<<: เล็กจริง ....พิษร้ายเหลือ:>>
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 30, 2005 8:42 pm
เล็กจริง..พิษร้ายเหลือ
โดยโปรดปราน ( พีพี )
“ข้าแด่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอรักษาประตูริมฝีปากของ
ข้าพระองค์ ขออย่าให้จิตใจข้าพระองค์เอนเอียงไปหาความชั่วใดๆ
หรือให้ข้าพระองค์สาละวนอยู่กับการชั่วร้าย” (สดุดี ๑๔๑.๓-๔)
เมื่อ อ่านหนังสือสดุดีในพระคัมภีร์เก่า ฉันมักจะฉงนกับ คำภาวนาของกษัตริย์ดาวิดเสมอ เพราะเป็นคำภาวนาแปลกๆ ยากที่จะเข้าใจ และเหมือนจะเกินจริง แต่เห็นถึงความตั้งใจของดาวิดที่ไม่อยากอยู่ในวังวนของความบาป ท่านจึงภาวนาทูลขอต่อพระเจ้าตรงๆ และหนังสือสุภาษิต ก็เตือนสติเรื่องการ พูดไว้มากมายเช่นกัน ... เรื่องของคำพูดใน พระคัมภีร์ใหม่ หนังสือ ยากอบ เห็นภาพของนักบุญยากอบเน้นเรื่องความเชื่อที่นำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม..ทันทีที่อ่าน ตั้งแต่บทแรก ถึงบทที่ สาม ฉันคิดถึงคำภาวนาของดาวิดในสดุดี และคำสอนเตือนสติในสุภาษิต ว่าแท้จริงแล้ว เรื่องของปาก หรือลิ้นนี้สำคัญมาก เช่นยากอบ ๑.๑๙ กล่าวว่า “จงให้ทุกคนไว ในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” ข้อ ๒๖ “ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนมีธัมมะและมิได้สงบปากคำ แต่หลอก ลวงตัวเองธัมมะของผู้นั้นก็ไม่เกิดประโยชน์”
ยากอบบทที่ ๓.๑-๑๒ กล่าวถึงเรื่องของลิ้น อวัยวะเล็กๆ ที่อยู่ภายในปาก ซึ่งสำคัญยิ่ง ต่อมนุษย์ทุกคน เพราะว่า
๑.เล็กจริง พิษร้ายเหลือ
ข้อ ๒ “ เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆอย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นเป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย” ข้อ ๕ “ ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆ และอวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ” ยากอบชี้ให้เห็นว่า ลิ้นอวัยวะเล็กๆนี้แหละถ้าใครก็ตามสามารถควบคุมไม่ให้มันทำผิดพลาดได้ คนนั้นจะบังคับตัวเองได้ทั้งหมด ข้อ ๕ ยากอบบอกว่า ลิ้น เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่ชอบอวดอ้างสิ่งใหญ่ โดยเฉพาะคนที่ชอบโม้ โอ้อวด ชอบให้สัญญา ภาพนี้ฉันมักจะคิดถึง นักการเมืองตอนหาเสียง ผู้สมัครแทบทุกคนและทุกๆพรรคการเมืองจะใช้ปากเป็นอาวุธ ทั้งเชือดเชือน ใส่ร้ายป้ายสี กันเอง ทั้งให้สัญญากับประชาชนมากมาย จนฉันงงว่าใครพูดความจริงกันแน่!!!
ข้อ ๖ “และลิ้นนั้นเป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทิน ไปทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก” ยากอบชี้ให้เห็นความร้ายกาจของลิ้น ซึ่งเปรียบกับไฟและมันเผาผลาญทำลายทุกๆสิ่งที่มันเข้าใกล้ งูพิษมันใช้เขี้ยวกัดเพื่อฝังพิษ แต่ลิ้นมนุษย์ร้ายดุจยาพิษ เช่นแช่งด่า ผู้อื่น คือทำให้คนอื่นเสียใจแล้วรู้สึกสะใจ หรือลิ้นของบางคนทำให้คนฆ่าตัวตายมามากต่อมาก เช่น พ่อ แม่ ที่ด่าลูก ดูถูกลูกๆ แช่งด่าลูกจนทำให้ลูกๆฆ่าตัวตาย ทำนองเดียวกันวาจาของลูกๆทำให้พ่อ แม่ช้ำใจ จนบางคนถึงกับน้อยใจฆ่าตัวตาย นอกจากนั้น ก็เป็นคำด่า หรือตำหนิของครู/อาจารย์ที่ทำให้ศิษย์เสียใจ และบ่อยครั้งคำพูดของคู่รัก หรือสามี ภรรยาที่ด่า ตำหนิกัน จนทำให้อีกฝ่ายน้อยใจจนต้องปลิดชีวิตลาโลกไปมากต่อมากแล้ว
คริสตชนต้องตระหนักว่า การใช้วาจาหรือลิ้นไม่ถูกต้องพระเจ้าทรงเกลียดชังมาก กษัตริย์ ซาโลมอนได้กล่าวไว้ในหนังสือสุภาษิต บทที่ ๖ ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด หรือน่าเกลียดน่าชัง เกี่ยวกับ “ลิ้น” ก็ คือ (๑ ) ลิ้นมุสา ซึ่งทำลายทั้งตัวเอง และคนอื่น ในหนังสือวิวรณ์ กล่าวถึงคนที่ต้องอยู่ในบึงไฟ มีคนมุสา รวมอยู่ด้วย ( วิวรณ์ ๒๑.๘ ) ( ๒ ) พยานเท็จ ซึ่งเป็นการทำลายผู้อื่น ด้วยวาจาที่มุสาสร้างหลักฐานเท็จ ( ๓ ) ผู้หว่านความแตกร้าว เป็นการทำลายความสงบของคนหมู่มาก หรือพูดได้ว่าทำลายสังคม
ในหนังสือสุภาษิต อีกหลายบท กล่าวถึงการใช้ลิ้นพูดไม่ดี พูดมุสา ลักษณะของคำพูดไม่ดี เช่นคนโง่พูดเขาจะนำเสนอความจริงแบบผิดๆ ด้วยการกล่าวเกินจริง หรือคำไม่ดีอาจจะมีความจริงในแง่ข้อเท็จจริง แต่พูดในเวลาที่ไม่เหมาะสม หรือด้วยความตั้งใจที่ประสงค์ร้าย นอกจากนี้ก็คือคนที่ใช้ลิ้นในการเยาะเย้ย หรือดูหมิ่น เพราะลิ้นที่ชอบเยาะเย้ย ก็จะใช้คำพูดทำร้ายคนอื่น ในสุภาษิตก็เตือนว่า “คำพูดที่ไม่ดี”จะทำลายความสัมพันธ์เพราะก่อให้เกิดความแตกแยก ลิ้นมุสา นำเสนอความจริงแบบผิดๆและหลอกหลวง ในสุภาษิต ๑๔ กล่าวถึงความรุนแรงของคำมุสาในศาล เช่น “พยานที่ซื่อสัตย์ไม่มุสา แต่พยานเท็จหายใจเป็นคำมุสาออกมา” (สภษ.๑๔.๕ ) และ “พยานซื่อตรงช่วยชีวิตให้รอด แต่ผู้ที่เปล่งคำมุสาขายคน” (ข้อ ๒๕ )
มีเรื่องเล่าถึงสตรีนางหนึ่ง ที่เธอชอบนินทาใส่ร้ายป้ายสี มีความสามารถปั้นเรื่องต่างๆเพื่อนินทา ผู้อื่น แล้วตัวเองได้ความสะใจที่เห็นคนอื่นเจ็บปวด ท้อแท้ สิ้นหวัง...วันหนึ่งนางได้ขอคำปรึกษากับบาทหลวงเพราะอยากเลิกนิสัยนี้ พระสงฆ์ท่านนี้ได้บอกให้นางนำหมอนใบหนึ่งมา และให้ไปที่ยอดเขา พร้อมกับฉีกหมอนออก ปล่อยให้นุ่นนั้นลอยไป หลังจากนั้นขอให้เธอ เก็บนุ่นที่ลอยไปกลับไปยัดที่หมอนดังเดิม....สักพักใหญ่นางกลับมาหาคุณพ่อ พร้อมกับหมอนที่ว่างเปล่า สตรีนางนี้เล่าให้คุณพ่อฟังว่า เมื่อเธอปล่อยนุ่นลอยออกไปนั้น นุ่นกระจายไปทั่วทุกทิศ เธอจึงไม่สามารถเก็บมันมายัดกลับในหมอนได้อีก ...บาทหลวงจึงบอกเธอว่า นั่นแหละคือคำตอบ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพูดจาว่าร้าย นินทาคนอื่น ข่าวนั้นก็จะแพร่กระจายออกไปจนยากที่จะนำคำพูดกลับคืน ดังนั้นผลร้ายของการนินทา จึงทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย และยากยิ่งที่ผู้นินทาจะแก้ข่าวได้
โดยโปรดปราน ( พีพี )
“ข้าแด่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอรักษาประตูริมฝีปากของ
ข้าพระองค์ ขออย่าให้จิตใจข้าพระองค์เอนเอียงไปหาความชั่วใดๆ
หรือให้ข้าพระองค์สาละวนอยู่กับการชั่วร้าย” (สดุดี ๑๔๑.๓-๔)
เมื่อ อ่านหนังสือสดุดีในพระคัมภีร์เก่า ฉันมักจะฉงนกับ คำภาวนาของกษัตริย์ดาวิดเสมอ เพราะเป็นคำภาวนาแปลกๆ ยากที่จะเข้าใจ และเหมือนจะเกินจริง แต่เห็นถึงความตั้งใจของดาวิดที่ไม่อยากอยู่ในวังวนของความบาป ท่านจึงภาวนาทูลขอต่อพระเจ้าตรงๆ และหนังสือสุภาษิต ก็เตือนสติเรื่องการ พูดไว้มากมายเช่นกัน ... เรื่องของคำพูดใน พระคัมภีร์ใหม่ หนังสือ ยากอบ เห็นภาพของนักบุญยากอบเน้นเรื่องความเชื่อที่นำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม..ทันทีที่อ่าน ตั้งแต่บทแรก ถึงบทที่ สาม ฉันคิดถึงคำภาวนาของดาวิดในสดุดี และคำสอนเตือนสติในสุภาษิต ว่าแท้จริงแล้ว เรื่องของปาก หรือลิ้นนี้สำคัญมาก เช่นยากอบ ๑.๑๙ กล่าวว่า “จงให้ทุกคนไว ในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” ข้อ ๒๖ “ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนมีธัมมะและมิได้สงบปากคำ แต่หลอก ลวงตัวเองธัมมะของผู้นั้นก็ไม่เกิดประโยชน์”
ยากอบบทที่ ๓.๑-๑๒ กล่าวถึงเรื่องของลิ้น อวัยวะเล็กๆ ที่อยู่ภายในปาก ซึ่งสำคัญยิ่ง ต่อมนุษย์ทุกคน เพราะว่า
๑.เล็กจริง พิษร้ายเหลือ
ข้อ ๒ “ เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดไปหลายๆอย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นเป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย” ข้อ ๕ “ ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆ และอวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ” ยากอบชี้ให้เห็นว่า ลิ้นอวัยวะเล็กๆนี้แหละถ้าใครก็ตามสามารถควบคุมไม่ให้มันทำผิดพลาดได้ คนนั้นจะบังคับตัวเองได้ทั้งหมด ข้อ ๕ ยากอบบอกว่า ลิ้น เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่ชอบอวดอ้างสิ่งใหญ่ โดยเฉพาะคนที่ชอบโม้ โอ้อวด ชอบให้สัญญา ภาพนี้ฉันมักจะคิดถึง นักการเมืองตอนหาเสียง ผู้สมัครแทบทุกคนและทุกๆพรรคการเมืองจะใช้ปากเป็นอาวุธ ทั้งเชือดเชือน ใส่ร้ายป้ายสี กันเอง ทั้งให้สัญญากับประชาชนมากมาย จนฉันงงว่าใครพูดความจริงกันแน่!!!
ข้อ ๖ “และลิ้นนั้นเป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทิน ไปทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก” ยากอบชี้ให้เห็นความร้ายกาจของลิ้น ซึ่งเปรียบกับไฟและมันเผาผลาญทำลายทุกๆสิ่งที่มันเข้าใกล้ งูพิษมันใช้เขี้ยวกัดเพื่อฝังพิษ แต่ลิ้นมนุษย์ร้ายดุจยาพิษ เช่นแช่งด่า ผู้อื่น คือทำให้คนอื่นเสียใจแล้วรู้สึกสะใจ หรือลิ้นของบางคนทำให้คนฆ่าตัวตายมามากต่อมาก เช่น พ่อ แม่ ที่ด่าลูก ดูถูกลูกๆ แช่งด่าลูกจนทำให้ลูกๆฆ่าตัวตาย ทำนองเดียวกันวาจาของลูกๆทำให้พ่อ แม่ช้ำใจ จนบางคนถึงกับน้อยใจฆ่าตัวตาย นอกจากนั้น ก็เป็นคำด่า หรือตำหนิของครู/อาจารย์ที่ทำให้ศิษย์เสียใจ และบ่อยครั้งคำพูดของคู่รัก หรือสามี ภรรยาที่ด่า ตำหนิกัน จนทำให้อีกฝ่ายน้อยใจจนต้องปลิดชีวิตลาโลกไปมากต่อมากแล้ว
คริสตชนต้องตระหนักว่า การใช้วาจาหรือลิ้นไม่ถูกต้องพระเจ้าทรงเกลียดชังมาก กษัตริย์ ซาโลมอนได้กล่าวไว้ในหนังสือสุภาษิต บทที่ ๖ ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด หรือน่าเกลียดน่าชัง เกี่ยวกับ “ลิ้น” ก็ คือ (๑ ) ลิ้นมุสา ซึ่งทำลายทั้งตัวเอง และคนอื่น ในหนังสือวิวรณ์ กล่าวถึงคนที่ต้องอยู่ในบึงไฟ มีคนมุสา รวมอยู่ด้วย ( วิวรณ์ ๒๑.๘ ) ( ๒ ) พยานเท็จ ซึ่งเป็นการทำลายผู้อื่น ด้วยวาจาที่มุสาสร้างหลักฐานเท็จ ( ๓ ) ผู้หว่านความแตกร้าว เป็นการทำลายความสงบของคนหมู่มาก หรือพูดได้ว่าทำลายสังคม
ในหนังสือสุภาษิต อีกหลายบท กล่าวถึงการใช้ลิ้นพูดไม่ดี พูดมุสา ลักษณะของคำพูดไม่ดี เช่นคนโง่พูดเขาจะนำเสนอความจริงแบบผิดๆ ด้วยการกล่าวเกินจริง หรือคำไม่ดีอาจจะมีความจริงในแง่ข้อเท็จจริง แต่พูดในเวลาที่ไม่เหมาะสม หรือด้วยความตั้งใจที่ประสงค์ร้าย นอกจากนี้ก็คือคนที่ใช้ลิ้นในการเยาะเย้ย หรือดูหมิ่น เพราะลิ้นที่ชอบเยาะเย้ย ก็จะใช้คำพูดทำร้ายคนอื่น ในสุภาษิตก็เตือนว่า “คำพูดที่ไม่ดี”จะทำลายความสัมพันธ์เพราะก่อให้เกิดความแตกแยก ลิ้นมุสา นำเสนอความจริงแบบผิดๆและหลอกหลวง ในสุภาษิต ๑๔ กล่าวถึงความรุนแรงของคำมุสาในศาล เช่น “พยานที่ซื่อสัตย์ไม่มุสา แต่พยานเท็จหายใจเป็นคำมุสาออกมา” (สภษ.๑๔.๕ ) และ “พยานซื่อตรงช่วยชีวิตให้รอด แต่ผู้ที่เปล่งคำมุสาขายคน” (ข้อ ๒๕ )
มีเรื่องเล่าถึงสตรีนางหนึ่ง ที่เธอชอบนินทาใส่ร้ายป้ายสี มีความสามารถปั้นเรื่องต่างๆเพื่อนินทา ผู้อื่น แล้วตัวเองได้ความสะใจที่เห็นคนอื่นเจ็บปวด ท้อแท้ สิ้นหวัง...วันหนึ่งนางได้ขอคำปรึกษากับบาทหลวงเพราะอยากเลิกนิสัยนี้ พระสงฆ์ท่านนี้ได้บอกให้นางนำหมอนใบหนึ่งมา และให้ไปที่ยอดเขา พร้อมกับฉีกหมอนออก ปล่อยให้นุ่นนั้นลอยไป หลังจากนั้นขอให้เธอ เก็บนุ่นที่ลอยไปกลับไปยัดที่หมอนดังเดิม....สักพักใหญ่นางกลับมาหาคุณพ่อ พร้อมกับหมอนที่ว่างเปล่า สตรีนางนี้เล่าให้คุณพ่อฟังว่า เมื่อเธอปล่อยนุ่นลอยออกไปนั้น นุ่นกระจายไปทั่วทุกทิศ เธอจึงไม่สามารถเก็บมันมายัดกลับในหมอนได้อีก ...บาทหลวงจึงบอกเธอว่า นั่นแหละคือคำตอบ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพูดจาว่าร้าย นินทาคนอื่น ข่าวนั้นก็จะแพร่กระจายออกไปจนยากที่จะนำคำพูดกลับคืน ดังนั้นผลร้ายของการนินทา จึงทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย และยากยิ่งที่ผู้นินทาจะแก้ข่าวได้