โดย: โปรดปราน ( พีพี )
“หลงทางเสียเวลา...หลงติดยาเสียอนาคต” เป็นคำขวัญที่ภาครัฐใช้เพื่อเตือนสติคนในชาติ ถึงโทษของยาเสพติด สำหรับการเดินทาง ฉัน มีประสบการณ์หลงทางในกรุงเทพมหานคร บ่อยๆ เพราะ บางครั้งสอบถามเส้นทางแล้ว แต่คนบอกให้ข้อมูลผิด หรือบางคนพอฉันถามเส้นทาง ก็บอกรีบบอกว่า “ฉัน/ผม ไม่ใช่คนแถวนี้” หรือบางที่ฉันก็สุ่มเดินทางไปเอง เป็นต้น การหลงทางนี่ เสียเวลามากทีเดียว��แต่ฉันมักปลอบใจตัวเองว่า “...เถอะน่า เสียแค่เวลา ไม่ได้เสียชีวิต” ภาพของการเดินทางสัญจร ทำให้ฉันคิดว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นนักเดินทางในโลกนี้ ในพระคัมภีร์เก่าหนังสือประกาศกเยเรมีย์ 6:16 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงยืนที่ถนนและมองให้ดี และถามหาทางโบราณนั้น ว่าทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้น และให้จิตใจของท่านได้ความสงบ แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า 'เราจะไม่เดินในนั้น'

๑.ต้องถามผู้รู้จริง
เมื่อปี 2004 ก่อนที่หลานสาวจะไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เธอได้ใช้เวลามากทีเดียวเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศอังกฤษ เช่น เธอสอบถามบุคคล หลายๆคนที่เคยศึกษา หรือใช้ชีวิตที่ประเทศอังกฤษ เธอสอบถามเรื่องอาหารการกิน เรื่องสภาพอากาศ เรื่องการสัญจร เรื่องค่าครองชีพ เรื่องกฏหรือข้อห้ามต่างๆ เธอสอบถามกระทั่ง ลักษณะนิสัยใจคอของผู้ดีชาวอังกฤษทีเดียว เหตุที่หลานสาวต้องหาข้อมูลมากมายเช่นนั้น เพราะเธอต้องการเตรียม อุปกรณ์เครื่องใช้ ที่จะนำติดตัวไป ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ และเมืองที่เธอจะไปพำนัก หรือกระทั่งเตรียมใจให้พร้อม จะไม่ต้องเกิดภาวะ “ช้อค วัฒนธรรม” ที่คนจากวัฒนธรรมหนึ่งไปพำนักอาศัยกับคนอีกวัฒนธรรมหนึ่งมักเผชิญ

ถ้าจะสอบถามเส้นทางเราต้องถามจากนักเดินทาง เพราะพวกเขาคือ ผู้รู้จริง ทางโบราณคือทางที่บรรพบุรุษเคยเดินผ่านมาแล้ว ถามแต่ทางที่ดีเท่านั้น เป็นทางที่บรรพบุรุษเคยเดินมาในอดีต เช่นคนอิสราเอลต้องเดินตามทางที่อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ หรือโมเสส เคยเดินเพื่อติดตามพระเจ้าให้พระองค์ทรงนำชีวิต พวกเรามักพูดกันเสมอว่าอดีตส่งผลมาปัจจุบัน และปัจจุบันก็ส่งผลไปยังอนาคต ผู้อาวุโสมักเตือนสติ เด็กๆว่า เราต้องเรียนรู้จากอดีตเพื่อจะทำวันนี้ให้ถูกต้อง หรือนักประวัติศาสตร์บอกว่าต้องให้ประวัติศาสตร์สอนคนปัจจุบันว่าอย่าทำผิดซ้ำรอยประวัติศาสตร์ เป็นต้น ในพระคัมภีร์เก่า หนังสือโยบ บทที่ 8:8 "ข้าขอร้อง ให้ท่านถามคนโบราณดู และคิดดูว่า บรรพบุรุษค้นพบสิ่งใดบ้าง” หรือ หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 32:7 “จงระลึกถึงโบราณกาล จงตรองถึงจำนวนปีที่ท่านมาหลายชั่วอายุคนแล้วนั้น จงถามบิดาของท่านแล้วเขาจะสำแดงให้ท่านทราบ แล้วเขาจะบอกท่าน”
ดังนั้น การถามเส้นทางต้องสอบถาม ให้ถูกคน การเลือก เส้นทางของการเป็นผู้เชื่อและติดพระเยซูคริสต์ เราเรียนรู้ จากชีวิตบรรพชน ในอดีตเพราะพระเจ้าตรัสผ่าน บรรพบุรุษแห่งความเชื่อ ผ่านบรรดาประกาศก พระเจ้าทรงแต่งตั้งคนเหล่านั้นให้เป็นผู้ที่แนะนำประชากรของพระองค์ในการดำเนินชีวิต และการติดตามพระเจ้าว่าแต่ละวันพวกเขาควรทำอย่างไร

��มื่อเราเริ่มต้นชีวิตโดยตัดสินใจอนุญาตให้พระเจ้าเป็นจริงในชีวิต โดยความเชื่อในพระเยซู พระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ทางหนึ่งในหลายๆ ทาง ตัวอย่าง คนที่อยู่เชียงใหม่เดินทางลงไป กรุงเทพมหานคร สามารถเดินทางโดยทางเท้า ทางจักรยาน ทางจักรยานยนต์ ทางรถยนต์ ทางรถไฟ รถทัวร์ ทางเครื่องบิน หรือแม้แต่ทางเรือ ทุกๆทางที่กล่าวมาแล้วจะถึงกรุงเทพฯ แน่นอน ความแตกต่างคือเรื่อง เวลา
พี่น้องที่รักเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณจิตเราจะเลือกเดินทาง แบบการสัญจรจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยพาหนะใดๆไม่ได้ เราจะเลือกผ่านความเชื่อหนึ่งชื่อใด หรือ พระใดพระหนึ่ง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ไม่ได้ เพราะพระวรสารนักบุญยอห์นบทที่ 14:6 พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” บรรพชนแห่งความเชื่อ เช่นบรรดาประกาศก ที่พระเจ้าทรงใช้พวกเขาเป็นผู้บอกทางหรือวิธีกลับไปหาพระองค์ เมื่อ พระเจ้าทรงใช้ ท่านโยนาห์ไปบอกชาวนีนะเวห์ว่า “อีกสี่สิบวันนีนะเวห์จะถูกคว่ำ” พระคัมภีร์บันทึกว่าประชาชนนครนีนะเวห์ได้เชื่อฟังพระเจ้าแสดงออกโดยการประกาศอดอาหารตั้งแต่ผู้เล็กน้อยที่สุดจนถึงพระราชา ได้กลับใจหันจากความชั่วทั้งหมดแล้วพระเจ้าทรงคลายพระพิโรธ และไม่ทรงลงโทษพวกเขาตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ ( ดูโยนาห์บทที่ ๓ ) เป็นต้น

��้าพระเจ้าไม่เป็นจริงในชีวิตของเรา เราจะไม่มีความสุข รู้สึก ว่างเปล่า หลุมหัวใจของมนุษย์ถมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม เรายังขาดอยู่เสมอ ยังเรียกร้องอยู่เสมอ แท้จริงแล้วเส้นทางนี้พระเจ้าทรงสำแดงโดยพระบุตรคือพระเยซูเจ้า เป็นผู้ทรงเติมให้เต็ม ซึ่งให้มากกว่าให้รู้สึกเปี่ยมล้น และสามารถแบ่งปันชีวิตพระเยซูเจ้าที่สวมทับชีวิตเราให้กับคนอื่นได้