สำหรับที่ใส่ร้ายและเข่นฆ่าผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ แน่นอนในวันแห่งการตัดสินเขาย่อมไม่หลุดพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าผู้ที่ความยุติธรรมสูงสุด
vbvk
โพสต์: 70
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ส.ค. 28, 2010 10:08 am

พุธ ก.ย. 29, 2010 6:52 am

Valkyrie Zero Number เขียน: 1.สงสัย แค่คิดต่างกันว่าใครจะมาเป็นผู้พิพากษาที่ vbvk บอกอ่ะ ไม่ใช่เพราะเขาคิดต่าง แล้วในตัวอย่างอ่ะ vbvk บอกว่า เขาคนนั้นไปเข้าใจว่าอิสลามสอนอย่างนั้น ทั้งที่อิสลามไม่ได้สอนอย่างนั้น ซึ่งมีหลักฐานจากกุรอานชัดเจน ว่าพระเจ้าจะตัดสินเอง จึงต้องมาทำความเข้าใจให้เขาไงค่ะว่า ในอิสลามจริงๆแล้วเป็นยังไง ก็ฆ่าเลยหรือไม่ใช่ว่าประหารเลยตามอำเภอใจ มันต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง ไม่ใช่ตัดสินโดยคนๆเดียว ไม่ใช่ตัดสินโดยใครก็ได้ พระเจ้าจะมาเองหรือใช้บุตรของพระองค์ก็เรื่องของพระองค์สิ ในเื่มื่อทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว หรือจะคิดแทน?เราไม่สามารถคิดแทนพระองค์หรอกค่ะ แต่เรื่องนี้พระเจ้าตรัสไว้เองเลยว่า " จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คืออัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะ อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์" เราจึงไม่กล้าคิดแทนว่าพระองค์มีบุตร

2.ฆ่าคนแล้วได้ขึ้นสวรรค์ โชคดีจังเลยนะ
(ขนาดชั้นถ้าเกิดต้องฆ่าศัตรูสักคนเข้าจริง ๆ ก็ไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองจะได้ขึ้นสวรรค์ด้วยเหตุผลว่าเพราะฆ่าศัตรูคนนั้น ต่อให้เกลียดมันมากแค่ไหนก็ตาม) อิสลามไม่มีการอนุญาติให้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเราเป็นของพระองค์ เราไม่สามารถแม้แต่ฆ่าตัวเองแล้วนับประสาอะไรกับฆ่าคนอื่น ในโลกนี้ อิสลามได้กำหนดบทลงโทษประหารชีวิต (กิศอศ) สำหรับผู้กระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา และกำหนดให้มีการจ่ายค่าชีวิต(ดิยัต) และค่าสินไหมทดแทน (กัฟฟาเราะฮ์) สำหรับผู้กระทำผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาหรือโดยพลาดพลั้ง และสำหรับโลกหน้า พระเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า
"และผู้ใดที่ฆ่าผู้ศรัทธาโดยเจตนา แน่นอนผลตอบแทนของเขา คือการทรมานในขุมนรกตลอดกาล และอัลลอฮ์ทรงพิโรธ สาปแช่งเขา และพระองค์เตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษที่ใหญ่หลวง"
และสุดท้ายหวังว่าคุณคงแยกออกน่ะค่ะ ระหว่างฆาตกร กับคนที่มีหน้าที่ประหารตามคำตัดสินของผู้พิพากษา

3.ยังน้อยกว่าบอกว่าเปลี่ยนศาสนาปุ๊บจะเชือดทิ้งเลยละกัน ไม่ใช่ประหารปั๊บอย่างนั้นน่ะค่ะ มันต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง เราต้องการคนศรัทธาจริงๆไม่ใช่คนกลับกลอก จริงๆแล้วอิสลามไม่ได้บังคับให้เชื่อน่ะค่ะ ไม่เชื่อก้อเรื่องของคุณ ส่วนเรื่องในจิตใจก้อเป็นเรื่องระหว่างคุณกับพระเจ้าล่ะค่ะ
แต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเดี๋ยวละหมาดเดี๋ยวไหว้รูปปั้น มันสร้างความคลุมเคลือต่อผู้ศรัทธาอื่น อิสลามมีเกียรติและศักดิ์ศรีเกินที่ใครจะทำเล่นๆน่ะค่ะ
ตอบกลับโพส