พระคำภีร์รายวันประจำเดือน กรกฎาคม 2555

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ส.ค. 11, 2012 6:01 pm

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2012
ระลึกถึง น.ยออากิม และ น.อันนา
บิดามารดาของพระนางพรหมจารีมารีย์


บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา บสร 44:10-15

บรรพบุรุษของเราเป็นผู้มีคุณธรรม คุณงามความดีของเขาไม่มีวันถูกลืม มรดกมีค่ายังคงอยู่กับเชื้อสายของเขา คืออยู่กับลูกหลาน เชื้อสายของเขาซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาลูกหลานต่อมาก็ซื่อสัตย์ตามแบบเขาด้วยเชื้อสายของเขาจะดำรงอยู่ตลอดไป ความรุ่งเรืองของเขาจะไม่ถูกลบล้างเลย ศพของเขาถูกฝังไว้อย่างสงบ แต่ชื่อเสียงของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ชุมชนต่าง ๆ จะประกาศปรีชาญาณของเขา ที่ประชุมจะสรรเสริญเขา

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:16-17

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า“ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง”


ข้อคิด

น.ยออากิม และ น.อันนา บิดามารดาของพระนางพรหมจารีย์มารีอา คือแบบอย่างผู้ชอบธรรม แบบอย่างของผู้มีคุณธรรม คุณงามความดีของท่าน ไม่มีวันถูกลืม คริสตชนทุกวันนี้ยังคงเทิดทูนท่าน ให้เกียรติท่าน และจะระลึกถึงท่านสืบ ๆ ไป
ตาเราได้เห็น หูเราได้ยิน ถึงแบบอย่างของผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและทราบถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำกับประชากรของพระองค์ และกับเราแล้ว จงภาคภูมิใจในเกียรติที่พระเจ้าทรงประทานแก่เรา และรักษาเกียรติแห่งการเป็นคริสตชน และปฏิบัติชีวิตให้สมกับการเป็นศิษย์แท้จริงของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ส.ค. 11, 2012 6:03 pm

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม 2012
สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 3:14-17

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ลูกหลานที่ไม่ซื่อสัตย์เอ๋ย จงกลับมาเถิด เพราะเราเป็นเจ้านายของท่าน เราจะนำท่านกลับมายังศิโยน จะนำคนหนึ่งจากแต่ละเมือง และสองคนจากแต่ละครอบครัว เราจะให้ผู้เลี้ยงที่ทำตามใจเราแก่ท่าน เขาจะเลี้ยงดูท่านด้วยความรู้และความเข้าใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส – เมื่อท่านทั้งหลายจะทวีจำนวนในแผ่นดิน เวลานั้น เขาทั้งหลายจะไม่พูดถึง ‘หีบพระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ อีกต่อไป จะไม่มีใครคิดถึง ไม่มีใครจดจำ ไม่มีใครรู้สึกเสียดาย ไม่มีใครทำหีบพันธสัญญาขึ้นใหม่เลย เวลานั้นเขาจะเรียกกรุงเยรูซาเล็มว่าเป็นพระบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า นานาชาติจะรวมกันเข้ามาที่นั่น ที่กรุงเยรูซาเล็ม เดชะพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ปฏิบัติตามใจชั่วและดื้อกระด้างอีกต่อไป”

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:18-23

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“ฉะนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

ข้อคิด

มั่นใจว่าเราได้ยินได้ฟังอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้ ไม่รู้ว่ากี่สิบกี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า เราได้ยินได้ฟังกี่ครั้ง – กี่มากน้อยครั้ง แต่มันสำคัญที่ว่า ได้ยินได้ฟังแล้ว เราเข้าใจและประพฤติ – ปฏิบัติตามพระวาจานั้นอย่างไร หลายครั้งได้ยินได้ฟังแล้วก็รู้สึกดี แต่ก็เป็นดังเมล็ดพืชที่ตกตามริมทาง หรือตกบนหินหรือตกในพงหนาม ไม่สามารถงอกได้ หรืองอกได้เพียงเล็กน้อย ไม่สามารถเติบโตเพราะถูกเบียดเบียน เพราะความวุ่นวายทางโลก เพราะความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ
สิ่งสำคัญก็คือ ได้ยินได้ฟังแล้ว เข้าใจและปฏิบัติจนเกิดผลเป็นร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ในชีวิตคริสตชนของเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ส.ค. 11, 2012 6:03 pm

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2012
สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 7:1-11

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งประกาศกเยเรมีย์ว่า “จงไปยืนที่ประตูพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและประกาศถ้อยคำเหล่านี้ที่นั่นว่า ชาวยูดาห์ทั้งหลายที่ผ่านประตูเหล่านี้เข้ามานมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้ จงแก้ไขความประพฤติและกิจการของท่าน แล้วเราจะให้ท่านอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ อย่าไว้วางใจคำหลอกลวงของผู้ที่พูดว่า ‘นี่คือพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะถ้าท่านแก้ไขความประพฤติและกิจการของท่านอย่างแท้จริง ถ้าท่านตัดสินคดีความของผู้หนึ่งกับเพื่อนบ้านอย่างยุติธรรม ถ้าท่านไม่ข่มเหงคนต่างด้าว ลูกกำพร้าและแม่หม้าย ถ้าท่านไม่หลั่งโลหิตของผู้บริสุทธิ์ในสถานที่นี้ และไม่ไปกราบไหว้เทพเจ้าอื่นเป็นการทำร้ายตนเอง เราจะให้ท่านอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ ในแผ่นดินซึ่งเราเคยให้แก่บรรพบุรุษของท่านตั้งแต่นานมาแล้ว เพื่อจะได้อาศัยอยู่ตลอดไป

แต่ท่านทั้งหลายวางใจในคำหลอกลวงที่ไม่ให้ประโยชน์ใดเลย ท่านลักขโมย ฆ่าคน ล่วงประเวณี สาบานเท็จ เผากำยานถวายพระบาอัลและนมัสการเทพเจ้าซึ่งท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วมายืนต่อหน้าเราในพระวิหารนี้ ซึ่งได้รับนามตามชื่อของเรา พูดว่า ‘พวกเราปลอดภัยแล้ว’ เพื่อจะกลับไปทำกิจการน่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้อีก วิหารนี้ที่ได้รับนามตามชื่อของเราเป็นถ้ำโจรในสายตาของท่านไปแล้วหรือ เราเองยังได้เห็นเช่นนี้” – องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:24-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลี แล้วจากไป เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’”

ข้อคิด

สังคมโลกทุกวันนี้ มีทั้งคนดี และคนชั่วปะปนกันอยู่ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีสังคมใดที่มีแต่คนดี หรือสังคมใดที่มีแต่คนชั่ว กระนั้น เราก็ไม่อาจโทษพระเจ้าว่า ทำไมพระเจ้าสร้างสังคมที่เลวร้าย ด้วยพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งดีล้วน แต่เพราะปีศาจและเพราะมนุษย์เชื่อปีศาจ มนุษย์จึงถูกหลอกลวง ถูกยั่วยวน ถูกยั่วยุให้ทำสิ่งชั่วร้าย

ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน หรืออาจพูดได้อีกว่า ใครทำอะไรไว้ ก็จะได้รับผลอย่างนั้น ผู้ประพฤติดีย่อมได้รับรางวัล ส่วนผู้ประพฤติชั่วย่อมต้องรับโทษทัณฑ์ ที่นั่นจะมีแต่การร้องได้และการขบฟันด้วยความขุ่นเคือง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ส.ค. 11, 2012 6:04 pm

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2012
สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 4:42-44

ชายคนหนึ่งมาจากเมืองบาอัล-ชาลิชา นำขนมปังยี่สิบก้อนทำจากข้าวบาร์เลย์ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวในปีนั้น และรวงข้าวที่เพิ่งเกี่ยวได้มาให้คนของพระเจ้า เอลีชาสั่งว่า “จงนำไปให้ทุกคนกินเถิด” แต่ผู้รับใช้ของเขาแย้งว่า “ข้าพเจ้าจะนำอาหารแค่นี้ไปเลี้ยงคนหนึ่งร้อยคนได้อย่างไร” เอลีชาตอบว่า “จงแจกให้ทุกคนกินเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘ท่านทั้งหลายจะได้กิน แล้วยังจะมีเหลืออีก’” ผู้รับใช้จึงจัดอาหารให้ทุกคน ทุกคนกินและยังมีเหลืออยู่อีกตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 4:1-6

พี่น้อง ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า ขออ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และทรงสถิตอยู่ในทุกคน

พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:1-15

หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลี หรือทีเบเรียส ประชาชนจำนวนมากตามพระองค์ไป เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ได้ทรงกระทำแก่ผู้เจ็บป่วย พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ประทับที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว

พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำนวนมากที่มาเฝ้า จึงตรัสแก่ฟิลิปว่า ‘พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน?’ พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรงทราบแล้วว่าจะทรงทำประการใด ฟิลิปทูลตอบว่า ‘ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ’ ศิษย์อีกคนหนึ่งคือ อันดรูว์ น้องของซีโมน เปโตร ทูลว่า เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว ขนมปังและปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำหรับคนจำนวนมากเช่นนี้?’ พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘จงบอกประชาชนให้นั่งลงเถิด’ ที่นั่น มีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป เขาจึงนั่งลง นับจำนวนผู้ชายได้ถึงห้าพันคน พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่นั่งอยู่ พระองค์ทรงกระทำเช่นเดียวกันกับปลาตามที่เขาต้องการ เมื่อคนทั้งหลายอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า ‘จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ อย่าให้สิ่งใดสูญไปเสียเปล่า’ บรรดาศิษย์จึงได้เก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือนั้น ได้สิบสองกระบุง เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ ก็กล่าวว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นประกาศกที่แท้จริง ซึ่งจะต้องมาในโลก’ พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าคนเหล่านั้นจะมาใช้กำลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขาตามลำพังอีกครั้งหนึ่ง



บทเทศน์จากพระวาจาของพระเจ้า
สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา
อาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2012

เมื่อสมัยที่พ่อเป็นเด็ก เวลาไปวัดวันอาทิตย์คุณแม่และคุณยายจะสอนพวกเราที่เป็นลูกหลานเสมอๆว่า “เวลาเราไปวัด ไปหาพระต้องแต่งตัวให้ดีที่สุดไปหาพระ” คำสอนนี้แปลงเป็นภาคปฏิบัติด้วยการดูแลพวกเราพี่น้องให้ต้องอาบน้ำถูขี้ไคลให้สะอาด ท่านจะกวดขันพวกเราเป็นพิเศษในช่วงตอนเย็นของวันเสาร์ เช่นเดียวกันเสื้อผ้าก็ต้องซักให้สะอาด รีดให้เรียบร้อยเตรียม ไว้ให้พร้อมตั้งแต่เย็นวันเสาร์นั้นเอง ท่านจะสอนเราเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษว่า เวลาเราไปวัดไปหาพระ อย่าไปมือเปล่า ต้องมีสิ่งดีๆติดมือไปฝากพระด้วย สิ่งดีๆดังกล่าวแสดงออกภายนอกด้วยการแต่ตัวให้ดีที่สุดไปวัด แต่ที่สำคัญกว่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการเตรียมจิตวิญญาณให้สะอาดสวยงามที่ต้องมีไว้ติดมือไปถวายพระในวันอาทิตย์ทุกๆอาทิตย์

ความจริงชีวิตของเราแต่ละคนต่างก็มีอะไรๆเป็นลักษณะเฉพาะของตัวเองที่สามารถนำไปถวายแด่พระเจ้าที่วัด ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณได้เสมอ และพระเจ้าก็ทรงพอพระทัยที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราเสมอ ทั้งในคุณลักษณะที่ “น่าพอใจ” และ “ไม่น่าพอใจ” อันเป็นคุณลักษณะเฉพาะในชีวิตของเรา ด้วยเหตุนี้ในช่วงพิธีกรรม “ภาคถวาย” พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสัตบุรุษจึงยกแผ่นปังขึ้นถวายแด่พระเจ้าและภาวนาว่า ข้าแต่พระเจ้าแห่งสากลโลก ขอถวายพระพร พระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาประทานปังซึ่งข้าพเจ้ากำลังถวายอยู่นี้ อันเป็นผลมาจาก “แผ่นดินและน้ำพักน้ำแรงของมนุษย์” ....... ที่พระสงฆ์ภาวนาและถวายเช่นนั้นก็เพราะว่า ทุกๆครั้งที่พี่น้องมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ เราแต่ละคนล้วนมีสิ่งต่างๆติดตัวมาถวายแด่พระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น และเราทุกคนต่างพร้อมใจกันถวายสิ่งต่างๆเหล่านั้นแด่พระเจ้าพร้อมกับพระสงฆ์ในภาคถวายนั่นแหละ

พระวาจาของพระเจ้าจากพระคัมภีร์ที่เราอ่านประจำอาทิตย์นี้ ทั้งในบทอ่านจากหนังสือพงษ์กษัตริย์ และในพระวรสารตามคำเล่าของท่านนักบุญยอห์น ทำให้เรามองเห็นความสำคัญของสิ่งต่างๆที่เรานำติดตัวมาถวายพระเจ้าในพิธีบูชาขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง จริงอยู่ที่เราอาจจะมีความตั้งใจนำสิ่งต่างๆมาถวายพระเจ้าเพื่อแสดงความรักต่อพระองค์ หรือเพื่อเป็นการขอบพระคุณพระองค์ หรือเพื่อเป็นสื่อนำถวายสำหรับวอนขอพระเมตตาจากพระองค์ฯ ไม่ว่าเราจะตั้งใจในเบื้องต้นอย่างไรก็ตามพระวาจาของพระเจ้าในอาทิตย์นี้ พระเจ้าทรงสั่งให้เราแต่ละคนปฏิบัติตนเหมือนที่ทรงสั่งให้ ชายที่มาจากเมืองบาอัล-ชาลิชาว่า “ให้นำสิ่งที่นำมาถวายแด่พระเจ้านั้นไปให้ผู้คนทั้งหลายกินเถิด” ทุกคนในสมัยนั้นได้กินจนอิ่ม ตามที่หนังสือพงษ์กษัตริย์ ได้เล่าไว้ เช่นเดียวกัน ตามคำเล่าของท่านนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้าทรงนำเอาขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัวจากเด็กคนหนึ่งที่นำติดตัวมาด้วย ทรงนำมาถวายพรแด่พระเจ้าและทำอัศจรรย์แจกจ่ายให้ทุกคนได้กินจนอิ่มหนำ

พี่น้องที่เคารพ อาทิตย์นี้ พ่อเชิญชวนให้พี่น้องทุกท่านนำ “ผลงาน” และ “น้ำพักน้ำแรง” ในชีวิตของพี่น้องไปถวายพระที่วัดในพิธีบูชาขอบพระคุณกันให้ทั่วหน้า และเมื่อถวายให้พระแล้ว จะนำชีวิตลักษณะต่างๆที่นำมาถวายนั้น กลับไปแบ่งปันช่วยเหลือผู้คนรอบข้างที่ขาดแคลนอดอยากและกำลังรอคอยความช่วยเหลือ เหมือนกับผู้คนในสมัยของเอลีชาและพระเยซูเจ้าที่หิวโหย หากพี่น้องมีเงินทองมาถวายพระเจ้า จงเอาเงินทองที่มีอยู่ไปช่วยผู้คนที่อดอยากเถิด หากนำเอาความภาคภูมิใจในความรู้ความสามารถ สุขภาพที่ดี ประสบการณ์ดีๆ .... ฯลฯ มาถวายพระเจ้า ก็จงเอามันกลับไปช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องรอบข้างที่รอคอยความช่วยเหลือเถิด และแม้ว่าพี่น้องจะนำเอาชีวิตที่เต็มไปด้วยความบาปผิด ความทุกข์ยากในชีวิต ความไม่พึงประสงค์ต่างๆ มาถวายเพื่อขอพระเมตตาจากพระเจ้าก็จงทำเช่นเดียวกัน จงเอาประสบการณ์ที่ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าไปมอบ ให้ และปฏิบัติเช่นนั้นกับผู้คนรอบข้างด้วยเช่นกัน หากพี่น้องปฏิบัติเช่นนี้ตามพระวาจาของพระเจ้าแล้วไซร้ สังคมรอบข้างที่เราอาศัยอยู่ก็จะได้รับการเลี้ยงดูจนอิ่มหนำและจะมีเหลือเก็บไว้กินไว้ใช้ต่อไปได้อีกเหมือนที่เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูเจ้า และเอลีชาตามที่เล่าไว้ในพระคัมภีร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ส.ค. 11, 2012 6:04 pm

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม 2012
น.เปโตร คริโซโลโก พระสังฆราชและนักปราชญ์


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 13:1-11

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ “จงไปซื้อผ้าป่านคาดสะเอวมาผืนหนึ่ง และคาดสะเอวของท่านไว้ แต่อย่าให้ผ้านั้นถูกน้ำ” ข้าพเจ้าจึงไปซื้อผ้าคาดสะเอวตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า นำมาคาดสะเอวไว้

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงรีบนำผ้าคาดสะเอวที่ท่านซื้อมาคาดสะเอวนี้ ไปยังแม่น้ำยูเฟรติส แล้วซ่อนผ้านั้นไว้ในซอกหินแห่งหนึ่ง” ข้าพเจ้าก็ไปและซ่อนผ้าผืนนั้นไว้ริมแม่น้ำยูเฟรติสตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

ต่อมาอีกหลายวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงรีบไปที่ริมแม่น้ำยูเฟรติส และนำผ้าคาดสะเอวที่เราได้สั่งท่านให้ซ่อนไว้ที่นั่นกลับมา” ข้าพเจ้าจึงไปที่แม่น้ำยูเฟรติส ค้นหาผ้าคาดสะเอวในที่ซึ่งข้าพเจ้าซ่อนไว้และนำออกมาก็เห็นว่าผ้าคาดสะเอวนั้นเปื่อยยุ่ยจนใช้การไม่ได้

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าต่อไป “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะทำลายความเย่อหยิ่งของยูดาห์และความหยิ่งยโสของกรุงเยรูซาเล็มเช่นเดียวกัน ประชากรชั่วนี้ที่ปฏิเสธไม่ยอมฟังถ้อยคำของเรา ดื้อรั้นทำตามใจของตนและติดตามเทพเจ้าอื่น เพื่อรับใช้และกราบนมัสการเทพเจ้าเหล่านั้น จะเป็นเหมือนผ้าคาดสะเอวผืนนี้ที่ใช้การไม่ได้ ผ้าคาดสะเอวติดอยู่ที่บั้นเอวของมนุษย์ฉันใด เราก็ได้ทำให้พงศ์พันธุ์ทั้งหมดของอิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของยูดาห์ติดอยู่กับเราฉันนั้น –องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส – เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นประชากร เป็นชื่อเสียง เป็นที่สรรเสริญ เป็นความภูมิใจของเรา แต่เขาทั้งหลายก็ไม่ยอมฟัง”

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:31-35

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า“อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่น ๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น”

พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก

ข้อคิด

เวลาที่เราอ่านหรือเราฟังบางสิ่งบางอย่าง เราคงไม่สามารถเข้าใจได้ทุกเรื่อง หรือเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง หรืออาจร้ายกว่านั้นด้วย ก็คือ เข้าใจผิด - เข้าใจไปคนละเรื่อง

การได้ยิน - ได้ฟัง - ได้อ่านพระวาจาของพระเจ้าก็เช่นกัน หลายครั้งที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา หรือคำเปรียบเทียบ บางคนเข้าใจ แต่บางคนก็ไม่เข้าใจ แม้บางคนจะพยายามเข้าใจ กระนั้นก็ดี พระเยซูเจ้ามักจะอธิบายอุปมานั้นเสมอ ๆ โดยเฉพาะกับอัครสาวก

วันนี้ก็เช่นกัน อาณาจักรสวรรค์ ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่แท้จริงแล้ว เป็นไปได้เสมอสำหรับผู้มีความเชื่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ส.ค. 11, 2012 6:05 pm

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2012
ระลึกถึง น.อิกญาซีโอ เด โลโยลา พระสงฆ์


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 14:17-22

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งข้าพเจ้าให้ไปประกาศถ้อยคำนี้แก่เขาทั้งหลายว่า “ตาของเราน่าจะหลั่งน้ำตาทั้งคืนทั้งวันโดยไม่หยุด เพราะบุตรหญิงพรหมจารีของประชากรของเราได้รับภัยพิบัติยิ่งใหญ่ เป็นบาดแผลสาหัสไม่มีทางรักษาให้หายได้ ถ้าเราออกไปในทุ่งนา ก็เห็นผู้ถูกฆ่าด้วยดาบ ถ้าเราเข้าไปในกรุง ก็เห็นผู้ที่อดอาหารตาย ทั้งบรรดาประกาศกและสมณะเดินไปมาในแผ่นดิน โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร”

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทอดทิ้งยูดาห์โดยสิ้นเชิงแล้วหรือ พระองค์ทรงรังเกียจศิโยนแล้วหรือ ทำไมพระองค์จึงทรงเฆี่ยนตีข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้บาดเจ็บจนไม่มีทางรักษา ข้าพเจ้าทั้งหลายรอคอยสันติภาพ แต่ไม่มีสิ่งดีเกิดขึ้น รอคอยเวลาให้หายจากโรค ก็มีแต่ความน่าสยดสยอง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายยอมรับความเลวร้ายของตน และความชั่วร้ายของบรรพบุรุษ ใช่แล้ว ข้าพเจ้าได้ทำบาปผิดต่อพระองค์ เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออย่าทรงปล่อยให้ที่ประทับแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ถูกลบหลู่ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้งหลาย และอย่าทรงเพิกถอนพันธสัญญาที่ทรงทำไว้กับข้าพเจ้าเลย ในบรรดารูปเคารพของนานาชาติ มีรูปเคารพใดบ้างทำให้ฝนตกได้ ท้องฟ้าจะให้ฝนตกหนักได้โดยลำพังตนเองหรือ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย มิใช่พระองค์หรือที่ทรงทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

พระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:36-43

หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์

“ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และทุกคนที่ประกอบการอธรรมให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหู ก็จงฟังเถิด”

ข้อคิด

ประกาศกเยเรมีย์ได้รับคำสั่งจากพระเจ้า ให้ประกาศแก่ประชากรของพระเจ้าว่า “พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือผู้ที่เป็นประชากรของพระองค์ ประชากรที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ แม้บางครั้งจะได้เคยทำผิด หรือเดินผิดทางไป แต่เมื่อได้รับการตักเตือน กลับใจ พระเจ้าก็พร้อมจะให้อภัยเสมอ

สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราเชื่อ - เราวางใจ และเราพร้อมจะปฏิบัติตนและเดินในทนทางของพระเจ้า เราต้องพร้อมจะให้เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าเจริญงอกงามในพื้นนา – ในชีวิตของเรา เราต้องไม่เป็นข้าวละมาน มิฉะนั้นจะถูกมัดเป็นฟ่อนโยนทิ้งในเตาไฟ และจะถูกเผาในไฟนิรันดร
ตอบกลับโพส