🌹 เรื่องจริง : เมื่อแพทย์ทำแท้งกลับใจ

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
Arttise
โพสต์: 802
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.พ. 19, 2017 3:45 pm

เสาร์ มี.ค. 04, 2023 1:39 am

📚 เรี่องจริงที่แปลจากนิตยสาร “Love One Another” (จงรักซึ่งกันและกัน) โดย กอบกิจ ครุวรรณ

สโตแจน อะดาเซวิก (Stojan Adasevic) จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันหนึ่งขณะที่ตนเป็นนักศึกษาแพทย์แผนกนรีเวชวิทยา และกำลังจัดเอกสารในห้องที่มีแพทย์กำลังคุยกันถึงประสบการณ์ต่างๆของแต่ละคน โดยไม่สนใจนักศึกษาแพทย์ที่กำลังจัดเอกสาร ทางการแพทย์กองใหญ่อยู่ข้างหน้า

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ ดร.ราโด อีญาโตวิก (Rado Ignatovic) เล่าถึงคนไข้คนหนึ่งที่มาขอให้ตนช่วยทำแท้งทารกที่อยู่ในครรภ์ให้ ท่านทำไม่สำเร็จเพราะไม่สามารถปรับตำแหน่งปากมดลูกให้ตรงได้ กลุ่มนรีแพทย์ในห้องก็ออกความเห็นต่างๆ นานาของปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาพูดกันมาถึงตอนหนึ่ง ซึ่งสโตแจนเมื่อได้ฟังก็รู้สึกตัวแข็งอยู่กับที่ เนื่องจากพวกเขากำลังพูดถึง ทันตแพทย์หญิงคนหนึ่งที่เคยมีที่ทำงาน อยู่ในย่านนั้น เธอเป็นมารดาของเขาเอง และเมื่อแพทย์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทารกคนนั้น?”... สโตแจนไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นและพูดว่า “ผมคือทารกคนนั้นครับ!” ทันทีที่พูดออกไป ทั้งห้องก็เงียบสงัด จากนั้นแพทย์แต่ละคนก็ค่อยๆ เดินออกไปนอกห้อง

หลายปีผ่านไป บัดนี้สโตแจน กลายเป็นนายแพทย์อะดาเซวิก สโตแจนคงได้คิดทบทวนอยู่หลายครั้งจนถึงบัดนั้นว่า ตนเป็นหนี้ชีวิต เพราะการทำแท้งไม่สำเร็จ ฉะนั้นตนจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิงอื่นอีก เขากลายเป็นแพทย์ทำแท้งที่มีฝีมือดีที่สุดในกรุงเบลเกรด (ยูโกสลาเวีย) และมีฝีมือเหนือ ดร.ราโด อีญาโตวิก อาจารย์ผู้สอนที่เขาเป็นหนี้ชีวิตด้วย

นายแพทย์อะดาเซวิก ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ได้ด้วยการฝึกฝนบ่อยๆ” ท่านอ้างสุภาษิตเยอรมันที่ว่า “Übung macht Meister” (การฝึกฝนทำให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ) ท่านฝึกทำวันละ 20-30 ราย และเคยทำสูงสุดได้ถึง 35 รายในหนึ่งวัน นับจนถึงจุดเปลี่ยนเป็นเวลา 26 ปีต่อมาที่ท่านเป็นนรีแพทย์ (gynecologist) คำนวณได้ว่าท่านได้ทำแท้งไปแล้วประมาณ 48,000-62,000 ราย

ระหว่างช่วงเวลา 26 ปีที่ท่านทำแท้งนั้น ท่านเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจจากการเรียนและจากตำราว่า การทำแท้งก็ไม่ต่างอะไรกับการผ่าไส้ติ่งอักเสบ ข้อแตกต่างมีเพียงอย่างเดียวคือการผ่าไส้ติ่งอักเสบเป็นการตัดชิ้นส่วนของลำไส้ออกไป ส่วนการทำแท้งคือการเอาเนื้อเยื่อของตัวอ่อนออกไป อย่างไรก็ตามเมื่อถึงทศวรรษ 1980 วิทยาการด้านอัลตร้าซาวด์เข้ามามีบทบาทในประเทศยูโกสลาเวีย ท่านจึงเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นครั้งแรก ภาพจากจอมอนิเตอร์ทำให้ท่านทราบว่า ที่จริงในครรภ์ของสตรีที่มาทำแท้งนั้น มีตัวอ่อนที่มีชีวิตกำลังดูดนิ้วหัวแม่มืออยู่ และสามารถขยับเขยื้อนแขนขาได้ ซึ่งบ่อยครั้งท่านได้ใช้คีมคีบออกมาวางไว้บนโต๊ะขณะทำงาน ทุกวันนี้ ท่านกล่าวถึงวันที่เห็นภาพดังกล่าวว่า “ผมได้มองโดยที่ไม่เห็นมาก่อน และนับแต่นั้นมาผมก็เริ่มมีความฝันแปลกๆ”

ความฝันของ ดร. อะดาเซวิก เป็นความฝันซ้ำๆ ที่หลอกหลอนท่านอยู่ทุกคืนเป็นแรมเดือนหลังจากที่ทำงานแต่ละวัน ท่านฝันเห็นตัวเองกำลังเดินอยู่บนสนามหญ้าที่มีแสงแดดส่อง มีดอกไม้สวยงามอยู่ทั่วไป อากาศอบอุ่นและน่ารื่นรมย์ แต่ตัวเองกลับรู้สึกมีความกังวลอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็มีเด็กเล็กๆ มากมายวิ่งกรูกันออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เบิกบาน เด็กทุกคนกำลังเล่นลูกบอลกันอย่างสนุกสนาน พวกเขามีอายุตั้งแต่ 3-4 ขวบไปจนถึงประมาณ 20 ปี ท่านรู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาดกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งและเด็กผู้หญิงอีก 2 คน เมื่อท่านพยายามไปพูดด้วย เด็กทุกคนก็ส่งเสียงกรีดร้อง และวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ภายใต้สายตาของบุรุษผู้หนึ่งสวมชุดสีดำที่กำลังเฝ้ามองทุกสิ่งอยู่อย่างเงียบๆ

ทุกคืน ดร.อะดาเซวิก จะตกใจตื่นและนอนไม่หลับจนถึงเช้า ท่านพยายามบำบัดด้วยยาทุกชนิดทั้งสมุนไพรและยาแผนใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผล อยู่มาคืนหนึ่งท่านรู้สึกหัวเสียมากในความฝัน และเริ่มวิ่งไล่จับพวกเด็กๆ ท่านจับตัวเด็กมาได้คนหนึ่งที่ร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย! ฆาตกร! ช่วยด้วยอย่าให้ฆาตกรฆ่าหนู!” ตอนนั้นเอง ที่บุรุษในชุดดำแปลงร่างเป็นนกอินทรีบินโฉบลงมาและคว้าตัวเด็กไปจากมือของท่าน ท่านตกใจตื่น หัวใจเต้นแรงเหมือนถูกค้อนทุบซี่โครง อากาศในห้องก็เย็นดีอยู่แต่ท่านกลับรู้สึกร้อนจนเหงื่อไหลท่วมตัว เช้าวันนั้นท่านตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ แต่ยังพบไม่ได้ทันที เพราะต้องจองคิวเพื่อการนัดหมาย

อย่างไรก็ตาม ก่อนนอนค่ำวันนั้น ท่านตั้งใจว่าท่านจะถามบุรุษที่เห็นในฝันผู้นั้นว่าเป็นใคร... และก็เป็นไปตามที่ตั้งใจ ในฝันตอบท่านว่า “ถึงแม้จะบอกชื่อให้ ก็คงไม่มีความหมายอะไรกับคุณ” แต่เมื่อคุณยืนยันต้องการทราบ บุรุษผู้นั้นจึงตอบว่า “ฉันชื่อโทมัส อะไควนัส” (Thomas Aquinas : 1225-1274 : นักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร) ซึ่งเป็นชื่อที่ดร.อะดาเซวิก ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต บุรุษชุดดำจึงพูดต่อไปว่า “ทำไมคุณถึงไม่ถามล่ะว่า เด็กพวกนั้นเป็นใคร คุณจำพวกเขาไม่ได้หรือ?” - เมื่อท่านตอบปฏิเสธไปว่าไม่รู้จักพวกเขา บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่า “ไม่จริงหรอก คุณรู้จักพวกเขาดีทีเดียวเลย พวกเขาก็คือเด็กๆ ที่คุณฆ่าตอนทำแท้งไงล่ะ” - ท่านจึงแย้งว่า “เป็นไปได้อย่างไร เด็กพวกนี้เป็นเด็กโต และฉันก็ยังไม่เคยฆ่าเด็กที่คลอดออกมาแล้วแม้แต่คนเดียว” - โทมัสจึงตอบว่า “คุณไม่รู้หรือว่าในดินแดนแห่งนี้เด็กๆ ยังโตต่อได้? - ท่านยังไม่ยอมแพ้และกล่าวว่า “แต่ฉันไม่เคยฆ่าเด็กอายุ 20 ปีเลย” - “คุณฆ่าเขาเมื่อ 20 ปีก่อนไงล่ะ ตอนนั้นเขาเพิ่งมีอายุได้ 3 เดือน”

ถึงตอนนี้ท่านจึงนึกใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มีอายุ 20 ปีและเด็กหญิง 2 คนนั้นออก พวกเขามีใบหน้าเหมือนกับคนที่ท่านรู้จักดีที่ท่านเป็นคนทำแท้งให้ เด็กหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าเหมือนเพื่อนสนิทของเขาที่พาภรรยามาให้เขาทำแท้งให้เมื่อ 20 ปีก่อน ส่วนเด็กหญิง 2 คนนั้น ท่านรู้จักแม่ของทั้งสองดี และแม่ของคนหนึ่งก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านเอง เมื่อตื่นขึ้นมาท่านตัดสินใจว่าจะเลิกทำแท้งอย่างเด็ดขาด

🫀 "ผมกำหัวใจที่ยังเต้นได้อยู่ในมือ"

ลูกพี่ลูกน้องของท่านคนหนึ่งรอท่านอยู่กับเพื่อนสาวตอนที่ท่านไปถึงโรงพยาบาลที่ทำงานเช้าวันนั้น ทั้งสองมีนัดทำแท้งกับท่าน เธอท้องได้สี่เดือนและกำลังจะเอาเด็กออกเป็นท้องที่เก้าติดต่อกัน ท่านปฏิเสธอย่างแข็งขันแต่ก็ทนถูกรบเร้าจนที่สุดจำยอมตกลงทำเป็นรายสุดท้าย จริงๆ บนจอมอนิเตอร์ ท่านแลเห็นตัวอ่อนมีนิ้วหัวแม่มืออมอยู่ในปาก ท่านยืดมดลูกให้ตรงและใส่ปากคีบเข้าไป จากนั้นก็คีบบางสิ่งและดึงออกมา เมื่อคลายที่คีบออกวางบนโต๊ะก็เห็นเป็นรูปปลายแขนข้างหนึ่งของตัวอ่อนซึ่งเผอิญจุดที่วางมีไอโอดีนหยดเลอะอยู่ ทันใดนั้นแขนนั้นก็หดและบิดตัว พยาบาลผู้ช่วยแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะดูคล้ายขากบในห้องทดลองวิชากายภาพ!

ดร. อะดาเซวิก เองก็ตกใจกลัวแต่ก็ต้องทำต่อไป และสอดปากคีบเข้าไปอีก เมื่อคีบได้แล้วก็ดึงออก ครั้งนี้เป็นส่วนขา ท่านคิดไว้ก่อนแล้วว่า “จะต้องไม่ให้ไปสัมผัสกับแอลกอฮอล์” แต่ปรากฏว่าพยาบาลผู้ช่วยเกิดทำถาดเครื่องมือหล่น ท่านตกใจคลายปากคีบ ทำให้ขาชิ้นนั้นตกลงไปอยู่ข้างแขนชิ้นแรก และทั้งสองส่วนก็ขยับไปมา

พยาบาลไม่เคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้มาก่อน คือเป็นแขนขามนุษย์ที่ขยับไปมาบนโต๊ะ ดร. อะดาเซวิก จึงตัดสินใจทำลายส่วนที่เหลือในมดลูกให้เละ และดึงออกมาเป็นก้อนที่มองไม่ออกว่าเป็นอวัยวะส่วนไหน ท่านเริ่มบดขยี้ก้อนเนื้อทั้งหมดและเมื่อวางปากคีบลง สิ่งที่เห็นจากที่ท่านนำมากองรวมกันเป็นรูปหัวใจมนุษย์! หัวใจที่เต้นได้ แต่เต้นอ่อนลงเป็นลำดับและหยุดเต้นในที่สุด ณ บัดนี้ท่านทราบแล้วว่าสิ่งที่ท่านทำไปคือการฆ่าคน ท่านรู้สึกว่าโลกโดยรอบตัวมืดลง และจำไม่ได้ว่าอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าใด ท่านรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีคนมาดึงแขนของท่านและมีเสียงพูดอย่างตกใจกลัวของพยาบาลว่า “ดร. อะดาเซวิก! ดร. อะดาเซวิก!” – คนไข้ ตกเลือด ท่านจึงสวดภาวนาเป็นครั้งแรกด้วยความร้อนรนว่า “พระเจ้าข้า! ขอพระองค์โปรดอย่าช่วยชีวิตของลูก แต่โปรดช่วยชีวิตของหญิงคนนี้ด้วย” ปกติท่านใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการทำความสะอาดมดลูก แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องแปลกที่ท่านสอดอุปกรณ์เพียง 2 ครั้งก็สำเร็จ และเมื่อถอดถุงมือออก ท่านก็แน่ใจเลยว่าจะไม่มีการทำแท้งให้ผู้ใดอีก

🪣 ถังน้ำ : อุปกรณ์ทำแท้ง

เมื่อสโตแจนแจ้งการตัดสินใจของตนให้หัวหน้าของโรงพยาบาลทราบ ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไป เพราะไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า มีนรีแพทย์ในโรงพยาบาลที่กรุงเบลเกรดปฏิเสธการทำแท้ง ทุกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่ท่าน เริ่มจากการตัดเงินเดือนเหลือเพียงครึ่งเดียว ลูกสาวถูกไล่ออกจากงาน ลูกชาย “สอบตก” ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากนั้นท่านยังถูกสื่อโทรทัศน์และวิทยุโจมตีอย่างหนัก พวกเขากล่าวหาท่านว่า รัฐบาลสังคมนิยมส่งท่านเรียนวิธีการทำแท้ง และตอนนี้ท่านกำลังทำลายประเทศของตนอยู่

ท่านถูกกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจนแทบจะประสาทเสีย และเกือบจะต้องไปขอให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล บรรจุตนกลับไปทำหน้าที่ตามเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าในคืนที่ตัดสินใจนั้นเอง โทมัส อะไควนัสปรากฏตัวในความฝัน ตบไหล่ให้กำลังใจและพูดว่า “ท่านเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน จงสู้ต่อไป” และดังนั้นท่านจึงไม่ได้ไปแจ้งขอกลับทำหน้าที่เดิมในวันรุ่งขึ้น และต่อสู้เพื่อไม่ให้มีการทำแท้งอีกต่อไป

บัดนี้ ท่านเข้าร่วม “ขบวนการส่งเสริมการมีชีวิต” ท่านเดินทางไปทั่วสาธารณรัฐเซอร์เบียและบรรยายเรื่องการทำแท้ง ท่านสามารถนำเทปบันทึกเรื่อง “The Silent Scream” ออกในรายการโทรทัศน์ของรัฐ 2 ครั้งเป็นเรื่องการทำแท้งจริงที่ถ่ายทำจากจอมอนิเตอร์ เมื่อถึงต้นทศวรรษ 1990 หลังจากที่ท่านจัดกิจกรรมมากมายรณรงค์ต่อต้านการทำแท้ง ที่สุดรัฐสภาประเทศยูโกสลาเวีย ได้ออกกฤษฎีกาคุ้มครองสิทธิ ของผู้ที่ยังไม่ครบกำหนดคลอด ประธานาธิบดีสโลโบดัน ไมโลเซวิก (Slobodan Milosevic) ไม่ยอมลงนามในกฤษฎีกา จากนั้นก็เกิดสงครามในประเทศ และกฤษฎีกาฉบับนี้ก็ถูกระงับไปชั่วคราว

ดร. อะดาเซวิก เชื่อว่าสงครามที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรบอลข่านนั้น น่าจะเป็นเพราะมนุษย์ออกห่างจากพระเจ้าและขาดความเคารพต่อชีวิตมนุษย์ ท่านอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเซอร์เบียว่า กฎหมายคุ้มครองชีวิตเด็กตั้งแต่เด็กเริ่มหายใจเข้าปอดเป็นครั้งแรก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายคุ้มครองทันทีที่เด็กร้องไห้ ฉะนั้นการทำแท้งจึงเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายแม้ว่าตัวอ่อนในครรภ์จะมีอายุถึง 7 , 8 หรือ 9 เดือนแล้วก็ตาม นอกจากนั้นทางการจะไม่ใช้คำว่า “ทำแท้ง” (abortion) แต่จะเลี่ยงไปใช้คำว่า “แท้งลูก” (miscarriage) ดังนั้นเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ข้างเตียงคลอดจึงมีถังใส่น้ำตั้งอยู่ และเมื่อเด็กคลอดออกมาก่อนที่จะมีโอกาสร้อง ก็มีการนำเด็กไปกดน้ำ นี่คือวิธีการทำแท้งอย่างเป็นทางการอย่างหนึ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยสมบูรณ์ เพราะเด็กยังไม่ได้เริ่มหายใจ

ณ จุดนี้ ดร. อะดาเซวิก อยากจะกล่าวพาดพิงคำพูดของคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาที่ว่า “หากผู้เป็นแม่สามารถฆ่าลูกของตนเองได้ ก็จะมีอะไรเหลืออีกที่ขัดขวางมิให้คุณหรือฉันฆ่าซึ่งกันและกัน?” ทุกวันนี้ การทำแท้งส่วนใหญ่ทำกันในคลีนิคเอกชนซึ่งไม่มีสถิติตัวเลขที่แน่ชัด ท่านประมาณว่าในการตั้งครรภ์ 25 ครั้ง จะมีเด็กที่คลอดจริงๆ แทบจะไม่ถึง 1 คน ส่วนอีก 24 ชีวิตถูกทำลายไปก่อนที่จะมีโอกาสหายใจเป็นครั้งแรก

ดร. อะดาเซวิก อธิบายถึงการวิเคราะห์ ในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องซับซ้อนถึงสิ่งหรือสารที่ทำให้เกิดการแท้งอย่างเป็นทางการ (abortificacients) เช่น IUD (intrauterine device : อุปกรณ์คุมกำเนิดที่ใช้สอดเข้าไปในมดลูก) และยา RU486 (ชื่อทางการคือ MIFEPRISTONE ทำหน้าที่ไปขวางกั้นฮอร์โมนธรรมชาติ PROGESTERONE ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของครรภ์ เมื่อไม่มีฮอร์โมนนี้ออกมา การตั้งครรภ์ก็สิ้นสุดลง)

ดร. อะดาเซวิกปรึกษาเรื่องนี้กับนักพรตนิกายออร์โธด็อกซ์ตะวันออกแห่งเขาเอธอส (Mount Athos) ซึ่งให้ความเห็นว่า ท่านนักพรตแบ่งการคุมกำเนิดออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทบาป และประเภทซาตาน ประเภทบาปคือการกันมิให้มีการพบกันระหว่างไข่และตัวอสุจิ ส่วนประเภทซาตานเป็นการฆ่าตัวอ่อนที่ใช้ IUD หรือใช้ยา RU486 ขดลวดที่ใช้ทำหน้าที่เหมือนคมดาบที่กันมิให้มนุษย์ตัวจิ๋วได้รับอาหาร ขณะที่อยู่ในครรภ์ซึ่งเป็นการฆ่าชีวิตให้ตายอย่างโหดร้ายในสถานที่มีอาหารอยู่อย่างอุดม นี่คือสงครามที่แท้จริงระหว่างฝ่ายที่เกิดมาแล้ว กับฝ่ายที่ยังไม่เกิด ในสงครามนี้ ดร. อะดาเซวิกเองได้อยู่ในแนวหน้ามาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเป็นฝ่ายที่ยังไม่เกิด ที่ถูกฝ่ายที่เกิดมาแล้ว กำหนดให้ตายแต่ท่านรอดมาได้ ครั้งที่สองท่านเป็นฝ่ายที่เกิดมาแล้วและปฏิบัติงานในฐานะผู้ชำนาญการทำแท้ง และบัดนี้ท่านเป็นสาวกของกลุ่มสนับสนุนชีวิต (a pro-life apostle) ที่ต่อต้านการทำแท้ง

ผู้เขียนสนใจชีวประวัติของโทมัส อะไควนัส ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงสงสัยว่าทำไมจึงต้องเป็นท่านในฝัน แทนที่จะเป็นนักบุญองค์อื่น นอกจากนั้นโทมัส อะไควนัสเป็นนักบุญในศาสนาคาทอลิก ส่วนผู้เขียนเป็นออร์โธด็อกซ์ ผู้เขียนจึงได้ค้นคว้าข้อเขียนต่างๆ ของท่าน และสิ่งที่พบสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ ท่านเขียนไว้ว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นหลังจากการปฏิสนธิแล้ว 40 วันสำหรับตัวอ่อนชาย และ 80 วันสำหรับตัวอ่อนหญิง - คำถามคือท่านเขียนว่าอย่างไรสำหรับตัวอ่อนที่มีชีวิตก่อน 40 หรือ 80 วัน? ตัวอ่อนนั้นยังไม่เป็นอะไรเลยหรือ? ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่ท่านเขียนไว้คงทำให้ท่านไม่มีความสงบในดินแดนที่ท่านอยู่ ทั้งนี้ขอให้ผู้อ่านทราบด้วยว่า ท่านคงได้รับอิทธิพลในการเขียนจากทัศนะการมองสิ่งมีชีวิตของอริสโตเติลซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทางวิชาการมากในสมัยนั้น และเพราะอิทธิพลที่ท่านได้รับมานี้เองทำให้งานเขียนของท่านผิดพลาด

เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า ตัวอ่อนในครรภ์มารดามีชีวิต เพราะการมีชีวิตมิใช่เริ่มเมื่อมีลมหายใจครั้งแรกดังที่อาจารย์ในลัทธิคอมมิวนิสต์สอนไว้ แต่ความเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อตัวอสุจิเข้ามาอยู่ร่วมในเซลล์ไข่

(จบบริบูรณ์)

รูปภาพ

รูปภาพ

#เรื่องจริง #แพทย์ทำแท้ง #ทำแท้ง #ยุติการตั้งครรภ์ #แท้งลูก #กลับใจ #เรี่องจริง #นิตยสาร #นรีแพทย์ #โทมัสอะไควนัส #abortion #miscarriage #StojanAdasevic #RadoIgnatovic #gynecology #ThomasAquinas

CR. : เพื่อเธอ For Her
ตอบกลับโพส