โปรดปราน ( พีพี )
“เพราะส่วนเราชีวิตสั้นเหมือนอย่างเกิดวานนี้...เพราะวันคืนบนแผ่นดินโลกเปรียบเหมือนเงา” (โยบ8.9 ) และ “ข้าพระองค์เป็นคนพเนจรบนแผ่นดินโลก...” (สดุดี 119.19 )
ระยะหลัง มีคนสนิทสนมอันเป็นที่รักได้จากฉันไปมากมาย คนที่อายุไขถึงเวลาแล้วหรือคนที่เจ็บป่วยเรื้อรังได้จากไป ก็ทำใจได้ง่าย แต่คนที่เราเห็นว่าไม่สมควรเขา ยังเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อสังคม ต่อครอบครัว ต่อคริสตจักรหรือต่อพระศาสนจักร ฉันรู้สึกทำใจยากหน่อย และบางครั้งก็มีคำต่อว่าพระเจ้าเล็กๆเหมือนกัน ฉันต่อว่าพระบิดาว่าทำไมทรงอนุญาตให้บุคคลเหล่านี้จากพวกเราไปอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเอง ทั้งๆที่ คนงานของพระองค์นั้นน้อยเหลือเกิน
อันที่จริง พระคัมภีร์ได้สอนเราถึงชีวิตในโลกนี้ว่า “สั้น ชั่วคราว ไม่จีรัง” ถูกบรรยายว่า “เหมือน หมอกในเวลาเช้า เหมือนเสียงถอนหายใจ เหมือนกลุ่มควันจางๆ” เป็นต้น ริค วอร์เรน (Rick Warren ) ผู้เขียนหนังสือชีวิตเคลื่อนไปตามวัตถุประสงค์ ( The Purpose Driven Life ) ได้เตือนสติในหนังสือของเขาว่า ถึงแม้เราอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด แต่อย่าลืมความจริงสองประการคือ ชีวิตสั้นมาก และโลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว เท่ากับการเตือนสติเราว่าจะอยู่ในโลกนี้ไม่นาน อย่าไปยึดติดหรือลุ่มหลงกับโลก ดังนั้นฉันอยากให้เราพิจารณาวันเวลาของเราที่ยังเหลืออยู่ดังนี้

1.ชีวิตคือภารกิจชั่วคราว
เราพบว่าพระคัมภีร์เปรียบชีวิตในโลกนี้เป็นแค่ที่อยู่ชั่วคราวของมนุษย์ หรือมนุษย์แค่เป็นผู้แวะมาเยี่ยมโลกเท่านั้น เช่นพระคัมภีร์ใช้ว่า เรา เป็น “คนต่างด้าว คนเดินทาง ชาวต่างชาติ คนแปลกหน้า ผู้มาเยือน และนักท่องเที่ยว” เพื่อเป็นการยืนยันว่ามนุษย์จะอยู่ในโลกนี้แค่ช่วงเวลาสั้นๆและไม่มีใครได้อยู่ในโลกอย่างถาวร เช่น กษัตริย์ดาวิด ตรัสว่า “ข้าพระองค์เป็นคนพเนจรบนแผ่นดินโลก” (สดุดี 119.19 )ส่วนนักบุญเปโตร กล่าวว่า “ถ้าท่านเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา ก็จงใช้เวลาของท่านอย่างผู้ที่อยู่อาศัยในโลกนี้เพียงชั่วคราว” ( 1เปโตร 1.17 ) เพราะผู้ที่เอ่ยเรียกพระเจ้าว่าพระบิดานั้น ที่ของเขาอยู่ในสวรรค์ ถ้าเข้าใจเช่นนี้จริงๆเราต้องเลิกวิตกกังวลที่อยากมี “ ทุกสิ่ง”ในโลกนี้ เพราะพระบิดาตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่าการเป็นมิตรกับโลกนี้คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า หรือถ้าการดำเนินชีวิตเพื่อโลกนี้ เป็นการเข้าสู่วงจรของการล่อลวง ซึ่งท่านยากอบบอกว่า “การเป็นมิตรกับโลกนั้น คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เหตุฉะนั้น ผู้ใดใคร่เป็นมิตรกับโลก ผู้นั้นก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า” (ยากอบ 4.4 )
ฉันมีเพื่อนร่วมงานเป็นมิสชันนารี ทั้งระยะสั้น และระยะยาว หลายคน ฉันสังเกตว่าเมื่อพวกเขามาอยู่กับเรา ก็เรียนภาษาไทย ปรับตัวเข้ากับคนไทย พยายามเรียนรู้วัฒนธรรม และนิสัยใจคอของคนไทย ลิ้มลองอาหารไทย จนกระทั่งบางคนก็ใช้ชื่อไทยๆเพื่อให้เราเรียกง่ายๆ ภารกิจของพวกเขาคือเป็นทูตของพระเยซูคริสต์ เขาต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ได้รับมอบหมายหรือไว้วางใจ พวกเขาได้อุทิศชีวิต มีการทุ่มเทใจกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากกระแสเรียก ที่พวกเขาได้รับ

อย่างไรก็ตามฉันก็ได้พบเห็น มิสชันนารีจำนวนหนึ่ง ที่มาทำงานในเมืองไทย เขาหลงรักประเทศไทย ลุ่มหลงกับความเป็นอยู่ที่ดี ความสะดวกสบายที่ได้รับ เงินทองที่มีจับจ่าย พวกเขาจะยุ่งแต่กับภารกิจฝ่ายโลก จนตัวเองหย่อนยานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การอุทิศตัวของเขา เปลี่ยนไป หรือได้เปลี่ยนนิมิตไป เป็นต้น จริงๆแล้วอีกมุมมองหนึ่งมีความเห็นว่าคริสตชนทุกคนคือ ทูตของพระเยซูเจ้า ซึ่งอัครทูตเปาโลกล่าวว่า “เราเป็นทูตของพระคริสต์ ( 2 โครินธ์ 5.20 ) น่าเสียดายที่คริสตชนจำนวนมากได้ทรยศต่อกษัตริย์ และอาณาจักรของเขา เพราะความโง่เขลาได้ยึดติดกับโลกที่หลงคิดว่าเป็นบ้านที่เขาจะอยู่ถาวร
มิสชันนารีของเรามีวาระของการเกษียณจากพันธกิจที่ทำกับเรา แล้วพวกเขากลับบ้านคือประเทศที่ส่งเขามา เมื่อเร็วๆนี้ ฉันได้ไปส่งเพื่อนมิสชันนารีคนหนึ่ง แต่คนละหน่วยงานกับฉัน เธอหมดวาระการรับใช้พระเจ้าในประเทศไทย และกลับไปประเทศฟินแลนด์ เธอชวนฉันว่า เมื่อมีโอกาสให้ไปเที่ยวฟินแลนด์ พร้อมทั้งสัญญาว่าเธอจะเป็นผู้รับรองทุกอย่าง ฉันตอบขอบคุณและบอกเธอว่า ถ้าไม่ได้เจอกันที่ฟินแลนด์ ก็ขอนัดล่วงหน้าไปเจอกันที่สวรรค์ก็แล้วกัน ใครไปถึงก่อนก็รอกันหน่อย