พระคัมภีร์สารบบที่สอง ปัญหา "อธิกธรรม
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 2:50 am
อันที่จริงคริสตชน (ทั้งโปรเตสแตนต์และคาทอลิก) ต่างยอมรับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่สืบทอดมาจากชาวยิวเหมือนกันเพียงแต่หลังการถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนชาวยิวต่างกระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆที่ยังเหลือรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่มี 2 แห่งคือที่แผ่นดินปาเลสไตน์ซึ่งยังคงใช้ภาษาฮีบรูเป็นหลักและที่เมืองอเล็กซานเดรียในประเทศอียิปต์ซึ่งใช้ภาษากรีกเป็นหลัก
ต้องยอมรับว่าชาวยิวที่ใช้ภาษากรีกนั้นมีใจเปิดกว้าง กว่าชาวยิวที่ใช้ภาษาฮีบรูซึ่งค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเมื่อพวกเขาแปลพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมจากภาษาฮีบรูมาเป็นฉบับภาษากรีกที่เรียกกันว่า"สารบบเจ็ดสิบหรือ Septuagint" จึงได้รวมหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวยิวที่ใช้ภาษากรีกเข้าไปด้วย
ส่วนที่เพิ่มเติมจากภาษาฮีบรูได้แก่
ท โทบิต และ ยูดิธ ต้นฉบับเป็นภาษาอาราเมอิก หรืออาจเป็นฮีบรู
ท บารุค และ มัคคาบี 1 ต้นฉบับเป็นภาษาฮีบรู
ท ปรีชาญาณ และ มัคคาบี 2 ต้นฉบับเป็นภาษากรีก
ท บุตรสิรา
ท บางส่วนของ เอสเธอร์ ต้นฉบับอาจเป็นภาษาฮีบรู
ท บางส่วนของ ดาเนียล ต้นฉบับเป็นภาษากรีก
จุดแตกหักด้านพระคัมภีร์ระหว่างคริสตชนเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1519 ที่เมือง Leipzig เมื่อ Eck อ้างข้อความจากหนังสือมัคคาบีฉบับที่2 เพื่อสนับสนุนคำสอนเรื่องไฟชำระแต่ MartinLuther คัดค้านโดยอ้างว่าหนังสือดังกล่าวไม่อยู่ในสารบบผลสรุปคือลูเธอร์เดินตามสารบบของชาวยิวในปาเลสäตน์ที่ใช้ภาษาฮีบรู ส่วนคาทอลิกเดินตามสารบบของชาวยิวในอเล็กซานเดรียที่ใช้ภาษากรีก
ต่อมาในปีค.ศ.1546(27ปีหลังเหตุการณ์ที่เมืองLeipzig)สังคายนาที่นครเตรนท์ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ(ไม่ผิดพลาด)รับรองหนังสือทุกเล่มที่คาทอลิกใช้อยู่ในปัจจุบัน(ทั้งสารบบที่หนึ่งและสารบบที่สอง)ว่า "เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์และได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้า"
..
ความหมายของคำ Apocrypha และคำ Deutero-canonical
Deutero-canonical แปลตามตัวคือ "สารบบที่สอง" ดังนั้น เมื่อมีสารบบที่สอง แสดงว่าต้องมี "สารบบที่หนึ่ง (Protocanonical) " ด้วยซึ่งทั้งสองคำนี้ใช้ในคาทอลิกเท่านั้น
ข้อควรระวังคือต้องไม่เข้าใจในทำนองที่ว่าพระศาสนจักรคาทอลิกมีสารบบพระคัมภีร์อยู่2ระบบโดยสารบบที่สองเพิ่มเข้ามาภายหลังเพราะถ้าเข้าใจแบบนี้จะทำให้หนังสือในสารบบที่สองดูเหมือนจะด้อยค่าลงไปเมื่อเทียบกับหนังสือในสารบบที่หนึ่่งดังนั้นความหมายที่ถูกต้องคือ
* พระคัมภีร์สารบบที่หนึ่งไงได้แก่หนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่คริสตชนทุกนิกายยอมรับเหมือนกัน
* พระคัมภีร์สารบบที่สองได้แก่หนังสือ 7เล่มและบางส่วนของหนังสือเอสเธอร์และดาเนียลที่เพิ่มเข้ามาจากสารบบที่หนึ่ง ซึ่งได้รับการยอมรับโดยพระศาสนจักรคาทอลิกและมีศักดิ์ศรีเทียบเท่าหนังสือในสารบบที่หนึ่งทุกประการ
ส่วนคำ Apocrypha ที่เราแปลว่า"อธิกธรรม" ได้แก่หนังสือที่เขียนขึ้นระหว่าง 200 ปีก่อนคริสตกาลเรื่อยมาจนถึงพระศาสนจักรในยุคเริ่มแรกมีทั้งที่ถือกำเนิดมาจากชาวยิวล้วนๆ หรือลูกผสมโดยเริ่มจากชาวยิวแล้วจบลงโดยคริสตชนหรือที่เป็นของคริสตชนล้วนๆก็มีหนังสือเหล่านี้เขียนขึ้นโดยมีเจตนาให้เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือดูเหมือนศักดิ์สิทธิ์หรือดูเหมือนได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้าแต่ไม่ได้รับการรับรองให้อยู่ในสารบบ
ท ข้อที่แตกต่างระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์จึงอยู่ตรงนี้ คือสำหรับคาทอลิก"อธิกธรรม"หมายถึง หนังสือที่ไม่อยู่ทั้งในพระคัมภีร์สารบบที่หนึ่ง และในสารบบที่สอง
ท สำหรับโปรเตสแตนต์ "อธิกธรรม"หมายถึงหนังสือที่ไม่อยู่ในพระคัมภีร์สารบบที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า พวกเขาถือหนังสือในสารบบที่สองของคาทอลิกเป็น "อธิกธรรม"ไปด้วย
..
พระศาสนจักรคาทอลิกมีท่าทีอย่างไรต่อหนังสือ Apocrypha ?
ในที่ประชุมสมัชชาพระสังฆราชที่เมืองบาร์กา ประเทศสเปญ (Synod of Braga) ปี ค.ศ. 563 ได้ประณามทุกคนที่ "อ่าน เห็นชอบ หรือปกป้อง"หนังสือ Apocrypha หมายความว่าใครก็ตามที่อ่านหนังสืออธิกธรรมถือว่าถูกตัดขาดจากสมาชิกภาพของพระศาสนจักร (บัพพาชนียกรรม:Ex-communication)ซึ่งมองแล้วอาจจะดูรุนแรงนั่นเป็นเพราะในหนังสืออธิกธรรมโดยเฉพาะที่เขียนโดยคริสตชน มีความเชื่อผิดๆแฝงอยู่มากส่วนใหญ่เป็นของพวก Gnosticism ได้แก่พวกที่ปรารถนาดียกย่องความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเจ้าสุดโต่งจนกลายเป็นว่าพระเยซูเจ้าไม่ได้เป็นมนุษย์แท้ ซึ่่่งจะนำไปสู่ข้อสรุปผิดๆ อีกว่าพระองค์ไม่ถูกทรมานจริงไม่สิ้นพระชนม์จริงและดังนั้นเราก็ไม่ได้รับการไถ่บาปจริง
เมื่อเห็นสาเหตุที่ทำให้พระศาสนจักรต้องประณามคนอ่านหนังสืออธิกธรรมแล้วคงช่วยให้เราสบายใจมากขึ้นเพราะเมื่อสาเหตุหมดไป คำประณามก็ถูกลืมเลือนไปด้วย
ในสมัยกลางโดยเฉพาะในยุคของนักบุญเบอร์นาร์ด และนักบุญโธมัส อไควนัส หนังสืออธิกธรรมได้รับการยอมรับอย่างสูงทั้งในหมู่พระสงฆ์นักบวชและฆราวาส และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เห็นภาพเขียนฝาผนังในวัดต่างประเทศเป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสืออธิกธรรม
ดังนั้น คาทอลิกสามารถอ่านและอ้างอิงหนังสืออธิกธรรมได้โดยต้องสามารถแยกแยะ และระบุให้ได้อะไรถูก อะไรผิด
ความสับสนที่ติดตามมาจนถึงปัจจุบันก็คือสมัยก่อน เราใช้คำว่า "อธิกธรรม" เรียกหนังสือพระคัมภีร์ในสารบบที่สอง ซึ่่งคำว่า อธิกธรรม นี้ หมายถึง ธรรมภาคผนวก แม้ว่าในความเป็นจริง มิได้เป็นภาคผนวกอย่างที่ความหมายตรงตามตัวอักษร แต่ยังหาคำภาษาไทยที่สง่าน่าฟังไปว่าคำนี้ยังไม่ได้ จึงได้ใช้คำว่า อธิกธรรม ไปก่อนโดยอนุโลมต่อมาได้บัญญัติคำที่ใช้เรียกเสียใหม่ว่า พระคัมภีร์สารบบที่สอง แทนเพื่อที่จะได้ไม่สับสนกับหนังสือ Apcrypha ซึ่งอาจใช้ภาษาไทยว่า "พระคัมภีร์นอกสารบบ (อธิกธรรม)"
พระคัมภีร์สารบบที่สองนี้ประกอบด้วยหนังสือเล่มเต็มทั้งหมด ทั้งหมด 7เล่ม กับอีก 2 ส่วนซึ่งเป็นบางบทของพระคัมภีร์ที่มีอยู่แล้วในพันธสัญญาเดิม ซึ่งถ้าจัดวางลำดับ จะนำไปแทรกระหว่างพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
ต้องยอมรับว่าชาวยิวที่ใช้ภาษากรีกนั้นมีใจเปิดกว้าง กว่าชาวยิวที่ใช้ภาษาฮีบรูซึ่งค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเมื่อพวกเขาแปลพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมจากภาษาฮีบรูมาเป็นฉบับภาษากรีกที่เรียกกันว่า"สารบบเจ็ดสิบหรือ Septuagint" จึงได้รวมหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวยิวที่ใช้ภาษากรีกเข้าไปด้วย
ส่วนที่เพิ่มเติมจากภาษาฮีบรูได้แก่
ท โทบิต และ ยูดิธ ต้นฉบับเป็นภาษาอาราเมอิก หรืออาจเป็นฮีบรู
ท บารุค และ มัคคาบี 1 ต้นฉบับเป็นภาษาฮีบรู
ท ปรีชาญาณ และ มัคคาบี 2 ต้นฉบับเป็นภาษากรีก
ท บุตรสิรา
ท บางส่วนของ เอสเธอร์ ต้นฉบับอาจเป็นภาษาฮีบรู
ท บางส่วนของ ดาเนียล ต้นฉบับเป็นภาษากรีก
จุดแตกหักด้านพระคัมภีร์ระหว่างคริสตชนเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1519 ที่เมือง Leipzig เมื่อ Eck อ้างข้อความจากหนังสือมัคคาบีฉบับที่2 เพื่อสนับสนุนคำสอนเรื่องไฟชำระแต่ MartinLuther คัดค้านโดยอ้างว่าหนังสือดังกล่าวไม่อยู่ในสารบบผลสรุปคือลูเธอร์เดินตามสารบบของชาวยิวในปาเลสäตน์ที่ใช้ภาษาฮีบรู ส่วนคาทอลิกเดินตามสารบบของชาวยิวในอเล็กซานเดรียที่ใช้ภาษากรีก
ต่อมาในปีค.ศ.1546(27ปีหลังเหตุการณ์ที่เมืองLeipzig)สังคายนาที่นครเตรนท์ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ(ไม่ผิดพลาด)รับรองหนังสือทุกเล่มที่คาทอลิกใช้อยู่ในปัจจุบัน(ทั้งสารบบที่หนึ่งและสารบบที่สอง)ว่า "เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์และได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้า"
..
ความหมายของคำ Apocrypha และคำ Deutero-canonical
Deutero-canonical แปลตามตัวคือ "สารบบที่สอง" ดังนั้น เมื่อมีสารบบที่สอง แสดงว่าต้องมี "สารบบที่หนึ่ง (Protocanonical) " ด้วยซึ่งทั้งสองคำนี้ใช้ในคาทอลิกเท่านั้น
ข้อควรระวังคือต้องไม่เข้าใจในทำนองที่ว่าพระศาสนจักรคาทอลิกมีสารบบพระคัมภีร์อยู่2ระบบโดยสารบบที่สองเพิ่มเข้ามาภายหลังเพราะถ้าเข้าใจแบบนี้จะทำให้หนังสือในสารบบที่สองดูเหมือนจะด้อยค่าลงไปเมื่อเทียบกับหนังสือในสารบบที่หนึ่่งดังนั้นความหมายที่ถูกต้องคือ
* พระคัมภีร์สารบบที่หนึ่งไงได้แก่หนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่คริสตชนทุกนิกายยอมรับเหมือนกัน
* พระคัมภีร์สารบบที่สองได้แก่หนังสือ 7เล่มและบางส่วนของหนังสือเอสเธอร์และดาเนียลที่เพิ่มเข้ามาจากสารบบที่หนึ่ง ซึ่งได้รับการยอมรับโดยพระศาสนจักรคาทอลิกและมีศักดิ์ศรีเทียบเท่าหนังสือในสารบบที่หนึ่งทุกประการ
ส่วนคำ Apocrypha ที่เราแปลว่า"อธิกธรรม" ได้แก่หนังสือที่เขียนขึ้นระหว่าง 200 ปีก่อนคริสตกาลเรื่อยมาจนถึงพระศาสนจักรในยุคเริ่มแรกมีทั้งที่ถือกำเนิดมาจากชาวยิวล้วนๆ หรือลูกผสมโดยเริ่มจากชาวยิวแล้วจบลงโดยคริสตชนหรือที่เป็นของคริสตชนล้วนๆก็มีหนังสือเหล่านี้เขียนขึ้นโดยมีเจตนาให้เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือดูเหมือนศักดิ์สิทธิ์หรือดูเหมือนได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้าแต่ไม่ได้รับการรับรองให้อยู่ในสารบบ
ท ข้อที่แตกต่างระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์จึงอยู่ตรงนี้ คือสำหรับคาทอลิก"อธิกธรรม"หมายถึง หนังสือที่ไม่อยู่ทั้งในพระคัมภีร์สารบบที่หนึ่ง และในสารบบที่สอง
ท สำหรับโปรเตสแตนต์ "อธิกธรรม"หมายถึงหนังสือที่ไม่อยู่ในพระคัมภีร์สารบบที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า พวกเขาถือหนังสือในสารบบที่สองของคาทอลิกเป็น "อธิกธรรม"ไปด้วย
..
พระศาสนจักรคาทอลิกมีท่าทีอย่างไรต่อหนังสือ Apocrypha ?
ในที่ประชุมสมัชชาพระสังฆราชที่เมืองบาร์กา ประเทศสเปญ (Synod of Braga) ปี ค.ศ. 563 ได้ประณามทุกคนที่ "อ่าน เห็นชอบ หรือปกป้อง"หนังสือ Apocrypha หมายความว่าใครก็ตามที่อ่านหนังสืออธิกธรรมถือว่าถูกตัดขาดจากสมาชิกภาพของพระศาสนจักร (บัพพาชนียกรรม:Ex-communication)ซึ่งมองแล้วอาจจะดูรุนแรงนั่นเป็นเพราะในหนังสืออธิกธรรมโดยเฉพาะที่เขียนโดยคริสตชน มีความเชื่อผิดๆแฝงอยู่มากส่วนใหญ่เป็นของพวก Gnosticism ได้แก่พวกที่ปรารถนาดียกย่องความเป็นพระเจ้าของพระเยซูเจ้าสุดโต่งจนกลายเป็นว่าพระเยซูเจ้าไม่ได้เป็นมนุษย์แท้ ซึ่่่งจะนำไปสู่ข้อสรุปผิดๆ อีกว่าพระองค์ไม่ถูกทรมานจริงไม่สิ้นพระชนม์จริงและดังนั้นเราก็ไม่ได้รับการไถ่บาปจริง
เมื่อเห็นสาเหตุที่ทำให้พระศาสนจักรต้องประณามคนอ่านหนังสืออธิกธรรมแล้วคงช่วยให้เราสบายใจมากขึ้นเพราะเมื่อสาเหตุหมดไป คำประณามก็ถูกลืมเลือนไปด้วย
ในสมัยกลางโดยเฉพาะในยุคของนักบุญเบอร์นาร์ด และนักบุญโธมัส อไควนัส หนังสืออธิกธรรมได้รับการยอมรับอย่างสูงทั้งในหมู่พระสงฆ์นักบวชและฆราวาส และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เห็นภาพเขียนฝาผนังในวัดต่างประเทศเป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสืออธิกธรรม
ดังนั้น คาทอลิกสามารถอ่านและอ้างอิงหนังสืออธิกธรรมได้โดยต้องสามารถแยกแยะ และระบุให้ได้อะไรถูก อะไรผิด
ความสับสนที่ติดตามมาจนถึงปัจจุบันก็คือสมัยก่อน เราใช้คำว่า "อธิกธรรม" เรียกหนังสือพระคัมภีร์ในสารบบที่สอง ซึ่่งคำว่า อธิกธรรม นี้ หมายถึง ธรรมภาคผนวก แม้ว่าในความเป็นจริง มิได้เป็นภาคผนวกอย่างที่ความหมายตรงตามตัวอักษร แต่ยังหาคำภาษาไทยที่สง่าน่าฟังไปว่าคำนี้ยังไม่ได้ จึงได้ใช้คำว่า อธิกธรรม ไปก่อนโดยอนุโลมต่อมาได้บัญญัติคำที่ใช้เรียกเสียใหม่ว่า พระคัมภีร์สารบบที่สอง แทนเพื่อที่จะได้ไม่สับสนกับหนังสือ Apcrypha ซึ่งอาจใช้ภาษาไทยว่า "พระคัมภีร์นอกสารบบ (อธิกธรรม)"
พระคัมภีร์สารบบที่สองนี้ประกอบด้วยหนังสือเล่มเต็มทั้งหมด ทั้งหมด 7เล่ม กับอีก 2 ส่วนซึ่งเป็นบางบทของพระคัมภีร์ที่มีอยู่แล้วในพันธสัญญาเดิม ซึ่งถ้าจัดวางลำดับ จะนำไปแทรกระหว่างพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม