พระคำภีร์รายวันประจำเดือน มิถุนายน 2555

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:06 am

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2012
ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 4:7-13

พี่น้องที่รักยิ่ง ทุกสิ่งใกล้อวสานแล้ว ดังนั้น จงมีความสุขุมรอบคอบ รู้จักประมาณตนเพื่ออธิษฐานภาวนา ที่สำคัญที่สุด จงมีความรักกันอย่างมั่นคง เพราะความรักลบล้างบาปได้มากมาย จงต้อนรับกันโดยไม่ปริปากบ่น แต่ละคนจงใช้พระพรที่ได้รับมาเพื่อรับใช้กัน ประดุจผู้จัดการที่ดีเพื่อแจกจ่ายพระหรรษทานหลากหลายของพระเจ้า ถ้าจะกล่าววาจาใด ก็จงกล่าวดุจกล่าวพระวาจาของพระเจ้า ผู้ใดมีหน้าที่รับใช้ ก็จงรับใช้ตามกำลังที่พระเจ้าประทานให้ เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในทุกสิ่งเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพตลอดนิรันดร อาเมน

ท่านที่รักยิ่ง อย่าประหลาดใจต่อการเบียดเบียนซึ่งเกิดขึ้นเป็นการทดสอบท่านทั้งหลาย ประหนึ่งว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ประหลาด แต่จงชื่นชมในการที่ท่านมีส่วนร่วมรับทรมานกับพระคริสตเจ้า เพื่อท่านจะได้มีความชื่นชมและปลื้มปิติยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์ทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์


พระวรสาร มก 11:11-26



พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เข้าไปในพระวิหาร เมื่อทอดพระเนตรสิ่งต่าง ๆ โดยรอบแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานี พร้อมกับอัครสาวกสิบสองคน ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว

วันรุ่งขึ้น ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากหมู่บ้านเบธานีพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงรู้สึกหิว เมื่อทอดพระเนตรแต่ไกล ทรงเห็นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งมีใบ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรว่ามีผลหรือไม่ ทรงพบแต่ใบ เพราะมิใช่ฤดูมะเดื่อเทศ พระองค์จึงตรัสแก่มะเดื่อเทศต้นนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป อย่าให้ใครได้กินผลของเจ้าอีกเลย” บรรดาศิษย์ได้ยินพระวาจานี้

พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อเสด็จเข้าสู่พระวิหาร พระองค์ทรงขับไล่บรรดาคนซื้อขายในพระวิหาร ทรงคว่ำโต๊ะของคนแลกเงิน และม้านั่งของคนขายนกพิราบ พระองค์ไม่ทรงยอมให้ใครแบกสัมภาระเดินผ่านพระวิหาร พระองค์ตรัสสอนประชาชนว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์มิใช่หรือว่า บ้านของเราจะได้ชื่อว่าบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนาสำหรับนานาชาติ แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร” เมื่อบรรดามหาสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ ก็หาช่องทางที่จะกำจัดพระองค์ แต่เขากลัวพระองค์ เพราะประชาชนกำลังประทับใจในคำสั่งสอนของพระองค์ ครั้นถึงเวลาเย็น พระองค์ก็เสด็จออกจากเมืองพร้อมกับบรรดาศิษย์

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่บรรดาศิษย์ผ่านมา ได้เห็นต้นมะเดื่อเทศเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก เปโตรจำได้จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ดูซิ ต้นมะเดื่อเทศที่พระองค์ทรงสาปแช่งนั้นเหี่ยวเฉาไปแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้าเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าผู้ใดบอกภูเขาลูกนี้ว่า “จงยกตัวขึ้น และทิ้งตัวลงไปในทะเลเถิด” โดยไม่มีใจสงสัย แต่เชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจะเป็นจริง มันก็จะเป็นเช่นนั้น ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านวอนขอในการอธิษฐานภาวนา จงเชื่อว่าท่านจะได้รับ และท่านก็จะได้รับ ขณะที่ท่านยืนอธิษฐานภาวนา จงให้อภัย ถ้าท่านมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด เพื่อว่าพระบิดาของท่านผู้สถิตบนสวรรค์จะทรงอภัยความผิดให้ท่านด้วย”


ข้อคิด

อาบราฮัม ลินคอลน์ประสบความล้มเหลว ในด้านการเมืองและธุรกิจ ก่อนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี 1860 คนอื่นที่ล้มเหลว อาจไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต แต่ความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ สอนให้ลินคอลน์ฟันฝ่าคลื่นลมแห่งความท้อถอยได้อย่างสง่างาม ชีวิตของท่านยังสอนว่า เมื่อประสบความล้มเหลวในชีวิต เราจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไร? อาศัยความเชื่อในพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เป็นเราเอง”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:06 am

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2012
น.มาร์แซลลิน และ น.เปโตร มรณสักขี


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยูดาห์อัครสาวก ยด 1:20-25

ท่านที่รักทั้งหลาย จงเสริมสร้างตนเองจากพื้นฐานความเชื่อศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของท่าน จงอธิษฐานภาวนาในพระจิตเจ้า จงมีความรักอย่างมั่นคงในพระเจ้า ขณะที่รอคอยพระกรุณาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร จงสงสารคนที่อ่อนแอ จงช่วยเขาให้รอดพ้นโดยดึงเขาออกมาจากไฟ จงสงสารคนอื่นด้วย แต่ต้องมีความระมัดระวัง จงอยู่ห่างแม้กระทั่งเสื้อที่เปื้อนมลทินของเขา

แด่พระองค์ผู้ทรงปกป้องท่านทั้งหลายไว้มิให้พลาดพลั้ง และทรงประคองให้ยืนด้วยความยินดีปราศจากตำหนิเฉพาะพระสิริรุ่งโรจน์ แด่พระองค์แต่เพียงพระองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น อาศัยพระบารมีของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระสิริรุ่งโรจน์ พระบารมียิ่งใหญ่ พระเดชานุภาพและพระฤทธานุภาพ จงมีแด่พระองค์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดนิรันดร อาแมน



พระวรสาร มก 11:27-33

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะที่ทรงพระดำเนินอยู่ในพระวิหาร บรรดามหาสมณะ บรรดาธรรมาจารย์ และผู้อาวุโสได้เข้ามาพบพระองค์ ทูลถามว่า “ท่านมีอำนาจใดจึงทำเช่นนี้ ใครมอบอำนาจให้ท่านทำการเหล่านี้” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราขอถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้าท่านตอบ เราก็จะบอกท่านว่าเราทำเช่นนี้โดยอำนาจอะไร พิธีล้างของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์ จงตอบมาซิ” บรรดามหาสมณะ ธรรมาจารย์และผู้อาวุโส จึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’ แต่เราจะบอกว่ามาจากมนุษย์ได้อย่างไร” เขาเหล่านั้นกลัวประชาชน เพราะประชาชนคิดว่า ยอห์นเป็นประกาศก จึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า “เราไม่รู้” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราก็ไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่าเราทำการเหล่านี้ด้วยอำนาจใด”


ข้อคิด

Ralph Martin ได้เขียนข้อคิดว่า “นักพัฒนาที่ดินตื่นแต่เช้า เพื่อสวดภาวนา วิศวกรด้านอวกาศสวดภาวนาและอ่านพระคัมภีร์ หลังอาหารกลางวัน ผู้สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สวดภาวนาหลังจากที่พวกลูกไปนอน” โดยให้ข้อคิดต่อไปว่า “ถ้าไม่กำหนดเวลาสวดภาวนา เราจะไม่สวดภาวนา ดังนั้นเราต้องกำหนดเวลาสวด เหมือนกับที่เรากำหนดเวลา เพื่อทำเรื่องสำคัญ” ให้เราถามตัวเองว่า เราตั้งใจและมุ่งมั่นเพียงใด เพื่อการสวดภาวนา?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:07 am

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2012
สมโภชพระตรีเอกภาพ


บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 4:32-34,39-40

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงดูอดีตก่อนที่ท่านทั้งหลายจะเกิด ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดิน จงตรวจตราจากปลายหนึ่งถึงอีกปลายหนึ่งของโลกว่ามีอะไรยิ่งใหญ่เท่านี้เคยเกิดขึ้นหรือไม่ มีใครเคยได้ยินเรื่องใดที่เหมือนเรื่องนี้หรือไม่ เคยมีประชากรใดบ้างที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสจากกองไฟดังที่ท่านได้ยินและมีชีวิตรอดได้ หรือเคยมีพระเจ้าองค์ใดบ้างที่ทรงกล้าเลือกชนชาติหนึ่งออกจากอีกชนชาติหนึ่ง ทรงใช้วิธีการต่าง ๆ คือ เครื่องหมายอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์และสงคราม ทรงใช้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระอานุภาพอันยิ่งใหญ่บันดาลให้ทุกคนหวาดกลัว ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทรงกระทำในประเทศอียิปต์ต่อหน้าท่าน

ดังนั้น ในวันนี้ จงรู้และจำใส่ใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ทั้งในสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินเบื้องล่าง และไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก ท่านจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและบทบัญญัติของพระองค์ที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่านในวันนี้ แล้วท่านกับลูกหลานที่จะตามมาในภายหลังจะอยู่อย่างมีความสุข จะอยู่เป็นเวลานานในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทรงมอบให้เป็นของท่านตลอดไป



บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:14-17

พี่น้อง ใคร ๆ ที่มีพระจิตของพระเจ้าเป็นผู้นำ ก็เป็นบุตรของพระเจ้า ท่านทั้งหลายไม่ได้รับจิตการเป็นทาสซึ่งมีแต่ความหวาดกลัวอีก แต่ได้รับจิตการเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งทำให้เราร้องออกมาว่า “อับบา พ่อจ๋า!” พระจิตเจ้าเองทรงเป็นพยานยืนยันร่วมกับจิตของเราว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อเราเป็นบุตร เราก็เป็นทายาทด้วย เป็นทายาทของพระเจ้าและเป็นทายาทร่วมกับพระคริสตเจ้า หากเราร่วมกับการทรมานกับพระองค์ เราก็จะรับพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระองค์ด้วย



พระวรสาร มธ 28:16-20

เวลานั้น บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดไว้ เมื่อเขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่

พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า ‘พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราได้ให้แก่ท่าน แล้วจงทราบเถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ’
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:08 am

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่สอง 2 ปต 1:1-7

ซีโมน เปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูคริสตเจ้าถึงท่านทั้งหลายผู้ได้รับความเชื่อล้ำค่าเท่าเทียมกับความเชื่อซึ่งเราได้รับจากความเที่ยงธรรมของพระเยซูคริสต์พระเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา

ขอพระหรรษทานและสันติสมบูรณ์จงมีแด่ท่าน เพราะได้รู้จักพระเจ้าและพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ด้วยพระอานุภาพในฐานะพระเจ้า พระคริสตเจ้าประทานทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้เรามีชีวิตอย่างเลื่อมใสศรัทธา เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ทรงเรียกเราอาศัยพระสิริรุ่งโรจน์และพระฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์จึงประทานพระพรยิ่งใหญ่ล้ำค่าให้เราตามที่ทรงสัญญาไว้ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หลุดพ้นจากความเสื่อมที่มาจาก ราคตัณหาในโลก เข้ามามีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า ดังนั้น ท่านทั้งหลาย จงพยายามทุกวิถีทางที่จะใช้คุณธรรมเพิ่มพูนความเชื่อของท่าน ใช้ความรู้เพิ่มพูนคุณธรรม ใช้การรู้จักบังคับตนเพิ่มพูนความรู้ ใช้ความอดทนเพิ่มพูนการรู้จักบังคับตน ใช้ความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มพูนความอดทน ใช้มิตรภาพฉันพี่น้องเพิ่มพูนความเลื่อมใสศรัทธา ใช้ความรักเพิ่มพูนมิตรภาพฉันพี่น้อง



พระวรสาร มก 12:1-12

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาให้บรรดาผู้นำชาวยิวฟังว่า “ชายคนหนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำผลองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อถึงเวลากำหนด เขาก็ใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวนจับผู้รับใช้คนนั้นทุบตี แล้วไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนตีหัวและด่าว่าผู้รับใช้คนนี้อย่างหยาบคาย เจ้าของสวนส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ฆ่าเขาเสีย เจ้าของสวนยังส่งผู้รับใช้คนอื่นไปอีกหลายคน ก็ถูกคนเช่าสวนทุบตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง เจ้าของสวนยังมีคนเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง คือบุตรสุดที่รัก เขาจึงส่งบุตรไปเป็นคนสุดท้าย โดยคิดว่า “พวกนั้นคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง” แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นพูดกันว่า “คนคนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด มรดกจะได้ตกเป็นของเรา” แล้วเขาก็จับบุตรของเจ้าของสวนฆ่าเสีย ทิ้งศพไว้นอกสวน เจ้าของสวนจะทำอย่างไร เขาจะมาทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย แล้วยกสวนให้คนอื่นเช่า ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า

หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุมองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้นเป็นที่น่าอัศจรรย์กับเรายิ่งนัก
บรรดาผู้นำชาวยิวพยายามจับกุมพระองค์ เพราะรู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานี้กระทบถึงเขา แต่เขายังเกรงประชาชนอยู่จึงผละจากพระองค์ไป


ข้อคิด

สุภาษิตจีนสอนว่า “ ถ้ามีความกลมกลืนในครอบครัว จะมีระเบียบในประเทศชาติ ถ้ามีระเบียบในประเทศชาติ จะมีสันติภาพในโลก”สภาพระสังฆราชของอเมริกาได้พูดเรื่องสงครามและสันติภาพว่า “ในพระคัมภีร์ สันติภาพไม่ได้หมายถึงการไม่มีสงคราม แต่หมายถึงการไม่มีสัมพันธ์ที่ดีกับพระเป็นเจ้าต่างหาก”ให้เราวิงวอนขอสันติภาพในตัวเรา ในครับครัว ในประเทศชาติ และในโลกนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:10 am

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2012
ระลึกถึง น.บอนีฟาส พระสังฆราชและมรณสักขี


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่สอง 2 ปต 3:12-15ก,17-18

ท่านที่รักทั้งหลาย จงรอคอยวันของพระเจ้าและพยายามเร่งให้วันนั้นมาถึง ในวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟเผาผลาญ และโลกธาตุจะถูกไฟเผาละลายไป เรากำลังรอคอยฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ ซึ่งเป็นที่อยู่ถาวรของความชอบธรรมตามพระสัญญา ดังนั้น ท่านที่รักทั้งหลาย ขณะที่ท่านกำลังรอคอยเหตุการณ์เหล่านี้ จงพยายามให้พระเจ้าทรงพบท่านดำเนินชีวิตอย่างสันติปราศจากมลทินและไร้ข้อตำหนิ จงคิดเถิดว่า ความอดกลั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความรอดพ้นของเรา

ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อท่านรู้ล่วงหน้าเช่นนี้แล้ว จงระมัดระวังอย่าปล่อยตัวไปตามความหลงผิดของคนอธรรม และสูญเสียความมั่นคงของท่านไป จงเจริญขึ้นในพระหรรษทานและในความรู้จักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันและตลอดนิรันดร อาเมน



พระวรสาร มก 12:13-17

ต่อมา เขาได้ส่งชาวฟาริสีและคนบางคนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรดมาพบพระเยซูเจ้า หมายจะจับผิดพระวาจาของพระองค์ คนเหล่านั้นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ลำเอียง ท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีแก่ซีซาร์ เราต้องเสียภาษีหรือไม่ต้องเสียภาษี” พระองค์ทรงทราบความเจ้าเล่ห์ของเขา จึงตรัสว่า “มาทดสอบเราทำไม เอาเงินเหรียญมาให้เราดูสักเหรียญหนึ่งซิ” เขาก็นำเงินเหรียญหนึ่งมาถวาย พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาก็ตอบว่า “เป็นของซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้าก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” คนเหล่านั้นต่างประหลาดใจในพระองค์

ข้อคิด

ให้เราถามตัวเราเองว่า เราได้ทำอะไรบ้าง เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคมรอบตัวเรา ?หรือเราเพียงแต่คิดว่า เราทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเราไม่มีกำลังพอ เพราะฉะนั้นจงลงมือทำในสิ่งที่ท่านสามารถทำได้ แม้มันจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยก็ตาม
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:10 am

วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2012
น.นอร์เบิร์ต พระสังฆราช


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 1:1-3,6-12

จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซูโดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระสัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู

ถึงทิโมธีลูกรัก

ขอพระหรรษทาน พระเมตตาและสันติจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา สถิตอยู่กับท่านเถิด

ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติรับใช้ด้วยมโนธรรมบริสุทธิ์เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่เสมอในการอธิษฐานทั้งวันทั้งคืน

ข้าพเจ้าจึงเตือนความจำของท่านเพื่อให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ขึ้นอีก ท่านได้รับพระพรนี้โดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา ดังนั้น ท่านอย่าอายที่จะเป็นพยานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรืออายที่ข้าพเจ้าต้องถูกจองจำเพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพื่อข่าวดีโดยพระอานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เรากระทำ แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ประทานพระหรรษทานนี้แก่เราแล้วในพระคริสตเยซูก่อนกาลเวลา แต่บัดนี้ทรงเปิดเผยโดยการแสดงพระองค์ของพระผู้ไถ่คือพระคริสตเยซู ผู้ทรงทำลายความตาย และทรงนำชีวิตและความไม่รู้จักตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดี ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครสาวกและเป็นครูเพื่อประกาศข่าวดีนี้

ข้าพเจ้ากำลังทนทุกข์ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึกอาย เพราะรู้ว่าข้าพเจ้ามอบความวางใจไว้กับผู้ใด และมั่นใจว่าพระองค์จะทรงรักษาสิ่งที่ข้าพเจ้ารับมอบไว้จนกว่าจะถึงวันนั้นได้



พระวรสาร มก 12:18-27

ต่อมา ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย ทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับเอาหญิงนั้นมาเป็นภรรยา เพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย ยังมีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยาแล้ว ตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สองก็รับนางเป็นภรรยา แล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สามก็เช่นเดียวกัน ทั้งเจ็ดคนไม่มีบุตรเลย ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายไปด้วย เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพในวันกลับคืนชีพ หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา”

พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านคิดผิดไปแล้วมิใช่หรือ ท่านไม่เข้าใจพระคัมภีร์และไม่รู้จักพระอานุภาพของพระเจ้า เมื่อผู้ตายจะกลับคืนชีพนั้น จะไม่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ ส่วนเรื่องผู้ตายกลับคืนชีพนั้น ท่านไม่ได้อ่านหนังสือของโมเสสตอนที่กล่าวถึงพุ่มไม้ หรือว่าพระเจ้าตรัสกับเขาอย่างไร พระองค์ตรัสว่า “เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็นท่านคิดผิดไปมากทีเดียว”



ข้อคิด

ทิโมธีได้รับการปกมือ จากผู้ใหญ่ของพระศาสนจักร เพื่อทำหน้าที่รับใช้ผู้อื่น ปัจจุบันนี้ยังมีการปกมือในพิธีกรรมของพระศาสนจักร เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าพลังของพระจิตเจ้าจากผู้ที่ปกมือ ถ่ายทอดไปยังผู้รับการปกมือ น.มาร์โกได้กล่าวว่า”พระเยซูเจ้าได้ปกมือเหนือเด็กๆและได้อวยพรพวกเขา”(มก10:16)
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:11 am

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง2 ทธ 2:8-15

พี่น้อง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้า ผู้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตรย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำเหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูกจองจำไม่ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรร เพื่อพวกเขาจะได้รับความรอดพ้นซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวิตในสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรด้วย
ต่อไปนี้คือถ้อยคำที่เชื่อถือได้
ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์
ถ้าเราอดทนมั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์
ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา
ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป
เพราะพระองค์จะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้
จงเตือนพวกเขาเรื่องนี้และจงกำชับพวกเขาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า อย่าโต้เถียงกันเรื่องถ้อยคำ เพราะไม่มีประโยชน์ใดนอกจากความพินาศของผู้ฟัง ท่านจงขวนขวายที่จะแสดงตนว่าพระเจ้าทรงรับรองท่านแล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใคร เป็นผู้สั่งสอนพระวาจาแห่งความจริงอย่างถูกต้อง



พระวรสาร มก 12:28-34

เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่น ๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้ ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใด ๆ ทั้งสิ้น”

พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย



ข้อคิด

ความทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์คนหนึ่งได้รับ คือ การสูญเสียความทรงจำ เพราะเซลล์สมองถูกทำลาย จนไม่สามารถจำใครหรือเหตุการณ์รอบตัว แต่เราในฐานะเป็นคริสตชน และได้รับพระพรจากพระเป็นเจ้ามากมาย เราจะลืมพระคุณที่พระองค์ได้มอบให้เราไม่ได้ ทั้งในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต เรายังจำพระคัมภีร์ตอนใดบ้าง ที่กล่าวถึงพระพรที่พระเป็นเจ้ามอบให้เรา?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:12 am

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 3:10-17

ลูกที่รักยิ่ง ท่านติดตามเรื่องของข้าพเจ้าอย่างใกล้ชิด รู้คำสอน ความประพฤติ ความตั้งใจ ความเชื่อ ความพากเพียร ความรัก ความอดทน การเบียดเบียน ความทุกข์เช่นที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่เมืองอันทิโอก อิโคนิยูมและลิสตรา ท่านรู้เรื่องการเบียดเบียนที่ข้าพเจ้าได้รับ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นได้ทุกครั้ง ทุกคนที่ต้องการดำเนินชีวิตด้วยความภักดีต่อพระคริสตเยซู จะถูกเบียดเบียนอย่างแน่นอน ส่วนคนชั่วและคนเจ้าเล่ห์จะยิ่งเลวร้ายลง ทั้งหลอกลวงคนอื่นและถูกหลอกลวงด้วย

ท่านจงมั่นคงในคำสอนที่ท่านได้เรียนและมีความเชื่อมั่นแล้ว ท่านก็รู้ว่าท่านเรียนรู้จากผู้ใด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กท่านรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งช่วยท่านให้มีความเฉลียวฉลาดเพื่อรับความรอดพ้นโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเยซู ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม คนของพระเจ้าจะได้เตรียมพร้อมและพร้อมสรรพเพื่อกิจการดีทุกอย่าง



พระวรสาร มก 12:35-37

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ตรัสถามว่า “บรรดาธรรมาจารย์พูดได้อย่างไรว่าพระคริสต์เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด เพราะกษัตริย์ดาวิดเอง เมื่อได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ได้ตรัสว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า เชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านอยู่ใต้พระบาทของท่าน

เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไรกัน” ประชาชนจำนวนมากฟังพระองค์ด้วยความพอใจ



ข้อคิด

ถ้านักบุญเปาโลกล่าวว่า ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้า เพื่อสั่งสอน ตักเตือน แก้ไข อบรม เพื่อเจริญชีวิตอย่างชอบธรรม และนำไปสู่ความรอดนิรันดรแล้ว จะมีหนังสือเล่มไหน? คำสั่งสอนของใคร? การอบรมชนิดใด? สำคัญกว่าหนังสือพระคัมภีร์เล่า?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:18 am

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2012
น.เอเฟรม สังฆานุกรปละนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 4:1-8

ข้าพเจ้าขอกำชับท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และเฉพาะพระพักตร์ของพระคริสตเยซูผู้จะทรงพิพากษาทั้งผู้เป็นและผู้ตาย โดยอ้างถึงการแสดงพระองค์และพระอาณาจักรของพระองค์ จงประกาศพระวาจา จงพร้อมสรรพทั้งเมื่อมีโอกาสและเมื่อไม่มีโอกาส จงว่ากล่าว จงตักเตือน จงให้กำลังใจ โดยพร่ำสอนด้วยความพากเพียรอย่างเต็มที่ จะถึงเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะไม่ต้องการฟังคำสอนที่ถูกต้อง แต่จะแสวงหาครูจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สอนสิ่งที่ตนอยากฟัง พวกเขาจะไม่ยอมฟังความจริง แต่จะเปลี่ยนไปฟังเทพนิยาย ส่วนท่านจงหนักแน่นมั่นคงในทุกกรณี จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำงานของผู้ประกาศข่าวดี จงปฏิบัติศาสนบริการให้สำเร็จ

ชีวิตของข้าพเจ้ากำลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ข้าพเจ้ารักษาความเชื่อไว้แล้ว ยังเหลืออยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่เพียงให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทานให้ทุกคนที่เฝ้ารอคอยด้วยความรักต่อการแสดงพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน



พระวรสาร มก 12:38-44

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนขณะที่ทรงสั่งสอนว่า “จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง คนพวกนี้กินบ้านของหญิงม่าย และอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง คนเหล่านี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น”

ขณะที่พระองค์ประทับนั่งตรงหน้าตู้ทาน ทอดพระเนตรเห็นประชาชนใส่เงินลงในตู้ทาน คนมั่งมีหลายคนใส่เงินจำนวนมาก หญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเข้ามา เอาเหรียญทองแดงสองเหรียญใส่ลงในตู้ทาน พระองค์จึงทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ทำทานมากกว่าทุกคนที่ได้ใส่เงินลงในตู้ทาน เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”



ข้อคิด

พวกเราเคยไปร่วมงานแสดงความยินดี ในความสำเร็จในชีวิตของบุคคลที่เรารู้จัก เช่น การฉลองปริญญา การรับรางวัลยอดเยี่ยม การฉลองครบรอบแต่งงาน การรับรางวัลแม่ดีเด่น ทุกคนจะมองเห็นความสำเร็จและความดีใจของผู้ได้รับรางวัล ซึ่งถือว่าเป็น”รางวัลแห่งความสำเร็จของชีวิต” นักบุญเปาโลเองก็ยอมรับว่า เวลาแห่งความสำเร็จมาถึงแล้ว ถึงเวลาที่ท่านจะจากไป ท่านต่อสู้มานานแล้ว ท่านวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ท่านรักษาความเชื่อไว้แล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 11, 2012 10:18 am

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2012
สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า


บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 24:3-8

โมเสสไปบอกให้ประชากรรู้พระวาจาทุกคำและข้อกำหนดทั้งหมดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประชากรทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะปฏิบัติตามพระวาจาทุกคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเรา” โมเสสบันทึกพระวาจาทุกคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาสร้างพระแท่นบูชาไว้ที่เชิงเขา และตั้งหินสิบสองก้อนไว้เป็นตัวแทนทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอล เขาให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลเป็นผู้ถวายเครื่องเผาบูชา และฆ่าโคถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศานติบูชา โมเสสรองเลือดครึ่งหนึ่งใส่ชามไว้ แล้วพรมเลือดอีกครึ่งหนึ่งบนพระแท่นบูชา เขาเอาหนังสือพันธสัญญาขึ้นมาอ่านให้ประชากรฟัง ประชากรตอบว่า “พวกเราจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” โมเสสนำเลือดในชามประพรมประชากรพูดว่า “นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกับท่าน ตามพระวาจาเหล่านี้ทั้งหมด”



บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 9:11-15

พี่น้อง พระคริสตเจ้าได้เสด็จมาเป็นมหาสมณะผู้นำพระพรต่างๆที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานนั้นมาให้ พระองค์ได้เสด็จผ่านกระโจมที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ทั้งมิใช่กระโจมอันสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือมิใช่กระโจมของโลกนี้ พระองค์ได้เสด็จเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง เพียงครั้งเดียวตลอดไป สิ่งที่พระองค์ทรงนำไปด้วยมิใช่เลือดแพะและเลือดลูกวัว แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงกระทำให้การไถ่กู้นิรันดรสำเร็จไป ถ้าหากว่าเลือดแพะและเลือดวัว และเถ้าของวัวตัวเมียที่ประพรมตัวบุคคลที่มีมลทิน ยังทำให้เขาบริสุทธิ์สามารถร่วมศาสนพิธีได้ จะนับอะไรกับพระโลหิตของพระคริสตเจ้า ย่อมจะชำระจิตใจของเราให้บริสุทธิ์จากกิจการที่ตายแล้วได้มากกว่านั้นสักเพียงไร เพื่อจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงชีวิต พระคริสตเจ้าทรงถวายพระองค์โดยปราศจากตำหนิมลทินแด่พระเจ้าเดชะพระจิตเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดนิรันดร

ดังนั้น พระคริสตเจ้าทรงเป็นคนกลางในการทำพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเรียกให้เป็นทายาทกองทรดกนิรันดรได้รับตามพระสัญญา เพราะพระองค์ทรงยอมรับความตายเพื่อลบล้างการล่วงละเมิดตามเงื่อนไขของพันธสัญญาเดิมแล้ว




พระวรสาร มก 14:12-16,22-24

วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาฆ่าลูกแกะปัสกา บรรดาศิษย์ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า ‘พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน?’ พระองค์จึงทรงใช้ศิษย์สองคนไป สั่งเขาว่า ‘จงเข้าไปในกรุง แล้วจะพบชายคนหนึ่งกำลังเดินแบกหม้อน้ำอยู่ จงตามเขาไป เขาเข้าไปที่ไหน จงถามเจ้าของบ้านว่า “พระอาจารย์ถามว่า ห้องที่เราจะกินปัสกากับบรรดาศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน?” เขาจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนมีพรมปูไว้เรียบร้อย จงจัดเตรียมปัสกาไว้สำหรับพวกเราที่นั่นแหละ’ ศิษย์ทั้งสองคนได้ออกเดินทางเข้าไปในกรุง พบสิ่งต่างๆดังที่พระองค์ได้ทรงบอกไว้ จึงได้เตรียมปัสกา

ขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง กล่าวถวายพระพร ทรงบิออก ยื่นให้เขาเหล่านั้น ตรัสว่า ‘จงรับเถิด นี่คือกายของเรา’ แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย กล่าวขอบพระคุณ ทรงยื่นให้เขาและทุกคนได้ดื่มจากถ้วยนั้น พระองค์ตรัสแก่เขาว่า ‘นี่คือโลหิตของเรา โลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อคนจำนวนมาก



ข้อคิด

เมื่อคนที่อยู่ด้วยกันจะต้องจากกัน มักจะมอบของที่ระลึกให้แก่กันและกัน เป็นการเตือนความทรงจำว่า เพื่อแสดงความทรงจำซึ่งกันและกัน พระเยซูเจ้าทรงทราบว่า จะต้องสิ้นพระชนม์ ทรงมีความปรารถนาจะอยู่กับเราต่อไป พระองค์ทรงตั้งศีลมหาสนิทขึ้น เพื่อระลึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์กับบุคคลที่พระองค์ทรงรักบนโลกนี้ ในวันฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า ไม่เป็นเพียงการระลึกถึงพระองค์ ในรูปแบบของๆที่ระลึก แต่เป็นการระลึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์ ในรูปของปังและเหล้าองุ่น ที่กลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระองค์ เมื่อพระสงฆ์ได้สวดภาวนาเสกในมิสซา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มิ.ย. 13, 2012 9:55 am

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2012

ระลึกถึง น.บาร์นาบัส อัครสาวก


บทอ่านที่ 1 กจ 11:21ข-26;13:1-3
คนจำนวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมือง
อันทิโอก เมื่อบารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มีความชื่นชม
จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยม
ด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง
อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคน
เป็นจำนวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก
ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์คือบารนาบัส สิเมโอน
ที่เรียกกันว่าคนดำ ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับ
กษัตริย์เฮโรดอันทิปาส และคนสุดท้ายคือเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระ
ผู้เป็นเจ้าและจำศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงแยกบารนาบัสและ
เซาโลไว้ปฏิบัติภารกิจที่เราเรียกเขาให้มาปฏิบัติเถิด” เมื่อเขาจำศีลอดอาหารและอธิษฐาน
ภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป

พระวรสาร มธ 10:7-13
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสองคนว่า
“จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตาย
ให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดย
ไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงิน
หรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า
อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน
แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น ถ้า
บ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร
จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน”

ข้อคิด
บารนาบัสได้รับฉายาว่า “บุตรแห่งการให้กำลังใจ” เป็นชาวเกาะไซปรัส ได้ขาย
ที่ดินของตนเองให้เป็นกองกลาง เพื่อให้ทานแก่คนขัดสน ชีวิตของท่านเป็นผู้ที่ให้กำลัง
ใจ ช่วยเหลือ และส่งเสริมคนอื่นเสมอ บุคคลที่ได้รับกำลังใจและความช่วยเหลือ
จากท่านอย่างมากคือเปาโล ผู้ที่ท่านยินดีและรับรองการกลับใจต่อบรรดาอัครสาวก
ในสังคมปัจจุบันนี้ มีคนที่ต้องการกำลังใจ ความช่วยเหลือ และการส่งเสริมจำนวน
มาก ท่านเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่พร้อมจะให้กำลังใจ ความช่วยเหลือ และส่งเสริมคน
อื่นเหมือนบารนาบัส?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มิ.ย. 13, 2012 10:53 am

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 10
เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 1 พกษ 17:7-16
ต่อมาไม่นาน น้าในลำธารก็แห้ง เพราะฝนไม่ตกบนแผ่นดิน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ว่า “จงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัทในเขตไซดอนและจงอยู่ที่นั่น เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงดูท่าน” เขาจึงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัท เมื่อมาถึงประตูเมือง ก็พบหญิงม่ายคนหนึ่งกำลังเก็บฟืนอยู่ เขาจึงเรียกนางสั่งว่า “จงนำน้ำในเหยือกมาให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด” ขณะที่นางกำลังเดินไปตักน้า เขาก็ตะโกนสั่งว่า “จงนำขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย” นางตอบว่า “ดิฉันขอสาบานอ้างถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านผู้ทรงพระชนมชีพว่า ดิฉันไม่มีขนมปังเลย มีแต่แป้งอยู่ในไหเพียงหนึ่งกำมือ และมีน้ามันมะกอกนิดหน่อยในเหยือก ดิฉันกำลังเก็บฟืนสองสามท่อน จะกลับไปทำอาหารสำหรับดิฉันและลูกชาย เราจะกิน แล้วเราจะตาย” เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย ไปทำตามที่เธอพูดเถิด แต่จงทำขนมปังก้อนเล็ก ๆ นำมาให้ฉันกินก่อน แล้วจึงค่อยทำสำหรับเธอและลูก เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า แป้งในไหจะไม่หมด น้ามันในเหยือกจะไม่แห้ง จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้า จะทรงส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน”หญิงม่ายกลับไปทำตามที่เอลียาห์สั่ง เอลียาห์ หญิงม่ายและบุตรมีอาหารกินเป็นเวลาหลายวัน แป้งในไหไม่ขาด และน้ามันในเหยือกไม่แห้ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสไว้โดยทางเอลียาห์

พระวรสาร มธ 5:13-16
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบยำ
ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

ข้อคิด
ในพระคัมภีร์มีบุคคล 3 ประเภท ที่ได้รับความช่วยเหลือพร้อมกัน คือ ลูกกำพร้า หญิงหม้าย และคนแปลกหน้า เนื่องจากบุคคลทั้ง 3 ประเภทนี้ ถูกสังคมละเลย พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อาศัยความช่วยเหลือของผู้มีใจเมตตา แต่ในบทอ่านที่หนึ่งในวันนี้ หญิงหม้ายที่เมืองศาเรฟัตในเขตไซดอน กลับเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเอลียาห์ ด้วยการทำขนมปังเล็ก ๆ ให้เอลียาห์กิน คนที่ถูกสังคมละเลย กลายเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ โดยช่วยคนอื่น เพราะเขาจนแต่กายแต่ใจไม่เคยจน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มิ.ย. 13, 2012 2:39 pm

วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา

ระลึกถึง น.อันตน แห่งปาดัว
พระสงฆ์และนักปราชญ์

บทอ่านที่ 1 1 พกษ 18:20-39
กษัตริย์อาหับทรงส่งคนไปเรียกชาวอิสราเอลทุกคนและประกาศกมาที่ภูเขา คาร์เมล เอลียาห์เข้ามายืนต่อหน้าประชากรทั้งหลาย พูดว่า “ท่านทั้งหลายจะเหยียบเรือสองแคมอยู่อีกนานเท่าใด ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามพระองค์เถิด แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงตามพระบาอัลไป” ประชาชนไม่ตอบว่ากระไร เอลียาห์จึงพูดกับประชาชนต่อไปว่า “...จงนำโคเพศผู้มาสองตัว ให้เขาเลือกตัวหนึ่ง ฆ่าแล้วตัดเป็นท่อน ๆ วางบนกองฟืน แต่อย่าจุดไฟ ส่วนข้าพเจ้าก็จะเตรียมโคอีกตัวหนึ่ง วางบนกองฟืน และไม่จุดไฟ ท่านทั้งหลายจงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน ส่วนข้าพเจ้าจะเรียก
พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ใดทรงส่งไฟมา พระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้า” ประชากรทุกคนตอบว่า “เป็นข้อเสนอที่ดี”... เขานำโคมาจัดเตรียม แล้วเรียกพระนามพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวัน...แต่ไม่มีเสียง ไม่มีคำตอบ ไม่มีใครฟัง เอลียาห์จึงพูดกับประชากรทั้งปวงว่า “จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด” ประชากรทุกคนเข้ามาใกล้เขา เอลียาห์ลงมือซ่อมแซมแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งถูกรื้อลงแล้ว เอลียาห์นำหินสิบสองก้อนตามจำนวนเผ่าลูกหลานของยาโคบ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
ประทานนามให้ว่า “อิสราเอล” เอลียาห์ใช้หินเหล่านั้นสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระนาม
ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วขุดร่องน้ารอบแท่นบูชาให้ใหญ่พอจุเมล็ดพืชได้ประมาณสองถัง เรียงฟืนไว้บนแท่นบูชา ตัดโคเป็นท่อน ๆ นำมาวางไว้บนฟืน สั่งว่า “จงตักน้ามาสี่ถัง เทลงบนเครื่องบูชาและฟืน” เขาก็ทำตาม... น้าก็ไหลรอบแท่นบูชาเต็มร่องน้ำ เมื่อถึงเวลาถวายเครื่องบูชา ประกาศกเอลียาห์ก็เข้าไปใกล้พระแท่นบูชา ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอล วันนี้โปรดทรงสำแดงให้เขาทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในหมู่ชาวอิสราเอล และข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์...”

พระวรสาร มธ 5:17-19
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า
“จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่าต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์”

ข้อคิด
เราแน่ใจแค่ไหนว่าเราสอนคนอื่นให้มีความเชื่อด้วยแบบอย่างที่ดี มากกว่าด้วยคำพูดของเรา? เราเคย
สอนให้คนอื่นมีความเชื่อในคำภาวนาหรือไม่? โดยสอนว่า “เมื่อเรายกมือของเราเหนือศีรษะเพื่อวิงวอนขอพระเป็นเจ้า พระองค์ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเหลือเรา”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2012 8:07 am

พฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 18:41-46

เอลียาห์ทูลกษัตริย์อาหับว่า “ขอเชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเถิด ข้าพเจ้าได้ยินเสียงฝนใหญ่กำลังมาแล้ว” กษัตริย์อาหับเสด็จไปเสวยพระกระยาหาร เอลียาห์ก็ขึ้นไปบนยอดเขาคาร์เมล ก้มลงกับพื้น ซบหน้าลงระหว่างเข่าทั้งสอง แล้วสั่งผู้รับใช้ว่า “จงขึ้นไป มองทางทะเล” เขาก็ขึ้นไปมอง แล้วพูดว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เอลียาห์สั่งให้เขากลับไปมองเจ็ดครั้ง ครั้งที่เจ็ด ผู้รับใช้แจ้งว่า “ข้าพเจ้าเห็นเมฆก้อนเล็ก ๆ เหมือนกับฝ่ามือคนกำลังลอยขึ้นจากทะเล” เอลียาห์สั่งเขาว่า “ไปทูลกษัตริย์อาหับให้ทรงเทียมราชรถและเสด็จลงไปก่อนที่จะทรงติดฝน” ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มีเมฆมืดครึ้ม ลมพัดแรง แล้วฝนก็ตกหนัก กษัตริย์อาหับเสด็จขึ้นราชรถกลับไปเมืองยิสเรเอล พระอานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือเอลียาห์ เขาดึงเสื้อขึ้นคาดสะเอวไว้ วิ่งนำหน้ากษัตริย์อาหับจนถึงเมืองยิสเรเอล

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:20-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย “ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว “จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย

ข้อคิด

การภาวนาและการจำศีลอดอาหารเป็นความศรัทธาสองอย่างที่ทำควบคู่กัน...กษัตริย์ดาวิดสวดภาวนาและจำศีลอดอาหารสำหรับพระโอรสของพระองค์(2ซมอ12:16) ...กลุ่มคริสตชนสมัยแรกสวดภาวนาและจำศีลอดอาหาร ก่อนส่งเปาโลและบาร์นาบัสไปประกาศข่าวดี(กจ13:3)...พระเยซูเจ้าทรงภาวนาและจำศีลอดอาหารในถิ่นทุรกันดาร(ลก4:2)...จงทบทวนว่าเราได้สวดภาวนาและจำศีลอดอาหารครั้งสุดท้าย นานเท่าไหร่มาแล้ว?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2012 8:08 am

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2012
สมโภชพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า


บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา ฮชย 11:1,3-4,8ค-9

เมื่ออิสราเอลยังเด็ก เราก็รักเขา เราได้เรียกบุตรของเราออกมาจากอียิปต์ เราสอนเอฟราอิมให้เดิน เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้ แต่เขาไม่รู้ว่าเราเอาใจใส่เขา เราใช้เชือกแห่งมนุษยธรรม และใช้สายสะพายแห่งความรักจูงเขา เราเป็นเหมือนผู้ที่ยกทารกมาจูบแก้ม และก้มลงป้อนอาหารให้เขา

ใจของเราปั่นป่วนอยู่ภายใน ความเอ็นดูของเราก็คุกรุ่นขึ้น เราจะไม่ลงอาญาตามที่เราโกรธจัด เราจะไม่ทำลายเอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้า มิใช่มนุษย์ เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ท่าน เราจะไม่มาด้วยความโกรธ

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 3:8-12,14-19

ข้าพเจ้าผู้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับมอบพระหรรษทานนี้ เพื่อประกาศให้คนต่างชาติรู้ถึงความไพบูลย์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า และอธิบายให้เข้าใจถึงแผนการล้ำลึก ซึ่งซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานมาแล้วในพระเจ้า พระผู้สร้างสรรพสิ่ง เพื่อเทพนิกรเจ้าและเทพนิกรอำนาจในสวรรค์ได้รู้ พระปรีชาญาณของพระเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ ณ บัดนี้โดยทางพระศาสนจักรตามพระประสงค์นิรันดรที่ทรงกระทำให้สำเร็จไปในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เดชะพระคริสตเจ้าและด้วยความเชื่อในพระองค์ เราจึงกล้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าด้วยความมั่นใจ

ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา ผู้ทรงเป็นที่มาของครอบครัวทั้งหลาย ไม่ว่าบนสวรรค์หรือบนแผ่นดิน ขอพระองค์ประทานพละกำลังแก่ท่านเดชะพระจิตเจ้าตามความไพบูลย์แห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ให้ชีวิตภายในของท่านเข้มแข็งยิ่งขึ้น พระคริสตเจ้าจะได้ทรงพำนักในจิตใจของท่านอาศัยความเชื่อ เมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นอยู่บนความรักแล้ว ท่านและบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก อีกทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ทั้งปวงของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม


พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 19:31-37

วันนั้นเป็นวันเตรียมฉลอง ชาวยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสับบาโต เพราะวันสับบาโตวันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่ เขาจึงขออนุญาตปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึงและนำศพไป บรรดาทหารทุบขาคนทั้งสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าก็เห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมิได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงด้านข้างพระวรกายของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกมาทันที ผู้ที่ได้เห็นก็เป็นพยาน คำพยานของเขาน่าเชื่อถือ เขารู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อข้อความในพระคัมภีร์เป็นจริงว่า กระดูกของเขาจะไม่หักแม้เพียงชิ้นเดียว และข้อความอีกตอนหนึ่งว่า เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง

ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงรักเรามาก เหมือนกับว่าในโลกนี้มีเราคนเดียวเท่านั้นที่พระองค์ทรงรัก ให้เราถามตัวเราเองว่า “แล้วเรารักพระองค์มาก เหมือนกับว่าในโลกนี้ไม่มีใครและสิ่งใดที่เรารัก เหมือนที่เรารักพระองค์ ใช่หรือไม่?”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2012 1:25 pm

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2012
ระลึกถึงดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 61:10-11

ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้าเพราะพระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้าเป็นเสมือนอาภรณ์ที่ทรงสวมให้ ประทานความชอบธรรมให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนเสื้อคลุมข้าพเจ้าเป็นเหมือนเจ้าบ่าวที่โพกศีรษะอย่างงดงาม เหมือนเจ้าสาวประดับตนด้วยเพชรนิลจินดา เพราะแผ่นดินบังเกิดพืชผล และสวนทำให้เมล็ดพืชงอกขึ้นฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงบันดาลให้เกิดความชอบธรรมและการสรรเสริญต่อหน้านานาชาติฉันนั้น

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 2:41-51

โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น

ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส

พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย

ข้อคิด

เมื่อวานเราเพิ่งฉลองดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก วันนี้พระศาสนจักรให้เราระลึกถึงดวงหทัยนิรมลของพระแม่

นอกจากความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ชาติอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว คงจะไม่มีความรักใดที่ยิ่งให?่ไปกว่าดวงใจของแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระแม่มารีย์อย่างแน่นอน ธรรมชาติของแม่ คือ รักและหวงแหนลูก และพร้อมจะทำทุกสิ่งเพื่อลูก โดยไม่คิดถึงชีวิตของตนเอง ดวงใจของแม่พระ รักและหวงแหนเรา ปรารถนาให้เราทุกคนได้รอดไปสวรรค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2012 1:39 pm

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 17:22-24

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เราจะนำแขนงจากยอดต้นสนสีดาร์สูง เราจะหักแขนงอ่อนจากกิ่งที่อยู่บนยอดมาปลูกไว้บนยอดภูเขาสูงเด่น เราจะปลูกแขนงนี้ไว้บนภูเขาสูงของอิสราเอล แขนงนี้จะแตกกิ่งก้านและบังเกิดผล จะเป็นต้นสนสีดาร์ที่สง่างาม และนกทุกชนิดจะมาอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้นี้สัตว์ปีกต่าง ๆ จะมาพักในร่มกิ่งของต้นไม้นี้ ต้นไม้ทุกต้นในทุ่งนาจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราทำต้นไม้สูงให้ต่ำลง และยกต้นไม้ต่ำให้สูงขึ้น เราทำต้นไม้เขียวให้แห้งไป และทำต้นไม้แห้งให้แตกใบอ่อน เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พูดไว้แล้ว และเราจะทำ”

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 5:6-10

พี่น้อง เรามีความมั่นใจอยู่เสมอและทราบว่า เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในร่างกาย เราก็ถูกเนรเทศห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตาแลเห็น เรามีความมั่นใจและปรารถนาที่จะถูกเนรเทศจากร่างกายมากกว่า เพื่อไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในร่างกายหรือถูกเนรเทศจากร่างกาย เราก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เป็นที่พอพระทัย เพราะเราทุกคนจะต้องปรากฏเฉพาะพระบัลลังก์ของพระคริสตเจ้า เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งตอบแทนสมกับที่ได้กระทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นว่าจะดีหรือชั่ว

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 4:26-34

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกงามเติบโตขึ้น เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่ทราบ ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุกเกิดผลแล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว’

พระองค์ตรัสอีกว่า ‘เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร? หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้? พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเมื่อหว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน แต่ครั้นได้หว่านแล้ว ก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศมาพักอาศัยร่มเงาของมันได้’

พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นสามารถฟังเข้าใจได้ พระองค์มิได้ตรัสแก่เขาโดยไม่ใช้อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้แก่เขาเหล่านั้น

ข้อคิด

ประกาศกเอเสเคียลนำข่าวดีมาให้ชาวอิสราแอล ซึ่งอยู่ในดินแดนเนรเทศบาบิโลน พวกเขาอยู่อย่างสิ้นหวัง เหมือนต้นไม้แห้ง... ข่าวดีคือ พระเจ้าจะนำแขนงคือคนที่ยังเหลืออยู่ ไปปลูกไว้บนเขาสูงของอิสราแอล ณ ที่นั้น อิสราแอลจะเติบใหญ่ เจริญก้าวหน้าอีกครั้ง... แล้วพระองค์จะทำให้ต้นไม้ที่เขียวอย่าง“บาบิโลน”นั้นให้แห้งไป เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า

นักบุญมาราโกก็เล่าเรื่องคล้ายๆ กันว่า อาณาจักรพระเจ้าเริ่มต้นแบบเมล็ดพืชเล็กๆ มีไม่กี่คน เมื่อมันจะเติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยและพักพิงของประชากรของพระเจ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 4:51 pm

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 21:1-16

ต่อมาไม่นาน นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นที่เมืองยิสเรเอลใกล้พระราชวังของกษัตริย์อาหับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาหับตรัสแก่นาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราทำเป็นสวนผักเถิด เพราะสวนนี้อยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่านี้แทน หรือถ้าท่านยินดีขาย เราจะจ่ายเงินให้ตามราคา นาโบททูลตอบกษัตริย์อาหับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้พระองค์”

กษัตริย์อาหับเสด็จกลับพระราชวังด้วยพระทัยขุ่นเคืองและทรงพระพิโรธที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่พระองค์” พระองค์เสด็จเข้าที่พระบรรทม หันพระพักตร์เข้าฝาผนัง ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร พระมเหสีเยเซเบลเสด็จเข้าไปทูลถามว่า “ทำไมพระทัยของพระองค์จึงขุ่นเคืองจนไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร” พระองค์ทรงตอบว่า “เพราะเราบอกนาโบทชาวยิสเรเอลว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราเถิด เราจะให้เงิน หรือถ้าท่านพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอื่นแทน” แต่เขากลับตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกสวนองุ่นให้พระองค์”” พระมเหสีเยเซเบลจึงทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเช่นนี้หรือ ขอทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารให้สบายพระทัยเถิด หม่อมฉันเองจะให้สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแก่พระองค์”

พระนางทรงพระอักษรลงพระนามกษัตริย์อาหับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปถึงผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญที่อยู่ในเมืองเดียวกับนาโบท พระนางทรงเขียนในลายพระหัตถ์ว่า “ท่านทั้งหลายจงประกาศวันถือศีลอดอาหาร เรียกประชาชนมาชุมนุมกัน และให้นาโบทนั่งอยู่แถวหน้า แล้วจงหาอันธพาลสองคน ให้มานั่งเผชิญหน้านาโบทและกล่าวหาเขาว่า “ท่านสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” แล้วท่านทั้งหลายจะนำเขาออกไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มเขาให้ตาย”

คนในเมืองของนาโบท บรรดาผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญที่อาศัยอยู่ในเมืองปฏิบัติตามรับสั่งของพระนางเยเซเบลที่เขียนไว้ในลายพระหัตถ์ที่พระนางทรงส่งไป ชาวเมืองได้ประกาศวันถือศีลอดอาหาร สั่งให้นาโบทมานั่งแถวหน้าในหมู่ประชาชน อันธพาลสองคนออกมานั่งเผชิญหน้ากับเขา คนอันธพาลกล่าวหานาโบทต่อหน้าประชาชนว่า “นาโบทได้สาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” เขาจึงนำนาโบทออกไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มจนตาย ชาวเมืองส่งข่าวไปทูลพระนางเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินทุ่มตายแล้ว” เมื่อพระนางเยเซเบลทรงได้ยินว่านาโบทถูกหินทุ่มตายแล้ว ก็ทูลกษัตริย์อาหับว่า “ขอทรงลุกขึ้น เสด็จไปยึดครองสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลเถิด เพราะนาโบทไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาตายแล้ว เขาเคยปฏิเสธไม่ยอมขายให้พระองค์” เมื่อกษัตริย์อาหับทรงได้ยินว่านาโบทตายแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดครองสวนองุ่นนั้น


พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:38-42

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน”

ข้อคิด

นาโบท มีสวนองุ่นใกล้พระราชวังขอกษัตริย์อาหับ พระองค์เกิดอยากได้ที่ดินอันน้อยนิดของนาโบท แม้จะขอซื้อหรือ ขอแลกที่ดิน อาหับก็ไม่ยอม เพราะเป็นของบรรพบุรุษเอาไปขายไม่ได้ แต่อาหับก็ยังอยากได้... ที่สุดพระมเหสีเยเซเบลออกอุบายฆ่านาโบทจนสำเร็จ แล้วสั่งยึดที่ดินนำมาถวายแด่อาหับ

พูดถึงบาปก็คือพูดถึงความหายนะหรือความตายเสมอ บาปของอาหับและเยเซเบล นำความตายมาสู่ผู้บริสุทธิ์ และ ต่อมาผู้ทำบาปก็ถูกลงโทษด้วย … มิใช่เราจะดีใจ แต่จะเน้นว่า “บาปนำความหายนะและความตาย”มาให้... อย่าให้มันเข้ามา และทำให้ใชีวิตของเราวุ่นวาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 4:52 pm

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2012
น.โรมูอัลโด เจ้าอธิการ


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 21:17-29

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ ชาวทิชบีว่า “จงออกเดินทางลงไปเฝ้ากษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลที่กรุงสะมาเรียเถิด เขากำลังอยู่ในสวนองุ่นของนาโบท เขาลงไปยึดครองสวนองุ่นนั้น ท่านจะต้องบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านฆ่าคน และบัดนี้ท่านยังยึดสมบัติของเขาอีกหรือ ท่านจะต้องบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ณ ที่ซึ่งสุนัขเลียเลือดของนาโบท สุนัขจะเลียเลือดของท่านด้วย” กษัตริย์อาหับตรัสกับเอลียาห์ว่า “คู่ปรับของเราเอ๋ย ท่านมาจับผิดเราใช่ไหม” เอลียาห์ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว เพราะพระองค์ทรงยอมปล่อยตัวทำสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า เราจะนำหายนะมาสู่ท่าน เราจะทำลายลูกหลานของท่านให้หมดสิ้นไป และจะกวาดล้างชายทุกคนในตระกูลอาหับ ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระในอิสราเอล เราจะทำให้ราชวงศ์ของท่านเป็นเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัมบุตรของเนบัท และเหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรของอาหิยาห์ เพราะท่านได้ยั่วยุให้เราโกรธ และนำอิสราเอลให้ทำบาป (องค์พระผู้เป็นเจ้ายังตรัสเกี่ยวกับพระนางเยเซเบลด้วยว่า “สุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบลในเมืองยิสเรเอล”) คนในตระกูลของอาหับซึ่งตายในเมือง สุนัขจะมากัดกิน ส่วนคนที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะมาจิกกิน”

ไม่มีผู้ใดที่ปล่อยตัวทำความชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า มากเท่ากษัตริย์อาหับ ซึ่งพระมเหสีเยเซเบลทรงชักชวนให้ทำผิด พระองค์ทรงประกอบกิจกรรมน่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง โดยไปกราบไหว้รูปเคารพดังที่ชาวอาโมไรต์เคยทำ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงขับไล่ชาวอาโมไรต์ออกไปจากแผ่นดินเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามายึดครอง

เมื่อกษัตริย์อาหับทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสวมใส่เสื้อผ้ากระสอบ ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร บรรทมทั้งๆที่ยังฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ ทรงพระดำเนินโดยก้มพระเศียรแสดงความทุกข์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “ท่านสังเกตเห็นไหมว่าอาหับถ่อมตนลงต่อหน้าเราอย่างไร เพราะเขาได้ถ่อมตนลงต่อหน้าเรา เราจะไม่นำหายนะมาในช่วงชีวิตของเขา แต่จะนำหายนะมาสู่ราชวงศ์ของเขาในช่วงอายุบุตรของเขา”

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 5:43-48

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษี มิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด

ข้อคิด

พระเจ้าส่งเอลียาห์ไปหากษัตริย์อาฮับว่า พระเจ้าจะนำหายนะมาสู่ราชวงศ์เพราะบาปของท่านอย่างสาสม อาฮับได้ยินก็เสียใจเป็นทุกข์ สวมใส่เสื้อผ้ากระสอบ และอดอาหาร ซึ่งเป็นเครื่องหมายการกลับใจ... พระเจ้าเห็นการกลับใจก็อภัยให้ แต่บาปได้กระทำแล้ว ต้องรับผลกรรมของบาปนั้น พระเจ้าจึงเลื่อนไปลงที่ลูกหลาน ข้อสังเกต บุญและบาปก็ตกทอดถึงลูกหลานได้

พระเยซูเจ้าได้สั่งสอนแนวทางสู่ความสุขคือ จงรักเพื่อนบ้าน และรักศัตรูด้วย เป็นความดีที่ทำแล้วจะนำความดีมาสู่ตัวเราเองและลูกหลาน... นี่คือ ผลของการเป็นคนดีอย่างบริบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้า ทรงความดีบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 4:53 pm

วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 2:1,6-14

เมื่อถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พายุหมุนหอบเอลียาห์ขึ้นไปบนฟ้า เอลียาห์และเอลีชาออกเดินทางจากเมืองกิลกาล เอลียาห์สั่งเขาว่า “จงอยู่ที่นี่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าไปที่แม่น้ำจอร์แดน” เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ยอมละทิ้งท่านฉันนั้น” เขาทั้งสองคนจึงออกเดินทางต่อไป

กลุ่มประกาศกห้าสิบคนติดตามเขาทั้งสองคน และหยุดยืนอยู่ห่าง ๆ เขาทั้งสองคนยืนอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน เอลียาห์ถอดเสื้อคลุมออกม้วนแล้วใช้เสื้อฟาดน้ำ น้ำก็แยกออกเป็นสองฟาก เขาทั้งสองคนเดินข้ามแม่น้ำบนดินแห้ง เมื่อข้ามไปแล้ว เอลียาห์ถามเอลีชาว่า “บอกมาเถิด ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าทำอะไรให้ท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับตัวไป” เอลีชาตอบว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับจิตของท่านสองส่วนเถิด” เอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าเมื่อจะถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้รับตามที่ขอ ถ้าท่านไม่เห็น ท่านก็จะไม่ได้รับ” ขณะที่เขาทั้งสองคนกำลังเดินสนทนากันอยู่นั้น รถม้าเพลิงคันหนึ่งเทียมม้าเพลิงปรากฏขึ้น แยกคนทั้งสองออกจากกัน เอลียาห์ถูกยกขึ้นไปบนฟ้าในพายุหมุน เอลีชาเห็นปรากฏการณ์ ก็ร้องเรียกว่า “บิดาของข้าพเจ้า บิดาของข้าพเจ้า รถศึกและสารถีของอิสราเอล” แล้วเขาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก เอลีชาจับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองส่วน แล้วหยิบเสื้อคลุมที่ตกลงมาจากเอลียาห์ขึ้นมา เดินกลับไปยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน

เขาใช้เสื้อคลุมที่ตกลงมาจากเอลียาห์ฟาดน้ำ กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเอลียาห์อยู่ที่ไหน” เมื่อเขาฟาดน้ำ น้ำก็แยกออกเป็นสองฟาก เอลีชาก็ข้ามแม่น้ำไป

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 6:1-6,16-18

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคดมักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน

“เมื่อท่านอธิษฐานภาวนาจงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน

“เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร จงอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน”

ข้อคิด

แนวทางปฏิบัติสามอย่างของชาวยิวคือ การให้ทาน การภาวนา และการอดอาหาร ก็เป็นวิถีชีวิตของคริสตชนด้วย
การให้ทาน ถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐในสายตาของพระเจ้า และเป็นคนมีบุญและชอบธรรม ถึงขนาดบาปและกรรมต่างๆ ในอาดีตจะได้รับการอภัยด้วย(ดู โตบิต 12:8)

การภาวนา ถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นโอกาสที่จะได้คุยกับพระเจ้า เป็นเวลาแห่งพระพรของพระเจ้ามาสู่เรา และทำให้เราศักด์สิทธิ์ ชาวยิวจะภาวนาทุกครั้งที่มีโอกาศ

การอดอาหาร เป็นส่วนสำคัญทางศาสนาทางตะวันออก มีคุณสมบัติในการชดเชยบาป และถือว่าได้บุญมาก โดยเฉพาะช่วงที่เขาต้องการ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 4:55 pm

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2012
ระลึกถึง น.หลุยส์ คอนซากา นักพรต


บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา บสร 48:1-14

ต่อจากนั้นก็มีเรื่องราวของประกาศกเอลียาห์ซึ่งเป็นเหมือนไฟ วาจาของเขาเผาผลาญเหมือนคบไฟ เขาทำให้เกิดขาดแคลนอาหารในหมู่ประชากร ความกระตือรือร้นของเขาทำให้ประชากรลดจำนวนลง เขาปิดท้องฟ้าตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าถึงสามครั้ง ข้าแต่เอลียาห์ ท่านช่างมีชื่อเสียงรุ่งเรืองเพราะการอัศจรรย์ที่ได้กระทำ ใครบ้างจะอวดตัวได้ว่าตนเท่าเทียมกับท่าน ท่านปลุกผู้ตายคนหนึ่งให้กลับคืนชีพ และพ้นจากแดนมรณะตามพระบัญชาของพระผู้สูงสุด ท่านผลักกษัตริย์หลายพระองค์ให้พินาศ และผลักบรรดาผู้ทรงเกียรติลงจากที่นอน ท่านได้ยินพระวาจาติเตียนที่ภูเขาซีนาย ได้ยินพระวินิจฉัยลงโทษบนภูเขาโฮเรบ ท่านเจิมกษัตริย์หลายพระองค์ให้ลงโทษผู้กระทำผิด และเจิมบรรดาประกาศกให้สืบตำแหน่งต่อจากท่าน ท่านถูกยกขึ้นไปในพายุหมุนที่เป็นไฟ บนรถเทียมม้าเพลิง ท่านถูกกำหนดไว้ให้มาตำหนิประชากรในอนาคต เพื่อจะได้ระงับพระพิโรธก่อนที่จะลุกเป็นไฟ เพื่อนำจิตใจของบิดามาคืนดีกับบุตร และแต่งตั้งบรรดาเผ่าของยาโคบขึ้นใหม่ บรรดาผู้ที่เคยเห็นท่านย่อมเป็นสุข เขาตายในความรัก เพราะเขาทั้งหลายจะได้มีชีวิตอย่างแน่นอนอีกด้วย

เมื่อเอลียาห์ถูกยกขึ้นไปในพายุหมุน เอลีชาก็ได้รับจิตของเขาอย่างเต็มเปี่ยม เขาไม่เคยหวาดกลัวผู้ทรงอำนาจใด ๆ ตลอดชีวิต ไม่มีผู้ใดบังคับเขาได้ ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับเขา แม้ในหลุมศพ ร่างกายของเขาก็ยังประกาศพระวาจา ขณะที่มีชีวิตอยู่ เขาทำปาฏิหาริย์ต่าง ๆ แม้เมื่อเขาตายแล้ว กิจการของเขาก็ยังน่าพิศวง

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 6:7-15

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้

“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ”

เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน”

ข้อคิด

พระเยซูเจ้าสอนเรื่องการภาวนาด้วยจิตใจ ไม่ต้องพูดซ้ำซาก เพราะพระบิดาทราบถึงความต้องการของเราแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับชีวิตก็อยู่ในบทข้าแต่พระบิดาฯ ซึ่งแบ่งเป็น

สามประการแรก เกี่ยวกับพระเจ้าคือ ขอให้พระนามของพระองค์...พระอาณาจักรของพระองค์ และ พระประสงค์ของพระองค์อีกสามประการหลัง เกี่ยวกับชีวิตของเราคือ ขออาหารประจำวัน... โปรดยกโทษข้าพเจ้า...ให้พ้นจากการประจญ
นักบุญมัทธิวก็เติมให้ครบ 7 ประการคือ “โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้าย
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มิ.ย. 22, 2012 10:17 am

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2012
น.เปาลิน แห่งโนลา พระสังฆราช
น.ยอห์น ฟิชเชอร์ น.โทมัส โมร์ มรณสักขี


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 11:1-4,9-18,20

เมื่อพระนางอาธาลิยาห์ พระชนนีของกษัตริย์อาหัสยาห์ทรงทราบว่าพระโอรสถูกปลงพระชนม์ ก็ทรงประหารเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ทันทีแต่เยโฮเชบา พระธิดาของกษัตริย์เยโฮรัมและพระขนิษฐาของกษัตริย์อาหัสยาห์ ทรงนำเยโฮอาช พระโอรสของกษัตริย์อาหัสยาห์ออกจากกลุ่มพระโอรสที่จะต้องถูกประหารไปซ่อนไว้พร้อมกับแม่นมในห้องนอนบริเวณพระวิหาร ให้พ้นจากพระนางอาธาลิยาห์ และหลบซ่อนอยู่กับแม่นมในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาหกปี ขณะที่พระนางอาธาลิยาห์ขึ้นครองแผ่นดิน

ปีที่เจ็ด สมณะเยโฮยาดาส่งคนไปตามผู้บังคับบัญชาทหารชาวคารี และนายทหารองครักษ์มาพบตนในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำสัญญากับเขา ให้ทุกคนสาบานในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วนำพระโอรสของกษัตริย์ออกมาให้เขาเห็น

บรรดานายทหารก็ปฏิบัติตามคำสั่งของสมณะเยโฮยาดา ต่างนำกำลังพลของตนมาด้วย ทั้งพวกที่เข้าประจำการในวันสับบาโต และพวกที่ออกจากประจำการในวันสับบาโต มาพบสมณะเยโฮยาดา สมณะนำหอกและโล่ของกษัตริย์ดาวิดที่เก็บไว้ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาแจกให้ผู้บังคับบัญชา ทหารองครักษ์จึงถืออาวุธครบมือเข้าประจำที่ ตั้งแต่ด้านใต้ของพระวิหารไปจนถึงด้านเหนือของพระวิหาร รอบพระแท่นบูชาและอาคารพระวิหารเพื่อปกป้องกษัตริย์ แล้วสมณะเยโฮยาดานำพระโอรสของกษัตริย์ออกมาสวมมงกุฎและมอบม้วนพันธสัญญาให้ เขาทั้งหลายประกาศแต่งตั้งและเจิมพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ทุกคนปรบมือโห่ร้องว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญ”

พระนางอาธาลิยาห์ทรงได้ยินเสียงทหารองครักษ์ และประชาชนโห่ร้องเสียงดัง ก็รีบเสด็จมาพบประชาชนในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทอดพระเนตรเห็นกษัตริย์ทรงยืนอยู่ข้างเสาตามประเพณี นายทหารและพนักงานเป่าแตรยืนอยู่ข้างกษัตริย์ ประชาชนของแผ่นดินทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดีและเป่าแตร พระนางอาธาลิยาห์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความขุ่นเคือง ทรงร้องตะโกนว่า “กบฏ กบฏ”

สมณะเยโฮยาดาจึงสั่งผู้บัญชาการกำลังพลว่า “จงนำพระนางออกไประหว่างแถวทหาร ผู้ใดพยายามจะช่วยเหลือ ก็จงฆ่าผู้นั้นเสีย” เพราะสมณะได้บอกไว้แล้วว่า “อย่าฆ่าพระนางในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” บรรดาทหารจึงจับกุมพระนาง คุมตัวผ่านประตูม้าของพระราชวัง แล้วปลงพระชนม์ที่นั่น

สมณะเยโฮยาดากระทำพันธสัญญา ระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับกษัตริย์และประชาชนว่า เขาจะเป็นประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า และทำพันธสัญญาอีกระหว่างกษัตริย์กับประชากร ประชาชนของแผ่นดินทุกคนเข้าไปในวิหารของพระบาอัลและรื้อวิหารนั้น ทุบแท่นบูชาและรูปเคารพจนแหลกละเอียด และฆ่ามัทธานสมณะของพระบาอัลที่หน้าแท่นบูชานั้น สมณะจัดยามรักษาการณ์เฝ้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ประชาชนของแผ่นดินทุกคนต่างปลื้มปีติ ตั้งแต่พระนางอาธาลิยาห์ถูกปลงพระชนม์ในพระราชวัง บ้านเมืองก็สงบ

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 6:19-23

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิมและขมวนกัดกิน และถูกขโมยเจาะช่องเข้ามาขโมยไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด ที่นั่นไม่มีสนิมหรือขมวนกัดกิน และขโมยก็เจาะช่องเข้ามาขโมยไปไม่ได้ เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”

“ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปรกติดี สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไปด้วย แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี สรรพางค์กายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด”

ข้อคิด

ในวงการอำนาจ เขาแย่งชิงสมบัติกัน... ฆ่ากัน เมื่อเสียชีวิตแล้วมสมบัติจะมีประโยชน์อะไร?... พระเยซูเจ้าเตือนเราให้แสวงหาสมบัติถาวรในสวรรค์ เพราะไม่มีใครจะมาแย่งชิงจากเราไปได้

เราก็รู้ สมบัติในโลกนี้เป็นของชั่วคราว แต่ทำไมใจของเราก็ยังผูกพันธ์มันมากกว่าชีวิตจริง เราไม่มองข้ามความสำคัญของสมบัติในโลก เพราะมันจะช่วยให้เราอยู่ดีกินดี แต่ต้องไม่ให้มันเป็นพระเจ้าเหนือความรอดฝ่ายวิญญาณของเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มิ.ย. 22, 2012 10:17 am

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศาวดาร ฉบับที่สอง 2 พศด 24:17-25

เมื่อสมณะเยโฮยาดาสิ้นชีวิตแล้ว บรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์เข้ามาถวายบังคมเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ พระองค์ทรงฟังคำทูลของเขา เขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ ไปนมัสการเสาไม้ศักดิ์สิทธิ์และรูปเคารพ ความผิดนี้ทำให้พระเจ้าทรงลงโทษอาณาจักรยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งบรรดาประกาศกมาเตือนเขาให้กลับมาหาพระองค์ ประกาศกเหล่านี้กล่าวประณามความผิดของเขา แต่เขาไม่ยอมฟัง พระจิตของพระเจ้าเข้าประทับในเศคาริยาห์ บุตรของเยโฮยาดาสมณะ เขายืนอยู่ต่อหน้าประชาชน พูดว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ ‘ทำไมท่านทั้งหลายจึงละเมิดบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะไม่ประสบความเจริญรุ่งเรือง ท่านได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทรงละทิ้งท่าน’” เขาทั้งหลายร่วมกันคิดร้ายต่อเศคาริยาห์ ขว้างหินใส่เขาจนตายในลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์โยอาชไม่ทรงระลึกถึงความกรุณาซึ่งสมณะเยโฮยาดา บิดาของเศคาริยาห์เคยทำต่อพระองค์ แต่ทรงประหารชีวิตบุตรของเขา เมื่อเศคาริยาห์ใกล้จะตายได้พูดว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเห็นและทรงลงโทษเถิด”

เมื่อขึ้นปีใหม่กองทัพชาวอารัมก็ยกมาโจมตีกษัตริย์โยอาช เขาบุกรุกเข้ามาในอาณาจักรยูดาห์จนถึงกรุงเยรูซาเล็ม ทำลายล้างบรรดาเจ้านายของประชาชน และส่งของเชลยทั้งหมดไปถวายกษัตริย์แห่งกรุงดามัสกัส กองทัพชาวอารัมยกมาเป็นจำนวนน้อย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกองทัพใหญ่ในมือของเขา เพราะชาวยูดาห์ได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษ กษัตริย์โยอาชจึงถูกลงโทษอย่างสาสม

เมื่อชาวอารัมยกทัพกลับไปแล้ว กษัตริย์โยอาชทรงบาดเจ็บสาหัส บรรดาข้าราชบริพารคบคิดกันปลงพระชนม์พระองค์ เพื่อแก้แค้นที่ทรงประหารชีวิตบุตรของเยโฮยาดาสมณะ เขาปลงพระชนม์กษัตริย์โยอาชบนพระแท่นบรรทม พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เขาฝังพระศพไว้ในนครของกษัตริย์ดาวิด แต่ไม่ได้ฝังไว้ในที่ฝังพระศพของบรรดากษัตริย์

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 6:24-34

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้”

“ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้ ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่งเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้”“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว”

ข้อคิด

พระเยซูเตือนผู้ที่จะติดตามพระองค์ว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้” ดังนั้น ผู้ที่จะรับใช้พระเจ้า ต้องเลือกข้าง คนใดคนหนึ่ง นั่นคือ จะเลือกพระเยซูเจ้า โดยการถือตามคำสอนของพระองค์ หรือจะเลือกเงินทอง... เราคงต้องการทั้งสองอย่าง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร?

คำตอบคือ ให้พระเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง และเงินทองเป็นอันดับสอง พระเจ้ามิได้ห้ามที่จะมีเงินทอง แต่อย่าให้มันครอบงำจิตใจของเรา จนยอมตายเพื่อมัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มิ.ย. 22, 2012 10:17 am

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศาวดาร ฉบับที่สอง 2 พศด 24:17-25

เมื่อสมณะเยโฮยาดาสิ้นชีวิตแล้ว บรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์เข้ามาถวายบังคมเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ พระองค์ทรงฟังคำทูลของเขา เขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ ไปนมัสการเสาไม้ศักดิ์สิทธิ์และรูปเคารพ ความผิดนี้ทำให้พระเจ้าทรงลงโทษอาณาจักรยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งบรรดาประกาศกมาเตือนเขาให้กลับมาหาพระองค์ ประกาศกเหล่านี้กล่าวประณามความผิดของเขา แต่เขาไม่ยอมฟัง พระจิตของพระเจ้าเข้าประทับในเศคาริยาห์ บุตรของเยโฮยาดาสมณะ เขายืนอยู่ต่อหน้าประชาชน พูดว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้ ‘ทำไมท่านทั้งหลายจึงละเมิดบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะไม่ประสบความเจริญรุ่งเรือง ท่านได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทรงละทิ้งท่าน’” เขาทั้งหลายร่วมกันคิดร้ายต่อเศคาริยาห์ ขว้างหินใส่เขาจนตายในลานพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์โยอาชไม่ทรงระลึกถึงความกรุณาซึ่งสมณะเยโฮยาดา บิดาของเศคาริยาห์เคยทำต่อพระองค์ แต่ทรงประหารชีวิตบุตรของเขา เมื่อเศคาริยาห์ใกล้จะตายได้พูดว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเห็นและทรงลงโทษเถิด”

เมื่อขึ้นปีใหม่กองทัพชาวอารัมก็ยกมาโจมตีกษัตริย์โยอาช เขาบุกรุกเข้ามาในอาณาจักรยูดาห์จนถึงกรุงเยรูซาเล็ม ทำลายล้างบรรดาเจ้านายของประชาชน และส่งของเชลยทั้งหมดไปถวายกษัตริย์แห่งกรุงดามัสกัส กองทัพชาวอารัมยกมาเป็นจำนวนน้อย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกองทัพใหญ่ในมือของเขา เพราะชาวยูดาห์ได้ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษ กษัตริย์โยอาชจึงถูกลงโทษอย่างสาสม

เมื่อชาวอารัมยกทัพกลับไปแล้ว กษัตริย์โยอาชทรงบาดเจ็บสาหัส บรรดาข้าราชบริพารคบคิดกันปลงพระชนม์พระองค์ เพื่อแก้แค้นที่ทรงประหารชีวิตบุตรของเยโฮยาดาสมณะ เขาปลงพระชนม์กษัตริย์โยอาชบนพระแท่นบรรทม พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เขาฝังพระศพไว้ในนครของกษัตริย์ดาวิด แต่ไม่ได้ฝังไว้ในที่ฝังพระศพของบรรดากษัตริย์

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 6:24-34

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้”

“ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้ ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่งเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้”“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว”

ข้อคิด

พระเยซูเตือนผู้ที่จะติดตามพระองค์ว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้” ดังนั้น ผู้ที่จะรับใช้พระเจ้า ต้องเลือกข้าง คนใดคนหนึ่ง นั่นคือ จะเลือกพระเยซูเจ้า โดยการถือตามคำสอนของพระองค์ หรือจะเลือกเงินทอง... เราคงต้องการทั้งสองอย่าง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร?

คำตอบคือ ให้พระเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง และเงินทองเป็นอันดับสอง พระเจ้ามิได้ห้ามที่จะมีเงินทอง แต่อย่าให้มันครอบงำจิตใจของเรา จนยอมตายเพื่อมัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มิ.ย. 22, 2012 10:18 am

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน2012
สมโภชนักบุญยอห์น บัปติสต์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 49:1-6

ดินแดนชายทะเลและเกาะทั้งหลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนที่อยู่สุดแดนไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงทำให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์

พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็นผู้รับใช้ของเรา เราจะแสดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยทางท่าน” แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำงานเหนื่อยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่า ๆ ไร้ประโยชน์” ถึงกระนั้น รางวัลของข้าพเจ้าอยู่กับ องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และค่าตอบแทนของข้าพเจ้าก็อยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างข้าพเจ้ามาในครรภ์มารดาให้เป็นผู้รับใช้พระองค์ เพื่อนำยาโคบกลับมาหาพระองค์ และรวบรวมอิสราเอลมาอยู่กับพระองค์
บัดนี้ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับเกียรติเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นพละกำลังของข้าพเจ้า พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อสถาปนาเผ่าพันธุ์ของยาโคบขึ้นใหม่ และรวบรวมอิสราเอลที่เหลืออยู่อีกครั้งหนึ่ง เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำมาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 13:22-26

เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากตำแหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองประชากรอิสราเอล ดังที่มีคำยืนยันในพระคัมภีร์ว่า “เราพบดาวิดบุตรของเจสซี เขาเป็นคนที่เราพอใจ เขาจะทำตามความประสงค์ของเราทุกประการ” จากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผู้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นตามพระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอลทั้งปวง กลับใจ ขณะที่ยอห์นกำลังกระทำภารกิจของตนให้สำเร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด แต่บัดนี้ มีผู้หนึ่งกำลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรจะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”
พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นบุตรจากเชื้อสายของอับราฮัมและท่านที่เคารพยำเกรงพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งข่าวเรื่องความรอดพ้นนี้แก่เรา

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 1:57-66,80

เมื่อครบกำหนดคลอด นางเอลีซาเบธให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่าพระเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง
เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาทำพิธีสุหนัตให้ เขาต้องการเรียก เด็กว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดา แต่มารดาของเด็กค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น” คนเหล่านั้นจึงพูดกับนางว่า “ท่านไม่มีญาติคนใดมีชื่อนี้” เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณ ถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่ออะไร เศคาริยาห์ขอกระดานแผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนต่างประหลาดใจ ทันใดนั้น เศคาริยาห์ก็กลับพูดได้อีก เขาจึงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่องทั้งหมดนี้ได้เล่าลือกันไปทั่วแถบภูเขาของแคว้นยูเดีย ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร” เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขาเด็กนั้นเจริญเติบโตขึ้น จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นด้วย เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่เขาแสดงตนแก่ประชากรอิสราเอล

ข้อคิด

ประกาศกอิสยาห์ประกาศด้วยความภูมิใจว่า “พระเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าจะเกิดมา...”และ “ให้ท่านเป็นผู้รับใช้ของเรา”... พระเจ้ายังตรัสอีกว่า “เราจะแสดงสิริรุ่งโรจน์ ของเราโดยทางท่าน” ยิ่งกว่านั้น “เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำมาจะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
พระเจ้าเรียกยอห์นให้เป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ จนประชาชนคิดว่า ท่านคือ “พระผู้ไถ่” ที่พวกเขารอคอย แต่ยอห์นปฏิเสธ และชี้ไปทางพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จไปหาท่านที่แม่น้ำจอร์แดน คริสตชนก็ต้องตระหนักว่า พระเจ้าก็เรียกเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด ให้ทำหน้าที่เหมือนยอห์นคือ ชี้ให้คนอื่นเห็นพระเยซูเจ้าในชีวิตประจำวัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มิ.ย. 22, 2012 10:18 am

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 17:5-8,13-15ก,18

กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงยกทัพมารุกรานแผ่นดินทั้งหมด เสด็จมาถึงกรุงสะมาเรียและทรงล้อมเมืองเป็นเวลาสามปี ปีที่เก้าในรัชกาลกษัตริย์โฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงยึดกรุงสะมาเรียได้ ทรงกวาดต้อนชาวอิสราเอลไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย ให้ตั้งหลักแหล่ง บางส่วนอยู่ที่เมืองฮาลาห์ บางส่วนอยู่ที่แม่น้ำฮาโบร์ในแคว้นโกซาน บางส่วนอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ของชาวมีเดีย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะชาวอิสราเอลทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตน พระองค์ทรงนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ พ้นจากอำนาจของพระเจ้าฟาโรห์แห่งอียิปต์ แต่เขากลับไปนมัสการเทพเจ้าอื่น ปฏิบัติตามประเพณีของชนชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ออกไปเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามาอาศัยอยู่ และปฏิบัติตามประเพณีต่าง ๆ ที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงนำเข้ามาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้บรรดาประกาศกและผู้ทำนาย มาเตือนชาวอิสราเอลและชาวยูดาห์ว่า “จงละทิ้งหนทางชั่วร้ายของท่าน จงปฏิบัติตามบทบัญญัติและข้อกำหนด ดังที่มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติที่เรามอบให้แก่บรรพบุรุษของท่าน และตกทอดมาถึงท่านทางบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของเรา” แต่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง มีจิตใจดื้อรั้นเหมือนบรรพบุรุษซึ่งไม่ยอมเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตน ดูหมิ่นข้อกำหนดและพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำกับบรรพบุรุษของเขา

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง และทรงผลักไสเขาให้พ้นจากพระพักตร์พระองค์ เหลือไว้แต่เผ่ายูดาห์เท่านั้น

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 7:1-5

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง

ข้อคิด

จากบทอ่านที่หนึ่ง กษัตริย์แห่งอัสซีเรียยกทับมายึดกรุงสะมาเรียและกวาดต้อนประชาชนไปเป็นเฉลยศึก เพราะพวกเขาได้ทำบาปผิดต่อพระเจ้า คือเมื่อพระเจ้านำพวกเขาออกจากการเป็นทาษของอียิปต์... แต่อิสราแอลกลับไปนมัสการเทพเจ้าของชนชาติที่พระองค์ขับไล่ออกไป หลังจากอิสราแอลได้เข้าไปอยู่... เมื่อเราต้องเผชิญกับทรัพย์สินหรือบุคคลที่เราชอบ หลายครั้งชอบจนลืมพระเจ้าก็มี หรือจัดให้พระองค์เป็นอันดับรองลงมา... แบบนี้ก็ไม่ต่างกับพวกอิสราแอลเท่าไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มิ.ย. 27, 2012 5:33 pm

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 19:9ข-11,14-21,31-35ก,36

กษัตริย์เซนนาเคริบจึงทรงส่งผู้นำสารมาเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ ทรงสั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงบอกเฮเซคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าซึ่งท่านวางใจนั้นลวงท่านได้โดยสัญญาว่ากรุงเยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย บัดนี้ ท่านก็รู้แล้วว่า บรรดากษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงทำสิ่งใดกับแผ่นดินทั้งหลายที่ทรงทำลายล้าง แล้วท่านจะรอดพ้นหรือ’

กษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงอ่านพระราชสาสน์จากผู้นำสาร แล้วเสด็จขึ้นไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกางพระราชสาสน์นั้นเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ประทับอยู่เหนือเครูบ พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นพระเจ้าปกครองทุกอาณาจักรบนแผ่นดิน พระองค์ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเงี่ยพระกรรณและทรงฟัง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรและมองดู โปรดทรงฟังถ้อยคำที่เซนนาเคริบส่งมาพูดดูหมิ่นพระเจ้าผู้ทรงชีวิต ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นความจริงที่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงทำลายล้างชนชาติต่าง ๆ และแผ่นดินของเขาแล้ว ทรงทิ้งเทพเจ้าของชนชาติเหล่านั้นลงในไฟ เทพเจ้าทั้งหลายไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นเพียงผลงานจากมือมนุษย์ เป็นเพียงไม้และหิน ชาวอัสซีเรียจึงทำลายได้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเขา แล้วทุกอาณาจักรบนแผ่นดินจะรู้ว่าพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว”

อิสยาห์ บุตรของอามอสจึงส่งคนไปทูลกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราได้ยินคำอธิษฐานภาวนาของท่านเรื่องกษัตริย์เซนนาเคริบแห่งอัสซีเรียแล้ว’” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสพระวาจานี้กล่าวโทษเขาว่า“ศิโยน ซึ่งเป็นเสมือนหญิงสาวพรหมจารี สบประมาทท่าน ดูถูกท่าน กรุงเยรูซาเล็มสั่นศีรษะเย้ยหยันท่าน ชนส่วนที่เหลือจะออกมาจากกรุงเยรูซาเล็ม ผู้รอดชีวิตจะออกมาจากภูเขาศิโยน องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสกลโลก จะทรงกระทำเช่นนี้ เพราะความรักเปี่ยมล้นของพระองค์”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถึงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียว่า “เขาจะไม่เข้าเมืองนี้ จะไม่ยิงธนูใส่เมืองนี้ จะไม่มีทหารถือโล่เข้ามาใกล้ จะไม่สร้างเนินดินเพื่อปีนกำแพงเมือง เขาจะต้องกลับไปตามทางที่เขามา เขาจะไม่เข้าเมืองนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะป้องกันและช่วยเมืองนี้ให้รอดพ้น เพราะเห็นแก่เรา และเห็นแก่ดาวิด ผู้รับใช้ของเรา”คืนนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปที่ค่ายของชาวอัสซีเรียและฆ่าทหารหนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคน กษัตริย์เซนนาเคริบแห่งอัสซีเรียทรงยกทัพกลับไปอยู่ที่กรุงนีนะเวห์

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 7:6,12-14

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเพราะมันจะเหยียบย่ำทำให้เสียของ และหันมากัดท่านอีกด้วย”“ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”“จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำนวนมาก แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย”

ข้อคิด

กษัตริย์เซนนาเคริบส่งสารไปยังกษัตริย์เฮเซคียาห์ให้ยอมแพ้และเป็นเมืองขึ้น ด้วยสารที่กล่าวดูถูกพระเจ้าว่า “พระเจ้าช่วยอะไรไม่ได้หรอก”... ส่วนกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ทูลพระเจ้าถึงเรื่องทั้งหมด แล้วพระเจ้าตรัสผ่านทางประกาศกอิสยาห์ ว่า “...พวกศัตรูจะไม่เข้าเมืองนี้...” คืนนั้นพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ไปที่ค่ายทหารอัสซีเรียฆ่าทหารตายมากมาย จนศัตรูต้องถอยทับกลับไป...พระเจ้าปกป้องประชากรที่วอนขอความช่วยเหลือจากพระองค์เสมอ

พระเยซูเจ้าได้แนะนำศิษย์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตว่า อยากให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร ก็ทำสิ่งนั้นกับเขาก่อน... ใครที่ต้องการเข้าสู่ชีวิตนิรันดรนั้น ต้องไม่กลัวความยากลำบากในโลกนี้ โดยเฉพาะในเรื่องทำความดีและความถูกต้อง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มิ.ย. 27, 2012 5:33 pm

วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2012
น.ซีริล ชาวอเล็กซานเดรีย พระสังฆราชและนักปราชญ์


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 22:8-13 และ 23:1-3

มหาสมณะฮิลคียาห์บอกชาฟาน ราชเลขาว่า “ข้าพเจ้าพบหนังสือธรรมบัญญัติอยู่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ฮิลคียาห์มอบหนังสือนั้นแก่ชาฟาน ซึ่งนำมาอ่าน ชาฟาน ราชเลขา จึงไปทูลกษัตริย์ว่า “บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์นำเงินซึ่งอยู่ในพระวิหารส่งมอบแก่ผู้ดูแลงานซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” ชาฟาน ราชเลขา ทูลเสริมอีกว่า “สมณะฮิลคียาห์ให้หนังสือเล่มหนึ่งแก่ข้าพเจ้า” แล้วชาฟานก็อ่านถวายกษัตริย์

เมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยคำจากหนังสือธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสั่งสมณะฮิลคียาห์ อาหิคัมบุตรของชาฟาน อัคโบร์บุตรของมีคายาห์ ชาฟานราชเลขา และอาสายาห์ข้าราชบริพารของกษัตริย์ ว่า ”จงไปทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เรา และให้ประชาชนชาวยูดาห์ทั้งหลาย เรื่องถ้อยคำในหนังสือที่พบนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธพวกเราอย่างยิ่ง เพราะบรรพบุรุษของเราไม่เชื่อฟังถ้อยคำในหนังสือนี้ และไม่ปฏิบัติตามที่มีเขียนไว้สำหรับเรา”

กษัตริย์โยสิยาห์ทรงเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสแห่งอาณาจักรยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จขึ้นไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับชาวยูดาห์และผู้อาศัยที่กรุงเยรูซาเล็มทุกคน บรรดาสมณะ ประกาศกและประชากรทั้งปวง ทั้งชนชั้นสูงและคนธรรมดา พระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดของหนังสือพันธสัญญา ที่พบในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทุกคนได้ยิน กษัตริย์ทรงยืนข้างเสา ทรงกระทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าว่าจะดำเนินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า จะรักษาบทบัญญัติ กฤษฎีกาและข้อกำหนดของพระองค์สุดจิตใจ สุดวิญญาณ จะปฏิบัติตามถ้อยคำของพันธสัญญาที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ประชาชนทุกคนปฏิญาณจะทำตามพันธสัญญา


พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 7:15-20

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา”

ข้อคิด

จะรู้ว่าคนนี้เป็นประกาศก หรือคนดี ก็ดูที่ผลงานของเขา บางคนเป็นคนดีแต่ภายนอก ในใจของเขากลับ“ไม่ดี” เป็นคนหน้าซื่อใจคดหรือประกาศกเทียม... ความจริง การเป็นประกาศกเทียมนี้ อาจเกิดขึ้นกับเราแต่ละคนได้... หรือ บางโอกาศอาจมีความ(คิดว่า)จำเป็น ก็ยอมเป็นประกาศกเทียมก็มี

ในบทอ่านที่หนึ่ง กษัตริย์โยสิยาห์ เมื่อได้รับการเตือนใจจากมหาสมณะฮิลคียาห์ ก็ตอบสนองและกลับใจ และให้ประชาชนทุกคนกลับใจด้วย ด้วยคำมั่นสัญญาว่า “จำดำเนินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และบัญญัติของพระองค์”...กษัตริย์โยสิยาห์ได้ทำหน้าที่ประกาศกแล้ว... เราแต่ละคนก็มีโอกาศที่จะเป็นประกาศกแท้ได้เช่นเดียวกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ มิ.ย. 27, 2012 5:34 pm

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2012
ระลึกถึง น.อีเรเนโอ พระสังฆราชและมรณสักขี


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 24:8-17

เยโฮยาคีนทรงเป็นกษัตริย์เมื่อพระชนมายุสิบแปดพรรษา และทรงครองราชย์เป็นเวลาสามเดือนที่กรุงเยรูซาเล็ม พระมารดาทรงพระนามว่าเนหุชทา เป็นบุตรหญิงของเอลนาธันชาวกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงกระทำความชั่วเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าดังที่พระบิดาทรงกระทำ

สมัยนั้น นายทหารของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ยกทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่นายทหารล้อมเมืองอยู่นั้น กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนเสด็จมาที่นั่น กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์เสด็จมายอมจำนนกษัตริย์แห่งบาบิโลน พร้อมกับพระมารดา ข้าราชบริพาร นายทหารและข้าราชสำนัก กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงนำกษัตริย์เยโฮยาคีนไปเป็นเชลยในปีที่แปดของรัชกาล

กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงขนทรัพย์สมบัติทั้งหมดในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระราชทรัพย์ในพระราชวังไปกรุงบาบิโลน ทรงตัดเครื่องใช้ทองคำต่างๆที่กษัตริย์ซาโลมอนแห่งอิสราเอลทรงทำขึ้นสำหรับใช้ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสไว้ กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มทั้งหมดจำนวนหนึ่งหมื่นคนไปเป็นเชลย คือนายทหารและพลทหาร ช่างไม้และช่างเหล็กทุกคน เหลือไว้แต่คนยากจนที่สุดของแผ่นดิน พระองค์ทรงนำกษัตริย์เยโฮยาคีนเป็นเชลยไปกรุงบาบิโลน พร้อมกับพระมารดา บรรดามเหสี ข้าราชบริพาร และชนชั้นนำของแผ่นดิน พระองค์ทรงนำบุคคลเหล่านี้จากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงนำผู้มีฐานะทั้งหมดรวมเจ็ดพันคน ช่างไม้และช่างเหล็กจำนวนหนึ่งพันคน ทุกคนล้วนชำนาญศึก

กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งมัทธานียาห์ พระปิตุลาของกษัตริย์เยโฮยาคีนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และทรงเปลี่ยนพระนามเป็น เศเดคียาห์

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 7:21-29

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’ เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’

“ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก”

เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา

ข้อคิด

เยโฮยาคีมขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์เมื่ออายุ 18 พรรษา เพียงสามเดือน ถูกกองทัพของเนบูคัดเนสซาร์ยกทัพมาตีและจับเป็นเฉลยศึก ทั้งประชาชนและสมบัติของแผ่นดินก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะบรรพบุรุษได้กระทำความชั่วต่อหน้าพระเจ้า หมายความว่า เขาไม่ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์

การทำความดีหรือความชั่วมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของตนเองและบุคคลที่เกี่ยวข้องดังที่กล่าวมา มีอยู่เรื่องเดียวคือ “ฟังพระวาจาของพระเจ้า แล้วปฏิบัติตาม” คนที่ทำเช่นนี้ พระเยซูเจ้าเรียกว่า “เป็นคนฉลาด”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ มิ.ย. 29, 2012 10:03 am

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2012
สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอาโมส อมส 3:1-8 และ 4:11-12

ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวจนะนี้ซึ่งพระเจ้าตรัสกล่าวโทษเจ้าทั้งหลาย คือกล่าวโทษหมดทั้งตระกูล ซึ่งเราได้นำขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ว่า “ในบรรดาตระกูลทั้งหมดของแผ่นดิน เจ้าเท่านั้นที่เราเลือกไว้ ดังนั้น เราจึงจะลงโทษเจ้า เพราะความผิดทั้งสิ้นของเจ้า” “คนสองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ เว้นแต่ว่าทั้งสองจะได้ตกลงกันไว้ก่อน สิงห์จะแผดเสียงดังอยู่ในป่า เมื่อมันไม่มีเหยื่อหรือ ถ้าสิงห์หนุ่มจับสัตว์อะไรไม่ได้เลย มันจะร้องออกมาจากถ้ำของมันหรือ ถ้าไม่มีกับดักไว้ นกจะตกลงมาบนพื้นดินได้หรือ กับจะลั่นขึ้นจากพื้นดินได้หรือ ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปติด จะมีภัยตกกับเมืองใดเมืองหนึ่งหรือ นอกจากว่าพระเจ้าทรงกระทำเอง อันที่จริง พระเจ้ามิได้ทรงกระทำอะไรเลย โดยมิได้เปิดเผยแผนการของพระองค์ให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือบรรดาประกาศก สิงห์แผดเสียงร้องแล้ว ผู้ใดจะไม่กลัวบ้าง พระเจ้าตรัสแล้ว ใครจะไม่เผยวจนะเล่า” “เราได้ทำลายเจ้าลงเสีย อย่างที่พระเจ้าทรงทำลายเมืองโสดมและโกโมราห์ เจ้าเป็นเหมือนดุ้นฟืนที่เขาดึงออกมาจากกองไฟ แต่เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระเจ้าตรัสดังนี้แล “เพราะฉะนั้น เราจะกระทำกับเจ้าดังนี้แหละ อิสราเอลเอ๋ย เพราะเราจะกระทำเช่นนี้แก่เจ้า อิสรา เอลเอ๋ย จงเตรียมตัวเผชิญหน้าพระเจ้าของเจ้าเถิด”

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 8:23-27

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนั้น เกิดพายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับบรรดาศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แล้วทรงลุกขึ้น บังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่างประหลาดใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้”

ข้อคิด

ท่ามกลางพายุแห่งความทุกข์ยากลำบากที่โถมประดังเข้ามาในชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว บางครั้งก็ทำเราเกิดความไม่สงบ ความกลัว ความไม่มั่นใจ และจะนำเราไปสู่การยึดเหนี่ยวบางอย่างใกล้ตัวที่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าจะรู้ตัวก็ตาม แต่วันนี้พระองค์กลับให้กำลังใจ และแสดงถึงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือกว่าสิ่งสร้างทั้งมวล ถ้าใครก็ตามที่มีความเชื่อมั่นในพระองค์ แม้ว่าจะเกิดคลื่นพายุในชีวิตสักกี่ครั้ง พระองค์ก็สามารถช่วยให้สงบได้
แก้ไขล่าสุดโดย billa-bong เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 29, 2012 10:12 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส