พระคำภีร์รายวันประจำเดือน มีนาคม 2555

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2012 3:11 pm

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม 2555
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านที่ 1 อสธ 4:17K-17U

พระราชินีเอสเธอร์ทรงเป็นทุกข์แทบจะสิ้นพระชนม์ จึงทรงแสวงหาความช่วย เหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าพเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น ข้าพเจ้ากำลังเผชิญอันตรายเสี่ยงชีวิต
ตั้งแต่เป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากบุคคลในครอบครัวเล่าว่า พระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอลจากชนชาติทั้งหลาย ทรงเลือกบรรพบุรุษของข้าพเจ้าจากบรรพบุรุษของเขา เป็นมรดกถาวรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำตามที่ทรงสัญญาไว้กับเขาทุกประการ
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด โปรดทรงสำแดงพระองค์ในเวลาที่ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความทุกข์ โปรดให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญเถิด ข้าแต่กษัตริย์ของบรรดาเทพเจ้า พระองค์ทรงพระอานุภาพเหนือผู้มีอำนาจทุกคน โปรดทรงใส่ถ้อยคำจูงใจไว้ในปากของข้าพเจ้าเมื่อต้องเผชิญกับสิงโต โปรดทรงเปลี่ยนใจของเขาให้เกลียดชังศัตรูที่ต่อสู้กับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อเขากับพวกจะพินาศ
โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นอันตรายด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ นอกจากพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง”


พระวรสาร มธ 7:7-12

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านใดที่ลูกขออาหาร จะให้ก้อนหินหรือ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดี ๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดี ๆแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ
ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไรก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติ คำสอนของบรรดาประกาศก”

ข้อคิด

วันนี้พระเยซูเจ้าทรงให้ความมั่นใจกับศิษย์ของพระองค์ว่า พระเจ้าทรงเข้าใจในความต้องการของจิตใจมนุษย์แน่นอน แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นที่มนุษย์มีต่อพระองค์ว่า มีมากน้อยเพียงใดด้วย คำว่าจงขอเถิดแล้วท่านจะได้รับนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า จะได้รับทุกสิ่ง เช่นถ้าสิ่งที่ขอนั้นเป็นอันตรายต่อผู้ขอเองในระยะยาว คิดหรือว่าพระจะประทานให้ เพราะพระย่อมให้เฉพาะสิ่งที่ดีแก่ลูกของพระองค์เท่านั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มี.ค. 02, 2012 1:21 pm

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2555
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านที่ 1 อสค 18:21-28

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ถ้าคนชั่วร้ายกลับใจไม่ทำบาป ทุกอย่างที่เขาเคยทำ แล้วกลับมารักษาข้อกำหนดทุกข้อของเรา ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย การล่วงละเมิดใด ๆ ที่เขาเคยทำจะไม่ถูกจดจำไว้เพื่อเอาโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรมที่เขาได้ทำ เราพอใจในความตายของคนอธรรมหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราพอใจที่เขากลับใจจากความประพฤติชั่วของเขา และมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ”
“แต่ถ้าผู้ชอบธรรมละทิ้งความชอบธรรมของตนไปทำความชั่ว ประพฤติตามการกระทำน่าสะอิดสะเอียดทุกอย่างที่คนชั่วทำ ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ การกระทำชอบธรรมทั้งหมดที่เขาได้ทำมาแล้วจะไม่ถูกจดจำไว้อีกเลย เขาจะต้องตายเพราะความผิดที่เขาไม่ได้ซื่อสัตย์ และเพราะบาปที่เขาได้ทำ”
“ท่านพูดว่า “วิธีการของพระองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม” พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิธีการของเรายุติธรรม หรือวิธีการของท่านไม่ยุติธรรม เมื่อผู้ชอบธรรมเปลี่ยนใจ ไม่ปฏิบัติความชอบธรรม มาทำความชั่ว เขาจะต้องตายเพราะการนี้ เขาจะต้องตายเพราะความชั่วที่เขาได้ทำ ถ้าคนชั่วร้ายเลิกทำความชั่วร้ายที่เขาได้ทำ มาปฏิบัติความยุติธรรม และความชอบธรรม เขาก็จะรักษาชีวิตของตนไว้ เขาเลือกจะเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดที่เคยทำ เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย”


พระวรสาร มธ 5:20-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์ และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า “ไอ้โง่” ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า “ไอ้โง่บัดซบ” ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว “จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่าน ขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่าจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าเรียกร้องให้ศิษย์ของพระองค์ยึดบรรทัดฐานของความดีงามเป็นเป้าหมายในชึวิต ความดีเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จากความบริสุทธิ์ในความคิด วาจา และกิจการ ความดีแท้ไม่เสแสร้ง ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่ความละเอียดของมโนธรรม พระองค์จึงตรัสว่า ถ้าระลึกขึ้นได้ว่าเคยมีเรื่องผิดพ้องหมองใจกับเพื่อนก็ให้รีบไปแก้ไขทันที และให้ถือว่า ถ้าจะพบพระเจ้า มโนธรรมต้องบริสุทธิ์ก่อน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ มี.ค. 03, 2012 1:09 pm

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2555
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านที่ 1 ฉทบ 26:16-19

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ในวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาให้ท่านปฏิบัติตามข้อกำหนด และกฏเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัดสุดจิตใจ และสุดวิญญาณ
ในวันนี้ ท่านได้ยินองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน ถ้าท่านดำเนินตามหนทางของพระองค์ ปฏิบัติตามข้อกำหนด บทบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ทั้งเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ในวันนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ท่านประกาศว่า ท่านจะเป็นประชากรของพระองค์ เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของพระองค์ดังที่ตรัสไว้ และท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ทุกประการ พระองค์จะทรงบันดาลให้ท่านมีศักดิ์ศรี มีชื่อเสียง และมีเกียรติยศเหนือชนชาติอื่น ๆ ทั้งปวงที่ทรงสร้างขึ้นมา และท่านจะเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านดังที่ทรงสัญญาไว้”


พระวรสาร มธ 5:43-48

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรม และคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ

ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”


ข้อคิด

คำสอนที่เรียกร้องให้เราเป็นคนดีบริบูรณ์นั้นจำเป็นต้องเป็นบรรทัดฐาน เป็นเป้าหมายของคริสตชนทุกคน ทุก ๆ วันเราต้องตั้งใจจะเป็นคนดีของพระ ความดีมีหลายระดับ คำว่าดีของชาวคริสต์นั้น ต้องเอาดีแบบพระเจ้ามาเป็นที่ตั้ง และพยายามสะท้อนความดีของพระออกมาในตัวเราให้ได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 7:19 pm

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2555
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 22:1-2,9 ก,10-13,15-16

ต่อมาไม่นาน พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม พระองค์ตรัสเรียกเขาว่า “ อับราฮัมเอ๋ย” อับราฮัมทูลตอบว่า “ ข้าพเจ้าอยู่นี่” พระเจ้าตรัสว่า “ จงพาอิสอัคบุตรของท่าน บุตรคนเดียวที่ท่านรักไปยังดินแดนโมริยาห์ แล้วถวายเขาเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาที่เราจะบอกให้ท่านรู้”

เมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกให้รู้แล้วอับราฮัมก่อแท่นบูชาขึ้น จัดเรียงฟืนไว้บนนั้น อับราฮัมยื่นมือออกไป เงื้อมีดจะฆ่าบุตร แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้องเรียกจากสวรรค์ว่า “ อับราฮัมเอ๋ย อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ ข้าพเจ้าอยู่นี่” ทูตสวรรค์กล่าวว่า “ อย่าลงมือฆ่าเด็กหรือทำร้ายเขาเลย บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านยำเกรงพระเจ้า และมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่านไว้ ไม่ถวายแก่เรา” อับราฮัมเงยหน้าขึ้น แลเห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ อับราฮัมจึงไปจับมันมาฆ่าเผาถวายบูชาแทนบุตรชาย

ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากสวรรค์เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองว่า “ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพราะท่านได้ทำดังนี้ คือมิได้หวงบุตรชายคนเดียวของท่านไว้ เราสาบานต่อเราเองว่า เราอวยพรให้ท่านอย่างมาก จะให้ลูกหลานของท่านทวีจำนวนมากเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้า และเม็ดทรายตามชายทะเล ลูกหลานของท่านจะได้เมืองของศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รับพระพรเพราะลูกหลานของท่าน ทั้งนี้ เพราะท่านเชื่อฟังคำสั่งของเรา”



บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:31-34

พี่น้อง ถ้าพระเป็นเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะอาจขัดขวางเราได้ ? พระองค์มิได้ทรงหวงแหนพระบุตรของพระองค์เอง แต่ทรงมอบบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เราทุกคนแล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราพร้อมกับองค์พระบุตรละหรือ? ใครเล่าจะฟ้องร้องผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วได้? เมื่อพระองค์ทรงโปรดให้พ้นโทษแล้วใครเล่าจะปรับโทษอีกเล่า? พระเยซูคริสตเจ้านะหรือ? พระองค์ได้สิ้นพระชนม์, ยิ่งกว่านั้นยังได้ทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเป็นเจ้าเพื่ออ้อนวอนแทนเราอีกด้วย



พระวรสารนักบุญมาระโก มก 9:1-9

เวลานั้น พระเยซูเจ้ายังตรัสแก่บรรดาศิษย์อีกว่า ‘ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่ลิ้มรสความตายจนกว่าจะเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยพระอานุภาพ’

ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกสามารถทำให้ขาวเช่นนั้นได้ แล้วประกาศกเอลียาห์กับโมเสสสำแดงตนสนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘ พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์’ เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรเพราะศิษย์ทั้งสามต่างตกใจกลัว ครั้นแล้วเมฆก้อนหนึ่งลอยลงมาปกคลุมเขาไว้ มีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆนั้นว่า ‘ ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด’ ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งสามเหลียวมองรอบๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่กับตนนอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น

ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย

ข้อคิด

พี่น้องที่รัก เราได้เห็นถึงความรักของบิดาสองคน อับราฮัมที่มีต่ออิสอักและพระบิดาเจ้าที่มีต่อพระเยซูเจ้า บิดาทั้งสองคนได้เตรียมมอบบุตรสุดที่รักของตนเป็นบูชา จะต่างก็ตรงที่พระเจ้าบอกให้อับราฮัมฆ่าลูกแกะเป็นบูชาแทนอิสอัก แต่พระเยซูเจ้า ทรงเป็นลูกแกะที่ยอมรับความทรมานด้วยพระองค์เอง เพื่อช่วยเราให้ตระหนักถึงความรักของพระเจ้า

วันนี้เราได้ยินพระสุระเสียงของพระบิดาเจ้าที่ตรัสกับเราและบอกเราว่า พระเยซูเจ้าเป็นบุตรสุดที่รักของพระองค์ที่เราต้องฟัง ให้เราได้เชื่อฟังพระองค์ มองเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ท่ามกลางเรา และนำพระวาจาของพระองค์ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ลงจากภูเขาสู่ความเป็นจริงแห่งชีวิต และเดินตามรูปแบบชีวิตพระเยซูเจ้าบนกางเขนทุกวันตลอดชีวิตของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความรักและการให้อภัยเพื่อนพี่น้องด้วยใจกว้าง ซึ่งพระศาสนจักรเรียกร้องเป็นพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 05, 2012 1:38 pm

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2012
บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล ดนล 9:4ข-10

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป ทำผิด ประพฤติชั่วร้าย เป็นกบฏ หันเหไปจากบทบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อฟังบรรดาประกาศก ผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งพูดในพระนามของพระองค์ต่อบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านาย บรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อประชากรทั้งมวลของแผ่นดิน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความเที่ยงธรรมเป็นของพระองค์ ส่วนความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นของชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และชาวอิสราเอลทั้งมวล ทั้งเป็นของผู้ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ทรงบันดาลให้เขาไปอยู่อย่างกระจัดกระจาย เพราะความทรยศซึ่งเขาได้กระทำต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นของบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านายและบรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปผิดต่อพระองค์ ส่วนพระกรุณาและการอภัยโทษเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ที่ได้กบฏต่อพระองค์ มิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พระองค์ประทานให้โดยบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 6:36-38

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย”

ข้อคิด

กฏจริยธรรมที่พระเยซูเจ้าได้สอนไว้สำหรับศิษย์ทุกคนที่ต้องการเป็นคนดีคือ เขาต้องมีใจเมตตา เขาต้องไม่ด่วนตัดสินผู้ใด เขาต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ เขาต้องเรียนรู้ที่ลืมความบกพร่องและมีใจอภัยเสมอ นี่คือคำสอนของพระอาจารย์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร มี.ค. 06, 2012 3:51 pm

วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ (อสย 1:10,16-20 )
“ท่านทั้งหลายผู้มีอำนาจปกครองเมืองโสโดมเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ประชาชนแห่งเมืองโกโมราห์เอ๋ย จงเงี่ยหูฟังคำสอนของพระเจ้าของเราเถิดจงล้าง จงชำระตนให้สะอาด จงนำกิจการชั่วร้ายของท่านออกไปให้พ้นจากสายตาของเรา จงเลิกทำความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำพร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงหม้าย”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด มาพิจารณาความด้วยกันกับเรา แม้บาปของท่านเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ แม้บาปของท่านจะเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีแดงเข้ม ก็จะขาวเหมือนขนแกะ ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟัง ท่านจะได้กินผลดีของแผ่นดิน แต่ถ้าท่านดื้อรั้นและเป็นกบฏ ท่านจะเป็นเหยื่อของคมดาบ เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้”



พระวรสารนักบุญมัทธิว ( มธ 23:1-12 )

ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า “พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้ว เขาทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’

ส่วนท่านทั้งหลาย อย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มี.ค. 07, 2012 3:01 pm

วันพุธที่ 7 มีนาคม 2012
ระลึกถึง น.แปร์เปตูอา และ นงเฟลีซีตัส มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 18:18-20

ชาวยิวที่คิดร้ายต่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวกันว่า“มาเถิด เราจงวางแผนปองร้ายประกาศกเยเรมีย์ เพราะว่าธรรมบัญญัติจะไม่สูญหายไปจากบรรดาสมณะ คำปรึกษาย่อมไม่ขาดไปจากบรรดาผู้มีปรีชา และการประกาศพระวาจาไม่ขาดไปจากบรรดาประกาศก มาเถิด เราจงพูดใส่ร้ายเขา อย่าไปสนใจฟังคำพูดของเขาเลย”
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงสนพระทัยข้าพเจ้า โปรดทรงฟังเสียงคู่อริของข้าพเจ้าเถิด ความชั่วเป็นการตอบแทนความดีหรือ เขากำลังขุดหลุมไว้ดักข้าพเจ้า โปรดทรงระลึกว่าข้าพเจ้าเคยยืนเฉพาะพระพักตร์ เพื่อทูลขอความดีให้เขา เพื่อหันพระพิโรธของพระองค์ไปจากเขา”


พระวรสาร มธ 20:17-28

เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกสิบสองคนออกไป แล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า “บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต และจะถูกมอบให้คนต่างชาติสบประมาทเยาะเย้ย โบยตีและนำไปตรึงกางเขน แต่วันที่สามบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ”
มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้”
เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าคนต่างชาติที่เป็นหัวหน้า ย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์”



ข้อคิด

พระให้สิ่งที่เป็นนิรันดร์ แต่มนุษย์มักปรารถนาสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มารดาของยากอบคิดเพียงเรื่องตำแหน่ง ชื่อเสียง แต่พระเยซูเจ้าเตือนนางว่า นางไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังขออะไร เพราะทุกสิ่งที่ได้มาย่อมต้องมีการจ่าย ยิ่งสิ่งใดมีราคาสูงยิ่งต้องจ่ายแพง และเรารู้ในภายหลังว่าสิ่งที่ยากอบบุตรของนางได้เลือกนั้นเป็นสิ่งที่สูงค่ากล่าวคือการเลือกที่จะประกาศความจริงเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าและท่านนักบุญยากอบต้องจ่ายคือชีวิตของท่านเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 08, 2012 2:51 pm

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2012
น.ยอห์น แห่งพระเจ้า นักบวช

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 17:5-10

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้“คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่งพลังของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใด ๆ ที่มาถึง เขาจะอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งในถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย”“คนที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมได้รับพระพร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความหวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากออกไปที่ลำน้ำ เมื่อความร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ เขาจะไม่กังวลใจในปีที่แห้งแล้ง จะไม่หยุดออกผล”จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้ “เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า สำรวจจิต และทดสอบใจ เพื่อจะตอบแทนแต่ละคน ตามความประพฤติของเขา”


พระวรสาร ลก 16:19-31

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า“เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า ‘ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้’

แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดี ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”
เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”


ข้อคิด

ความเชื่อเป็นรากฐานผลักดันให้คนเรากระทำสิ่งต่างๆตามที่เขาเห็นว่าดี การวางรากฐานความเชื่อในพระเจ้าซึ่งเป็นองค์ความดีบริบูรณ์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว กระนั้นก็ตามจะเห็นได้ว่าอัตตาของคนเรานั้นมักจะเข้ามามีบทบาทกำหนดชีวิตของตนเสมอ และมักจะนำชีวิตของตนไปสู่ความหลงได้ ดังที่มีกล่าวไว้ว่า คนเราเชื่อในสิ่งที่ตนอยากเชื่อ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจิตของคนเราเที่ยงตรงมากเพียงใด ไว้ใจได้จริงๆหรือ? การมอบความไว้วางใจในพระเจ้าและคำสอนของพระองค์จะไม่ดีกว่าและถูกต้องกว่าหรือ? อย่างน้อยเราก็ไม่หลงตัวเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มี.ค. 09, 2012 2:20 pm

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2012
น.ฟรังซิสกา ชาวโรม นักพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาลยรม ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28

ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่น ๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบชราแล้ว ยาโคบตัดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษให้โยเซฟ เมื่อพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่น ๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอมพูดดีด้วย
พี่ชายของโยเซฟไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาในบริเวณเมืองเชเคม อิสราเอลบอกโยเซฟว่า “พี่ ๆ ของลูกกำลังเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เชเคม มาซิ พ่อจะส่งลูกไปพบเขา” โยเซฟจึงตามไปพบพี่ชายที่เมืองโดธาน
พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกล ก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย เขาปรึกษากันว่า “ดูซิ เจ้าคนช่างฝันมาแล้ว มาเถิด เราจงฆ่ามัน โยนศพมันลงไปในบ่อ แล้วบอกว่า สัตว์ป่ากัดกินมันแล้ว เราจะได้เห็นกันว่า ฝันของมันจะเป็นจริงเพียงใด”
รูเบนได้ยินเข้าก็หาทางจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากเงื้อมมือน้อง ๆ ของตน จึงพูดว่า “อย่าถึงกับเอาชีวิตกันเลย” รูเบนยังเสริมอีกว่า “อย่าหลั่งเลือดเลย เพียงแต่โยนมันทิ้งไว้ในบ่อ ในถิ่นทุรกันดารก็พอแล้ว อย่าทำร้ายมันเลย” รูเบนแนะนำเช่นนี้เพื่อช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือของพี่ชาย แล้วจะนำไปส่งคืนให้บิดา เมื่อโยเซฟมาถึง พี่ชายก็ช่วยกันจับเขาถอดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษซึ่งเขาสวมอยู่ แล้วโยนเขาลงไปในบ่อ บ่อนั้นแห้งไม่มีน้ำ แล้วพี่ชายทุกคนก็นั่งลงกินอาหาร
ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำลังเดินทางมาจากแคว้นกิเลอาดจะไปประเทศอียิปต์ มีอูฐบรรทุกยางสน เครื่องเทศ และยางไม้หอมมาด้วย ยูดาห์จึงแนะนำพี่น้องว่า “ถ้าเราฆ่าน้อง และกลบเลือดไว้ จะได้อะไรขึ้นมาเล่า เราจงขายน้องแก่ชาวอิชมาเอลดี กว่า เราจะได้ไม่ต้องทำร้ายเขา เพราะเขาก็ยังเป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกับเรา” พี่น้องทุกคนก็เห็นด้วย
เวลานั้น พ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา ดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อ แล้วขายให้แก่ชาวอิชมาเอลเป็นราคาเงินหนักยี่สิบบาท พ่อค้าเหล่านี้จึงพาโยเซฟไปประเทศอียิปต์


พระวรสาร มธ 21:33-43,45-46

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า“ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา’
เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก
ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”
เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา จึงพยายามจับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก


ข้อคิด

คำอุปมานี้พูดถึงชีวิต และชัดเจนว่าคนเรานั้นคือผู้เช่าหรือผู้ที่พระมอบชีวิตให้ใช้ มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของชีวิตร้อยเปอร์เซ็นต์ ความจริงข้อนี้คนเราจะประจักษ์และเข้าใจได้เมื่อเจ็บป่วยหรือใกล้จะสิ้นชีวิต การฝึกจิตให้ตระหนักในความจริงข้อนี้เป็นคุณแก่ชีวิตของเราทุกคนเพราะจะทำให้เราไม่ประมาทและมีใจสุภาพถ่อมตน เมื่อคนเรามีใจถ่อมตนแท้จริง พระพรของพระก็จะเข้ามามีบทบาท พระพรที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าของชีวิตที่แท้จริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ มี.ค. 11, 2012 9:06 pm

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกมีคาห์ มคา 7:14-15,18-20

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ด้วยพระคทา ขอทรงเลี้ยงดูฝูงแกะอันเป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งอาศัยอยู่โดดเดี่ยวในป่าท่ามกลางภูเขาคาร์เมล ให้พวกเขาหากินอยู่ในแคว้นบาชานและกิเลอาดอย่างในโบราณกาล โปรดแสดงการอัศจรรย์ ดังเช่นเมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาจากดินแดนอียิปต์ ใครเป็นเหมือนพระองค์เล่า? เป็นพระเป็นเจ้าผู้ทรงยกโทษความผิด และทรงอภัยบาปแก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่จากกองมรดกของพระองค์ พระองค์มิทรงมีพระพิโรธตลอดไป แต่ทรงชื่นชมในพระเมตตา พระองค์จะทรงเมตตาชาวเราอีก และจะทรงเหยียบความผิดของเราไว้ พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปทั้งสิ้นของเราลงไปในทะเลลึก พระองค์จะทรงสำแดงความซื่อสัตย์ต่อยาโคบ และพระทัยเมตตาต่ออับราฮัม ดังที่ได้ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเราในกาลก่อน


พระวรสาร ลก 15:1-3,11-32

เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟัง“ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น
เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า “คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’” เขาก็กลับไปหาบิดา
ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา บุตรจึงพูดกับบิดาว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก” แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า “เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
ส่วนบุตรคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า “น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย” บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป แต่เขาตอบบิดาว่า “ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย”
บิดาพูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก”


ข้อคิด

คำอุปมาที่พระเยซูเจ้าสอนในวันนี้สะท้อนถึงความจริงดังต่อไปนี้ หนึ่ง มนุษย์ช่างจองหองและมั่นใจในตัวเองเหลือเกิน สอง พระเจ้าผู้เปรียบเสมือนบิดานั้นก็ช่างเพียรทนกับความจองหองของคนอย่างไม่น่าเชื่อ สาม ที่เพียรทนและรอคอยก็เพราะความรักที่มีต่อมนุษย์นั่นเอง สี่ ภาวะจิตใจของมนุษย์มักจะเกิดการเปรียบเทียบแล้วก็บดบังสิ่งมีค่าที่ตัวเองครอบครองอยู่ตลอดเวลา คือสิทธิ์ของการเป็นลูกและพระพรที่ได้รับอยู่เสมอแต่มองไม่เห็น ดังจิตของลูกชายคนโตนั่นเอง
แก้ไขล่าสุดโดย billa-bong เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 11, 2012 9:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ มี.ค. 11, 2012 9:08 pm

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 20:1-3,7-8,12-17

พระเจ้าตรัสถ้อยคำทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เป็นผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา
ท่านต้องไม่กล่าวพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่กล่าวพระนามของพระองค์อย่างไม่เหมาะสม
จงระลึกถึงวันสับบาโตว่าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านประทานให้ท่าน
อย่าฆ่าคน
อย่าล่วงประเวณี
อย่าลักขโมย
อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน”


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:22-25

พี่น้อง ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องขอดูอัศจรรย์ และชาวกรีกเสวงหาปรีชาญาณ เรากลับประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน อันเป็นข้อขัดข้องมิให้ชาวยิวรับไว้ได้และเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับชาวกรีก แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก พระคริสตเจ้าทรงเป็นทั้งพระอานุภาพและพระปรีชาญาณของพระเจ้า เพราะความโง่เขลาของพระเจ้ายังฉลาดยิ่งกว่าปรีชาญาณของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่าพละกำลังของมนุษย์



พระวรสาร ยน 2:13-25

เทศกาลปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายวัว พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระองค์ทรงใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ทุกคนรวมทั้งแกะและวัวออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจายเกลื่อนกลาด และทรงคว่ำโต๊ะของผู้แลกเงิน แล้วตรัสแก่คนขายนกพิราบว่า ‘จงนำของเหล่านี้ออกไป อย่าทำบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด’ บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ถึงคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟที่เผาผลาญข้าพเจ้า ชาวยิวจึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า ‘ท่านมีเครื่องหมายอะไรแสดงให้เรารู้ว่าท่านมีอำนาจทำดังนี้?’ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘จงทำลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน’ ชาวยิวกล่าวว่า ‘วิหารหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปี แล้วท่านจะสร้างขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?’ แต่พระองค์กำลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระวรกายของพระองค์ ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ดังนี้ เขาจึงเชื่อทั้งพระคัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้
ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา คนจำนวนมากเชื่อในพระนามของพระองค์เพราะได้เห็นเครื่องหมายต่างๆที่ทรงกระทำ แต่พระเยซูเจ้าไม่วางพระทัยในคนเหล่านั้นเพราะทรงรู้จักทุกคน พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดเป็นพยานในเรื่องมนุษย์เพราะทรงทราบดีว่ามีอะไรอยู่ในใจมนุษย์

ข้อคิด

พระวาจาที่ตรัสว่า อย่าทำให้บ้านของพระบิดาเราเป็นตลาดนั้น เป็นคำที่น่าคิด เพราะคำว่าบ้านนั้นมิได้หมายถึงเพียงตัวตึกหรือวิหารแต่หมายถึงจิตใจด้วย ภายหลังในพระธรรมใหม่นักบุญเปาโลก็สอนเช่นเดียวกันว่า ใจคนเรานั้นคือที่ประทับของพระจิตเจ้าเป็นวิหารใหม่ การทำให้ใจเป็นเหมือนตลาดคือใจที่เต็มไปด้วยการยึดติดกับสิ่งของต่างๆมากมาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง หน้าตา ความโลภ อคติ ความเกลียดชัง การแบ่งแยก ฯลฯ สรุปแล้ว สิ่งไม่จีรัง หรือภาพลวงใจทุกอย่างก็เปรียบเสมือนสินค้าที่นำมาขายในตลาด คนเรากำลังแลกเปลี่ยนหรือเลือกซื้ออะไร?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 12, 2012 2:10 pm

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 5:1-15

ในครั้งนั้น นาอามาน ผู้บัญชาการกองทัพของกษัตริย์แห่งอารัม เป็นคนสำคัญที่กษัตริย์ทรงยกย่องนับถืออย่างยิ่ง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ชาวอารัมโดยทางเขา แต่ชายฉกรรจ์ผู้นี้ป่วยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง ครั้งหนึ่ง เมื่อชาวอารัมออกไปปล้นแผ่นดินอิสราเอล เขาจับเด็กหญิงคนหนึ่งมาด้วย เด็กหญิงคนนั้นมาเป็นสาวใช้ของภรรยานาอามาน เธอบอกนายหญิงว่า “ถ้าเจ้านายผู้ชายเพียงแต่ไปหาประกาศกที่กรุงสะมาเรีย ประกาศกคงจะรักษาเจ้านายให้หายจากโรคได้” นาอามานไปเฝ้ากษัตริย์ ทูลว่าเด็กหญิงจากแผ่นดินอิสราเอลบอกอย่างนี้ กษัตริย์แห่งอารัมตรัสตอบว่า “ไปเถิด เราจะส่งสารไปถวายกษัตริย์แห่งอิสราเอล” นาอามานจึงออกเดินทางไป นำเงินหนักสามร้อยกิโลกรัม ทองคำหนักหกพันบาท พร้อมกับเสื้อผ้าอย่างดีสิบชุดไปด้วย เขานำสารไปถวายกษัตริย์แห่งอิสราเอลมีความว่า “พร้อมกับสารนี้ ข้าพเจ้าส่งนาอามานผู้รับใช้คนหนึ่งของข้าพเจ้ามาเฝ้าพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงรักษาเขาให้หายจากโรค” เมื่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงอ่านสารนั้นแล้ว ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ ตรัสว่า “ข้าเป็นพระเจ้า มีอำนาจให้ชีวิตหรือความตายได้กระนั้นหรือ เขาจึงส่งคนมาให้ข้ารักษา ดูซิ เห็นได้ชัดว่า เขาพยายามจะหาเรื่องกับข้า”
เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่ากษัตริย์ทรงฉีกฉลองพระองค์ ก็ส่งคนไปทูลกษัตริย์ว่า “พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ทำไม ขอพระองค์ทรงส่งชายคนนั้นมาหาข้าพเจ้า แล้วเขาจะรู้ว่ามีประกาศกในอิสราเอล” นาอามานจึงขึ้นรถม้าไปหยุดที่ประตูบ้านของเอลีชา เอลีชาใช้คนไปบอกเขาว่า “จงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง แล้วเนื้อหนังของท่านจะหายจากโรคและสะอาดเหมือนเดิม” นาอามานโกรธมากจึงจากไป กล่าวว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างน้อยเขาจะออกมายืน เรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา ใช้มือโบกตรงที่เป็นโรค และรักษาโรคให้หาย แม่น้ำอาบานาและปารปาร์ที่กรุงดามัสกัสไม่ดีไปกว่าน้ำทั้งหมดในอิสราเอลดอกหรือ ทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้นและหายจากโรคเล่า” เขาหันหลังกลับไปด้วยความโกรธ บรรดาผู้รับใช้ของเขาเข้ามาเตือนว่า “นายขอรับ ถ้าประกาศกบอกท่านให้ทำสิ่งยาก ท่านก็คงจะทำตามไม่ใช่หรือ บัดนี้ เขาบอกแต่เพียงว่า จงไปชำระตัว แล้วท่านจะหายจากโรค” นาอามานจึงลงไปจุ่มตัวลงในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้งตามที่คนของพระเจ้าบอก แล้วเนื้อหนังของเขาก็หายจากโรค สะอาดเหมือนผิวของเด็กเล็ก ๆ
นาอามานกับผู้ติดตามทุกคนกลับไปหาคนของพระเจ้า มายืนต่อหน้าเขา กล่าวว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั่วแผ่นดิน นอกจากพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้น ขอท่านกรุณารับของกำนัลจากผู้รับใช้ของท่านเถิด”


พระวรสาร ลก 4:24-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ตรัสกับประชาชนในศาลาธรรมว่า“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตนเราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”
เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าตรัสจี้ใจดำบรรดาชาวยิวที่ห้อมล้อมฟังพระองค์ คนยิวมีความเชื่อมั่นผิดๆอย่างหนึ่งคือ พระเป็นของพวกเขาแต่ผู้เดียว พระต้องรักพวกเขาเท่านั้นเพราะคำว่า ของเรา ของฉันนั้นมีนัยยะของการไม่ยอมแบ่งปันให้คนอื่น พระเยซูเจ้าจึงสอนความจริงที่พวกเขารู้สึกอึดอัดใจ หัวใจคนเรานั้นหากตั้งมั่นไว้ที่การแสวงหาความจริงแล้วไซร้ แม้คำพูดจะไม่ไพเราะหูหรือคุ้นเคย หัวใจดวงนั้นก็รับได้เพราะถือว่าเป็นความจริง ให้เราแสวงหาความจริงของชีวิตกันเถิด ความจริงเปรียบเหมือนน้ำแห่งชีวิต และน้ำกว้างใหญ่ไพศาล ตักกินไม่มีวันเหือดแห้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มี.ค. 14, 2012 1:17 pm

วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล ดนล 3:25,34-43

อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้“ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไป เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขออย่าทรงทำลายพันธสัญญาของพระองค์เลย ขออย่าทรงเพิกถอนพระกรุณาไปจากข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะเห็นแก่อับราฮัมมิตรสหายของพระองค์ เพราะเห็นแก่อิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ และเพราะเห็นแก่อิสราเอลผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาแก่เขาเหล่านี้ว่า จะให้เขามีลูกหลานมากมายดุจดวงดาวในท้องฟ้า ดุจเม็ดทรายบนชายทะเล
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายกลายเป็นชนชาติเล็กน้อยที่สุด บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอายทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มีผู้นำ ไม่มีประกาศก ไม่มีเจ้านาย ไม่มีเครื่องเผาบูชา ไม่มีเครื่องบูชา ไม่มีของถวาย ไม่มีการถวายกำยาน ไม่มีสถานที่ที่จะถวายผลิตผลแรกแด่พระองค์เพื่อจะได้รับพระกรุณา แต่ขอให้จิตที่ตรมตรอมและใจที่ถ่อมตนเป็นที่พอพระทัยพระองค์ ดังแกะเพศผู้และโคเพศผู้ที่ถวายเป็นเครื่องเผาบูชา ดังลูกแกะอ้วนพีนับพัน ๆ ตัวถวายพระองค์ ขอทรงพระกรุณารับข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเครื่องบูชาเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้ แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะติดตามพระองค์ต่อไป เพราะผู้ที่วางใจในพระองค์ย่อมไม่ได้รับความอับอาย
บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายติดตามพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ ยำเกรงพระองค์และแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องได้รับความอับอาย แต่โปรดทำกับข้าพเจ้าทั้งหลายตามพระกรุณา และตามพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์เถิด โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นด้วยกิจการอัศจรรย์ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพระเกียรติแก่พระนามของพระองค์เถิด”



พระวรสาร มธ 18:21-35

เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาท เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผลัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า “เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด”
เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า “กรุณาผลัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้” แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ให้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่น ๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า “เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ” กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้หมดสิ้น พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”



ข้อคิด

ในอาณาจักรสวรรค์หรือในสังคมของคนดีนั้น การอภัยความผิดเป็นสิ่งที่ถือว่ามีคุณค่า คนดีจะไม่ถือว่าการอภัยเป็นการขาดทุนหรือสูญเสีย แต่จะถือว่าเป็นคุณและกำไรที่ได้ฝึกจิตของตน จิตของคนเรานั้นมักยึดที่ความคิดเรื่องความยุติธรรม คนผิดก็ต้องถูกทำโทษ ซึ่งในหลักการก็ถือว่าถูกต้องแต่ถ้าหากวิเคราะห์ลึกลงไปถึงธรรมชาติของความยุติธรรมจะพบว่ามันเกี่ยวข้องกับความรักเมตตา การอภัยเป็นคุณสมบัติหนึ่งของความรักเมตตา ดังนั้นในสังคมของคนดีจึงมีการอภัยอยู่เสมอแม้คนทั่วไปจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ขาดทุนไม่คุ้มเพราะจะทำให้คนเหลิง ทำผิดแล้วก็ขอโทษ ขอโทษแล้วก็ทำผิดอีก จะจัดการกับคนที่ฉวยโอกาสนี้ได้อย่างไร? คำตอบคือให้เพียรทนเพราะสักวันหนึ่งหัวใจของเขาจะเข้าใจเองว่าการอภัยมีคุณค่ามากเพียงใด
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มี.ค. 14, 2012 1:18 pm

วันพุธที่ 14 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 4:1,5-9

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครองแผ่นดินซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่านดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รู้จักข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพื่อท่านจะได้ปฏิบัติตามในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปยึดครอง ท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ เพื่อชนชาติอื่น ๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจและปรีชาญาณ เมื่อเขาได้ยินคำพูดถึงข้อกำหนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า “ชนชาติยิ่งใหญ่นี้เท่านั้นเป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ” เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงสถิตอยู่ใกล้ชิดเรา ทุกครั้งที่เราร้องทูลพระองค์ ไม่มีชนชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีข้อกำหนดและกฎเกณฑ์เที่ยงธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำลังสอนท่านอยู่ในวันนี้
จงจำใส่ใจ จงทำทุกอย่างเพื่อจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นกับตาตราบที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้เลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บุตรหลานของท่านฟัง


พระวรสาร มธ 5:17-20

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป
ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์
เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย”


ข้อคิด

ภาพลักษณ์ของพระเยซูเจ้าดูเหมือนจะเป็นคนขวางๆ ไม่ถือกฏ ไม่เคารพธรรมเนียม คนที่ไม่ชอบพระองค์ก็จะกล่าวหาเช่นนั้น แต่อันที่จริงพระองค์ได้ก้าวไปไกลกว่าการถือกฏธรรมดา เพราะกฏมีข้อจำกัดในตัวมันเอง เช่น กฏถูกตั้งขึ้นมาบนสภาพแวดล้อมหนึ่งๆแต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป คนเปลี่ยนไป กฏก็พบปัญหาไม่เป็นไปตามครรลองที่ควรเป็น ดังนี้เป็นต้น พระเยซูเจ้ามาทำให้กฏสมบูรณ์แปลว่า เพิ่มความรักและความเข้าใจเข้าไปร่วมกับการใช้กฏด้วย ซึ่งจะทำให้เข้าถึงจิตตารมณ์ของกฏนั้นๆและสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม พระเยซูไม่ได้มาทำลายแต่มาทำให้สมบูรณ์ตามที่ควรจะเป็นและกฏที่ถาวรและยิ่งใหญ่ที่สุดคือกฏสวรรค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 15, 2012 10:50 pm

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 7:23-28

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เราได้สั่งเขาดังนี้ ‘จงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และท่านจะเป็นประชากรของเรา จงเดินตามทางที่เราจะสั่งท่านไว้ แล้วท่านจะได้อยู่อย่างเป็นสุข’ แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดำเนินตามแผนการในความดื้อกระด้างของใจชั่วของตน หันหลังให้เราแทนที่จะหันหน้า ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์จนทุกวันนี้
เราได้ส่งประกาศกผู้รับใช้ทุกคนของเราไปหาท่านทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมา แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดื้อดึงทำความชั่วมากกว่าบรรพบุรุษเสียอีก
ท่านจงไปบอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมดแก่เขา แต่เขาจะไม่ฟังท่าน ท่านจะเรียกเขา แต่เขาจะไม่ตอบ ท่านจงบอกเขาว่า ‘นี่คือชนชาติที่ไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตน และไม่ยอมรับคำสั่งสอน ความซื่อสัตย์ไม่มีอีกแล้ว หายไปจากปากของเขาแล้ว’”


พระวรสาร ลก 11:14-23

เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง”
บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใครเล่า พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่าง ๆ ไว้กับเรา ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป



ข้อคิด

เป็นการยากที่คนเราเมื่อเห็นคนอื่นทำดีแล้วจะดีใจ ทำไม? เพราะหัวใจของคนเราไม่เที่ยง เราจะทำให้หัวใจเราเที่ยงได้อย่างไร? คงต้องหันกลับไปถามใจว่า อยากเป็นคนดีจริงๆหรือ? ถ้าหัวใจบอกว่าอยากก็ให้เริ่มที่ความจริงใจ ต่อมาฝึกจิตให้เกิดความเที่ยงตรง และยุติธรรมทั้งกับตัวเองและผู้อื่น เมื่อเห็นคนอื่นทำดี ก็ต้องบอกว่าดี และฝึกอารมณ์ให้ยินดีตาม หัวใจต้องไม่พึงพอใจกับความชั่ว แต่ยินดีกับความดีงามทุกอย่าง เช่นนี้หัวใจก็จะค่อยๆหันมาที่ความเที่ยงตรงได้ อุปสรรคของความไม่เที่ยงตรงของหัวใจอยู่ที่อคติในรูปแบบต่างๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว ความใกล้ชิด รูปร่างหน้าตา ความงาม ความไม่สวย ฯลฯ ให้เราสวดภาวนาขอใจที่เที่ยงตรงทุกวันเถิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 15, 2012 10:55 pm

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา ฮชย 14:2-10

อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเถิด ท่านสะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำที่จะพูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลพระองค์ว่า “โปรดทรงลบล้างความผิดทั้งหมด และทรงรับสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำคำสรรเสริญจากปากมาถวายแทนโคเพศผู้ อัสซีเรียจะไม่ช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าอีก จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพเจ้าได้สร้างขึ้น อีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เพราะลูกกำพร้าพบพระกรุณาในพระองค์”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เราจะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างสำหรับอิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน กิ่งก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน เขาทั้งหลายจะกลับมานั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเรา เขาจะปลูกข้าวสาลีอีก จะทำให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอน เอฟราอิมจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพอีก เราเองจะตอบและดูแลเขา เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยงธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม


พระวรสาร มก 12:28-34

เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่น ๆ”

พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้”

ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใด ๆ ทั้งสิ้น”

พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย


ข้อคิด

เพราะพระเจ้าทรงรักชาวอิสราเอลด้วยเต็มพระทัย พระองค์จึง “ประสงค์ความรักมั่นคง”จากพวกเขาเป็นการตอบแทน ไม่ใช่เครื่องเผาบูชา (ฮชย 6:6)ด้วยเหตุนี้ แก่นแท้ของศาสนาจึงประกอบด้วย 2 สิ่ง
สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือ การทุ่มเท “ความรักทั้งหมด” แด่พระเจ้า เป็นความรักที่มีอำนาจเหนืออารมณ์และความรู้สึกของเรา(สุดจิตใจและสุดวิญญาณ) ความรักที่นำทางความคิดและทัศนคติของเรา(สุดสติปัญญา) และความรักที่เป็นพลังขับเคลื่อนการกระทำทั้งปวงของเรา(สุดกำลัง)
สิ่งที่สองคือการรักเพื่อนมนุษย์เพราะความรักต่อพระเจ้าจะแสดงออกได้ก็โดยการรักเพื่อนมนุษย์เท่านั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ มี.ค. 17, 2012 11:49 am

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2012
น.ปาตริก พระสังฆราช


บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา ชย 5:15ค,6:1-6

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อเขามีความทุกข์ เขาจะกระตือรือร้นแสวงหาเรา “มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เรา อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น วันที่สามจะทรงทำให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด พระองค์จะเสด็จมาอย่างแน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝน เหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิที่รดพื้นแผ่นดิน”
“เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนน้ำค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศกให้ทุบเขาทั้งหลายจนแหลกลาญ เราใช้คำพูดจากปากของเราฆ่าเขา คำพิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่าง เพราะเราต้องการความรักมั่นคง ไม่ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้า มากกว่าเครื่องเผาบูชา”



พระวรสาร ลก 18:9-14

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’
ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’
เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”


ข้อคิด

พระเจ้าทรงเรียกร้องชาวอิสราเอลให้กลับมาหาพระองค์ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักมั่นคง ไม่ใช่สักแต่เพียงถวายเครื่องเผาบูชา
ชีวิตที่ปราศจากความรักมักนำไปสู่การโอ้อวดตนเองและดูหมิ่นผู้อื่นให้พระเจ้าฟังเหมือนที่ชาวฟาริสีกระทำต่อเมื่อรักพระเยซูเจ้าและนำชีวิตของตนมาเทียบเคียงกับพระองค์นั่นแหละ คำภาวนาที่จะหลุดออกมาจากปากเหมือนคนเก็บภาษีก็คือ “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” และเมื่อนั้น “ผู้ที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 19, 2012 2:53 pm

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือพงศาวดาร ฉบับที่สอง 2 พศด 36:14-16,19-23

ปีแรกในรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระวาจาที่ตรัสโดยประกาศกเยเรมีย์เป็นความจริง จึงทรงดลใจกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียให้ทรงประกาศไปทั่วพระราชอาณาจักร และมีพระราชสาสน์เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยว่า “กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียตรัสว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ประทานอาณาจักรทั้งหลายบนแผ่นดินแก่เรา และพระองค์ทรงบัญชาให้เราสร้างพระวิหารถวายพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับทุกคนที่เป็นประชากรของพระองค์ และให้เขากลับขึ้นไปเถิด’”


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 2:4-10

พี่น้อง พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ได้ทรงสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อเรา เมื่อเราตายไปแล้ว เพราะการล่วงละเมิด พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เรากลับมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า ท่านได้รับความรอดพ้นก็เพราะพระหรรษทาน พระองค์โปรดให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเยซู โปรดให้เรามีที่นั่งในสวรรค์พร้อมกับพระองค์ท่าน เพื่อจะได้ทรงแสดงพระหรรษทานอันอุดมล้นเหลือของพระองค์แก่มนุษย์ทุกยุคสมัยในอนาคต โดยทรงพระกรุณาต่อเราในพระคริสตเยซู ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้มิได้มาจากท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่จากการกระทำใดๆของท่าน เพื่อมิให้ใครโอ้อวดตนได้ เรานั้นเป็นผลงานของพระองค์ ถูกสร้างมาในพระคริสตเยซูเพื่อให้ประกอบกิจการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดล่วงหน้าให้เราปฏิบัติ

พระวรสาร ยน 3:14-21

เวลานั้น พระเยซูตรัสกับนิโคเดมัสว่า “โมเสสได้ยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงได้ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือ ความสว่างได้เข้าในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่าง และไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อการกระทำของเขานั้นจะปรากฏว่าได้กระทำเดชะพระเจ้า’

ข้อคิด

พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ได้แสดงความรักใหญ่หลวงต่อชาวอิสราเอลด้วยการนำพวกเขากลับจากการเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนทุกวันนี้ พระองค์ทรงแสดงความรักใหญ่หลวงกว่าอีกต่อมนุษย์ทุกคน ด้วยการส่งพระบุตรแต่เพียงพระองค์เดียวมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้นผู้ที่เชื่อในพระองค์ก็จะได้รับพระหรรษทาน เป็นอิสระจากความชั่ว ประกอบกิจการดีรักความสว่างมากกว่าความมืด และมีชีวิตนิรันดร
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 19, 2012 2:53 pm

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2012
สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนางพรหมจารีมารีย์


บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง 2 ซมอ 7:4-5ก,12-14ก,16

ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เมื่อท่านสิ้นชีวิตในวัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เขาจะเป็นผู้สร้างวิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลูกหลานของเขาเป็นกษัตริย์ครองราชย์ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’”


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 4:13,16-18,22

พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้ครอบครองโลกเป็นมรดกนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของอับราฮัม มิใช่เพียงให้ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเท่านั้น แต่รวมถึงเชื้อสายทุกคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมซึ่งเป็นบิดาของเราทุกคนด้วย ดังที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมากอับราฮัมเป็นบิดาของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าที่อับราฮัมเชื่อ และทรงเป็นผู้นำคนตายให้คืนชีพ และทรงทำให้สิ่งที่ยังไม่มีภาวะความเป็นอยู่ได้มีภาวะความเป็นอยู่
แม้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง แต่อับราฮัมก็หวังและเชื่อว่า เขาจะเป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมากสมจริงตามพระสัญญาที่ว่า ลูกหลานของเจ้าจะมีจำนวนมากเช่นนั้น นี่คือความเชื่อซึ่งนับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเขา


พระวรสาร ลก 2:41-51

โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น
ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าคือผู้ที่ทำให้พระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัมและดาวิดสำเร็จเป็นจริงผู้ที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และเป็นแบบอย่างความเชื่อให้แก่พระองค์ นอกจากพระแม่มารีย์แล้ว ก็คือนักบุญโยเซฟ
แม้ฐานะจะยากจน แต่ท่านก็ยอมสูญเสียรายได้และยอมแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการพาครอบครัวไปร่วมฉลองปัสกาที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มทุกปี ท่านเป็นแบบอย่างของผู้ที่เชื่อและยึดมั่นในพระเจ้ามากกว่าธุรกิจ
นอกจากนั้น ท่านยังยอมรับและส่งเสริมให้พระองค์เรียนรู้และค้นพบความสัมพันธ์พิเศษกับ“พระบิดา”อย่างต่อเนื่อง ท่านเชื่อพระเจ้าและรำพึงอยู่เสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร มี.ค. 20, 2012 4:34 pm

วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 47:1-9,12

ในครั้งนั้น เขานำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก น้ำนี้ไหลลงมาจากใต้ด้านขวาของพระวิหาร ทางทิศใต้ของพระแท่นบูชา เขานำข้าพเจ้าออกไปทางประตูด้านเหนือ และพาข้าพเจ้าอ้อมภายนอกจนถึงประตูชั้นนอกซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นว่าน้ำนี้ไหลออกมาทางด้านขวา ชายผู้นั้นเดินออกไปทางตะวันออก ถือเชือกวัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขานำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำลึกเพียงตาตุ่ม เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำลึกถึงเข่า เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำนั้นลึกถึงบั้นเอว เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอก บัดนี้เป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำสูงขึ้นเป็นน้ำที่ต้องว่ายข้าม เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่น้ำ เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จำนวนมากบนฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “น้ำนี้ไหลไปทางทิศตะวันออก ลงไปถึงลุ่มแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปในทะเล ก็ทำให้น้ำทะเลจืด แม่น้ำนี้ไปถึงที่ใด สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในนั้นก็จะมีชีวิต จะมีปลาจำนวนมาก เพราะน้ำนี้ไหลไปถึงที่ใด น้ำทะเลก็จืด แม่น้ำไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต ตามฝั่งทั้งสองฟากของแม่น้ำต้นไม้ผลทุกชนิดจะเจริญเติบโต ใบของมันจะไม่เหี่ยวแห้ง และผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะว่าน้ำที่หล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ไหลมาจากสักการสถาน ผลของต้นไม้เหล่านี้ใช้เป็นอาหาร และใบก็ใช้เป็นยารักษาโรค”


พระวรสาร ยน 5:1-3ก,5-16

หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็มาถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่า เบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อน้ำกระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอน และเดินไปเถิด” ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอน และเริ่มเดินไป
วันนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอนไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอน และเดินไปเถิด’” เขาเหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอน และเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว
ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกในพระวิหาร จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน”
ชายผู้นั้นจากไป แล้วบอกกับชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ชาวยิวเริ่มเบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำการนี้ในวันสับบาโต

ข้อคิด

คนสมัยก่อนเคารพในพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำ แต่พระเยซูเจ้าทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าน้ำในสระเบเธสดาเสียอีกการนอนเจ็บป่วยเป็นเวลานานถึง 38 ปี หรือการจมอยู่กับปัญหาเป็นเวลานานอาจทำให้บางคนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังและยอมแพ้ แต่หากเรามุ่งมั่นที่จะเยียวยารักษาและพยายามทำในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้อย่างเช่น ลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอน และเดิน โดยเชื่อฟังและร่วมมือกับพระเยซูเจ้า ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
พร้อมกับพระองค์ เราสามารถชนะสิ่งที่เคยชนะเราตลอดมา !นั่นคือยอมรับความช่วยเหลือและการนำทางจากพระเยซูเจ้า อันจะเปลี่ยนความอ่อนแอให้เป็นความเข้มแข็ง ความผิดหวังเป็นความสำเร็จความตึงเครียดเป็นสันติสุขนี่คือหนทางสู่ชีวิตนิรันดรที่พระเจ้าจะไม่มีวันลืม !
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 22, 2012 3:43 pm

วันพุธที่ 21 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 49:8-15

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน ในวันแห่งความรอดพ้น เราจะช่วยเหลือท่าน เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร เพื่อทำให้แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกทำลายแล้วให้ท่านอีก บอกผู้ถูกจองจำว่า ‘จงออกมาเถิด’ บอกผู้ที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงแสดงตัวเถิด’ เขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนฝูงแกะที่หากินตามถนน และที่สูงโล่งจะเป็นทุ่งหญ้าของเขา เขาจะไม่หิวหรือกระหายอีก ลมร้อนและดวงอาทิตย์จะไม่ทำร้ายเขา เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสารเขาจะทรงนำเขา จะทรงนำเขาไปยังพุน้ำ เราจะทำให้ภูเขาทุกลูกของเราเป็นทางเดิน ทางหลวงของเราจะอยู่บนที่สูง ดูซิ คนเหล่านี้จะมาจากแดนไกล บางคนจะมาจากทิศเหนือ บางคนจะมาจากทิศตะวันตก บางคนจะมาจากแผ่นดินซีนิม
ท้องฟ้าเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความยินดี แผ่นดินเอ๋ย จงชื่นชมเถิด ภูเขาทั้งหลาย จงโห่ร้องด้วยความยินดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลอบโยนประชากรของพระองค์ และทรงสงสารผู้มีความทุกข์ แต่ศิโยนพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว” “หญิงคนหนึ่งจะลืมบุตรที่ยังกินนม และจะไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนางได้หรือ” แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย


พระวรสาร ยน 5:17-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นกัน” เพราะคำยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้ เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ละเมิดวันสับบาโตเท่านั้น แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของพระองค์อีกด้วย ซึ่งเป็นการทำตนเสมอพระเจ้า
พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรไม่ทำสิ่งใดตามใจของตน แต่ทำเฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำเท่านั้น เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ พระบุตรก็ย่อมกระทำเช่นเดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และจะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจ พระบิดาทรงทำให้ผู้ตายกลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น เพราะพระบิดาไม่ทรงพิพากษาผู้ใด แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดให้พระบุตร เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร ดังที่เขาถวายพระเกียรติแด่พระบิดา ผู้ที่ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร ก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงส่งพระบุตรมา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นกำลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรพระเจ้า และผู้ที่ได้ยินแล้วจะมีชีวิต เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใด พระองค์ก็ประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษา เพราะพระบุตรทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์ ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในหลุมศพจะได้ยิน พระสุรเสียงของพระบุตร และจะออกมา ผู้ที่ได้ทำความดีจะกลับคืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์ เราทำอะไรตามใจของเราไม่ได้ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และคำพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้แสวงหาที่จะทำตามใจของเรา แต่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา


ข้อคิด

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ลืม จะช่วยเหลือ และจะปกป้องประชากรของพระองค์ หากว่าเขาฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าและเชื่อในผู้ที่ทรงส่งพระองค์มา
นั่นคือเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ อันจะนำเราไปสู่ความสัมพันธ์ใหม่กับพระองค์
นั่นคือยอมรับวิถีทางดำเนินชีวิตที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอน อันจะเปลี่ยนความเกลียดชังให้เป็นความรัก ความโกรธแค้นเป็นการให้อภัย ความเห็นแก่ตัวเป็นการรับใช้
นั่นคือยอมรับความช่วยเหลือและการนำทางจากพระเยซูเจ้า อันจะเปลี่ยนความอ่อนแอให้เป็นความเข้มแข็ง ความผิดหวังเป็นความสำเร็จความตึงเครียดเป็นสันติสุขนี่คือหนทางสู่ชีวิตนิรันดรที่พระเจ้าจะไม่มีวันลืม !
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 22, 2012 4:01 pm

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 32:7-14

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชาชนของท่านซึ่งท่านได้นำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ได้ทำผิดอย่างสาหัส เขาเปลี่ยนวิถีทางอย่างรวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึ้น แล้วกราบนมัสการ ทั้งยังถวายบูชาแก่รูปนั้น พร้อมกับกล่าวว่า ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเป็นพระเจ้าของท่านผู้ทรงนำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสต่อไปว่า “เรารู้จักคนเหล่านี้ดี เขาดื้อดึงเหลือเกิน อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะเผาผลาญเขาทั้งหลาย และเราจะทำลายเขาเสีย เราจะทำให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่”
โมเสสอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงนำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์เล่า” ทำไมจะให้ชาวอียิปต์เยาะเย้ยได้ว่า “พระองค์ทรงนำเขาออกมาด้วยความประสงค์ร้าย จะฆ่าเสียที่ภูเขา จะทำลายให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน ขอทรงระงับพระพิโรธเถิด ขอทรงเปลี่ยนพระทัยอย่าทำร้ายประชากรของพระองค์เลย ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ผู้รับใช้ของพระองค์เถิด พระองค์ทรงสัญญากับเขาโดยทรงสาบานอาศัยพระนามของพระองค์ว่า เราจะให้ลูกหลานของท่านมีจำนวนมากมายเหมือนดาวในท้องฟ้า เราจะให้แผ่นดินที่เราสัญญาไว้นี้ทั้งหมดแก่ลูกหลานของท่าน และเขาจะครอบครองเป็นมรดกตลอดไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากรของพระองค์



พระวรสาร ยน 5:31-47

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง คำยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันให้เรา และเรารู้ว่า คำยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง
ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์น และยอห์นก็ได้เป็นพยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ต้องการคำยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าวเช่นนั้นเพื่อท่านทั้งหลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวที่จุดอยู่ ท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมกับแสงสว่างของเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แต่เรามีคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำยืนยันของยอห์น คืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เรากระทำจนสำเร็จ งานที่เรากำลังกระทำอยู่นี้ เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ยังทรงเป็นพยานถึงเราอีกด้วย ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ทั้งไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์ และพระวาจาของพระองค์ไม่เคยอยู่ในท่าน เพราะท่านไม่มีความเชื่อ ในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา ท่านทั้งหลายค้นคว้าพระคัมภีร์ เพราะคิดว่า ท่านจะพบชีวิตนิรันดรได้ในพระคัมภีร์นั้น พระคัมภีร์นี้เองเป็นพยานถึงเรา แต่ท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะมีชีวิต เราไม่ต้องการเกียรติจากมนุษย์ แต่เรารู้จักท่านทั้งหลาย เรารู้ดีว่าท่านไม่รักพระเจ้าเลย เรามาในพระนามของพระบิดา แต่ท่านทั้งหลายมิได้ต้อนรับเรา ถ้าผู้อื่นมาในนามของตน ท่านทั้งหลายก็ต้อนรับเขา แล้วท่านจะมีความเชื่อได้อย่างไร เมื่อท่านแสวงหาเกียรติจากกันและกัน แต่ไม่แสวงหาเกียรติที่มาจากพระเจ้าพระองค์เดียว ท่านทั้งหลายอย่าคิดว่า เราจะกล่าวหาท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา ผู้ที่กล่าวหาท่านมีอยู่แล้ว คือโมเสส ซึ่งท่านไว้วางใจ ถ้าท่านเชื่อโมเสสจริง ๆ แล้ว ท่านก็คงจะเชื่อเราด้วย เพราะโมเสสได้เขียนถึงเรา แต่ถ้าท่านไม่เชื่อข้อเขียนของโมเสสแล้ว ท่านจะเชื่อวาจาของเราได้อย่างไร”


ข้อคิด

พระคัมภีร์เป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า แต่เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ศึกษาและเชี่ยวชาญพระคัมภีร์มากที่สุดอย่างชาวยิว กลับไม่ยอมรับพระองค์ ?สาเหตุประการแรกคือพวกเขาปิดใจจากพระเจ้า แทนที่จะศึกษาพระคัมภีร์เพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์ พวกเขากลับแสวงหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนทฤษฎีของตนเอง อันที่จริงพวกเขาไม่ได้รักพระเจ้า แต่รักความคิดของตนเกี่ยวกับพระองค์

สาเหตุประการที่สองคือพวกเขายึดมั่นและบูชาถ้อยคำในพระคัมภีร์ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในอดีต โดยลืมไปว่าทุกสิ่งในพระคัมภีร์ล้วนมุ่งหน้าและนำไปสู่พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นจุดสูงสุดของการเผยแสดงของพระเจ้า
บทบาทของพระคัมภีร์นั้นมิใช่ให้ชีวิต แต่เป็นพยานถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นชีวิต !
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มี.ค. 23, 2012 12:46 pm

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2012
น.ตูรีบิโอ แห่งมอนโกรเวโย พระสังฆราช


บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ อปชญ 2:1ก,12-22

ผู้ไม่ยำเกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า“เราจงดักซุ่มทำร้ายผู้ชอบธรรม เพราะเขาทำให้เรารำคาญใจ เขาต่อต้านกิจการของเรา เขาตำหนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าวหาว่าเราไม่ปฏิบัติตามการอบรมที่ได้รับ เขาอ้างว่าเขารู้จักพระเจ้า เรียกตนเองว่าเป็นบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเขาเป็นการติเตียนความรู้สึกนึกคิดของเรา เพียงแต่เห็นเขา เราก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิตของเขาไม่เหมือนกับผู้อื่น ความประพฤติของเขาก็ต่างกับของเรามาก เขาคิดว่าเราเป็นคนไร้ค่า เขาหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตของเราประหนึ่งว่าเป็นสิ่งปฏิกูล เขาประกาศว่าผู้ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย อวดอ้างว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเขา เราจงดูเถิดว่าคำพูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสูจน์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่เขาในวาระสุดท้าย ถ้าผู้ชอบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงปกป้องเขา และทรงช่วยเขาให้พ้นเงื้อมมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยนเพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใดเราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา”
ผู้ไม่ยำเกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายทำให้เขาตาบอด เขาไม่รู้แผนการเร้นลับของพระเจ้า เขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เชื่อว่าพระองค์จะประทานรางวัลแก่ผู้ดำเนินชีวิตไร้ตำหนิ


พระวรสาร ยน 7:1-2,10,25-30

หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้นยูเดียเพราะชาวยิวกำลังพยายามจะฆ่าพระองค์
งานฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของพระองค์ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบ ๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น
ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนี้กำลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน”
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา
คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง


ข้อคิด

ยากที่ผู้ไม่ยำเกรงพระเจ้าจะยอมรับและอยู่ร่วมกับผู้ชอบธรรมได้ ชาวยิวและพระเยซูเจ้าก็ไม่อาจก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ได้!
ชาวยิวเชื่อว่าพระเมสสิยาห์จะ “ปรากฏ” มาอย่างฉับพลันโดยไม่มีผู้ใดรู้ว่าเสด็จมาจากไหน พวกเขาหลงคิดว่าจะพบพระเจ้าได้ก็เฉพาะในปรากฏการณ์ไม่ปกติ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งในข้อจำกัดของพวกเขาเพราะพระองค์ไม่เคยจากเราไปไหนในยามปกติ
แต่ข้อจำกัดเหนืออื่นใดก็คือ พวกเขารับไม่ได้ที่พระองค์ตรัสชนิดที่ไม่มีมนุษย์คนใดมีสิทธิจะพูดได้เหมือนพระองค์ “เรารู้จักพระเจ้า เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา”
หากสิ่งที่พระองค์ตรัสไม่เป็นความจริง พระองค์ก็กล่าวผรุสวาทตามที่ชาวยิวกล่าวหา แต่หากสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นความจริงล่ะ เราจะตอบรับพระองค์อย่างไร ?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:51 pm

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 11:18-20

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิดเผยแผนร้ายของเขาทั้งหลายแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึ่งถูกนำมายังที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงทำลายต้นไม้ที่กำลังงอกงาม เราจงกำจัดเขาออกจากแผ่นดินของผู้เป็น ชื่อของเขาจะได้ไม่มีผู้ใดระลึกถึงอีกเลย”
บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม ทรงทดสอบทั้งความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว


พระวรสาร ยน 7:40-53

เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็นประกาศกจริง ๆ” บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่า พระคริสตเจ้าจะต้องมาจากราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่” ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม
ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถามเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายไม่นำเขามาด้วยเล่า” ทหารยามตอบว่า “ไม่มีคนใดพูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย” ชาวฟาริสีถามว่า “ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหัวหน้าหรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว”
ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้นกล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำให้การของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำอะไรเสียก่อน”
เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจากแคว้นกาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน


ข้อคิด

การได้ฟังพระเยซูเจ้าคือประสบการณ์สุดยอดที่แม้แต่ยามรักษาพระวิหารก็ยังชื่นชอบชาวยิวบางคนถึงกับยอมรับว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า แต่น่าเสียดายที่ประสบการณ์ดี ๆ ของพวกเขากลับต้องเป็นหมันไปเพียงเพราะขัดกับทฤษฎีที่ว่าพระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีไม่ได้
ชาวฟาริสีนั้นถือตนว่าเป็นคนฉลาด รู้และปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด พวกเขาคิดว่าตนดีเกินกว่าจะต้องการพระเยซูเจ้าและพยายามกำจัดพระองค์ให้พ้นจากหนทางของพวกเขา
ส่วนนิโคเดมัสนั้น ใจก็อยากจะปกป้องพระเยซูเจ้า แต่หัวคิดสอนเขาว่าอย่าเสี่ยง พวกเราหลายครั้งก็เดินตามนิโคเดมัส นั่นคือเลือกที่จะเงียบแทนการเสี่ยงแสดงตนอยู่ข้างพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:52 pm

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 31:31-34

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ดูซิ วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ จะไม่เหมือนกับพันธสัญญาที่เราทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา เมื่อเราจูงมือเขาให้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เขาได้ละเมิดพันธสัญญานั้น แม้ว่าเราเป็นเจ้านายของเขา” – องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส - นี่จะเป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลเมื่อเวลานั้นมาถึง” - องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส - “เราจะใส่ธรรมบัญญัติของเราไว้ภายในเขา เราจะเขียนธรรมบัญญัติไว้ในใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา ไม่มีผู้ใดจะต้องสอนเพื่อนบ้านของตน หรือบอกพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด’ เพราะทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด” – องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส - “เราจะให้อภัยความผิดของเขา และจะไม่ระลึกถึงบาปของเขาอีกต่อไป”


บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 5:7-9

พี่น้อง ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐาน ทูลอ้อนวอนคร่ำครวญและร่ำไห้ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้ พระเจ้าก็ได้ทรงสดับเพราะความเคารพยำเกรงของพระเยซูเจ้า ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน และเมื่อทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็ทรงกลับเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์


พระวรสาร ยน 12:20-33

ผู้ที่ขึ้นไปนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็มในงานฉลองนั้น บางคนเป็นชาวกรีก เขาไปหาฟิลิป ซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดา ในแคว้นกาลิลี แล้วถามว่า ‘ท่านครับ พวกเราอยากเห็นพระเยซูเจ้า’ ฟิลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟิลิปจึงไปทูลพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดิน และตายไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร ถ้าผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา บัดนี้ จิตใจของเราหวั่นไหว เราจะพูดอะไรเล่า จะกล่าวว่า ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้กระนั้นหรือ? หามิได้ แต่เพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าได้มาถึงเวลานี้ ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระนามของพระองค์เถิด!”
แล้วมีเสียงดังจากฟ้าว่า ‘เราได้ให้พระสิริรุ่งโรจน์แล้ว และจะให้อีก’ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียง จึงพูดว่า “ฟ้าร้อง” แต่บางคนว่า ‘ทูตสวรรค์ได้พูดกับเขา’ 30พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เสียงนี้เกิดขึ้นมิใช่เพื่อเรา แต่เพื่อท่านทั้งหลาย บัดนี้ ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกแล้ว บัดนี้ เจ้านายแห่งโลกนี้กำลังจะถูกขับไล่ออกไป และเมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา’พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้ แสดงว่า พระองค์ทรงทราบว่าจะสิ้นพระชนม์อย่างไร

ข้อคิด

หลังจากรอดพ้นเงื้อมมือของชาวยิวมาได้หลายครั้งหลายครา ที่สุดเวลาแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าก็มาถึง เวลาที่พระองค์จะต้องถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน เวลาที่พระองค์จะดึงดูดทุกคนมาหาพระองค์เพื่อ“พระเจ้าจะให้อภัยความผิดของเขา และจะไม่ระลึกถึงบาปของเขาอีกต่อไป”
แม้จิตใจจะหวั่นกลัว แต่เมื่อ “เวลานี้”มาถึง พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังพระบิดาโดยการยอมรับทรมานและความตายบนไม้กางเขน เพื่อให้บังเกิดผลเป็นชีวิตนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์
สำหรับพระองค์ ความตายและพระสิริรุ่งโรจน์คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน !
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:53 pm

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2012
สมโภชการแจ้งสารเรื่องพระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 7:10-14

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกษัตริย์อาหัสอีกว่า “จงขอพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ ให้ทรงส่งเครื่องหมายจากที่ลึกของแดนผู้ตาย หรือจากที่สูงเบื้องบนเถิด”แต่กษัตริย์อาหัสตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทูลขอ เราจะไม่ทดลอง องค์พระผู้เป็นเจ้า”
ประกาศกอิสยาห์จึงทูลว่า “พงศ์พันธุ์กษัตริย์ดาวิดเอ๋ย จงฟังเถิด ท่านทำให้มนุษย์เอือมระอายังไม่พออีกหรือ ทำไมท่านจึงทำให้พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเอือมระอาอีกเล่า ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานเครื่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย และนางจะเรียกเขาว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา”


บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 10:4-10

เลือดโคเพศผู้และเลือดแพะชำระบาปให้หมดสิ้นไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาในโลก จึงตรัสว่า “พระองค์ไม่มีพระประสงค์เครื่องบูชาและของถวายอื่นใด พระองค์จึงทรงเตรียมร่างกายไว้ให้ข้าพเจ้า พระองค์ไม่พอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ในม้วนหนังสือมีข้อความเขียนเกี่ยวกับข้าพเจ้าไว้ว่า ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์”
พระคริสตเจ้าตรัสเป็นอันดับแรกว่าพระเจ้าไม่มีพระประสงค์และไม่พอพระทัยในเครื่องบูชา ของถวาย เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาชดเชยบาป ทั้ง ๆ ที่มีกำหนดไว้ในธรรมบัญญัติ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ พระคริสตเจ้าจึงทรงยกเลิกการถวายบูชาแบบเดิมและทรงตั้งการถวายบูชาแบบใหม่ขึ้นแทน โดยพระประสงค์นี้เองเราทั้งหลายได้รับความศักดิ์สิทธิ์ เดชะการถวายพระวรกายของพระองค์เป็นการบูชาที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกระทำแต่เพียงครั้งเดียวโดยมีผลตลอดไป


พระวรสาร ลก 1:26-38

เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน” เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร
แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า “มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลย” พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้ง ๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใคร ๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”
พระนางมารีย์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป

ข้อคิด

ดาเนียลคืนความยุติธรรมให้แก่นางสุสันนาผู้บริสุทธิ์ส่วนพระเยซูเจ้าทรงเมตตาหญิงที่ถูกจับขณะล่วงประเวณีซึ่งตามกฎหมายมีโทษถึงตาย (ลนต 20:10)จนดูเหมือนพระองค์กำลังขัดขวางกระบวนการยุติธรรม และทำให้บรรดาธรรมาจารย์และฟาริสีมีเหตุปรักปรำพระองค์
พระองค์ทรงเสี่ยงรับความตายแทนนาง !เช่นเดียวกันเรา “ทุกคนกระทำบาปและขาดพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (รม 3:23) และสมควรตายเช่นเดียวกับนางเพราะ “ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย” (รม 6:23) ในเมื่อพระองค์ทรงแบกรับความตายแทนเราแล้ว “จงไปเถิด และตั้งแต่บัดนี้ไป อย่าทำบาปอีก”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:54 pm

วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต



บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี กดว 21:4-9

ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยงแผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทางประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากประเทศอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้เล่า ที่นี่ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว”
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำบาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเสียเถิด” โมเสสจึงอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำงูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ที่ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต


พระวรสาร ยน 8:21-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาเหล่านั้นอีกว่า“เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง แต่เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน”
เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร”
พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษา เกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้”
คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น และรู้ว่าเราไม่ทำอะไรตามใจตนเอง แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะเราทำตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์

ข้อคิด

ชาวอิสราเอลรอดชีวิตจากพิษร้ายของงูได้ก็เพราะรูปงูโลหะที่ติดไว้บนเสาส่วนเรารอดจากพิษร้ายของบาปได้ก็เพราะพระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน
หากเราไม่เชื่อฟังและปฏิเสธการรักษาของแพทย์ เราย่อมตายเพราะโรคร้ายฉันใด หากเราปฏิเสธการรักษาของพระเยซูเจ้าและไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ที่พระองค์ทรงเป็น เราก็จะตายเพราะบาปของเราฉันนั้น
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระบิดาทรงส่งมาเพื่อนำความรัก การให้อภัย คำสั่งสอน พละกำลัง และพระหรรษทานมาประทานแก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มี.ค. 28, 2012 2:04 pm

วันพุธที่ 28 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล ดนล 3:14-20,24-25,28

ในครั้งนั้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความจริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่เราตั้งไว้ บัดนี้ เมื่อท่านได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุงและเครื่องดนตรีทุกชนิด จงเตรียมพร้อมที่จะกราบนมัสการรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น ถ้าท่านไม่ยอมทำเช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลงทันที แล้วพระเจ้าใดเล่าจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้”
ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ ข้าแต่พระราชา ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระอานุภาพของพระองค์ได้ แม้พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงช่วย ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น”
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนเป็นดุดันต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า และรับสั่งให้ทหารบางคนที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ประหลาดพระทัยมาก ทรงลุกขึ้นทันที ตรัสกับบรรดาข้าราชบริพารว่า “พวกเรามัดชายสามคนโยนลงไปในไฟมิใช่หรือ” เขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสต่อไปว่า “แต่เราเห็นชายสี่คนไม่ถูกมัดกำลังเดินอยู่กลางเปลวไฟโดยไม่ได้รับอันตรายเลย ใบหน้าของชายคนที่สี่นั้นคล้ายกับใบหน้าของเทพบุตร”
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสว่า “ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าของชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยกอบกู้ผู้รับใช้ที่วางใจในพระองค์ เขายอมละเมิดคำสั่งของเรา และยอมพลีร่างกายดีกว่าที่จะรับใช้และนมัสการเทพเจ้าอื่นนอกจากพระเจ้าของตน”



พระวรสาร ยน 8:31-42

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า
“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”
คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไรว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะวาจาของเราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์ พระบิดา ท่านทั้งหลายก็ทำตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย”
คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม”
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำกิจการของอับราฮัมเถิด แต่บัดนี้ ท่านกำลังพยายามจะฆ่าเรา ซึ่งเป็นคนที่บอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง อับราฮัมไม่เคยกระทำเช่นนี้เลย ท่านไม่กระทำกิจการของอับราฮัม แต่กระทำกิจการของบิดาของท่าน คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา”

ข้อคิด

พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกให้รอดชีวิตและเป็นอิสระจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์
ส่วนพระเยซูเจ้าทรงใช้“ความจริง”ทำให้เราเป็นอิสระจากตัวตนของเราเอง จากบาป จากความกลัวตายและจากความกลัวขี้ปากของคนอื่น
เพื่อจะรู้ “ความจริง”หนทางเดียวก็คือ“ยึดมั่นในวาจาของพระเยซูเจ้า” โดยเริ่มด้วยการเปิดใจฟังพระวาจาและเปิดตาอ่านพระคัมภีร์ ศึกษาให้เข้าใจ ไตร่ตรองให้รู้แจ้งเห็นจริง จากนั้นนบนอบเชื่อฟังด้วยการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
เท่านี้เราก็เป็นศิษย์ของพระองค์อย่างแท้จริง !
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 29, 2012 8:33 am

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 17:3-9

ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราให้ไว้กับท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจำนวนมาก ท่านจะไม่ชื่อว่าอับรามอีกแล้ว ท่านจะมีชื่อใหม่ว่าอับราฮัม เพราะเราจะทำให้ท่านเป็นบิดาของชนชาติจำนวนมาก เราจะทำให้ท่านมีลูกหลานจำนวนมากยิ่ง ๆ ขึ้น จะให้ท่านเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กับท่าน และกับลูกหลานของท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่อย่างคนแปลกหน้าถิ่นนี้คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ลูกหลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย”
พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้องรักษาพันธสัญญาของเราไว้ นี่คือพันธสัญญาของเราซึ่งท่านจะต้องรักษาไว้คือพันธสัญญากับท่านและกับลูกหลานของท่านที่จะตามมาภายหลัง ผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าสุหนัต



พระวรสาร ยน 8:51-59

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลยชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นกัน แต่ท่านพูดว่า ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย” ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ที่ให้เกียรติเราคือพระบิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า “เป็นบิดาของท่าน” แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า “เราไม่รู้จักพระองค์” เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ อับราฮัม บิดาของท่านได้ยินดี ที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว
ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น”คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร


ข้อคิด

อับราฮัมรักษาพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับท่านด้วยการเข้าสุหนัต กระนั้นท่านก็ยังต้องตาย ดังที่ประกาศกเศคาริยาห์ตั้งคำถามชาวยิวว่า “เวลานี้บรรพบุรุษของท่านอยู่ที่ไหนบรรดาประกาศกมีชีวิตอยู่ตลอดไปหรือ” (ศคย 1:5) แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย”
เหตุผลเป็นเพราะพระองค์ทรงรู้จักและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ที่ปฏิบัติตามวาจาของพระองค์จึงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิต” และดังนี้ เขาก็มีความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้าชีวิตของเขาจึงมุ่งไปสู่ชีวิต ไม่ใช่ความตาย ความตายฝ่ายกายเป็นเพียงหนทางนำเขาให้เข้าใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นเท่านั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ เม.ย. 01, 2012 11:39 pm

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2012
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 20:10-13

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยู่รอบด้านมาแล้ว จงกล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และจะแก้แค้นเขา”

แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผู้ชอบธรรม ทรงสำรวจใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอคดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำความชั่วร้าย


พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 10:31-42

เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการที่ดีหลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใดเล่า”

ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอาหินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า “เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้า พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า “เป็นพระเจ้า” และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้ พระบิดาทรงบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์ และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิ่น พระเจ้าเมื่อเราพูดว่า “เราเป็นบุตรของพระเจ้า” ถ้าเราไม่ทำกิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้าเราทำ แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”

คนทั้งหลายพยายาม จะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซึ่งแต่ก่อนนั้นยอห์นได้ทำพิธีล้าง พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่นั่น ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์

ข้อคิด

ปัชคูร์ผู้เป็นสมณะและยามเฝ้าพระวิหารได้จับประกาศกเยเรมีย์เฆี่ยนและใส่คาไว้ตรงทางเข้าพระวิหาร เพราะท่านทำนายว่ายูดาห์จะถูกทำลาย ท่านจึงตัดพ้อและขอให้พระเจ้าลงโทษผู้ที่ข่มเหงท่าน

ส่วนพระเยซูเจ้ากำลังจะถูกจับกุมเพราะตรัสว่า “เราเป็นบุตรของพระเจ้า”ทั้ง ๆ ที่พระคัมภีร์ยังยอมรับเลยว่าบรรดาผู้พิพากษา “เป็นพระ เป็นบุตรของพระผู้สูงสุด” (สดด 82:6)

ถ้าบรรดาผู้พิพากษาในพระธรรมเก่ายังเป็นพระได้ เหตุไฉนพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและถูกส่งมาในโลกเพื่อทำกิจการของพระบิดา จึงต้องพบกับจุดจบเพราะถูกกล่าวหาว่าตั้งตนเป็นพระเจ้าเล่า ?
ตอบกลับโพส