** อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์**
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 13, 2010 10:17 am
อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์
โปรดปราน (พีพี )
ปัจจุบันมีคำศัพท์ใหม่ๆใช้มากมาย เช่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ การเมืองอย่างสร้างสรรค์ มีชีวิตแบบชาว โมโซ เป็นต้น แล้วโมโซ...คืออะไร คำแรก โม (MO) มาจาก “Moderation” หมายถึง ความพอประมาณ ไม่มากไป...ไม่น้อยไป ส่วน โซ (SO) มาจากคำว่า “Society” ที่หมายถึง สังคมเมื่อรวมคำว่า “MO” และ “SO” เข้าด้วยกัน จึงหมายถึง “สังคมพอประมาณ” (Moderation Society) ท่ามกลางกระแสสังคมบริโภคนิยมมีสิ่งยั่วยุทางวัตถุมากมายกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดความ อยากมี อยากได้ อยากแข่งขันกัน มากขึ้น ดังนั้นสังคมโมโซจึงเป็นสังคมอันพึงปรารถนา เพราะเอกลักษณ์ คือ ความจริง ความดีงาม และความสุข ให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างพอดีๆ ชาวโมโซ เป็น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตในรูปแบบพอดีๆ ยึดหลักความพอประมาณ การเป็นคนมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันทางความคิด ในการดำเนินชีวิตตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อีกคำคือสร้างสรรค์ หมายถึงสร้างความสุขความเจริญให้สังคม หรือลักษณะริเริ่มในทางที่ดี ที่เพิ่มพลังและศรัทธา และทำให้ผู้อื่นอยากทำตาม ดังนั้นเมื่อพูดว่าเป็นสาวกพระเยซูคริสต์เราต้องมีอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ ให้กับสังคม เช่นพฤติกรรมที่แสดงออกในการดำเนินชีวิต ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องดำเนินชีวิตแบบชาว “โมโซ” (คือพอประมาณ) ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ต้องแบ่งปัน เช่นแบ่งปันความจริง ความดีงาม ความสุข/สันติสุข และทรัพย์สิ่งของ เป็นต้น ส่วนอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ ของคริสตชน คือพฤติกรรมเป็นเงาของความคิดในการดำเนินชีวิตตามแบบพระเยซูเจ้าเพื่อให้มีอิทธิพลต่อผู้อื่นและสังคม
![รูปภาพ](http://www.jesus-explained.org/images/charity-william-adolphe-bouguereau.jpg)
บทความนี้ขอนำจดหมายของนักบุญยากอบ บทที่ 5 มาเรียนรู้ด้วยกัน ดังนี้
1.อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ด้านฐานะ ( ดูยากอบ 5.1-6 )
นักบุญยากอบไม่ได้พิพากษาคนร่ำรวย เพราะคนร่ำรวยแบบสร้างสรรค์ คือรวยจากการประกอบอาชีพสุจริต เขาทำให้สังคมน่าอยู่ นักบุญยากอบตักเตือนคนร่ำรวยในการใช้ชีวิต ท่าทีในการคิด เพราะ ทรัพย์สิน เงินทองโดยตัวของมันเองไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ทุกคนจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อการดำรงชีวิต เช่นเพื่อการศึกษา เพื่อสร้างบ้าน เพื่อซื้อรถ และอื่นๆจิปาถะ ยิ่งกว่านั้นสำหรับ คริสตชนต้องใช้เงินเพื่อพันธกิจของวัด สนับสนุนองค์กรหรือสถาบันของคริสต์ ช่วยเหลือสาธารณะกุศลต่างๆ เป็นต้น พระเจ้าทรงอวยพรชาวคริสต์มากมาย พระพรที่ผ่านในชีวิตของพวกเราพระองค์มีพระประสงค์ให้เรามีโอกาสแบ่งปัน ได้สำแดงออกถึงความรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ดังนั้นเมื่อเราจัดคริสต์มาสปีแล้วปีเล่า เราต้องสวมบทบาทของผู้ให้ “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20.35 )
น่าเสียดายที่เราคนไทยถูกสอนให้เป็นผู้รับมากกว่าการเป็นผู้ให้ (นี่คือคำพูดของหลายๆคนระดับผู้นำ) สำหรับเราชาวคริสต์ถือว่าเป็นพระพรเหลือเกินที่พระเจ้าทรงสอนเราให้เป็นผู้ให้ ผู้แบ่งปัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้คริสตชนที่มั่งคั่งนั้นมีอิทธิพลต่อผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ พระเจ้าจะอวยพรกิจการทุกอย่างที่เขาทำ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะอวยพรลูกหลานของเขา ( ดู เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 28:1-12 ) ซึ่งเป็นพระสัญญาของพระเจ้า
ความร่ำรวยที่ไม่สร้างสรรค์ คือคนที่มั่งคั่งเพราะการทำผิดกฎหมาย เช่นค้าหวยเถื่อน ค้ายาเสพติด เอาเปรียบค่าจ้างโกงแรงงาน รับสินบน (อย่างเช่นตอนนี้โครงการไทยเข้มแข็ง ของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ มีเรื่องคอร์รัปชั่นหนาหู โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ) มีผลประโยชน์ทับซ้อน เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เอาเปรียบสังคม และเบียดเบียนประเทศชาติ
ตัวอย่างเศรษฐีในพระคัมภีร์ คือ โยบ โยบบทที่ 1.1 บันทึกว่าเขาเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่ว เขาเป็นเศรษฐีที่เป็นแบบอย่างสร้างสรรค์ต่อคริสตชนทุกยุค ทุกเชื้อชาติ แม้ฉันรับฟังคริสตชนหลายคนชอบบอกว่าตัวเองเป็นเหมือนโยบ คือว่าคงเป็นเรื่องของความทุกข์ที่โหมกระหน่ำในชีวิต ฉันมักถามว่า “คุณแน่ใจว่าเป็นคนดีรอบคอบเป็นคนเที่ยงธรรมเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันจากความชั่ว เหมือนโยบจริงหรือ” ส่วนมากมักอึ้ง เศรษฐีโยบสามารถฝันฝ่าอุปสรรคไปได้โดยไม่ได้แช่งด่าพระเจ้า ตั้งแต่บทที่ 42.11 เป็นต้นไปเขากลับสู่สภาพดี และพระเจ้าทรงอวยพรชีวิตอย่างมาก “พระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน”(42.12)
คริสตชนที่ร่ำรวยไม่สร้างสรรค์พระเจ้าทรงเตือนเพราะว่าเขาใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเกินความพอเพียง ใช้เพื่อตัวเองและครอบครัวเท่านั้น นั่นเป็นการเห็นแก่ตัว ไม่ได้หยิบยื่นให้ผู้ขัดสน ซึ่งขัดต่อคำสอนของทุกศาสนา นักบุญยากอบเลยบอกว่าผลที่พวกเขาจะได้รับคือความวิบัติ ทรัพย์สินต้องผุพัง แมลงกัดกินเสื้อผ้า เงินทองเกิดสนิม นั่นคือบาปที่เขาทำลายตัวเอง ดังนั้นชีวิตของเขาไม่ได้มีอิทธิพลให้ใครมารู้จักกับพระเจ้าอีกเลย
โปรดปราน (พีพี )
ปัจจุบันมีคำศัพท์ใหม่ๆใช้มากมาย เช่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ การเมืองอย่างสร้างสรรค์ มีชีวิตแบบชาว โมโซ เป็นต้น แล้วโมโซ...คืออะไร คำแรก โม (MO) มาจาก “Moderation” หมายถึง ความพอประมาณ ไม่มากไป...ไม่น้อยไป ส่วน โซ (SO) มาจากคำว่า “Society” ที่หมายถึง สังคมเมื่อรวมคำว่า “MO” และ “SO” เข้าด้วยกัน จึงหมายถึง “สังคมพอประมาณ” (Moderation Society) ท่ามกลางกระแสสังคมบริโภคนิยมมีสิ่งยั่วยุทางวัตถุมากมายกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดความ อยากมี อยากได้ อยากแข่งขันกัน มากขึ้น ดังนั้นสังคมโมโซจึงเป็นสังคมอันพึงปรารถนา เพราะเอกลักษณ์ คือ ความจริง ความดีงาม และความสุข ให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างพอดีๆ ชาวโมโซ เป็น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตในรูปแบบพอดีๆ ยึดหลักความพอประมาณ การเป็นคนมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันทางความคิด ในการดำเนินชีวิตตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อีกคำคือสร้างสรรค์ หมายถึงสร้างความสุขความเจริญให้สังคม หรือลักษณะริเริ่มในทางที่ดี ที่เพิ่มพลังและศรัทธา และทำให้ผู้อื่นอยากทำตาม ดังนั้นเมื่อพูดว่าเป็นสาวกพระเยซูคริสต์เราต้องมีอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ ให้กับสังคม เช่นพฤติกรรมที่แสดงออกในการดำเนินชีวิต ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องดำเนินชีวิตแบบชาว “โมโซ” (คือพอประมาณ) ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ต้องแบ่งปัน เช่นแบ่งปันความจริง ความดีงาม ความสุข/สันติสุข และทรัพย์สิ่งของ เป็นต้น ส่วนอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ ของคริสตชน คือพฤติกรรมเป็นเงาของความคิดในการดำเนินชีวิตตามแบบพระเยซูเจ้าเพื่อให้มีอิทธิพลต่อผู้อื่นและสังคม
![รูปภาพ](http://www.jesus-explained.org/images/charity-william-adolphe-bouguereau.jpg)
บทความนี้ขอนำจดหมายของนักบุญยากอบ บทที่ 5 มาเรียนรู้ด้วยกัน ดังนี้
1.อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ด้านฐานะ ( ดูยากอบ 5.1-6 )
นักบุญยากอบไม่ได้พิพากษาคนร่ำรวย เพราะคนร่ำรวยแบบสร้างสรรค์ คือรวยจากการประกอบอาชีพสุจริต เขาทำให้สังคมน่าอยู่ นักบุญยากอบตักเตือนคนร่ำรวยในการใช้ชีวิต ท่าทีในการคิด เพราะ ทรัพย์สิน เงินทองโดยตัวของมันเองไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ทุกคนจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อการดำรงชีวิต เช่นเพื่อการศึกษา เพื่อสร้างบ้าน เพื่อซื้อรถ และอื่นๆจิปาถะ ยิ่งกว่านั้นสำหรับ คริสตชนต้องใช้เงินเพื่อพันธกิจของวัด สนับสนุนองค์กรหรือสถาบันของคริสต์ ช่วยเหลือสาธารณะกุศลต่างๆ เป็นต้น พระเจ้าทรงอวยพรชาวคริสต์มากมาย พระพรที่ผ่านในชีวิตของพวกเราพระองค์มีพระประสงค์ให้เรามีโอกาสแบ่งปัน ได้สำแดงออกถึงความรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ดังนั้นเมื่อเราจัดคริสต์มาสปีแล้วปีเล่า เราต้องสวมบทบาทของผู้ให้ “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20.35 )
น่าเสียดายที่เราคนไทยถูกสอนให้เป็นผู้รับมากกว่าการเป็นผู้ให้ (นี่คือคำพูดของหลายๆคนระดับผู้นำ) สำหรับเราชาวคริสต์ถือว่าเป็นพระพรเหลือเกินที่พระเจ้าทรงสอนเราให้เป็นผู้ให้ ผู้แบ่งปัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้คริสตชนที่มั่งคั่งนั้นมีอิทธิพลต่อผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ พระเจ้าจะอวยพรกิจการทุกอย่างที่เขาทำ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะอวยพรลูกหลานของเขา ( ดู เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 28:1-12 ) ซึ่งเป็นพระสัญญาของพระเจ้า
ความร่ำรวยที่ไม่สร้างสรรค์ คือคนที่มั่งคั่งเพราะการทำผิดกฎหมาย เช่นค้าหวยเถื่อน ค้ายาเสพติด เอาเปรียบค่าจ้างโกงแรงงาน รับสินบน (อย่างเช่นตอนนี้โครงการไทยเข้มแข็ง ของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ มีเรื่องคอร์รัปชั่นหนาหู โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ) มีผลประโยชน์ทับซ้อน เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เอาเปรียบสังคม และเบียดเบียนประเทศชาติ
ตัวอย่างเศรษฐีในพระคัมภีร์ คือ โยบ โยบบทที่ 1.1 บันทึกว่าเขาเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่ว เขาเป็นเศรษฐีที่เป็นแบบอย่างสร้างสรรค์ต่อคริสตชนทุกยุค ทุกเชื้อชาติ แม้ฉันรับฟังคริสตชนหลายคนชอบบอกว่าตัวเองเป็นเหมือนโยบ คือว่าคงเป็นเรื่องของความทุกข์ที่โหมกระหน่ำในชีวิต ฉันมักถามว่า “คุณแน่ใจว่าเป็นคนดีรอบคอบเป็นคนเที่ยงธรรมเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันจากความชั่ว เหมือนโยบจริงหรือ” ส่วนมากมักอึ้ง เศรษฐีโยบสามารถฝันฝ่าอุปสรรคไปได้โดยไม่ได้แช่งด่าพระเจ้า ตั้งแต่บทที่ 42.11 เป็นต้นไปเขากลับสู่สภาพดี และพระเจ้าทรงอวยพรชีวิตอย่างมาก “พระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน”(42.12)
คริสตชนที่ร่ำรวยไม่สร้างสรรค์พระเจ้าทรงเตือนเพราะว่าเขาใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเกินความพอเพียง ใช้เพื่อตัวเองและครอบครัวเท่านั้น นั่นเป็นการเห็นแก่ตัว ไม่ได้หยิบยื่นให้ผู้ขัดสน ซึ่งขัดต่อคำสอนของทุกศาสนา นักบุญยากอบเลยบอกว่าผลที่พวกเขาจะได้รับคือความวิบัติ ทรัพย์สินต้องผุพัง แมลงกัดกินเสื้อผ้า เงินทองเกิดสนิม นั่นคือบาปที่เขาทำลายตัวเอง ดังนั้นชีวิตของเขาไม่ได้มีอิทธิพลให้ใครมารู้จักกับพระเจ้าอีกเลย