@.สิทธิของผู้ปั้น.@
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 20, 2005 9:04 pm
สิทธิของผู้ปั้น
โดย:โปรดปราน ( พีพี )
วันที่ ๒๑ กรกฏาคม ๒๐๐๔ เป็นวันอธิษฐาน อดอาหาร ของภาคการศึกษาแรก ในช่วงเฝ้าเดี่ยว(meditation ) ใช้เวลากับพระบิดา ฉันนั่งรำพึงที่สวนหน้าบ้านพัก พระจิตเจ้า ทรงเร้าใจให้อ่านพระคัมภีร์ประกาศก เยเรมีย์ บทที่ ๑๘ ฉันจับประเด็นความสำคัญ ที่ ข้อ ๑-๑๐ “พระวาจาซึ่งมาจากพระเจ้าถึงประกาศกเยเรมีย์ว่า"จงลุกขึ้น ไปที่บ้านของช่างหม้อ เราจะให้เจ้าได้ยินถ้อยคำของเราที่นั่น"ข้าพเจ้าจึงลงไปที่บ้านของช่างหม้อ และเขากำลังทำงานอยู่ที่แป้นเวียนและภาชนะซึ่งทำด้วยดินก็เสียอยู่ในมือของช่างหม้อ เขาจึงปั้นใหม่ให้เป็นภาชนะอีกลูกหนึ่งตามที่ช่างหม้อเห็นว่าควรทำแล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า"ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้ กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อถ้าเวลาใดก็ตามเราประกาศเกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมันเสียและถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสียและถ้าเวลาใดก็ตาม เราได้ประกาศเกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างขึ้นและปลูกฝังไว้และชาตินั้นได้กระทำชั่วในสายตาของเรา ไม่ฟังเสียงของเรา เราก็จะกลับใจจากความดีซึ่งเราตั้งใจจะกระทำกับชาตินั้นเสีย”
เข้ากับภาษิตไทยที่ว่า “อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น” งานปั้นจะนำมาใช้ในโรงเรียนเพื่อฝึกเด็กเล็กๆ เป็นการฝึกเรื่องการใช้กล้ามเนื้อมือ ฝึกสายตา และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือฝึกจินตนาการของเด็กๆ ฉันเคยสอนชั้นอนุบาล ตอนเป็นนักศึกษาฝึกงาน ฉัน ทึ่งกับจินตนาการ เด็กคนหนึ่งมาก ที่แกปั้นดินน้ำมัน เป็นเส้นยาว แล้วมีดินก้อนโตป่องตรงกลาง ฉันถามว่า “หนูปั้นตัวอะไรคะ” เด็กตอบ “งูคั๊บ” ฉันถามต่อ “งูอะไรคะ ท้องใหญ่มาก” เด็กตอบด้วยความภูมิใจว่า “งูกินช้างคั๊บ คุณครู” เรื่องนี้ผ่านไป ยี่สิบปีแล้ว ฉันยังจำหน้าน้อยๆ ดวงตาใสซื่อของเจ้าหนู นักจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ของฉันได้จนบัดนี้
ฉันได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง สนทนากับพระเจ้าในคำภาวนา จึงเข้าใจว่า พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ พระองค์ทรงมีสิทธิอันชอบธรรม หรือมีกรรมสิทธิ์ในชีวิตของเรา ...ฉันยังติดใจอยากจะเข้าใจต่อว่า พระเจ้าตรัสกับฉันอย่างไร จึงไปศึกษาทั้งบท และเบื้องหลังของหนังสือเล่มนี้ ฉันเข้าใจ เยเรมีย์ ประกาศกที่ยิ่งใหญ่ของยูดาห์ตั้งแตีปี 625-585 กคศ.
เขาเป็นบุตรชายของปุโรหิตพระเจ้าทรงเรียกเขาให้เป็นประกาศก ตั้งแต่เยาว์วัย ตลอดหลายปีก่อนหน้านั้นประชากรของพระเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าและเพิกเฉยต่อธรรมบัญญัติของพระองค์ พระเจ้าจึงส่งเยเรมีย์ไปเตือนคนยูดาห์ว่าถ้าพวกเขาไม่กลับใจใหม่ จะต้องสูญเสียแผ่นดินกับเมืองหลวงทั้งยังจะถูกกว่าต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่พระเจ้าจะให้อภัยและบูรณะบ้านเมืองขึ้นใหม่ ถ้าพวกเขากลับใจมาหาพระองค์ “เราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชากรอิสราเอล...เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลายและเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย” ทว่าประชาชนปฏิเสธที่จะเชื่อฟังแม้ยามที่กรุงเยรูซาเล็มแตก
บทเรียนที่ฉันได้ความเข้าใจจากพระวาจาของพระเจ้าตอนนี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างช่างปั้นและดิน คือความสัมพันธ์ กับพระเจ้าและมนุษย์ ฉันมีมุมมองในกรอบความคิดดังนี้
โดย:โปรดปราน ( พีพี )
วันที่ ๒๑ กรกฏาคม ๒๐๐๔ เป็นวันอธิษฐาน อดอาหาร ของภาคการศึกษาแรก ในช่วงเฝ้าเดี่ยว(meditation ) ใช้เวลากับพระบิดา ฉันนั่งรำพึงที่สวนหน้าบ้านพัก พระจิตเจ้า ทรงเร้าใจให้อ่านพระคัมภีร์ประกาศก เยเรมีย์ บทที่ ๑๘ ฉันจับประเด็นความสำคัญ ที่ ข้อ ๑-๑๐ “พระวาจาซึ่งมาจากพระเจ้าถึงประกาศกเยเรมีย์ว่า"จงลุกขึ้น ไปที่บ้านของช่างหม้อ เราจะให้เจ้าได้ยินถ้อยคำของเราที่นั่น"ข้าพเจ้าจึงลงไปที่บ้านของช่างหม้อ และเขากำลังทำงานอยู่ที่แป้นเวียนและภาชนะซึ่งทำด้วยดินก็เสียอยู่ในมือของช่างหม้อ เขาจึงปั้นใหม่ให้เป็นภาชนะอีกลูกหนึ่งตามที่ช่างหม้อเห็นว่าควรทำแล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า"ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้ กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อถ้าเวลาใดก็ตามเราประกาศเกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมันเสียและถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสียและถ้าเวลาใดก็ตาม เราได้ประกาศเกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างขึ้นและปลูกฝังไว้และชาตินั้นได้กระทำชั่วในสายตาของเรา ไม่ฟังเสียงของเรา เราก็จะกลับใจจากความดีซึ่งเราตั้งใจจะกระทำกับชาตินั้นเสีย”
เข้ากับภาษิตไทยที่ว่า “อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น” งานปั้นจะนำมาใช้ในโรงเรียนเพื่อฝึกเด็กเล็กๆ เป็นการฝึกเรื่องการใช้กล้ามเนื้อมือ ฝึกสายตา และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือฝึกจินตนาการของเด็กๆ ฉันเคยสอนชั้นอนุบาล ตอนเป็นนักศึกษาฝึกงาน ฉัน ทึ่งกับจินตนาการ เด็กคนหนึ่งมาก ที่แกปั้นดินน้ำมัน เป็นเส้นยาว แล้วมีดินก้อนโตป่องตรงกลาง ฉันถามว่า “หนูปั้นตัวอะไรคะ” เด็กตอบ “งูคั๊บ” ฉันถามต่อ “งูอะไรคะ ท้องใหญ่มาก” เด็กตอบด้วยความภูมิใจว่า “งูกินช้างคั๊บ คุณครู” เรื่องนี้ผ่านไป ยี่สิบปีแล้ว ฉันยังจำหน้าน้อยๆ ดวงตาใสซื่อของเจ้าหนู นักจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ของฉันได้จนบัดนี้
ฉันได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง สนทนากับพระเจ้าในคำภาวนา จึงเข้าใจว่า พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ พระองค์ทรงมีสิทธิอันชอบธรรม หรือมีกรรมสิทธิ์ในชีวิตของเรา ...ฉันยังติดใจอยากจะเข้าใจต่อว่า พระเจ้าตรัสกับฉันอย่างไร จึงไปศึกษาทั้งบท และเบื้องหลังของหนังสือเล่มนี้ ฉันเข้าใจ เยเรมีย์ ประกาศกที่ยิ่งใหญ่ของยูดาห์ตั้งแตีปี 625-585 กคศ.
เขาเป็นบุตรชายของปุโรหิตพระเจ้าทรงเรียกเขาให้เป็นประกาศก ตั้งแต่เยาว์วัย ตลอดหลายปีก่อนหน้านั้นประชากรของพระเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าและเพิกเฉยต่อธรรมบัญญัติของพระองค์ พระเจ้าจึงส่งเยเรมีย์ไปเตือนคนยูดาห์ว่าถ้าพวกเขาไม่กลับใจใหม่ จะต้องสูญเสียแผ่นดินกับเมืองหลวงทั้งยังจะถูกกว่าต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่พระเจ้าจะให้อภัยและบูรณะบ้านเมืองขึ้นใหม่ ถ้าพวกเขากลับใจมาหาพระองค์ “เราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชากรอิสราเอล...เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลายและเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย” ทว่าประชาชนปฏิเสธที่จะเชื่อฟังแม้ยามที่กรุงเยรูซาเล็มแตก
บทเรียนที่ฉันได้ความเข้าใจจากพระวาจาของพระเจ้าตอนนี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างช่างปั้นและดิน คือความสัมพันธ์ กับพระเจ้าและมนุษย์ ฉันมีมุมมองในกรอบความคิดดังนี้