~@~ความลับของความทุกข์ยาก~@~
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
“ ความลับของความทุกข์ยาก ภาค 1”"
เราได้บอกความจริงเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบ
ความทุกข์ยากลำบาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว " ( ยอห์น 16:38 )
พี่พีพีมีโอกาสอ่านหนังสือหนุนใจของคริสเตียนชื่อ " ทุกขภาพ และสันติภาพ " จึงอยากจะนำบางส่วนาเล่าสู่กันฟัง....... เคล็ดลับของความทุกข์ยากลำบาก.............
เชื่อว่าทุกๆคนพอใจในสันติสุข และไม่ชอบความทุกข์ยากลำบากแน่นอน แต่ทว่า"ความทุกข์ยากลำบากและสันติสุข อยู่ภายในแผนงานของพระเจ้า " คนทั่วๆไปกลัวความทุกข์ยากลำบาก แต่ถ้าท่านเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า ท่านจะได้สัมผัสกับคุณค่าของความทุกข์ยากลำบาก
ความทุกข์ยากลำบากคืออะไร
ที่เราเรียกว่า "ทุกข์" ก็คือทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ที่กระทบถูกจิตวิญญาณจิต ( อารมณ์ความรู้สึก ) และร่างกาย ทำให้เกิดความไม่สบาย เช่นโรคถัย ไข้เจ็บ พิการ พิการแต่กำเนิด ถูกทารุณทุบตี หนาวและหิวกระหาย ความอับอาย สิ้นเนื้อประดาตัว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือความทุกข์ฝ่ายกาย ยังมีความทุกข์ฝ่ายจิตวิญญาณ เช่น คนที่แสดงท่าทีไม่ดีต่อสิ่งที่เราเชื่อ ความรู้สึก ผิด-ถูก รู้จักอับอาย ถุกทำลายชื่อเสียง โดนใส่ร้ายป้ายสี ถูกเข้าใจผิด ฯลฯ ซึ่งเป็นความปวดเร้าอย่างยิ่ง
พระเยซูคริสต์ทรงได้รับทุกข์ทรมานมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์พระคริสต์ทรงได้รับความทุกข์ยากลำบากมากที่สุด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วถ่อมพระกายมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ในด้านวรกาย ทรงสภาพต่ำต้อยที่สุด ทรงยากจน ไม่มีที่ซุกหัวนอน วันที่เสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็มเพื่อทำพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่มีพาหนะของตัวเอง ทรงให้สาวกยืมลูกลา เมื่อถึงวันสุดท้าย ถูกประจานให้อับอายหลังจากคลื่นมหาชนม์ ช่วยกันพิพากษา ให้ตรึงที่กางเขน บนถนนไปสู่ความตาย ถูกเยาะเย้ย ด้วยมงกุฏหนาม การเฆี่ยนตี การถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ เมื่อสิ้นพระชนม์ ยังไม่มีอุโมงค์ฝังพระศพ จึงต้องยืมหลุมคนอื่น ภาพของพระเยซูคริสต์ที่เราอ่านจากพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม เริ่มต้นด้วยความทุกข์ สิ้นสุดด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่นั่นคือพันธกิจ การทรงไถ่ เพื่อมวลมนุษยชาติ ที่สามารถกลับไปหาพระเจ้าพระบิดาได้ โดยทางพระองค์ ผู้ซึ่งจ่ายค่าจ้างของความบาปด้วยชีวิตของพระองค์เอง
เราได้บอกความจริงเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบ
ความทุกข์ยากลำบาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว " ( ยอห์น 16:38 )
พี่พีพีมีโอกาสอ่านหนังสือหนุนใจของคริสเตียนชื่อ " ทุกขภาพ และสันติภาพ " จึงอยากจะนำบางส่วนาเล่าสู่กันฟัง....... เคล็ดลับของความทุกข์ยากลำบาก.............
เชื่อว่าทุกๆคนพอใจในสันติสุข และไม่ชอบความทุกข์ยากลำบากแน่นอน แต่ทว่า"ความทุกข์ยากลำบากและสันติสุข อยู่ภายในแผนงานของพระเจ้า " คนทั่วๆไปกลัวความทุกข์ยากลำบาก แต่ถ้าท่านเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า ท่านจะได้สัมผัสกับคุณค่าของความทุกข์ยากลำบาก
ความทุกข์ยากลำบากคืออะไร
ที่เราเรียกว่า "ทุกข์" ก็คือทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ที่กระทบถูกจิตวิญญาณจิต ( อารมณ์ความรู้สึก ) และร่างกาย ทำให้เกิดความไม่สบาย เช่นโรคถัย ไข้เจ็บ พิการ พิการแต่กำเนิด ถูกทารุณทุบตี หนาวและหิวกระหาย ความอับอาย สิ้นเนื้อประดาตัว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือความทุกข์ฝ่ายกาย ยังมีความทุกข์ฝ่ายจิตวิญญาณ เช่น คนที่แสดงท่าทีไม่ดีต่อสิ่งที่เราเชื่อ ความรู้สึก ผิด-ถูก รู้จักอับอาย ถุกทำลายชื่อเสียง โดนใส่ร้ายป้ายสี ถูกเข้าใจผิด ฯลฯ ซึ่งเป็นความปวดเร้าอย่างยิ่ง
พระเยซูคริสต์ทรงได้รับทุกข์ทรมานมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์พระคริสต์ทรงได้รับความทุกข์ยากลำบากมากที่สุด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วถ่อมพระกายมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ในด้านวรกาย ทรงสภาพต่ำต้อยที่สุด ทรงยากจน ไม่มีที่ซุกหัวนอน วันที่เสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็มเพื่อทำพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่มีพาหนะของตัวเอง ทรงให้สาวกยืมลูกลา เมื่อถึงวันสุดท้าย ถูกประจานให้อับอายหลังจากคลื่นมหาชนม์ ช่วยกันพิพากษา ให้ตรึงที่กางเขน บนถนนไปสู่ความตาย ถูกเยาะเย้ย ด้วยมงกุฏหนาม การเฆี่ยนตี การถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ เมื่อสิ้นพระชนม์ ยังไม่มีอุโมงค์ฝังพระศพ จึงต้องยืมหลุมคนอื่น ภาพของพระเยซูคริสต์ที่เราอ่านจากพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม เริ่มต้นด้วยความทุกข์ สิ้นสุดด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่นั่นคือพันธกิจ การทรงไถ่ เพื่อมวลมนุษยชาติ ที่สามารถกลับไปหาพระเจ้าพระบิดาได้ โดยทางพระองค์ ผู้ซึ่งจ่ายค่าจ้างของความบาปด้วยชีวิตของพระองค์เอง
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
“ ความลับของความทุกข์ยาก ภาค 2”
ความทุกข์ทรมานแบ่งออกได้ 4 ประเภทดังนี้
1.ความทุกข์ที่ผ่านมาจากตัวเรา ( ที่กล่าวว่าตัวเราหมายถึงตัวบุคคลทั้งคน ) ความทุกข์เหล่านี้เป็นความทุกข์ทั่วๆไปเช่น โดนลมพายุพัดผ่าน ต้นไม้ใหญ่ล้ม รถตีลังกาหงายท้อง เรือจมทะเล ไม่ทราบหลายคนเข้าใจหรือไม่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เมื่อพายุผ่านไป พายุก็ได้เอาเชื้อโรคและโรคภัยไข้เจ็บในสถานที่นั้นไปหมด และทำให้อากาศสิ่งแวดล้อมแปรเปลี่ยนใหม่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มาก
ตัวอย่างที่ดี คือโยบ เมื่อได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส โยบ 42.10 " พระเจ้าให้โยบกลับคืนสู่สภาพดี...และพระเจ้าทรงประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน " ถ้าเรามีความทุกข์เช่นนี้ไม่น่าวิตกกังวล
2.เป็นความทุกข์ที่เราได้รับจากคนอื่น .....ความทุกข์เช่นนี้เปรียบเหมือนแม่น้ำสายหนึ่งมาขวางกั้นเรา ถ้าเราอยากจะข้ามไปอีกฝั่ง เราจำเป็นต้องลุยน้ำนี้ ชีวิตมนุษย์เหมือนหนทางที่ยาวไกล ต้องเดินบนที่ราบ ปีนป่ายภูเขา เดินผ่านถิ่นทุรกันดาร ข้ามลำห้วย ฯลฯ ชีวิตล้มลุกคลุกคลานซึ่งบางคนเรียกสิ่งนี้ว่าชะตาชีวิต
โยบ 5.7 "แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อความยากลำบาก..." การที่มนุษยืไม่สามารถรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง เป็นการดี มิฉะนั้นเราจะวิตกกังวล และไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป แต่การที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตบ้าง เราจึงไม่วิตกกังวลมากนัก หรือเราสามารถพึ่งพาพระเจ้าอย่างใจจดจ่อได้
3.ความทุกข์ลำบากที่อยู่รอบๆตัวเราเสมอ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้เราได้ เมื่ออ่านเรื่องของดาวิด ที่ถูกกษัตริย์ซาอูลตามล่าตลอดชีวิต ซาอูลเองทรงทราบว่าพระเจ้าทรงเจิมเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อจะเป็นกษัติริย์แทนพระองค์ จึงอยากทำลายชีวิตเขา พระคัมภีร์บันทึกว่า ดาวิดหลบการทำร้ายของกษัตริย์ซาอูลถึง 8 ครั้ง แต่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย แม้ว่าบางครั้งเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยทหารของกษัตริย์ซาอูล " ข้าแด่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นโล่ ล้อมรอบตัวข้าพเจ้า ป้องกันศรีษะของข้าพระองค์ และทรงเป็นผู้ชูศรีษะของข้าพระองค์ไว้...." ( สดุดี 3.3 ) และข้อ 6 กล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่กลัวคนเป็นหมื่นๆ ซึ่งตั้งตน่อสู้ข้าพเจ้าอยู่รอบด้าน"
4.ความทุกข์ยากลำบากที่อยู่กับเราตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายมาก บางคนมีร่างกายที่พิการ และมีปมด้อยว่าทำไมตัวเองไม่สมประกอบเหมือนคนอื่นๆ รู้สึกเสียใจ บางคนหาทางแก้ไขข้อบกพร่องนั้น แต่บางคนแก้ไม่ได้ต้องเป็นอย่างนั้นตลอดชีวิต จึงรู้สึกละอาย วิตกกังวล
หรือบ่อยครั้งในบางครอบครัวมักจะมีเรื่องต่างๆให้วิตกกังวลเสมอ หรือบางคนมีปัญหากับสุขภาพของตัวเอง ซึ่งมีแต่ความเจ็บป่วยบ่อยๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน.....หรือบางคนมักถูกโจมตีเสมอๆ หรือบางครั้งถูกทำร้ายข้างหลัง บางคนมีชีวิตที่ยากจนทุกข์ลำบากเสมอๆ มักจะมีคำถามว่า "ทำไมฉันเกิดมาไม่เคยสุขสบายเหมือนเพื่อนๆเขา"
นักบุญเปาโล กล่าวใน 2 โครินธ์ 12.7 " พระองค์ทรงประทานหนามใหญ่ ในเนื้อของข้าพเจ้า " หนามใหญ่ที่นักบุญเปาโลกล่าวถึง คือความทุกข์ทรมานที่อยู่กับท่านตลอดชีวิต หนามใหญ่นี้ อาจจะไม่ใช่เชื้อโรคเสมอไป หนามนี้อาจจะเป็นทูตของซาตาน ซึ่งคอยทุบตีและโจมตีท่าน ถามว่านักบุญเปาโลท้อแท้ไหม คำตอบไม่เลย เพราะท่านพึ่งในพระเจ้า ผู้ทรงมี "พระคุณเพียงพอแก่ท่าน" และ"ฤทธิ์เดชที่ครบถ้วน" ดังนั้นจึงทำให้นักบุญเปาโลมีความอดทนอย่างเพียงพอ เพราะว่าพระคุณของพระเจ้านั้นเพียงพอ
ความทุกข์ทรมานแบ่งออกได้ 4 ประเภทดังนี้
1.ความทุกข์ที่ผ่านมาจากตัวเรา ( ที่กล่าวว่าตัวเราหมายถึงตัวบุคคลทั้งคน ) ความทุกข์เหล่านี้เป็นความทุกข์ทั่วๆไปเช่น โดนลมพายุพัดผ่าน ต้นไม้ใหญ่ล้ม รถตีลังกาหงายท้อง เรือจมทะเล ไม่ทราบหลายคนเข้าใจหรือไม่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เมื่อพายุผ่านไป พายุก็ได้เอาเชื้อโรคและโรคภัยไข้เจ็บในสถานที่นั้นไปหมด และทำให้อากาศสิ่งแวดล้อมแปรเปลี่ยนใหม่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มาก
ตัวอย่างที่ดี คือโยบ เมื่อได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส โยบ 42.10 " พระเจ้าให้โยบกลับคืนสู่สภาพดี...และพระเจ้าทรงประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน " ถ้าเรามีความทุกข์เช่นนี้ไม่น่าวิตกกังวล
2.เป็นความทุกข์ที่เราได้รับจากคนอื่น .....ความทุกข์เช่นนี้เปรียบเหมือนแม่น้ำสายหนึ่งมาขวางกั้นเรา ถ้าเราอยากจะข้ามไปอีกฝั่ง เราจำเป็นต้องลุยน้ำนี้ ชีวิตมนุษย์เหมือนหนทางที่ยาวไกล ต้องเดินบนที่ราบ ปีนป่ายภูเขา เดินผ่านถิ่นทุรกันดาร ข้ามลำห้วย ฯลฯ ชีวิตล้มลุกคลุกคลานซึ่งบางคนเรียกสิ่งนี้ว่าชะตาชีวิต
โยบ 5.7 "แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อความยากลำบาก..." การที่มนุษยืไม่สามารถรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง เป็นการดี มิฉะนั้นเราจะวิตกกังวล และไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป แต่การที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตบ้าง เราจึงไม่วิตกกังวลมากนัก หรือเราสามารถพึ่งพาพระเจ้าอย่างใจจดจ่อได้
3.ความทุกข์ลำบากที่อยู่รอบๆตัวเราเสมอ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้เราได้ เมื่ออ่านเรื่องของดาวิด ที่ถูกกษัตริย์ซาอูลตามล่าตลอดชีวิต ซาอูลเองทรงทราบว่าพระเจ้าทรงเจิมเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อจะเป็นกษัติริย์แทนพระองค์ จึงอยากทำลายชีวิตเขา พระคัมภีร์บันทึกว่า ดาวิดหลบการทำร้ายของกษัตริย์ซาอูลถึง 8 ครั้ง แต่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย แม้ว่าบางครั้งเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยทหารของกษัตริย์ซาอูล " ข้าแด่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นโล่ ล้อมรอบตัวข้าพเจ้า ป้องกันศรีษะของข้าพระองค์ และทรงเป็นผู้ชูศรีษะของข้าพระองค์ไว้...." ( สดุดี 3.3 ) และข้อ 6 กล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่กลัวคนเป็นหมื่นๆ ซึ่งตั้งตน่อสู้ข้าพเจ้าอยู่รอบด้าน"
4.ความทุกข์ยากลำบากที่อยู่กับเราตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายมาก บางคนมีร่างกายที่พิการ และมีปมด้อยว่าทำไมตัวเองไม่สมประกอบเหมือนคนอื่นๆ รู้สึกเสียใจ บางคนหาทางแก้ไขข้อบกพร่องนั้น แต่บางคนแก้ไม่ได้ต้องเป็นอย่างนั้นตลอดชีวิต จึงรู้สึกละอาย วิตกกังวล
หรือบ่อยครั้งในบางครอบครัวมักจะมีเรื่องต่างๆให้วิตกกังวลเสมอ หรือบางคนมีปัญหากับสุขภาพของตัวเอง ซึ่งมีแต่ความเจ็บป่วยบ่อยๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน.....หรือบางคนมักถูกโจมตีเสมอๆ หรือบางครั้งถูกทำร้ายข้างหลัง บางคนมีชีวิตที่ยากจนทุกข์ลำบากเสมอๆ มักจะมีคำถามว่า "ทำไมฉันเกิดมาไม่เคยสุขสบายเหมือนเพื่อนๆเขา"
นักบุญเปาโล กล่าวใน 2 โครินธ์ 12.7 " พระองค์ทรงประทานหนามใหญ่ ในเนื้อของข้าพเจ้า " หนามใหญ่ที่นักบุญเปาโลกล่าวถึง คือความทุกข์ทรมานที่อยู่กับท่านตลอดชีวิต หนามใหญ่นี้ อาจจะไม่ใช่เชื้อโรคเสมอไป หนามนี้อาจจะเป็นทูตของซาตาน ซึ่งคอยทุบตีและโจมตีท่าน ถามว่านักบุญเปาโลท้อแท้ไหม คำตอบไม่เลย เพราะท่านพึ่งในพระเจ้า ผู้ทรงมี "พระคุณเพียงพอแก่ท่าน" และ"ฤทธิ์เดชที่ครบถ้วน" ดังนั้นจึงทำให้นักบุญเปาโลมีความอดทนอย่างเพียงพอ เพราะว่าพระคุณของพระเจ้านั้นเพียงพอ
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
“ ความลับของความทุกข์ยาก ภาค 3 “
แหล่งของความทุกข์ยากลำบาก
1.มาจากการฝึกฝนของพระเจ้า:
เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้สาวกของพระองค์ สะอาด บริสุทธิ์ และดีรอบคอบ ยิ่งกว่านั้นคือรู้จักพระเจ้าดียิ่งขี้น ดังนั้นความทุกข์ยากลำบากเป็นอุปกรณ์ฝึกฝนผู้ที่เชื่อทั้งหลาย และทรงอนุญาตให้ผู้เชื่อประสบความทุกข์ยาก ซึ่งเป็นน้ำพระทัยที่ดีของพระองค์ เหมือนเวลาที่เราเจ็บป่วยและไปให้หมอรักษา เช่นต้องทำการผ่าตัด การผ่าตัดของหมอ คือ กระบวนการรักษา ไม่ใช่เพื่อการฆ่า ดังนั้นดูตัวอย่างเรื่องของโยบ เขาเองพบสัจธรรมอย่างหนึ่งคือ "...แม้ถ้าเขาผ่านการทดสอบของพระเจ้าได้แล้ว เขาจะมีค่ามากกว่าทองคำ "
2.มาจากการโจมตีของมาร:
มารก็เป็นศัตรูตัวร้ายกาจ ที่ไม่พอใจที่จะเห็นธรรมิกชนได้รับพระคุณ ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ถวายเกียรติ แด่พระเจ้า มารได้ฟ้องร้องพี่น้องต่อพระพักตร์ พระเจ้าทั้งวันและคืน มารยังไปๆมาๆ บนแผ่นดินโลก มันค้นหาร้อยแปด พันวิธี ในการทำลายธรรมิกชน ในยากอบ 4.7 เราต้องต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีไป 1 เปโตร 5.9 เราต้องอาศัยความเชื่อที่แน่วแน่ ่อสู้กับมาร
3.มาจากการรบกวนของมนุษย์:
ทุกข์ชนิดนี้คือ พวกเรากันเอง หรือก่อทุกข์ให้ตัวเอง เช่นภรรยาของโยบว่า "ยังจะซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าอีกหรือ จงทิ้งพระเจ้าและตายเสียเถอะ " ( โยบ 2.9 ) ทำให้เห็นว่าภรรยาของโยบอ้าปากกล่าวร้ายแทนมารร้าย มุงหวังที่จะให้โยบท้อหมดกำลังใจ
มีหลายคนเมื่อประสบความยากลำบาก ได้แสดงออก ถึงท่าทีต่างๆที่ไม่สมควร เช่นการบ่นต่อว่าฟ้าและ ดิน โกรธจัดและด่าหยาบคาย และเย็นชาลงต่อพระเจ้า สงสัยความรักของพระเจ้า หน้านิ่วคิ้วขมวด มองอะไรก็ห่อเหี่ยว ใจหดหู่ แล้วตัดสินใจทำความผิดบาป แต่ผู้ที่มีความเชื่อเข้มแข็ง ยกให้พระเจ้าเป็นหนึ่งไม่หันซ้ายเอียงขวา มีความเชื่อและวางใจต่อพระเจ้าตลอดเวลา พึ่งพาพระองค์แต่ผู้เดียว
แหล่งของความทุกข์ยากลำบาก
1.มาจากการฝึกฝนของพระเจ้า:
เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้สาวกของพระองค์ สะอาด บริสุทธิ์ และดีรอบคอบ ยิ่งกว่านั้นคือรู้จักพระเจ้าดียิ่งขี้น ดังนั้นความทุกข์ยากลำบากเป็นอุปกรณ์ฝึกฝนผู้ที่เชื่อทั้งหลาย และทรงอนุญาตให้ผู้เชื่อประสบความทุกข์ยาก ซึ่งเป็นน้ำพระทัยที่ดีของพระองค์ เหมือนเวลาที่เราเจ็บป่วยและไปให้หมอรักษา เช่นต้องทำการผ่าตัด การผ่าตัดของหมอ คือ กระบวนการรักษา ไม่ใช่เพื่อการฆ่า ดังนั้นดูตัวอย่างเรื่องของโยบ เขาเองพบสัจธรรมอย่างหนึ่งคือ "...แม้ถ้าเขาผ่านการทดสอบของพระเจ้าได้แล้ว เขาจะมีค่ามากกว่าทองคำ "
2.มาจากการโจมตีของมาร:
มารก็เป็นศัตรูตัวร้ายกาจ ที่ไม่พอใจที่จะเห็นธรรมิกชนได้รับพระคุณ ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ถวายเกียรติ แด่พระเจ้า มารได้ฟ้องร้องพี่น้องต่อพระพักตร์ พระเจ้าทั้งวันและคืน มารยังไปๆมาๆ บนแผ่นดินโลก มันค้นหาร้อยแปด พันวิธี ในการทำลายธรรมิกชน ในยากอบ 4.7 เราต้องต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีไป 1 เปโตร 5.9 เราต้องอาศัยความเชื่อที่แน่วแน่ ่อสู้กับมาร
3.มาจากการรบกวนของมนุษย์:
ทุกข์ชนิดนี้คือ พวกเรากันเอง หรือก่อทุกข์ให้ตัวเอง เช่นภรรยาของโยบว่า "ยังจะซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าอีกหรือ จงทิ้งพระเจ้าและตายเสียเถอะ " ( โยบ 2.9 ) ทำให้เห็นว่าภรรยาของโยบอ้าปากกล่าวร้ายแทนมารร้าย มุงหวังที่จะให้โยบท้อหมดกำลังใจ
มีหลายคนเมื่อประสบความยากลำบาก ได้แสดงออก ถึงท่าทีต่างๆที่ไม่สมควร เช่นการบ่นต่อว่าฟ้าและ ดิน โกรธจัดและด่าหยาบคาย และเย็นชาลงต่อพระเจ้า สงสัยความรักของพระเจ้า หน้านิ่วคิ้วขมวด มองอะไรก็ห่อเหี่ยว ใจหดหู่ แล้วตัดสินใจทำความผิดบาป แต่ผู้ที่มีความเชื่อเข้มแข็ง ยกให้พระเจ้าเป็นหนึ่งไม่หันซ้ายเอียงขวา มีความเชื่อและวางใจต่อพระเจ้าตลอดเวลา พึ่งพาพระองค์แต่ผู้เดียว
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
“ ความลับของความทุกข์ยาก ภาค 4 “
ความทุกมีประโยชน์ 3 ประการ
1.ทำให้เรารู้จักสารภาพบาป และแสวงหาความบริสุทธิ์ เมื่อเราได้รับความทุกข์ เราต้องตรวจสอบตัวเอง ตัวเองอาจจะมีบาป เมื่อค้นพบแล้ว จึงสารภาพแล้วกลับใจใหม่
2.ทำให้คนกลับใจ กระตือรือร้นรับใช้พระเจ้า บางครั้งเราอาจจะเย็นชากับพระเจ้า ค่อยๆห่างเหินออกไปจากพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงอาศัยทูตของพระองค์มาเฆี่ยนตีเรา เพื่อทำให้เรากลับใจและกระตือรือร้น
3. ทำให้เกิดการเห็นอกเห็นใจ และมีความรักกัน มีความเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น เนื่องจากตัวเองก็เคยอยู่ในสภาพนั้นมาก่อน จึงมีจิตใจเอื้ออาทร จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเข้าใจ
%% ไม่ว่าจะได้รับพระพรหรือภัยภิบัติ ก็ยังสรรเสริญโมทนา
เมื่อถึงจุดนี้จิตวิญญาณของโยบสูงขึ้น เขาเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเขาได้ยินเสียงรายงานจากทาส เขาจึงรู้ทันทีว่าตัวเองควรจะสนองตอบเช่นไร ดังนั้น เขาจึง
1.ฉีกเสื้อคลุมของตัวเอง แสดงถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้า
2.โกนศรีษะให้ล้าน แสดงออกถึงความอัปยศไร้เกียรติ
3.ก้มกราบลงถึงดิน แสดงถึงการจำยอมต่อพระเจ้าทุกอย่าง
ถึงแม่โยบอยู่ในภาวะทุกข์มากมายแต่เขาก็ไม่โอดครวญ แต่ได้กล่าวประกาศว่า "ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทานและพระเจ้าเอาคืนไปเสีย สาธุการพระนามพระเจ้า " ( โยบ 1.21 ) ในอดีตโยบได้รับพระพรมากมายเขาสรรเสริญพระเจ้า แต่บัดนี้ท่านสูญเสียก็ยังสรรเสริญพระเจ้า "เราได้รับสิ่งดีจากพระหัตถ์พระเจ้า และไม่รับของไม่ดีบ้างหรือ" ( บทที่ 2.10 ) โยบเข้าใจความหมายของชีวิตว่า
ก.) ความเล็กน้อยของมนุษย์ เราเกิดมาในโลกนี้ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย...ต่อมาได้ครอบครองทรัพย์สินมากมาย..วันหนึ่งหมดวาระขัย เมื่อหมดลมหายใจไปก็เอาอะไรกลับไปไม่ได้อีก
ข.)มนุษย์ไม่อาจแย่งชิงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เวลาที่พระเจ้าทรงประกอบกิจตามน้ำพระทัยของพระองค์ท่าทีของเราคือ ยินยอมแต่ไม่ใช่ทวงขอเพื่อรู้เหตุผล
ค.) มนุษย์กับพระเจ้าควรมีความสัมพันธ์สนิทชิดชอบให้มากขึ้น พระองค์ทรงพอพระทัยจะทำอะไรกับตัวข้า ฯ ได้ทั้งนั้นเพราะข้าฯเชื่อและวางใจว่าพระองค์ทรงรักข้าฯตลอดไป
ความทุกมีประโยชน์ 3 ประการ
1.ทำให้เรารู้จักสารภาพบาป และแสวงหาความบริสุทธิ์ เมื่อเราได้รับความทุกข์ เราต้องตรวจสอบตัวเอง ตัวเองอาจจะมีบาป เมื่อค้นพบแล้ว จึงสารภาพแล้วกลับใจใหม่
2.ทำให้คนกลับใจ กระตือรือร้นรับใช้พระเจ้า บางครั้งเราอาจจะเย็นชากับพระเจ้า ค่อยๆห่างเหินออกไปจากพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงอาศัยทูตของพระองค์มาเฆี่ยนตีเรา เพื่อทำให้เรากลับใจและกระตือรือร้น
3. ทำให้เกิดการเห็นอกเห็นใจ และมีความรักกัน มีความเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น เนื่องจากตัวเองก็เคยอยู่ในสภาพนั้นมาก่อน จึงมีจิตใจเอื้ออาทร จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเข้าใจ
%% ไม่ว่าจะได้รับพระพรหรือภัยภิบัติ ก็ยังสรรเสริญโมทนา
เมื่อถึงจุดนี้จิตวิญญาณของโยบสูงขึ้น เขาเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเขาได้ยินเสียงรายงานจากทาส เขาจึงรู้ทันทีว่าตัวเองควรจะสนองตอบเช่นไร ดังนั้น เขาจึง
1.ฉีกเสื้อคลุมของตัวเอง แสดงถึงความเจ็บปวดและโศกเศร้า
2.โกนศรีษะให้ล้าน แสดงออกถึงความอัปยศไร้เกียรติ
3.ก้มกราบลงถึงดิน แสดงถึงการจำยอมต่อพระเจ้าทุกอย่าง
ถึงแม่โยบอยู่ในภาวะทุกข์มากมายแต่เขาก็ไม่โอดครวญ แต่ได้กล่าวประกาศว่า "ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทานและพระเจ้าเอาคืนไปเสีย สาธุการพระนามพระเจ้า " ( โยบ 1.21 ) ในอดีตโยบได้รับพระพรมากมายเขาสรรเสริญพระเจ้า แต่บัดนี้ท่านสูญเสียก็ยังสรรเสริญพระเจ้า "เราได้รับสิ่งดีจากพระหัตถ์พระเจ้า และไม่รับของไม่ดีบ้างหรือ" ( บทที่ 2.10 ) โยบเข้าใจความหมายของชีวิตว่า
ก.) ความเล็กน้อยของมนุษย์ เราเกิดมาในโลกนี้ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย...ต่อมาได้ครอบครองทรัพย์สินมากมาย..วันหนึ่งหมดวาระขัย เมื่อหมดลมหายใจไปก็เอาอะไรกลับไปไม่ได้อีก
ข.)มนุษย์ไม่อาจแย่งชิงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เวลาที่พระเจ้าทรงประกอบกิจตามน้ำพระทัยของพระองค์ท่าทีของเราคือ ยินยอมแต่ไม่ใช่ทวงขอเพื่อรู้เหตุผล
ค.) มนุษย์กับพระเจ้าควรมีความสัมพันธ์สนิทชิดชอบให้มากขึ้น พระองค์ทรงพอพระทัยจะทำอะไรกับตัวข้า ฯ ได้ทั้งนั้นเพราะข้าฯเชื่อและวางใจว่าพระองค์ทรงรักข้าฯตลอดไป
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
“ ความลับของความทุกข์ยาก ภาค 5 “
จิตวิญญาณสูงขึ้นไม่กลัวความทุกข์ยาก
นำตัวอย่างเรื่องของโยบมาศึกษา พวกเราคงคิดว่า จิตวิญญาณท่านสูงส่งมาก และเราเอื้อมไม่ถึงแน่ๆ คนธรรมดาอย่างเราๆคงทำไม่ได้ มาดูว่าสิ่งที่เราเรียนรู้จากชีวิตของโยบได้คือ
1.ความเชื่อของท่านมั่นคง คน คนหนึ่งเมื่อจิตวิญญาณสูงขึ้นเขากลายเป็นมิตรสหายของพระเจ้า เขาไม่ได้อยู่ภายใต้ความกดดันของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวของเขาเป็นอย่างไร ไม่ได้เป็นอุปสรรค โยบไม่ได้ตกใจ หรือร้องไห้โวยวายคร่ำครวญ ท่านยังใช้คำสรรเสริญแทนการโศกเศร้า โยบมีท่าทีเหมือนเด็กไร้เดียงสา ซ่อนตัวอยู่ภายใต้อ้อมอกแห่งความรักของมารดา
2.ประยุกต์ความอดทนมาเป็นการเสวยสุข ใครก็ตามที่มีปัญหาแบบโยบคงจะมีเหตุผลกว่า 100 ประการที่จะแสดงออกถึงความโศกเศร้า เช่นบางคนจิตวิญญาณดีหน่อยก็ยอมรับด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ยอมรับและอดทน แต่หน้าตาและจิตใจแสดงออก เต็มไปด้วยความโศกเศร้า โยบใช้ท่าทีที่เสวยสุขมานานอนทนต่อความยากลำบาก เพราะเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ทรงหลับสนิท และไม่ทรงกระทำผิดพลาด พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีๆเสมอ การลำบากเล็กๆน้อยๆเมื่อเทียบกับพระพร ที่จะมานั้นล้ำเลิศกว่า
3.ใช้เวลาเงียบสงบต่อสู้กับมารร้าย "โยบไม่ได้ทำบาป ไม่ได้กล่าวโทษพระเจ้า" พระคัมภีร์ยืนยันโยบเข้าใจถึงความรักของพระเจ้า ที่มีต่อเขาว่าเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่ามารร้ายไม่พอใจ พยายามเอาชนะ พยายามทำให้สัมพันธภาพระหว่างโยบขาดสะบั้น แต่มารต้องพ่ายแพ้ เพราะโยบยังมั่นใจใดความรักของพระเจ้า และเขาได้รักษาความจงรักภักดีต่อพระเจ้าและมั่นใจว่าพระองค์ทรงรักเขามาก
พระพรที่อยู่เบื้องหน้า
1.เมื่อทดสอบแล้วโยบยังเป็นทองคำอยู่ ( โยบ 23.10 ) ท่านเปโตรเองก็บอกว่าเมื่อทดสอบความเชื่อสาวกแล้ว ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ( 1เปโตร 1.7 )
2.โยบประกาศว่าได้ยิน และได้เห็นพระองค์ รางวัลของเขาคือได้พบพระพักตร์ของพระเจ้า ( โยบ 42.5 )
3.ได้รับรางวัลงามเกินความคาดคิด บทเรียนที่โยบทิ้งเป็นมรดกแห่งความเชื่อให้เราคือ
ก.) โยบ 5.8-9 "ส่วนข้าฯ ข้าฯจะแสวงหาพระเจ้า และมอบเรื่องราวของข้าฯไว้กับพระเจ้า ผู้กระทำการใหญ่ เหลือที่จะยั่งรู้ การอัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน"
ข.)โยบ 5.17 "ดูเถิดมนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงติเตือนก็เป็นสุข เพราะฉะนั้นอย่าดูหมิ่นการตีสอนของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์"
**จบทั้งหมด....อาเมน**
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
จิตวิญญาณสูงขึ้นไม่กลัวความทุกข์ยาก
นำตัวอย่างเรื่องของโยบมาศึกษา พวกเราคงคิดว่า จิตวิญญาณท่านสูงส่งมาก และเราเอื้อมไม่ถึงแน่ๆ คนธรรมดาอย่างเราๆคงทำไม่ได้ มาดูว่าสิ่งที่เราเรียนรู้จากชีวิตของโยบได้คือ
1.ความเชื่อของท่านมั่นคง คน คนหนึ่งเมื่อจิตวิญญาณสูงขึ้นเขากลายเป็นมิตรสหายของพระเจ้า เขาไม่ได้อยู่ภายใต้ความกดดันของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวของเขาเป็นอย่างไร ไม่ได้เป็นอุปสรรค โยบไม่ได้ตกใจ หรือร้องไห้โวยวายคร่ำครวญ ท่านยังใช้คำสรรเสริญแทนการโศกเศร้า โยบมีท่าทีเหมือนเด็กไร้เดียงสา ซ่อนตัวอยู่ภายใต้อ้อมอกแห่งความรักของมารดา
2.ประยุกต์ความอดทนมาเป็นการเสวยสุข ใครก็ตามที่มีปัญหาแบบโยบคงจะมีเหตุผลกว่า 100 ประการที่จะแสดงออกถึงความโศกเศร้า เช่นบางคนจิตวิญญาณดีหน่อยก็ยอมรับด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ยอมรับและอดทน แต่หน้าตาและจิตใจแสดงออก เต็มไปด้วยความโศกเศร้า โยบใช้ท่าทีที่เสวยสุขมานานอนทนต่อความยากลำบาก เพราะเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ทรงหลับสนิท และไม่ทรงกระทำผิดพลาด พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีๆเสมอ การลำบากเล็กๆน้อยๆเมื่อเทียบกับพระพร ที่จะมานั้นล้ำเลิศกว่า
3.ใช้เวลาเงียบสงบต่อสู้กับมารร้าย "โยบไม่ได้ทำบาป ไม่ได้กล่าวโทษพระเจ้า" พระคัมภีร์ยืนยันโยบเข้าใจถึงความรักของพระเจ้า ที่มีต่อเขาว่าเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่ามารร้ายไม่พอใจ พยายามเอาชนะ พยายามทำให้สัมพันธภาพระหว่างโยบขาดสะบั้น แต่มารต้องพ่ายแพ้ เพราะโยบยังมั่นใจใดความรักของพระเจ้า และเขาได้รักษาความจงรักภักดีต่อพระเจ้าและมั่นใจว่าพระองค์ทรงรักเขามาก
พระพรที่อยู่เบื้องหน้า
1.เมื่อทดสอบแล้วโยบยังเป็นทองคำอยู่ ( โยบ 23.10 ) ท่านเปโตรเองก็บอกว่าเมื่อทดสอบความเชื่อสาวกแล้ว ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ( 1เปโตร 1.7 )
2.โยบประกาศว่าได้ยิน และได้เห็นพระองค์ รางวัลของเขาคือได้พบพระพักตร์ของพระเจ้า ( โยบ 42.5 )
3.ได้รับรางวัลงามเกินความคาดคิด บทเรียนที่โยบทิ้งเป็นมรดกแห่งความเชื่อให้เราคือ
ก.) โยบ 5.8-9 "ส่วนข้าฯ ข้าฯจะแสวงหาพระเจ้า และมอบเรื่องราวของข้าฯไว้กับพระเจ้า ผู้กระทำการใหญ่ เหลือที่จะยั่งรู้ การอัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน"
ข.)โยบ 5.17 "ดูเถิดมนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงติเตือนก็เป็นสุข เพราะฉะนั้นอย่าดูหมิ่นการตีสอนของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์"
**จบทั้งหมด....อาเมน**
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ก.) โยบ 5.8-9
"8 I would seek unto God, and unto God would I commit my cause:
9 Which doeth great things and unsearchable; marvellous things without number:
"
2 Cor 12:9 He said "My grace is sufficient for you, for My strength is made perfect in weakness"
เป็นบทความที่ดีมากค่ะ สอนใจทุกวันว่าเราต้องถ่อมใจลง ไม่อวดตน อีกทั้งต้องพักพิงในพรองค์
"8 I would seek unto God, and unto God would I commit my cause:
9 Which doeth great things and unsearchable; marvellous things without number:
"
2 Cor 12:9 He said "My grace is sufficient for you, for My strength is made perfect in weakness"
เป็นบทความที่ดีมากค่ะ สอนใจทุกวันว่าเราต้องถ่อมใจลง ไม่อวดตน อีกทั้งต้องพักพิงในพรองค์
แก้ไขล่าสุดโดย spirit เมื่อ อังคาร ม.ค. 25, 2005 9:23 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
บางครั้ง ผมก็เคยถามตัวเองแบบนี้เหมือนกัน วันนี้เข้าใจแล้วครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณค่ะ
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ขอบคุณค่ะ
ว่าแต่ เจ๊พีพีหายไปไหนน่ะ
ไม่เหนเปนอาทิตย์ละ คิดถึ๊ง คิดถึง
ว่าจะฝากตัวเปนสิดท่านจอมยุทธ
ขอฝึกวรยุทธซะหน่อย
(ช่วงนี้ดูหนังจีนเยอะไปหน่อย)
ว่าแต่ เจ๊พีพีหายไปไหนน่ะ
ไม่เหนเปนอาทิตย์ละ คิดถึ๊ง คิดถึง
ว่าจะฝากตัวเปนสิดท่านจอมยุทธ
ขอฝึกวรยุทธซะหน่อย
(ช่วงนี้ดูหนังจีนเยอะไปหน่อย)
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
บางคนที่ไม่เคยอ่าน กระทู้นี้จะตอบคำถามเรื่องความทุกข์คร้าบ
-
- โพสต์: 626
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 8:07 pm
- ที่อยู่: bkk
[quote="Prod Pran"]
ไหนไหนก็ขุดขึ้นมาแล้วแล้ว...
ภารดาจีโอวันนี่ถามภารดาฟรันซิสบิดาผู้ยากจน เรื่องความยินดีบริบูรณ์
บิดาผู้ยากจนได้เดินทางมาไกลแสนไกลจนถึงอารามวัดนักบุญดามีอาโน และได้พบภารดาจีโอวันนี่ในรุ่งเช้า
"ท่านบิดา อะไรคือความยินดีบริบูรณ์เล่า " ภารดาจีโอวันนี่ถาม
ภารดาฟรันซิสตอบ "เราเดินมาจากหมู่บ้านที่แสนไกลมายังสถานที่แห่งนี้ในเวลากลางคืน ด้วยชุดนักบวชเพียงตัวเดียวที่ชุ่มน้ำฝน อากาศหนาวมากจนจมูกของเราแดง และน้ำแข็งก็เกาะเท้าของเราจนเืลือดออก..." "...แต่นั่นยังไม่ใช่ความยินดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่จึงถามอีกครั้ง "ถ้าเช่นนั้น ความยินดีบริบูรณ์คืออะไรเล่า"
ท่านบิดาตอบอีกครั้ง "หลังจากที่เราเดินมาถึงวัดนักบุญดามีอาโน เราเคาะประตูสามครั้งเรียกให้ภารดาคนอื่นมาเปิดให้ เมื่อเขาถามว่าเราคือใคร เราก็ตอบว่า 'เราคือภารดาฟรันซิส' แต่เขากลับปิดประตูใส่หน้าเรา และไม่เชื่อว่าเราคือภารดาฟรันซิส..." "...แต่นั่นยังไม่ใช่ความยินดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่ถามอีกครั้งหนึ่งด้วยคำถามเดิม
ท่านบิดาจึงตอบ "เรายืนอยู่หน้าประตูอารามอีกนับชั่วโมง ท่ามกลางอากาศหนาว และชุดนักบวชที่เปียกปอน เราจึงเคาะประตูอีกครั้ง เขาถามเราอีกครั้ง เราก็ตอบเขาด้วยคำตอบเดิม ครั้งนี้เขากลับเอาไม้ฟาดเรา และโยนเราออกไปหน้าเขตอาราม ทำให้เราต้องอยู่นอกอารามจนถึงเช้า..." "...แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่จึงถามอีก"แล้วเช่นนั้นความยินดีบริบูรณ์จะเป็นอย่างไรเล่า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ"
ท่านบิดาผู้ยากจนจึงตอบว่า "จีโอวันนี่เอ๋ย ความยินดีบริบูรณ์ของเรานั่นก็คือ การที่เรามีเสื้อผ้าเนื้อหยาบใส่เพียงชั้นเดียว อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวที่แม้แต่สัตว์ยังต้องหลบอยู่ในถ้ำ โดนปิดประตูใส่ โดนขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ร่างกายของเราเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เท้าของเราก็เป็นแผลและเลือดออกจนเดินไม่ไหว และก็จำต้องนอนอยู่ข้างนอกอารามท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ทนทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ นั่นแหละภารดาจีโอวันนี่! นั่นแหละคือความยินดีบริบูรณ์!..."
credit : บ่อเกิดฟรันซิสกันเล่มที่ 5
May the Peace be on Earth
ภารดาจีโอวันนี่ถามภารดาฟรันซิสบิดาผู้ยากจน เรื่องความยินดีบริบูรณ์
บิดาผู้ยากจนได้เดินทางมาไกลแสนไกลจนถึงอารามวัดนักบุญดามีอาโน และได้พบภารดาจีโอวันนี่ในรุ่งเช้า
"ท่านบิดา อะไรคือความยินดีบริบูรณ์เล่า " ภารดาจีโอวันนี่ถาม
ภารดาฟรันซิสตอบ "เราเดินมาจากหมู่บ้านที่แสนไกลมายังสถานที่แห่งนี้ในเวลากลางคืน ด้วยชุดนักบวชเพียงตัวเดียวที่ชุ่มน้ำฝน อากาศหนาวมากจนจมูกของเราแดง และน้ำแข็งก็เกาะเท้าของเราจนเืลือดออก..." "...แต่นั่นยังไม่ใช่ความยินดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่จึงถามอีกครั้ง "ถ้าเช่นนั้น ความยินดีบริบูรณ์คืออะไรเล่า"
ท่านบิดาตอบอีกครั้ง "หลังจากที่เราเดินมาถึงวัดนักบุญดามีอาโน เราเคาะประตูสามครั้งเรียกให้ภารดาคนอื่นมาเปิดให้ เมื่อเขาถามว่าเราคือใคร เราก็ตอบว่า 'เราคือภารดาฟรันซิส' แต่เขากลับปิดประตูใส่หน้าเรา และไม่เชื่อว่าเราคือภารดาฟรันซิส..." "...แต่นั่นยังไม่ใช่ความยินดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่ถามอีกครั้งหนึ่งด้วยคำถามเดิม
ท่านบิดาจึงตอบ "เรายืนอยู่หน้าประตูอารามอีกนับชั่วโมง ท่ามกลางอากาศหนาว และชุดนักบวชที่เปียกปอน เราจึงเคาะประตูอีกครั้ง เขาถามเราอีกครั้ง เราก็ตอบเขาด้วยคำตอบเดิม ครั้งนี้เขากลับเอาไม้ฟาดเรา และโยนเราออกไปหน้าเขตอาราม ทำให้เราต้องอยู่นอกอารามจนถึงเช้า..." "...แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่จึงถามอีก"แล้วเช่นนั้นความยินดีบริบูรณ์จะเป็นอย่างไรเล่า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ"
ท่านบิดาผู้ยากจนจึงตอบว่า "จีโอวันนี่เอ๋ย ความยินดีบริบูรณ์ของเรานั่นก็คือ การที่เรามีเสื้อผ้าเนื้อหยาบใส่เพียงชั้นเดียว อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวที่แม้แต่สัตว์ยังต้องหลบอยู่ในถ้ำ โดนปิดประตูใส่ โดนขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ร่างกายของเราเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เท้าของเราก็เป็นแผลและเลือดออกจนเดินไม่ไหว และก็จำต้องนอนอยู่ข้างนอกอารามท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ทนทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ นั่นแหละภารดาจีโอวันนี่! นั่นแหละคือความยินดีบริบูรณ์!..."
credit : บ่อเกิดฟรันซิสกันเล่มที่ 5
May the Peace be on Earth
แก้ไขล่าสุดโดย sasuke เมื่อ อังคาร ต.ค. 09, 2007 12:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณมาก ๆ ครับsasuke เขียน: ไหนไหนก็ขุดขึ้นมาแล้วแล้ว...
ภารดาจีโอวันนี่ถามภารดาฟรันซิสบิดาผู้ยากจน เรื่องความยินดีบริบูรณ์
บิดาผู้ยากจนได้เดินทางมาไกลแสนไกลจนถึงอารามวัดนักบุญดามีอาโน และได้พบภารดาจีโอวันนี่ในรุ่งเช้า
"ท่านบิดา อะไรคือความยินดีบริบูรณ์เล่า " ภารดาจีโอวันนี่ถาม
ภารดาฟรันซิสตอบ "เราเดินมาจากหมู่บ้านที่แสนไกลมายังสถานที่แห่งนี้ในเวลากลางคืน ด้วยชุดนักบวชเพียงตัวเดียวที่ชุ่มน้ำฝน อากาศหนาวมากจนจมูกของเราแดง และน้ำแข็งก็เกาะเท้าของเราจนเืลือดออก..." "...แต่นั่นยังไม่ใช่ความยินดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่จึงถามอีกครั้ง "ถ้าเช่นนั้น ความยินดีบริบูรณ์คืออะไรเล่า"
ท่านบิดาตอบอีกครั้ง "หลังจากที่เราเดินมาถึงวัดนักบุญดามีอาโน เราเคาะประตูสามครั้งเรียกให้ภารดาคนอื่นมาเปิดให้ เมื่อเขาถามว่าเราคือใคร เราก็ตอบว่า 'เราคือภารดาฟรันซิส' แต่เขากลับปิดประตูใส่หน้าเรา และไม่เชื่อว่าเราคือภารดาฟรันซิส..." "...แต่นั่นยังไม่ใช่ความยินดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่ถามอีกครั้งหนึ่งด้วยคำถามเดิม
ท่านบิดาจึงตอบ "เรายืนอยู่หน้าประตูอารามอีกนับชั่วโมง ท่ามกลางอากาศหนาว และชุดนักบวชที่เปียกปอน เราจึงเคาะประตูอีกครั้ง เขาถามเราอีกครั้ง เราก็ตอบเขาด้วยคำตอบเดิม ครั้งนี้เขากลับเอาไม้ฟาดเรา และโยนเราออกไปหน้าเขตอาราม ทำให้เราต้องอยู่นอกอารามจนถึงเช้า..." "...แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความดีบริบูรณ์"
ภารดาจีโอวันนี่จึงถามอีก"แล้วเช่นนั้นความยินดีบริบูรณ์จะเป็นอย่างไรเล่า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ"
ท่านบิดาผู้ยากจนจึงตอบว่า "จีโอวันนี่เอ๋ย ความยินดีบริบูรณ์ของเรานั่นก็คือ การที่เรามีเสื้อผ้าเนื้อหยาบใส่เพียงชั้นเดียว อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวที่แม้แต่สัตว์ยังต้องหลบอยู่ในถ้ำ โดนปิดประตูใส่ โดนขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ร่างกายของเราเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เท้าของเราก็เป็นแผลและเลือดออกจนเดินไม่ไหว และก็จำต้องนอนอยู่ข้างนอกอารามท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด ทนทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ นั่นแหละภารดาจีโอวันนี่! นั่นแหละคือความยินดีบริบูรณ์!..."
credit : บ่อเกิดฟรันซิสกันเล่มที่ 5
May the Peace be on Earth
ขอบคุณนะคะ แต่ว่าสงสัยยังโง่อยู่มาก ก็เลยยังมีข้อสงสัย และยังไม่ค่อยเข้าใจในบางอย่าง และยังสับสนอยู่ค่ะ
อย่าบอกว่าตัวเองโง่เลยค่ะ ไม่มีใครรู้ดีไปหมดทุกอย่างตั้งแต่ออกจากท้องแม่แน่นอนMminnano เขียน: ขอบคุณนะคะ แต่ว่าสงสัยยังโง่อยู่มาก ก็เลยยังมีข้อสงสัย และยังไม่ค่อยเข้าใจในบางอย่าง และยังสับสนอยู่ค่ะ
ถ้ามีข้อสงสัยอะไร ลองถามพี่น้องในบอร์ดก็ได้นี่คะ เชื่อว่าทุกคนเต็มใจตอบคำถามค่ะ