*** ชีวิตแห่งการสรรเสริญ ***
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 15, 2009 10:00 am
ชีวิตแห่งการสรรเสริญ
โปรดปราน (พีพี)
“จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด 2ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ายังเป็นอยู่” (สดุดี 146.1-2)
คนไทยจำนวนมากมีประสบการณ์ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินผ่าน เราจะถวายพระพรโดยเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ” ครั้งแล้วครั้งเล่า หรือเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงงานหรือเสด็จพระราชดำเนินกลับ หรือในโรงภาพยนตร์ก่อนฉายภาพยนตร์ เราจะได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เราต้องรีบลุกขึ้นยืนถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน ซึ่งเป็นท่าทีที่คนไทยแสดงออกถึงความจงรักภักดี การยกย่องสรรเสริญ พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของพวกเรา ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงใส่ดนตรีในหัวใจของมนุษย์ เพราะคนทุกชาติทุกภาษามีดนตรีเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวคริสต์ดนตรีและเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้า จึงมีส่วนในทุกการนมัสการ หรือทุกมิสซา หรือทุกศาสนพิธี
บทความนี้ฉันขอแบ่งปันว่าคริสตชนสามารถมีชีวิตเพื่อสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร
1. เมื่อไหร่ควรสรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 145.1-2)
ในพระคัมภีร์เก่า คำว่า “สรรเสริญ” หรือ “อัลเลลูยา ” มีบันทึกมากกว่า 600 ครั้ง โดยเฉพาะในภาคที่ 5 ของพระคัมภีร์สดุดีมีมากที่สุด ศาสนาจารย์ ดร.บิลลี่ คิม นักเทศน์ฟื้นฟูชาวเกาหลีใต้ คราวที่ท่านเป็นวิทยากรเทศนาฟื้นฟูในงานคองเกรสของคริสเตียนไทยท่านกล่าวว่า “ถ้าเราอยากจะให้คริสตจักรได้รับการฟื้นฟู ปัจจัยอย่างหนึ่งที่สำคัญ คือคริสตชนทุกคนต้องเรียนรู้จักการสรรเสริญพระเจ้าตลอดชีวิต ไม่ใช่สรรเสริญพระเจ้าเฉพาะวันอาทิตย์ที่ร่วมนมัสการ(มิสซา)เท่านั้น” เพราะบ่อยครั้งที่เรามีความสุขประสบความสำเร็จจึงมีความยินดีเราจึงสรรเสริญพระเจ้า ตรงกันข้ามเวลาที่เรามีความทุกข์ยากลำบาก เรากลับเมินเฉยหรือแอบน้อยใจบ่นว่าพระเจ้าด้วยซ้ำ ความจริงแล้ว เราก็ต้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่
ที่ประเทศเกาหลีใต้ มีคริสเตียนที่รักพระเจ้ามากคนหนึ่งชื่อ “อัลเลลูยา ชอย” เขาเป็นนักธุรกิจคริสเตียน เจ้าของตึกสูง 63 ชั้น ที่กรุงโซล นาย อัลเลลูยา ชอยได้ตั้งทีมฟุตบอลคริสเตียนขึ้นมาทีมหนึ่ง ชื่อว่า “อัลเลลูยา” ครั้งหนึ่ง เมื่อทีมฟุตบอล อัลเลลูยา ไปแข่งขันที่ฮ่องกง ซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านดาวเทียมไปถึงกรุงโซล เมื่อทีมฟุตบอลอัลเลลูยาเริ่มต้นแข่งขัน นักพากย์ฟุตบอลได้พูดคำว่า “อัลเลลูยา ๆ ๆ” เป็นพันๆ ครั้ง ซึ่งเหมือนกับนักพากย์ฟุตบอลคนนั้นกำลังสรรเสริญพระเจ้า เป็นพันๆ ครั้งเช่นกัน จุดประสงค์ที่ “นายชอย” ได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลว่า “อัลเลลูยา” ก็เพื่อต้องการใช้คำ “อัลเลลูยา” เป็นพยานเพื่อสรรเสริญพระเป็นเจ้า นั่นเอง
นานมาแล้วมีคริสเตียนอาวุโสคนหนึ่งเขาเป็นคนที่ชอบร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้ามาก ต่อมาเขาป่วยคือที่ลิ้นของเขามีเนื้อร้าย หลังจากเข้าพบแพทย์ คุณหมอได้ตรวจอย่างละเอียด จึงวินิจฉัย เพื่อรักษาชีวิตของเขาจะต้องตัดลิ้น ณ ห้องผ่าตัดเขาถามแพทย์ว่า “หลังผ่าตัดแล้วผมจะร้องเพลงได้อีกไหม” หมอตอบว่าคงไม่ได้ ดังนั้นผู้อาวุโสรายนี้จึงขอร้องให้ทีมแพทย์พยุงตัวเขาขึ้นมานั่ง เพื่อเขาได้ร้องเพลงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะผ่าตัดเนื้อร้ายและลิ้น เขาได้พูดกับคุณหมอว่า “ขอร้องเพลงสรรเสริญขอบคุณพระเจ้าครั้งสุดท้ายด้วยลิ้นและปาก” เมื่อพูดจบเขาได้ร้องว่า “ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า จนกระทั่งข้าพเจ้าหลับตาสิ้นลมหายใจ จิตใจข้าพเจ้าพึ่งในพระเจ้า ยังคงเปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดี” ในที่สุดถึงแม้เขาจะร้องเพลงสรรเสริญด้วยปากไม่ได้อีกต่อไป แต่เขาสามารถใช้จิตวิญญาณ ใช้ชีวิตร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าตลอดไปได้
2. สรรเสริญพระเจ้าอย่างไร
บทเพลงสดุดี 103.1 “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้า จงถวายสาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์” ท่านเคยสงสัยไหมว่าทำไมกษัตริย์ดาวิดไม่พูดว่า “ปากของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า” แต่ท่านกลับพูดว่า “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า” เพราะดาวิดเข้าใจดีว่าทุกสิ่งที่เรากระทำนั้น มาจากใจของเรา ถ้าปากของเราร้องเพลงสรรเสริญขอบคุณพระเจ้า แต่ใจของเราไม่ได้ขอบพระคุณ การกระทำของเราจะเป็นที่พระพอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ คำตอบก็คือไม่ เพราะปากกับใจไม่ตรงกัน เคยมีคนถามว่า: คนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน น่าคบไหม เชื่อว่าทุกคนคงตอบว่าไม่ แล้วพวกเราเองล่ะเคยเป็นหรือยังแบบนี้กันไหม เช่นปากกำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า แต่จิตใจล่องลอยไปไหนไม่ทราบ ในพระคัมภีร์สุภาษิต 23.26 “บุตรชายของเราเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถอะ และให้ตาของเจ้าสังเกตดูทางของเรา” พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าขอตัวของเรา ขอความรู้ หรือขอความสามารถของเรา แต่สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรามากที่สุดคือใจ และต้องเป็นใจที่รักพระเจ้า ใจที่เชื่อฟัง ฉะนั้นเราจึงเห็นความจริงในเรื่องนี้ว่า พระเจ้าทรงต้องการจิตใจของเรามากกว่าสิ่งอื่นใด
ในพระคัมภีร์เก่า นางฮันนาห์ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าหลังจากปุโรหิตเอลียืนยันว่าเธอจะตั้งครรภ์พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานภาวนาขอลูกของเธอ แล้วนางก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคือซามูเอล เมื่อกุมารซามูเอลหย่านมแล้วนางได้นำเขามาถวายให้พระเจ้าทรงใช้โดยฝากเขาไว้กับปุโรหิตเอลี นางฮันนาห์แสดงความชื่นชมยกย่องพระเจ้าโดยการสรรเสริญพระเจ้าว่า “…จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระเจ้า ในพระเจ้ากำลังของข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์”( ดู ทั้งหมด 1ซมอ.2:1-11)
ในพระคัมภีร์ใหม่เมื่อพระนางมารีย์ยอมรับว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกเธอให้เป็นมารดาของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์นั้น มารีย์ไม่ได้วิตกกับการตั้งครรภ์นอกสมรส กลับตรงกันข้ามเพราะจิตใจของนางเต็มเปี่ยมด้วยคำสรรเสริญ ซึ่งปรากฏในพระวรสารนักบุญลูกา บทที่ 1.46-47 ว่า “จิตใจของข้าพเจ้ายกย่องพระเจ้า และวิญญาณของข้าพเจ้าก็เกิดความยินดีในพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า” (ดูทั้งหมด ลูกา 1:46-55) ขอให้เราสังเกตคำสรรเสริญของพระนางมารีย์ เธอไม่ได้พูดว่า “ปากของข้าพเจ้ายกย่องสรรเสริญพระเจ้า...” ทำไม แม่พระจึงไม่ได้ใช้ปากสรรเสริญพระเจ้าล่ะ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่กระทำต้องมาจากใจ บางครั้งเราอาจจะเคยใช้ปากของเราด่าว่าคนอื่น หรือใช้คำพูดเสียดสีว่าร้ายคนอื่นทั้งๆ ที่ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด และเมื่อเรารู้ภายหลังแล้ว เราคงจะรู้สึกเสียใจที่สายตาของเรามองเพื่อนไปในทางที่ไม่ดี ฉะนั้นขอพระเจ้าทรงช่วยเราทุกคนให้ใช้สายตาของพระเจ้ามองพี่น้องของเรา มองเพื่อนของเราในทางที่พระเจ้าต้องการให้เรามอง
โปรดปราน (พีพี)
“จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด 2ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ายังเป็นอยู่” (สดุดี 146.1-2)
คนไทยจำนวนมากมีประสบการณ์ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินผ่าน เราจะถวายพระพรโดยเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ” ครั้งแล้วครั้งเล่า หรือเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงงานหรือเสด็จพระราชดำเนินกลับ หรือในโรงภาพยนตร์ก่อนฉายภาพยนตร์ เราจะได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เราต้องรีบลุกขึ้นยืนถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน ซึ่งเป็นท่าทีที่คนไทยแสดงออกถึงความจงรักภักดี การยกย่องสรรเสริญ พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของพวกเรา ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงใส่ดนตรีในหัวใจของมนุษย์ เพราะคนทุกชาติทุกภาษามีดนตรีเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวคริสต์ดนตรีและเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้า จึงมีส่วนในทุกการนมัสการ หรือทุกมิสซา หรือทุกศาสนพิธี
บทความนี้ฉันขอแบ่งปันว่าคริสตชนสามารถมีชีวิตเพื่อสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร
1. เมื่อไหร่ควรสรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 145.1-2)
ในพระคัมภีร์เก่า คำว่า “สรรเสริญ” หรือ “อัลเลลูยา ” มีบันทึกมากกว่า 600 ครั้ง โดยเฉพาะในภาคที่ 5 ของพระคัมภีร์สดุดีมีมากที่สุด ศาสนาจารย์ ดร.บิลลี่ คิม นักเทศน์ฟื้นฟูชาวเกาหลีใต้ คราวที่ท่านเป็นวิทยากรเทศนาฟื้นฟูในงานคองเกรสของคริสเตียนไทยท่านกล่าวว่า “ถ้าเราอยากจะให้คริสตจักรได้รับการฟื้นฟู ปัจจัยอย่างหนึ่งที่สำคัญ คือคริสตชนทุกคนต้องเรียนรู้จักการสรรเสริญพระเจ้าตลอดชีวิต ไม่ใช่สรรเสริญพระเจ้าเฉพาะวันอาทิตย์ที่ร่วมนมัสการ(มิสซา)เท่านั้น” เพราะบ่อยครั้งที่เรามีความสุขประสบความสำเร็จจึงมีความยินดีเราจึงสรรเสริญพระเจ้า ตรงกันข้ามเวลาที่เรามีความทุกข์ยากลำบาก เรากลับเมินเฉยหรือแอบน้อยใจบ่นว่าพระเจ้าด้วยซ้ำ ความจริงแล้ว เราก็ต้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่
ที่ประเทศเกาหลีใต้ มีคริสเตียนที่รักพระเจ้ามากคนหนึ่งชื่อ “อัลเลลูยา ชอย” เขาเป็นนักธุรกิจคริสเตียน เจ้าของตึกสูง 63 ชั้น ที่กรุงโซล นาย อัลเลลูยา ชอยได้ตั้งทีมฟุตบอลคริสเตียนขึ้นมาทีมหนึ่ง ชื่อว่า “อัลเลลูยา” ครั้งหนึ่ง เมื่อทีมฟุตบอล อัลเลลูยา ไปแข่งขันที่ฮ่องกง ซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านดาวเทียมไปถึงกรุงโซล เมื่อทีมฟุตบอลอัลเลลูยาเริ่มต้นแข่งขัน นักพากย์ฟุตบอลได้พูดคำว่า “อัลเลลูยา ๆ ๆ” เป็นพันๆ ครั้ง ซึ่งเหมือนกับนักพากย์ฟุตบอลคนนั้นกำลังสรรเสริญพระเจ้า เป็นพันๆ ครั้งเช่นกัน จุดประสงค์ที่ “นายชอย” ได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลว่า “อัลเลลูยา” ก็เพื่อต้องการใช้คำ “อัลเลลูยา” เป็นพยานเพื่อสรรเสริญพระเป็นเจ้า นั่นเอง
นานมาแล้วมีคริสเตียนอาวุโสคนหนึ่งเขาเป็นคนที่ชอบร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้ามาก ต่อมาเขาป่วยคือที่ลิ้นของเขามีเนื้อร้าย หลังจากเข้าพบแพทย์ คุณหมอได้ตรวจอย่างละเอียด จึงวินิจฉัย เพื่อรักษาชีวิตของเขาจะต้องตัดลิ้น ณ ห้องผ่าตัดเขาถามแพทย์ว่า “หลังผ่าตัดแล้วผมจะร้องเพลงได้อีกไหม” หมอตอบว่าคงไม่ได้ ดังนั้นผู้อาวุโสรายนี้จึงขอร้องให้ทีมแพทย์พยุงตัวเขาขึ้นมานั่ง เพื่อเขาได้ร้องเพลงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะผ่าตัดเนื้อร้ายและลิ้น เขาได้พูดกับคุณหมอว่า “ขอร้องเพลงสรรเสริญขอบคุณพระเจ้าครั้งสุดท้ายด้วยลิ้นและปาก” เมื่อพูดจบเขาได้ร้องว่า “ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า จนกระทั่งข้าพเจ้าหลับตาสิ้นลมหายใจ จิตใจข้าพเจ้าพึ่งในพระเจ้า ยังคงเปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดี” ในที่สุดถึงแม้เขาจะร้องเพลงสรรเสริญด้วยปากไม่ได้อีกต่อไป แต่เขาสามารถใช้จิตวิญญาณ ใช้ชีวิตร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าตลอดไปได้
2. สรรเสริญพระเจ้าอย่างไร
บทเพลงสดุดี 103.1 “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้า จงถวายสาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์” ท่านเคยสงสัยไหมว่าทำไมกษัตริย์ดาวิดไม่พูดว่า “ปากของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า” แต่ท่านกลับพูดว่า “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า” เพราะดาวิดเข้าใจดีว่าทุกสิ่งที่เรากระทำนั้น มาจากใจของเรา ถ้าปากของเราร้องเพลงสรรเสริญขอบคุณพระเจ้า แต่ใจของเราไม่ได้ขอบพระคุณ การกระทำของเราจะเป็นที่พระพอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ คำตอบก็คือไม่ เพราะปากกับใจไม่ตรงกัน เคยมีคนถามว่า: คนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน น่าคบไหม เชื่อว่าทุกคนคงตอบว่าไม่ แล้วพวกเราเองล่ะเคยเป็นหรือยังแบบนี้กันไหม เช่นปากกำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า แต่จิตใจล่องลอยไปไหนไม่ทราบ ในพระคัมภีร์สุภาษิต 23.26 “บุตรชายของเราเอ๋ย ขอใจของเจ้าให้เราเถอะ และให้ตาของเจ้าสังเกตดูทางของเรา” พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าขอตัวของเรา ขอความรู้ หรือขอความสามารถของเรา แต่สิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรามากที่สุดคือใจ และต้องเป็นใจที่รักพระเจ้า ใจที่เชื่อฟัง ฉะนั้นเราจึงเห็นความจริงในเรื่องนี้ว่า พระเจ้าทรงต้องการจิตใจของเรามากกว่าสิ่งอื่นใด
ในพระคัมภีร์เก่า นางฮันนาห์ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าหลังจากปุโรหิตเอลียืนยันว่าเธอจะตั้งครรภ์พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานภาวนาขอลูกของเธอ แล้วนางก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคือซามูเอล เมื่อกุมารซามูเอลหย่านมแล้วนางได้นำเขามาถวายให้พระเจ้าทรงใช้โดยฝากเขาไว้กับปุโรหิตเอลี นางฮันนาห์แสดงความชื่นชมยกย่องพระเจ้าโดยการสรรเสริญพระเจ้าว่า “…จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระเจ้า ในพระเจ้ากำลังของข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์”( ดู ทั้งหมด 1ซมอ.2:1-11)
ในพระคัมภีร์ใหม่เมื่อพระนางมารีย์ยอมรับว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกเธอให้เป็นมารดาของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์นั้น มารีย์ไม่ได้วิตกกับการตั้งครรภ์นอกสมรส กลับตรงกันข้ามเพราะจิตใจของนางเต็มเปี่ยมด้วยคำสรรเสริญ ซึ่งปรากฏในพระวรสารนักบุญลูกา บทที่ 1.46-47 ว่า “จิตใจของข้าพเจ้ายกย่องพระเจ้า และวิญญาณของข้าพเจ้าก็เกิดความยินดีในพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า” (ดูทั้งหมด ลูกา 1:46-55) ขอให้เราสังเกตคำสรรเสริญของพระนางมารีย์ เธอไม่ได้พูดว่า “ปากของข้าพเจ้ายกย่องสรรเสริญพระเจ้า...” ทำไม แม่พระจึงไม่ได้ใช้ปากสรรเสริญพระเจ้าล่ะ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่กระทำต้องมาจากใจ บางครั้งเราอาจจะเคยใช้ปากของเราด่าว่าคนอื่น หรือใช้คำพูดเสียดสีว่าร้ายคนอื่นทั้งๆ ที่ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด และเมื่อเรารู้ภายหลังแล้ว เราคงจะรู้สึกเสียใจที่สายตาของเรามองเพื่อนไปในทางที่ไม่ดี ฉะนั้นขอพระเจ้าทรงช่วยเราทุกคนให้ใช้สายตาของพระเจ้ามองพี่น้องของเรา มองเพื่อนของเราในทางที่พระเจ้าต้องการให้เรามอง