โดย: โปรดปราน ( พีพี )
ในสหรัฐอเมริกา มีหนุ่มคนหนึ่งชื่อ Keith Waters ถูกตัดสินจำคุก ๒๐ ปี ทั้งๆที่เขาบริสุทธิ์ จึงทำให้พี่สาวชื่อ จูดี้ ต้องกลับไปมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนกฎหมาย และภายหลังเมื่อเธอสำเร็จการศึกษาจูดี้จึงได้เรื้อคดีของน้องชายจนสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ “จูดี้คือตัวอย่างของสตรีที่ช่วยชีวิตของน้องชาย” จูดี้กลายเป็นวีรสตรีของKeith น้องชาย และในชีวิตของเรา คงจะได้อ่านคำพยาน ถึงวีรสตรีมากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและในอนาคต กอปรกับพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกได้สถาปนาบรรดาวีรสตรีแห่งความเชื่อ-ความศรัทธาของพระเป็นเจ้าเป็นบุญราศี หรือนักบุญมากมายแล้ว ( และคงจะมีอีกมากมายในอนาคต ) ซึ่งพี่น้องคริสตังทราบกันดี
สืบเนื่องจากการเข้าเงียบครั้งล่าสุดของฉันที่สวนเจ็ดรินพระเจ้าทรงนำให้ฉันมีโอกาสอ่านและพิจารณาพระคัมภีร์เก่า“เอสเธอร์” เมื่ออ่านจบก็ได้รับความเข้าใจ และคำตอบเกี่ยวกับชีวิตตัวเองหลายๆอย่าง แต่จะขอแบ่งปัน กับผู้อ่าน บางส่วน เกี่ยวกับพระคัมภีร์เล่มนี้ “เอสเธอร์” เป็นชื่อหนังสือ มาจากชื่อสตรีชาวยิว ที่มีชีวิตอยู่ในเปอร์เชีย ชื่อจริงว่า “ฮาคาซาห์” ส่วนชื่อเอสเธอร์ใช้เมื่อไปแข่งขันชิงตำแหน่งพระราชินีของเปอร์เชีย หนังสือเล่มนี้ใช้อ่านในช่วงฉลองเทศกาล “ปูริม” คือการฉลองการรอดพ้นจากแผนประหัตประหารชนชาติยิว นักวิชาการพระคัมภีร์หลายๆคนถกเถียงกันว่าพระคัมภีร์เล่มนี้ไม่น่าจะเข้าระบบพระคัมภีร์เดิม ( Old Testament ) เพราะไม่ได้มีการอ้างพระนามของพระเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องของบุคคลที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอนำผู้อ่าน มาดูภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่เปอร์เชียในเมืองสุสา ในรัชสมัยของ พระราชา “อาหสุเอรัส” ( ๔๘๖-๔๖๕ กคศ.) เนื่องจากชาวอิสราเอลถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลนเมื่อบาบิโลนแพ้แก่เปอร์เชีย อาณาจักรเปอร์เชียครอบครองบาบิโลน คนยิวก็ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่เปอร์เชีย ในเมืองสุสา ก็มีชาวยิว อยู่จำนวนไม่น้อย

เอสเธอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของการไถ่ ส่วนฮามานคนอากักเป็นตัวแทนของอำนาจชั่วร้าย อคติ เขาทำให้คนอิสราเอลทุกข์ยากลำบากมากมาย ความล้มเหลวของฮามานเป็นการยืนยันชัยชนะอย่างต่อเนื่องของคนยิว การทรงสำแดงของพระเจ้าในพระคัมภีร์เอสเธอร์ คือความสัตย์ซื่อของพระเจ้าต่ออับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ คือการไถ่ให้อิสราเอลให้พ้นจากการกำจัดจนสูญสิ้นจากโลกนี้ ซึ่งปัจจุบันประธานาธิบดี “ มาห์มูด อาห์มาดีเนจาค” ของอิหร่าน เคยประกาศหลายครั้ง ว่าจะลบยิว หรือยิว ออกจากแผนที่โลก ฉันมีโอกาสถามคนยิวถึงถ้อยคำนี้ คนยิวบอกว่า พวกเขาเคยชินกับคำกล่าวนี้ เพราะว่า ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่ศัตรูของยิว ต้องการจะกำกัดพวกยิวให้หมดไปจากโลก ไม่ว่าในอดีตที่บันทึกในพระคัมภีร์เก่า หรือช่วงเผด็จการฮิตเลอร์ ชาวเยอรมันปกครอง ก็มีสงครามล้างเผ่าพันธุ์ยิว ของนาซี หรือกระทั่งการสู้รบกันในปัจจุบันของอิสราเอลกับปาเลสไตน์ หรืออิสราเอล กับ กลุ่มมุสลิมอิสบอเลาะห์ ในเลบานอน เป็นต้น

เพื่อความเข้าใจเรื่องการช่วยกู้ของพระเจ้าโดยใช้สตรีตัวเล็กๆคนหนึ่ง ขอย้อนเรื่องดังนี้ ในพระคัมภีร์ก็เปิดฉากในพระราชสำนักของ กษัตริย์เปอร์เชีย ทรงพระราชทานเลี้ยงแก่บรรดาเจ้านาย ข้าราชการ และพระราชามีพระประสงค์จะอวดพระมเหสี ซึ่งทรงเป็นพระราชินีที่ทรงพระสิริโ ฉม ที่งดงามมาก จึงรับสั่งให้พระราชินีวัชที ทรงแต่งองค์ด้วยเครื่องทรงเต็มยศ เพื่ออวดพระสิริโฉม แต่พระนางทรงปฏิเสธ ผลของการกระทำเช่นนั้น ของพระราชินี พระราชาทรงถอดพระยศพระราชินีวัชที เมื่อขาดพระราชินี พระราชาอาหสุเอรัส ทรงโศกเศร้าพระทัยมาก ดังนั้นข้าราชบริพารผู้ใหญ่ จึงให้สรรหาสตรีงามทั่วแผ่นดินมาเก็บไว้ในฮาเร็ม ๑๒ เดือน เพื่อให้พระราชาทรงเลือกเป็นพระราชินีแทนพระมเหสีวัชที

เอสเธอร์หญิงชาวยิวเป็นสาวงามที่ถูกนำมาเก็บตัวในฮาเร็มด้วย และไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นเด็กสาวชาวยิว เมื่อถึงวันเลือกตัวสาวงาม ปรากฏว่าพระราชาทรงพอพระทัยเอสเธอร์ ดังนั้น มงกุฎราชินี จึงตกเป็นของเธอ...ฝ่ายโมรเดคัยเป็นญาติที่อุปการะเอสเธอร์แทนบิดา มารดาของนาง วันหนึ่งเขาได้รับรู้แผนการปองร้ายพระราชา เขาจึงแจ้งผ่านเอสเธอร์หลานสาว จึงทำให้พระราชาสามารถผ่านเหตุร้ายนั้นไปได้ และชื่อของเขาถูกบันทึกไว้

เมื่อ ฮามานคนชั่วร้ายถูกแต่งตั้งให้เหนือคนทั้งปวง ( ดู เอสเธอร์ ๓.๑-๗.๑๐) ถ้าเทียบแบบไทย ประมาณตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้นเขาจะได้รับเกียรติ ถูกกราบไหว้ยกย่องที่หน้าประตูเมือง แต่โมรเดคัยชาวยิว ไม่ได้ทำเช่นนั้นต่อคนชั่ว ฮามานจึงโกธรแค้นมาก ดังนั้นเขาจึงใช้อุบาย กราบบังคมทูลให้พระราชา ออกพระราชกฤษฏีกา ทำลายและสังหารชาวยิวทั้งหมด ในวันที่ ๑๓ เดือนอาคาร์ รวมทั้งให้ริบสมบัติทั้งหมดของชาวยิว เรื่องนี้พระราชินีเอสเธอร์ไม่ทรงทราบ แต่เมื่อพระนางเห็นโมรเดคัยไว้ทุกข์ จึงส่งคนไปถาม คำตอบของโมรเดคัยคือ “…อย่าคิดว่าเธออยู่ในพระราชสำนักและรอดพ้นได้ดีกว่าคนยิวอื่นๆ เพราะถ้าเธอเงียบในเวลานี้ความช่วยเหลือและการช่วยกู้จะมาถึงพวกยิวจากที่อื่น แต่เธอและครัวเรือนบิดาของเธอจะพินาศ ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินี ก็เพื่อยามวิกฤตินี้ก็เป็นได้นะใครจะรู้” ( ดู เอสเธอร์ ๔.๑๓-๑๔ ) พระนางเอสเธอร์ จึงส่งคำตอบไปถึงโมรเดคัย ขอให้คนยิวทุกคนที่หาพบในเมืองสุสา อดอาหาร เพื่อพระนางด้วยคือให้อดอาหาร ๓ วัน ไม่กิน ไม่ดื่ม ทั้งกลางวันและกลางคืน พระนางและสาวใช้ ก็จะถืออดเช่นนี้ด้วย ( เอสเธอร์ ๔.๑๖ ) แล้วพระนางเอสเธอร์ ทรงเสี่ยงต่อกฏพระราชสำนักของเปอร์เชียคือใครก็ตามที่เข้าเฝ้าพระราชาโดยไม่ทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า เช่นเข้าไปในพระราชสำนักชั้นในของพระราชาจะมีความผิดถึงชีวิต ยกเว้นถ้าพระราชาโปรดปราน ทรงยื่นพระสุวรรณคฑาให้ และผู้นั้นแตะยอดพระสุวรรณคฑา จึงพ้นโทษ

ฝ่ายพระราชินีเอสเธอร์ ทรงเสี่ยงชีวิตเพื่อชนชาติของพระนาง คือทรงฉลองพระองค์งดงาม ประทับยืนในลานชั้นในของพระราชสำนักตรงข้ามพระบัลลังก์ของพระราชา เมื่อพระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นนางพระองค์ทรงยื่นพระสุวรรณคฑาให้พระราชินีเอสเธอร์ พระนางทรงแตะยอดพระสุวรรณคฑา แล้วพระราชาทรงแสดงความโปรดปรานตรัสกับพระราชินีเอสเธอร์ว่า มีเรื่องอะไร หรือจะทูลขออะไรแม้แต่ราชอาณาจักรก็แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นพระนางทรงทูลเชิญพระราชา และฮามานไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่พระตำหนักของพระราชินี ฮามานคนชั่วยิ่งกระหยิ่มใจว่าตัวเองเป็นข้าราชบริพารที่พระราชินีทรงโปรดปรานคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงสั่งทำตะแลงแกงเพื่อไว้ลงโทษโมรเดคัย
