บทสัมภาษณ์คุณหัทยา (เกษสังข์) วงศ์กระจ่าง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 28, 2006 3:32 am
เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่
สิ่งสารพัดเก่าๆก็ล่วงไป นี่แนะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
2 โครินธ์ 5 : 17
--------------------------------------------------------------------------------
หัทยา วงศ์กระจ่าง
วันเวลาที่เปลี่ยนไปของ หัทยา (เกษสังข์) วงศ์กระจ่าง
เมื่อแรกที่ได้ข่าวว่า หัทยา วงศ์กระจ่าง มาเป็นคริสเตียน ทำให้เรารู้สึกทั้งแปลกใจและดีใจ เพราะการที่ใครสักคนได้มารู้จักพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ นั่นเป็นข่าวดีที่สุดแล้ว ความรู้สึกถัดมาก็คือ อยากรู้ว่า เธอมารู้จักพระเจ้าได้อย่างไร หลังจากมาเชื่อพระเจ้าแล้วชีวิตเป็นอย่างไร และแล้ว เราก็ได้โอกาสนัดคุยกับ "พี่เปิ้ล" จนได้ เพื่อนๆรู้ไหมว่าพระเจ้ามีวิธีนำคนมารู้จักพระองค์ในแบบที่แตกต่างกัน เช่น บางคนอาจจะมีปัญหาครอบครัวที่แก้ไม่ตก บางคนประสบปัญหาด้านธุรกิจ บางคนเจ็บป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย บางคนอาจจะเต็มไปด้วยคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ อย่างเช่น ใครสร้างโลก ชีวิตกำเนิดมาได้อย่างไร หรือตายแล้วไปไหน ฯลฯ และเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้แหละที่ทำให้เขาแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยเหลือหรือเป็นคำตอบของเขาได้ ในที่สุดคนคนหนึ่งก็มาพบพระเจ้า พี่เปิ้ลก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่มีเหตุการณ์บางอย่างนำพามาจนได้รู้จักพระเจ้าในที่สุด
พี่เปิ้ลเริ่มต้นเล่าให้เราฟังว่า
"จริงๆแล้วตัวพี่เปิ้ลไม่ค่อยจะมีปัญหาเยอะนะ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พี่เปิ้ลก็จะสนิทกับคุณแม่ มีปัญหาก็พูดคุยกันได้ตลอด ก็ไม่รู้สึกว่าตนเองต้องไปแสวงหาอะไรมากกว่านั้น พอทำงาน ชีวิตก็ค่อนข้างจะราบรื่น มีปัญหาบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่น ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานบ้าง พอมาถึงเรื่องความรักก็ไม่ค่อยจะมีปัญหาอีก จนกระทั่งตอนตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่มีเวลาว่างทำให้เปิ้ลเริ่มคิด คิดเยอะ ทำนองที่ว่าเด็กเกิดมาได้อย่างไร มันอัศจรรย์จริงๆ คิดว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่มีฤทธานุภาพมากที่ทำให้ระบบธรรมชาติเป็นแบบนี้ ต้องมีใครสักคนที่เป็นใหญ่ในปฐพีจริงๆที่สามารถจะกำหนดกฎเกณฑ์ว่า 9 เดือนเด็กจะต้องคลอดออกมา และกำหนดการเจริญเติบโต กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง
ช่วงที่ท้องพี่จะอ่านหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นคุณแม่ ปรากฏว่าพี่มาเจอหนังสือแปลของ ดร. เจมส์ ด๊อบสัน เป็นหนังสือเรื่องกล้าฝึกวินัยให้ลูกรัก เขาพยายามที่จะบอกในหนังสือของเขาว่า การที่ชีวิตครอบครัวของเขาประสบความสำเร็จก็เพราะว่า เขาเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า เขาอ่านพระคัมภีร์ซึ่งมีอายุกว่า 2000 ปี แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในพระคัมภีร์ได้กำหนดโลกนี้เอาไว้แล้ว ทำให้พี่เปิ้ลอยากจะลองอ่านหนังสือพระคัมภีร์ดู
หลังจากที่พี่เปิ้ลคลอดและกลับมาจัดรายการ ก็มีสิ่งที่น่าแปลกคือว่า เพื่อนของพี่ชื่อนิราตรี ศรีบุญเรือง เขาเอาเรื่องพระคัมภีร์มาอ่านออกรายการ ก็เลยถามเขาว่าซื้อพระคัมภีร์ที่ไหน เคยหาซื้อตามเอเชียบุคส์ มันไม่มี เขาแนะนำให้ไปที่สมาคมพระคริสตธรรม พี่เปิ้ลก็ไปและซื้อพระคัมภีร์มาอ่าน
พอช่วงคริสตมาสปี 39 พี่ปุ๊-อัญชลี ก็ชวนไปโบสถ์ พี่ก็คิดว่าจะไปดีไหม แต่ในพระคัมภีร์พูดถึงการนมัสการพระเจ้า พี่ก็เลยไป พาลูกไปด้วยแต่พี่ตั้วไม่ได้ไป พอไปถึงก็ทำให้อยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น อยากรู้ว่าคนที่ไปโบสถ์จริงๆเขารู้จักพระเจ้าอย่างไร เขาสัมผัสกับความรักของพระเจ้าได้อย่างไร ในที่สุดเราก็ลองเปิดใจดู ลองอธิษฐาน"
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่พี่เปิ้ลจะตัดสินใจเชื่อพระเจ้า
"มันก็ลำบาก คือมนุษย์จะมีความหยิ่งอยู่ในตัว จะรู้สึกว่าศาสนาเก่าที่เรานับถือมาก็ไม่เคยทำร้ายอะไรเราเลย เราก็ได้สิ่งดีๆมาตลอด ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนศาสนาหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเรื่องของความเชื่อเฉยๆ ซึ่งมันก็ไม่แปลกถ้าเราจะเชื่อในสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเรา และพี่เปิ้ลก็คิดว่า ถ้าเราไม่เอาเรื่องของศาสนามาเกี่ยวข้อง แต่เราต้องการที่เชื่อในพระเจ้าแล้วทำไมเราจะเชื่อไม่ได้ ในเมื่อเรายังไปเชื่อในวัตถุซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะให้คุณกับเราจริงใหม ทำไมบางคนยังไปเชื่อความฝัน เห็นเลขเห็นอะไร ซึ่งมันก็ไร้สาระจริงๆ แต่ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า เราก็สามารถที่จะพบสิ่งดีจริงๆเพราะในพระคัมภีร์ก็มีแต่สิ่งดีๆที่สอนเราและการที่เราให้คำสอนของพระเจ้าเข้ามานำทางชีวิตเรา และเราฝากทุกอย่างไว้กับพระเจ้า เรารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ มีคุณค่ามากกว่า"
มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างหลังจากที่ได้รู้จักพระเจ้า เพราะจริงๆคนอื่นเขาก็มองพี่เปิ้ลว่าประสบความสำเร็จแล้ว หน้าที่การงานดี ทำงานก็มีชื่อเสียง มีครอบครัวที่ดี
"อาจจะเป็นตรงที่อีโก้ของพี่ลดน้อยลง แทนที่พี่จะอยากมีชื่อเสียง รับงานเข้ามาเยอะๆโดยไม่มีเวลาให้ลูก แต่กลับไม่รู้สึกกระวนกระวายในเรื่องนี้ มีแค่นี้ก็ใช้แค่นี้ ไม่ต้องไปกอบโกยอะไรมากเดี๋ยวพระเจ้าก็ให้เอง รู้สึกสบายใจกว่าที่จะตะบี้ตะบันทำงานและก็หวังว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หรือต้องการหาความมั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งทำให้เราเติบโตทางวัตถุมากเกินไป ซึ่งพี่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่มารู้จักพระเจ้าทันเวลา และมันเป็นจุดต่างตรงที่ทำให้คิดได้ว่าคนเราต้องการเงินมากๆไปเพื่ออะไร ความคิดมันเปลี่ยนไป
เวลาที่เราไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเราคิดว่าชีวิตเราก็ดีอยู่แล้ว และมองไม่เห็นความบาปของตัวเอง เราคิดว่าการที่ตัวเรามีอีโก้ การที่เราต้องการจะเอาชนะคน การที่เราต้องการจะเป็นหนึ่งมันไม่ใช่ความบาป แต่จริงๆแล้วมันเหมือนกับว่าเราไม่ถ่อม เราต้องการไปเรื่อยๆ บางทีเราไปถึงจุดนั้นแล้วตกลงมา เราอาจจะเสียใจ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่เรามารู้จักพระเจ้าก่อน ทำให้เรานิ่งได้ ไม่ต้องตะบันรับงานแข่งกับเขา แต่ก่อนเราเคยดัง พอมีลูกแล้วจะกลับมาดังอีกไม่ได้หรือ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้คิดถึงจุดนั้นแล้ว มันไม่จำเป็น ชีวิตมันอาจจะแย่ยิ่งกว่านี้ เราก็จะไม่กลัว ชีวิตมันอาจจะไม่เหมือนกับที่เราคิด เราก็ไม่กลัว เราจะฝากทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า ถ้าเป็นแต่ก่อนเราจะรู้สึกว่า ไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรายังมีหนทางจะไปได้อีก เราจะไม่หยุด และอีกอย่างที่เปลี่ยนคือ ลดสิ่งดึงดูดจากภายนอกได้เยอะเลย พี่อยากจะพูดว่าถ้าพี่ย้อยกลับไปได้พี่ก็อยากจะรู้จักพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ซึ่งบางทีชีวิตพี่อาจจะได้รับแต่ความสงบและได้รับสันติสุขมากกว่านี้ก็ได้ แต่ชีวิตคนก็ไม่เหมือนกัน ชีวิตพี่เปิ้ลไม่ได้โลดโผนหรือมีปัญหามากมาย บางคนมีปัญหาเยอะมาก แต่ถ้าเขาไม่เจอทางตันเขาก็จะไม่แสวงหา เราก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อาจจะเป็นที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่า แต่ละคนต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้"
อยากให้พี่เปิ้ลพูดถึงความประทับใจที่มีต่อพระเจ้า
"เยอะมากเลย เริ่มตรงไหนดี เอาคนใกล้ตัวก่อนนะ อย่างเรื่องการใช้ชีวิตครอบครัว สามีภรรยาย่อมมีความคิดที่ค้านกันได้ แต่ก่อนที่จะมารับเชื่อ พี่ก็จะมีคุยกันแบบว่า เอาเหตุผลของคุณของฉันมาดูกันเลย พี่ตั้วเขาเป็นผู้ใหญ่นะ เขาก็จะพูดเหตุผลของเขา พี่เปิ้ลก็จะต้องการเอาชนะ แต่เมื่อเรายอมเชื่อฟังพระเจ้ามากขึ้น เราต้องเชื่อฟังสามีตามที่พระคัมภึร์บอก เมื่อเราวางใจในพระเจ้า เราก็วางใจในเขามากขึ้น ตอนนี้พี่เปิ้ลกำลังทำบ้านอยู่ ก็จะวางใจว่าเขามีความเป็นสถาปนิกอยู่ในตัว แล้วเขาก็คงอยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบ้าน พระเจ้าสามารถเปลี่ยนพี่เปิ้ลตรงนี้ได้ว่าพี่ไม่จำเป็นต้องเอาชนะ แต่เป็นแบบ เปลี่ยนตรงนี้นิดนะเพื่อฉัน ทำตรงนี้นะเพื่อฉัน มันเป็นความร้สึกประทับใจที่ความสัมพันธ์ในบ้านมันนุ่มนวลขึ้น และพี่ตั้วเขาก็อาจจะมองเห็นตรงนี้ก็ได้ว่า ตั้งแต่พี่มาเชื่อพระเจ้าแล้วใจเย็นขึ้น และประทับใจในเวลาที่เราว้าวุ่นใจหรือมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องลูกหรือเรื่องอื่นๆ พอเราอ่านพระคัมภีร์ปุ๊บ ก็เจอคำตอบ ทำให้รู้ว่าพระเจ้ารู้ว่าเราต้องการอะไร ช่วงที่พี่อยู่ตัวแล้ว น้องเริ่มโตขึ้นแล้ว ก็จะมีงานติดต่อเข้ามาเยอะ พิธีกรรายการโน้นนี้ มันทำให้เรากระวนกระวายใจเหมือนกับว่าจะเอาดีหรือไม่ดี ถ้าทำจะมีเวลาให้ลูกไหม ตรงนี้ก็เป็นรายได้ของครอบครัวนะ พออ่านพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม จะเอาอะไรใช้ พระบิดาบนสวรรค์รู้หมดแล้วว่าเราต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ต้องแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน และพระเจ้าจะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นให้เอง ก็ทำให้พี่รู้สึกเฉยๆดีกว่า ถึงค่าจัดดีเจจะไม่ได้มากอะไร แต่เรามีความสุขที่ได้พูดออกไมค์โดยไม่มีใครมาบังคับเรา หรือถ้ามีเกมโชว์ติดต่อมาให้เราไปเป็นพิธีกร เรารู้สึกว่าสบายใจที่จะตอบปฏิเสธไปได้ โดยไม่ต้องมานั่งคิดว่าเสียดายเงินจังเลย ถ้าทำอย่างนี้เดือนนี้จะได้เท่านี้ๆ ไม่มีเลย รู้สึกว่าพระเจ้าน่ารักนะ ทำให้เราไม่มีความกังวลอะไร คือเชื่อฟังพระเจ้าแล้วจบ
แล้วก็ประทับใจเวลาที่ลูกไม่สบาย ลูกปวดท้องตามประสาเด็กๆน่ะ แต่เมื่อเราอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว สถานการณ์ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี หรือเวลาที่พี่ตั้วทำละครแล้วมีปัญหา พี่ตั้วก็จะพูดว่าอธิษฐานเผื่อด้วยนะ เราก็มีความรู้สึกว่าเขาบอกว่าเขาเป็นพุทธ แต่เขาให้เราอธิษฐานเผื่อ เรารู้สึกว่าพระเจ้าน่ารักจริงๆ พระเจ้าไม่ได้แบ่งแยก ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมารับผิดชอบชีวิตของเรา เราไม่ต้องดิ้นรน อย่างลูกพี่เปิ้ล พี่ก็ฝากไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ขอพระเจ้าคุ้มครองเขา
เวลาไปโบสถ์และได้เปล่งเสียงโมทนาพระคุณพระเจ้าแล้ว รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ เมื่อก่อนที่เคยสวดชินบัญชรทุกคืนเลย ท่องได้หมดแต่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร รู้แต่คนเขาบอกว่าฉันเก่ง ฉันท่องได้ แต่พอเรามาอธิษฐานแล้วเรารู้สึกว่าเราได้พูดเองเป็นคำพูดที่พระเจ้ากับเราเข้าใจ"
พี่เปิ้ลอยากจะฝากอะไรถึงวัยรุ่นในเรื่องของทัศนคติและการดำเนินชีวิตบ้าง
"ก็ต้องบอกว่า จริงๆเขาควรแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด คือ การรู้จักพระเจ้า ถ้าเขามารู้จักพระเจ้าแล้วมาตรฐานของเขาจะเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เรารู้ว่าอะไรที่เขาควรทำแล้วสิ่งนั้นเขาจะได้มาเอง พี่เชื่ออย่างนั้นเพราะว่ามีหลายครั้งที่พี่อธิษฐานแล้วพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของพี่ อาจจะตอบไม่หมดทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าพระเจ้ากำลังทำงานอยู่ พระเจ้ากำลังดำเนินเรื่องอยู่ เรารู้เลยมันสัมผัสได้
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีคุณค่า และมีประโยชน์มากต่ออนาคตของชาติ จริงๆแล้วเราไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งพี่ก็เชื่อว่าชีวิตของแต่ละคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าได้ ไม่ว่าเราจะเจอกับอะไรก็ตาม ก็คือ เราได้วางใจในพระเจ้า วัยรุ่นอาจจะเจอปัญหาเรื่องเรียน ปัญหาครอบครัว ปัญหาเรื่องเพื่อน หรือปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งถ้าวัยรุ่นรู้จักวางใจพระเจ้า ปัญหาหรือความทุกข์ใจของเขาก็จะสามารถแก้ไขได้ทั้งๆที่ปัญหาบางอย่างเราอาจจะแก้ไขได้โดยกำลังของเราได้บ้าง แต่บางปัญหาเราก็แก้ไม่ได้เลย แต่ถ้าเราขอสติปัญญาจากพระเจ้าในการแก้ปัญหา พระเจ้าก็จะช่วยเราตรงนี้ได้ แล้วมันก็เป็นทางรอดของหลายๆคนที่เชื่อในพระเจ้ามาแล้ว อย่างคนที่ติดยาหรือมีปัญหาทำผิดเรื่องเพศ ตรงนี้แหละเป็นเรื่องที่เราสามารถจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้และพี่ก็เชื่อแน่ว่าพระเจ้ามีกำลังมากมายที่จะช่วยเราได้
พี่อยากบอกวัยรุ่นว่า มันเป็นสิ่งดีงามมากเลยที่จะแสวงหาและมารู้จักพระเจ้า เพราะจริงๆหนทางของเขายังอีกยาวไกล ถ้าเขาได้รู้จักพระเจ้า เขาก็ไปในทิศทางที่ควรจะไป ไม่ใช่ไปในทางที่เลือกเองแล้วและก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ หรือถ้าเขาเคยทำสิ่งใดที่มันอาจทำร้ายจิตใจของตัวเองหรือพ่อแม่ หรือคนรอบๆข้าง เขาสามารถจะชำระล้างสิ่งไม่ดีออกไปได้โดยพระเยซูคริสต์ แต่เขาจะชำระล้างไม่ได้ถ้าเขายังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ก็ช่วยเขาชำระล้างความผิดบาปหรือสิ่งไม่ดีออกไปจากใจได้ พี่คิดว่านี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบที่ได้พระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเราจริงๆ"
เพราะเราเองก็เป็นวัยรุ่นที่ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เราจึงเข้าใจในสิ่งที่พี่เปิ้ลพูด ช่วงชีวิตที่ผ่านมาทำให้เรารู้ซึ้งว่า การได้รู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ ไม่ว่าเจอปัญหาในรูปแบบไหนเราก็ผ่านได้ทุกครั้ง เพราะเรามีพระเจ้าผู้คอยช่วยเหลือเราอยู่ พระองค์เป็นเพื่อนที่รู้ใจ เป็นนักแก้ปัญหาชั้นเยี่ยม และเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเราเสมอไม่เคยทอดทิ้งเรา ทำให้เรากล้าพูดได้ว่าพระเจ้าทำให้ชีวิตของเรามั่นคง ไม่กลัวว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แล้วเพื่อนๆละ
สิ่งสารพัดเก่าๆก็ล่วงไป นี่แนะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
2 โครินธ์ 5 : 17
--------------------------------------------------------------------------------
หัทยา วงศ์กระจ่าง
วันเวลาที่เปลี่ยนไปของ หัทยา (เกษสังข์) วงศ์กระจ่าง
เมื่อแรกที่ได้ข่าวว่า หัทยา วงศ์กระจ่าง มาเป็นคริสเตียน ทำให้เรารู้สึกทั้งแปลกใจและดีใจ เพราะการที่ใครสักคนได้มารู้จักพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ นั่นเป็นข่าวดีที่สุดแล้ว ความรู้สึกถัดมาก็คือ อยากรู้ว่า เธอมารู้จักพระเจ้าได้อย่างไร หลังจากมาเชื่อพระเจ้าแล้วชีวิตเป็นอย่างไร และแล้ว เราก็ได้โอกาสนัดคุยกับ "พี่เปิ้ล" จนได้ เพื่อนๆรู้ไหมว่าพระเจ้ามีวิธีนำคนมารู้จักพระองค์ในแบบที่แตกต่างกัน เช่น บางคนอาจจะมีปัญหาครอบครัวที่แก้ไม่ตก บางคนประสบปัญหาด้านธุรกิจ บางคนเจ็บป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย บางคนอาจจะเต็มไปด้วยคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ อย่างเช่น ใครสร้างโลก ชีวิตกำเนิดมาได้อย่างไร หรือตายแล้วไปไหน ฯลฯ และเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้แหละที่ทำให้เขาแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยเหลือหรือเป็นคำตอบของเขาได้ ในที่สุดคนคนหนึ่งก็มาพบพระเจ้า พี่เปิ้ลก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่มีเหตุการณ์บางอย่างนำพามาจนได้รู้จักพระเจ้าในที่สุด
พี่เปิ้ลเริ่มต้นเล่าให้เราฟังว่า
"จริงๆแล้วตัวพี่เปิ้ลไม่ค่อยจะมีปัญหาเยอะนะ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พี่เปิ้ลก็จะสนิทกับคุณแม่ มีปัญหาก็พูดคุยกันได้ตลอด ก็ไม่รู้สึกว่าตนเองต้องไปแสวงหาอะไรมากกว่านั้น พอทำงาน ชีวิตก็ค่อนข้างจะราบรื่น มีปัญหาบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่น ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานบ้าง พอมาถึงเรื่องความรักก็ไม่ค่อยจะมีปัญหาอีก จนกระทั่งตอนตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่มีเวลาว่างทำให้เปิ้ลเริ่มคิด คิดเยอะ ทำนองที่ว่าเด็กเกิดมาได้อย่างไร มันอัศจรรย์จริงๆ คิดว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่มีฤทธานุภาพมากที่ทำให้ระบบธรรมชาติเป็นแบบนี้ ต้องมีใครสักคนที่เป็นใหญ่ในปฐพีจริงๆที่สามารถจะกำหนดกฎเกณฑ์ว่า 9 เดือนเด็กจะต้องคลอดออกมา และกำหนดการเจริญเติบโต กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง
ช่วงที่ท้องพี่จะอ่านหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นคุณแม่ ปรากฏว่าพี่มาเจอหนังสือแปลของ ดร. เจมส์ ด๊อบสัน เป็นหนังสือเรื่องกล้าฝึกวินัยให้ลูกรัก เขาพยายามที่จะบอกในหนังสือของเขาว่า การที่ชีวิตครอบครัวของเขาประสบความสำเร็จก็เพราะว่า เขาเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า เขาอ่านพระคัมภีร์ซึ่งมีอายุกว่า 2000 ปี แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในพระคัมภีร์ได้กำหนดโลกนี้เอาไว้แล้ว ทำให้พี่เปิ้ลอยากจะลองอ่านหนังสือพระคัมภีร์ดู
หลังจากที่พี่เปิ้ลคลอดและกลับมาจัดรายการ ก็มีสิ่งที่น่าแปลกคือว่า เพื่อนของพี่ชื่อนิราตรี ศรีบุญเรือง เขาเอาเรื่องพระคัมภีร์มาอ่านออกรายการ ก็เลยถามเขาว่าซื้อพระคัมภีร์ที่ไหน เคยหาซื้อตามเอเชียบุคส์ มันไม่มี เขาแนะนำให้ไปที่สมาคมพระคริสตธรรม พี่เปิ้ลก็ไปและซื้อพระคัมภีร์มาอ่าน
พอช่วงคริสตมาสปี 39 พี่ปุ๊-อัญชลี ก็ชวนไปโบสถ์ พี่ก็คิดว่าจะไปดีไหม แต่ในพระคัมภีร์พูดถึงการนมัสการพระเจ้า พี่ก็เลยไป พาลูกไปด้วยแต่พี่ตั้วไม่ได้ไป พอไปถึงก็ทำให้อยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น อยากรู้ว่าคนที่ไปโบสถ์จริงๆเขารู้จักพระเจ้าอย่างไร เขาสัมผัสกับความรักของพระเจ้าได้อย่างไร ในที่สุดเราก็ลองเปิดใจดู ลองอธิษฐาน"
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่พี่เปิ้ลจะตัดสินใจเชื่อพระเจ้า
"มันก็ลำบาก คือมนุษย์จะมีความหยิ่งอยู่ในตัว จะรู้สึกว่าศาสนาเก่าที่เรานับถือมาก็ไม่เคยทำร้ายอะไรเราเลย เราก็ได้สิ่งดีๆมาตลอด ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนศาสนาหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเรื่องของความเชื่อเฉยๆ ซึ่งมันก็ไม่แปลกถ้าเราจะเชื่อในสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเรา และพี่เปิ้ลก็คิดว่า ถ้าเราไม่เอาเรื่องของศาสนามาเกี่ยวข้อง แต่เราต้องการที่เชื่อในพระเจ้าแล้วทำไมเราจะเชื่อไม่ได้ ในเมื่อเรายังไปเชื่อในวัตถุซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะให้คุณกับเราจริงใหม ทำไมบางคนยังไปเชื่อความฝัน เห็นเลขเห็นอะไร ซึ่งมันก็ไร้สาระจริงๆ แต่ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า เราก็สามารถที่จะพบสิ่งดีจริงๆเพราะในพระคัมภีร์ก็มีแต่สิ่งดีๆที่สอนเราและการที่เราให้คำสอนของพระเจ้าเข้ามานำทางชีวิตเรา และเราฝากทุกอย่างไว้กับพระเจ้า เรารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ มีคุณค่ามากกว่า"
มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างหลังจากที่ได้รู้จักพระเจ้า เพราะจริงๆคนอื่นเขาก็มองพี่เปิ้ลว่าประสบความสำเร็จแล้ว หน้าที่การงานดี ทำงานก็มีชื่อเสียง มีครอบครัวที่ดี
"อาจจะเป็นตรงที่อีโก้ของพี่ลดน้อยลง แทนที่พี่จะอยากมีชื่อเสียง รับงานเข้ามาเยอะๆโดยไม่มีเวลาให้ลูก แต่กลับไม่รู้สึกกระวนกระวายในเรื่องนี้ มีแค่นี้ก็ใช้แค่นี้ ไม่ต้องไปกอบโกยอะไรมากเดี๋ยวพระเจ้าก็ให้เอง รู้สึกสบายใจกว่าที่จะตะบี้ตะบันทำงานและก็หวังว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หรือต้องการหาความมั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งทำให้เราเติบโตทางวัตถุมากเกินไป ซึ่งพี่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่มารู้จักพระเจ้าทันเวลา และมันเป็นจุดต่างตรงที่ทำให้คิดได้ว่าคนเราต้องการเงินมากๆไปเพื่ออะไร ความคิดมันเปลี่ยนไป
เวลาที่เราไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเราคิดว่าชีวิตเราก็ดีอยู่แล้ว และมองไม่เห็นความบาปของตัวเอง เราคิดว่าการที่ตัวเรามีอีโก้ การที่เราต้องการจะเอาชนะคน การที่เราต้องการจะเป็นหนึ่งมันไม่ใช่ความบาป แต่จริงๆแล้วมันเหมือนกับว่าเราไม่ถ่อม เราต้องการไปเรื่อยๆ บางทีเราไปถึงจุดนั้นแล้วตกลงมา เราอาจจะเสียใจ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่เรามารู้จักพระเจ้าก่อน ทำให้เรานิ่งได้ ไม่ต้องตะบันรับงานแข่งกับเขา แต่ก่อนเราเคยดัง พอมีลูกแล้วจะกลับมาดังอีกไม่ได้หรือ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้คิดถึงจุดนั้นแล้ว มันไม่จำเป็น ชีวิตมันอาจจะแย่ยิ่งกว่านี้ เราก็จะไม่กลัว ชีวิตมันอาจจะไม่เหมือนกับที่เราคิด เราก็ไม่กลัว เราจะฝากทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า ถ้าเป็นแต่ก่อนเราจะรู้สึกว่า ไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรายังมีหนทางจะไปได้อีก เราจะไม่หยุด และอีกอย่างที่เปลี่ยนคือ ลดสิ่งดึงดูดจากภายนอกได้เยอะเลย พี่อยากจะพูดว่าถ้าพี่ย้อยกลับไปได้พี่ก็อยากจะรู้จักพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ซึ่งบางทีชีวิตพี่อาจจะได้รับแต่ความสงบและได้รับสันติสุขมากกว่านี้ก็ได้ แต่ชีวิตคนก็ไม่เหมือนกัน ชีวิตพี่เปิ้ลไม่ได้โลดโผนหรือมีปัญหามากมาย บางคนมีปัญหาเยอะมาก แต่ถ้าเขาไม่เจอทางตันเขาก็จะไม่แสวงหา เราก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อาจจะเป็นที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่า แต่ละคนต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้"
อยากให้พี่เปิ้ลพูดถึงความประทับใจที่มีต่อพระเจ้า
"เยอะมากเลย เริ่มตรงไหนดี เอาคนใกล้ตัวก่อนนะ อย่างเรื่องการใช้ชีวิตครอบครัว สามีภรรยาย่อมมีความคิดที่ค้านกันได้ แต่ก่อนที่จะมารับเชื่อ พี่ก็จะมีคุยกันแบบว่า เอาเหตุผลของคุณของฉันมาดูกันเลย พี่ตั้วเขาเป็นผู้ใหญ่นะ เขาก็จะพูดเหตุผลของเขา พี่เปิ้ลก็จะต้องการเอาชนะ แต่เมื่อเรายอมเชื่อฟังพระเจ้ามากขึ้น เราต้องเชื่อฟังสามีตามที่พระคัมภึร์บอก เมื่อเราวางใจในพระเจ้า เราก็วางใจในเขามากขึ้น ตอนนี้พี่เปิ้ลกำลังทำบ้านอยู่ ก็จะวางใจว่าเขามีความเป็นสถาปนิกอยู่ในตัว แล้วเขาก็คงอยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบ้าน พระเจ้าสามารถเปลี่ยนพี่เปิ้ลตรงนี้ได้ว่าพี่ไม่จำเป็นต้องเอาชนะ แต่เป็นแบบ เปลี่ยนตรงนี้นิดนะเพื่อฉัน ทำตรงนี้นะเพื่อฉัน มันเป็นความร้สึกประทับใจที่ความสัมพันธ์ในบ้านมันนุ่มนวลขึ้น และพี่ตั้วเขาก็อาจจะมองเห็นตรงนี้ก็ได้ว่า ตั้งแต่พี่มาเชื่อพระเจ้าแล้วใจเย็นขึ้น และประทับใจในเวลาที่เราว้าวุ่นใจหรือมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องลูกหรือเรื่องอื่นๆ พอเราอ่านพระคัมภีร์ปุ๊บ ก็เจอคำตอบ ทำให้รู้ว่าพระเจ้ารู้ว่าเราต้องการอะไร ช่วงที่พี่อยู่ตัวแล้ว น้องเริ่มโตขึ้นแล้ว ก็จะมีงานติดต่อเข้ามาเยอะ พิธีกรรายการโน้นนี้ มันทำให้เรากระวนกระวายใจเหมือนกับว่าจะเอาดีหรือไม่ดี ถ้าทำจะมีเวลาให้ลูกไหม ตรงนี้ก็เป็นรายได้ของครอบครัวนะ พออ่านพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม จะเอาอะไรใช้ พระบิดาบนสวรรค์รู้หมดแล้วว่าเราต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ต้องแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน และพระเจ้าจะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นให้เอง ก็ทำให้พี่รู้สึกเฉยๆดีกว่า ถึงค่าจัดดีเจจะไม่ได้มากอะไร แต่เรามีความสุขที่ได้พูดออกไมค์โดยไม่มีใครมาบังคับเรา หรือถ้ามีเกมโชว์ติดต่อมาให้เราไปเป็นพิธีกร เรารู้สึกว่าสบายใจที่จะตอบปฏิเสธไปได้ โดยไม่ต้องมานั่งคิดว่าเสียดายเงินจังเลย ถ้าทำอย่างนี้เดือนนี้จะได้เท่านี้ๆ ไม่มีเลย รู้สึกว่าพระเจ้าน่ารักนะ ทำให้เราไม่มีความกังวลอะไร คือเชื่อฟังพระเจ้าแล้วจบ
แล้วก็ประทับใจเวลาที่ลูกไม่สบาย ลูกปวดท้องตามประสาเด็กๆน่ะ แต่เมื่อเราอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว สถานการณ์ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี หรือเวลาที่พี่ตั้วทำละครแล้วมีปัญหา พี่ตั้วก็จะพูดว่าอธิษฐานเผื่อด้วยนะ เราก็มีความรู้สึกว่าเขาบอกว่าเขาเป็นพุทธ แต่เขาให้เราอธิษฐานเผื่อ เรารู้สึกว่าพระเจ้าน่ารักจริงๆ พระเจ้าไม่ได้แบ่งแยก ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมารับผิดชอบชีวิตของเรา เราไม่ต้องดิ้นรน อย่างลูกพี่เปิ้ล พี่ก็ฝากไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ขอพระเจ้าคุ้มครองเขา
เวลาไปโบสถ์และได้เปล่งเสียงโมทนาพระคุณพระเจ้าแล้ว รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ เมื่อก่อนที่เคยสวดชินบัญชรทุกคืนเลย ท่องได้หมดแต่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร รู้แต่คนเขาบอกว่าฉันเก่ง ฉันท่องได้ แต่พอเรามาอธิษฐานแล้วเรารู้สึกว่าเราได้พูดเองเป็นคำพูดที่พระเจ้ากับเราเข้าใจ"
พี่เปิ้ลอยากจะฝากอะไรถึงวัยรุ่นในเรื่องของทัศนคติและการดำเนินชีวิตบ้าง
"ก็ต้องบอกว่า จริงๆเขาควรแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด คือ การรู้จักพระเจ้า ถ้าเขามารู้จักพระเจ้าแล้วมาตรฐานของเขาจะเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เรารู้ว่าอะไรที่เขาควรทำแล้วสิ่งนั้นเขาจะได้มาเอง พี่เชื่ออย่างนั้นเพราะว่ามีหลายครั้งที่พี่อธิษฐานแล้วพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของพี่ อาจจะตอบไม่หมดทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าพระเจ้ากำลังทำงานอยู่ พระเจ้ากำลังดำเนินเรื่องอยู่ เรารู้เลยมันสัมผัสได้
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีคุณค่า และมีประโยชน์มากต่ออนาคตของชาติ จริงๆแล้วเราไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งพี่ก็เชื่อว่าชีวิตของแต่ละคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่าได้ ไม่ว่าเราจะเจอกับอะไรก็ตาม ก็คือ เราได้วางใจในพระเจ้า วัยรุ่นอาจจะเจอปัญหาเรื่องเรียน ปัญหาครอบครัว ปัญหาเรื่องเพื่อน หรือปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งถ้าวัยรุ่นรู้จักวางใจพระเจ้า ปัญหาหรือความทุกข์ใจของเขาก็จะสามารถแก้ไขได้ทั้งๆที่ปัญหาบางอย่างเราอาจจะแก้ไขได้โดยกำลังของเราได้บ้าง แต่บางปัญหาเราก็แก้ไม่ได้เลย แต่ถ้าเราขอสติปัญญาจากพระเจ้าในการแก้ปัญหา พระเจ้าก็จะช่วยเราตรงนี้ได้ แล้วมันก็เป็นทางรอดของหลายๆคนที่เชื่อในพระเจ้ามาแล้ว อย่างคนที่ติดยาหรือมีปัญหาทำผิดเรื่องเพศ ตรงนี้แหละเป็นเรื่องที่เราสามารถจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้และพี่ก็เชื่อแน่ว่าพระเจ้ามีกำลังมากมายที่จะช่วยเราได้
พี่อยากบอกวัยรุ่นว่า มันเป็นสิ่งดีงามมากเลยที่จะแสวงหาและมารู้จักพระเจ้า เพราะจริงๆหนทางของเขายังอีกยาวไกล ถ้าเขาได้รู้จักพระเจ้า เขาก็ไปในทิศทางที่ควรจะไป ไม่ใช่ไปในทางที่เลือกเองแล้วและก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ หรือถ้าเขาเคยทำสิ่งใดที่มันอาจทำร้ายจิตใจของตัวเองหรือพ่อแม่ หรือคนรอบๆข้าง เขาสามารถจะชำระล้างสิ่งไม่ดีออกไปได้โดยพระเยซูคริสต์ แต่เขาจะชำระล้างไม่ได้ถ้าเขายังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ก็ช่วยเขาชำระล้างความผิดบาปหรือสิ่งไม่ดีออกไปจากใจได้ พี่คิดว่านี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบที่ได้พระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเราจริงๆ"
เพราะเราเองก็เป็นวัยรุ่นที่ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เราจึงเข้าใจในสิ่งที่พี่เปิ้ลพูด ช่วงชีวิตที่ผ่านมาทำให้เรารู้ซึ้งว่า การได้รู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ ไม่ว่าเจอปัญหาในรูปแบบไหนเราก็ผ่านได้ทุกครั้ง เพราะเรามีพระเจ้าผู้คอยช่วยเหลือเราอยู่ พระองค์เป็นเพื่อนที่รู้ใจ เป็นนักแก้ปัญหาชั้นเยี่ยม และเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเราเสมอไม่เคยทอดทิ้งเรา ทำให้เรากล้าพูดได้ว่าพระเจ้าทำให้ชีวิตของเรามั่นคง ไม่กลัวว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แล้วเพื่อนๆละ