๒.ต้องถูกลิดเพื่อชีวิตเกิดผล
“แขนงทุกแขนงในเรา ที่ไม่ออกผลพระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น” (ข้อ ๒ )
��นค่ำคืนนั้นเมื่อเหล่าสาวก ได้เห็นแขนงในมือพระเยซูคริสต์พวกเขารู้ทันทีว่า “ลิด”หมายถึงอะไร “สวนองุ่น”เป็นสัญลักษณ์แห่งการเลี้ยงดูอันอิ่มเอมของพระเจ้าต่อชนอิสราเอล ซึ่งพวกสาวกรู้จักองุ่นดี พอๆ กับชาวอังกฤษรู้จักชา และคนไทยรู้จักมะม่วง พวกเขาเข้าใจว่าถ้าอยากจะได้ผลจากต้นองุ่นมาก ก็ต้องสวนกระแสกับแนวโน้มของธรรมชาติของต้นองุ่น ฉันได้อ่านจากหนังสือว่า “
องุ่นมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องตัดกิ่งก้านทิ้งทุกๆปี บางทีเถาองุ่นจะเจริญ หนาทึบไปหมด แล้วแสงแดดเข้าไม่ถึงบริเวณที่ต้องออกผล” นี่คือสาเหตุที่ผู้ดูแลสวนองุ่นจำเป็นต้องตัดกิ่งก้านสาขาที่ไม่จำเป็นทิ้งไป เพราะเป้าหมายการปลูกองุ่นคือ ผลองุ่น ดังนั้นการลิด จึงเป็นกรรมวิธีสำคัญที่สุดเพื่อจะให้เจ้าของสวนได้เก็บเกี่ยวผลอย่างอิ่มเอม หลักการลิดแขนงในสวนองุ่น ผู้ลิดจะขจัดส่วนที่ตายหรือกำลังจะตายทิ้งไปเพื่อให้แสงแดดแผดเผาถึงกิ่งก้านขององุ่น เพิ่มทั้งขนาดและคุณภาพ เช่นเดียวกันในชีวิตของคริสตชนพระเจ้าต้องตัดบางส่วนของเราทิ้ง เพราะมันไปสูบเวลาและพลังงานอันมีค่าไปจากสิ่งสำคัญแท้จริง
การตีสอนเกี่ยวข้องกับความบาป การลิดเกี่ยวข้องกับตัวตน ในการลิด พระเจ้าทรงขอให้คริสตชนปล่อยสิ่งที่ฉุดรั้งเขาจากเป้าหมายแห่งแผ่นดินของพระองค์ การลิดคือการที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงรูปภาพ ชีวิตของเรา��ารลิดคือการตัด การตัดนั้นเจ็บ ผู้ปลูกองุ่นจะลิดแขนงในสวนของเขาให้หนักยิ่งขึ้นอีก เมื่อเถาองุ่นมีอายุมากขึ้น ด้านเกษตรรายงานว่า
“เถาองุ่นสามารถผลิตผลองุ่นเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ถ้าไม่มีการลิดอย่างหนัก ต้นก็จะอ่อนแอ และไม่เกิดผลอีกต่อไป แขนงที่แก่จะต้องถูกลิดอย่างแรงเพื่อจะเกิดผลเต็มที่”
การลิดในระยะที่โตแล้วเกี่ยวข้องกับคุณค่าในชีวิตและความเป็นตัวตนของเรา พระเจ้าทรงเข้ามาใกล้ เพื่อการลิดที่หนักยิ่งขึ้น ในลิดในระยะที่โตแล้ว เป็นการทดสอบความเชื่อ การลิดในระยะนี้ เป็นการใช้กรรไกรของพระเจ้าเฉือนเข้าไปใกล้แกนในตัวเราทีเดียวล่ะ
เมื่อก่อนฉันค่อนข้างจะสุขภาพดีมาก ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเนื้อแท้เรื่องความเจ็บป่วยที่หลายคนต้องเผชิญ และไม่มีภาระใจอธิษฐานภาวนาให้คนเจ็บป่วย แต่ตลอดกว่าสิบปีนี้ ฉันเผชิญกับความเจ็บป่วยที่หนักมาก ที่เรียกว่าปางตาย สามครั้ง ซึ่งไม่ได้รับการรักษาในกระบวนการด้านการแพทย์เลย ทั้งๆที่เรียกว่าถึงหมอ ถึงยา และเชื่อว่าถึงคำภาวนาด้วย ฉันต้องต่อสู้กับความเจ็บป่วย จนอ่อนระอา ท้อแท้ และกระทั่งสงสัยพระเจ้า ว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นในชีวิตฉัน เมื่อถึงเวลา ฉันได้รับการได้การทรงสำแดงการอัศจรรย์ โดยการรักษาโรค อย่างปลิดทิ้ง โดยพระวาจาและผ่านการอธิษฐานรักษาโรคด้วยตัวเอง ฉันจึงตระหนักว่า ที่จริงแล้ว
“การทดสอบความเชื่อ จะไม่ทดสอบอะไรเลยเว้นแต่ว่ามันจะผลักดันให้เราผ่านการทดสอบครั้งที่แล้ว” จากการลิดในครั้งก่อนๆ ได้เกิดผลในชีวิต คือ ฉัน เข้าใจคนที่เจ็บป่วย คนที่ทุกข์ใจ คนที่หมดหวัง เกิดจากโรคภัย ทำให้ฉันเข้าใจและเห็นใจพวกเขา ส่งผลให้ฉันรักที่จะอธิษฐานภาวนาเพื่อคนเจ็บป่วย จนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ฉันยังถูกลิดอีกต่อไป คือ ตั้งแต่สามปีที่แล้วฉันกำลังถูกลิดอย่างแรง ด้วยโรคที่ฉันหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ซึ่งฉันได้อธิษฐานขอพระเจ้าล่วงหน้ามาหลายปี เกี่ยวกับร้ายโรคนี้ เมื่อฉันรับทราบว่า เริ่มมีอาการของโรคนี้ ฉันรู้สึกหัวใจสลาย น้อยใจพระบิดาเจ้าที่สุด เหมือนกับถูกกลั่นแกล้ง จนคิดว่าพระบิดาเจ้าคงสนุกที่เห็นฉันทุกข์ใจ ในช่วงเวลาที่ทุกข์ท้อใจ ฉันชอบอ่าน จดหมายของนักบุญเปาโล ซึ่งเป็นคำตอบสำหรับการลิดในชีวิตของฉัน เพราะท่านเปาโลถูกลิดเสียจนไม่เหลือตัวตนของเขา เพราะทุกอย่างที่ทำให้เป็นตัวตนของเปาโลคือ การงาน ตำแหน่งหน้าที่ ความภูมิใจ และศาสนาได้ถูกลิดจนหมดสิ้น ในจดหมายจากคุก ท่านเปาโลเขียนว่า
“แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์” ( ฟป.๓.๗-๘ )
ถึงตอนนี้แล้ว เปาโลไม่ต้องมานั่งคิด ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุด เพราะมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านทำคือ
“ คือลืมสิ่งที่ผ่านมา และโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัย เพื่อคว้ารางวัลซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ผ่านพระเยซูคริสต์ให้ไปรับ” ( ข้อ ๑๓-๑๔ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) อัครทูตเปาโลยืนยันว่า
“พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วควรมีทัศนะเช่นนี้” (ข้อ ๑๕ ฉบับอมตธรรมฯ )
ดังนั้น ชีวิตคริสตชนต้องอยู่อย่างเกิดผล และ ผลนั้นต้องประจักษ์เป็นผลของพระจิต ในกาลาเทีย ๕.๒๒-๒๓ “ผลของพระจิตคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน…..” อาเมน.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตีพิมพ์ ในอิสระรายปักษ์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 5 ปักษ์หลัง- กันยายน 2005 ( หรือ เล่ม ที่ 53 )
หน้า 7-9