พระจิตเจ้าทรงเป็นครู
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 28, 2007 9:08 am
พระจิตเจ้าทรงเป็นครู
โปรดปราน ( พีพี )
ช่วงนี้ฉันดูโทรทัศน์ รู้สึกขบขันกับโฆษณา ที่ มารดา บิดา ของนักเรียน (พรีเซนเตอร์) ใส่ชุดนักเรียนหรือใส่รองเท้าของลูกๆ ไปโรงเรียน ทำให้ครู และเพื่อนๆของลูกๆงง นั่นคือการนำเสนอภาพบรรยากาศ ใกล้เปิดเทอม นำความ ตื่นเต้น มาถึง บิดา มารดา ครู อาจารย์ และพวกร้านขายอุปกรณ์การเรียน ต่าง นำเสนอลดแลกแจกแถมกันยกใหญ่ ฉันคิดถึงบทบาทของ ครู เชื่อว่าเราทุกคนมีบทบาทเป็นทั้งครูและนักเรียนด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพวกผู้ใหญ่พ้นสภาพจากนักเรียนนักศึกษาแล้ว บางคนอยู่บ้านต้องสอนลูก สอนภรรยา สอนคนงาน สอนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น ส่วนคริสตชนเองต้องเรียนรู้ (คือเป็นนักเรียน) จนกว่าจะหมดวาระขัยของอายุ แล้วใครคือครูของพวกเราล่ะ ฉันขอแนะนำครูที่สำคัญคือพระจิตของพระเจ้า หรือเรียกง่ายๆว่า“พระจิตเจ้าทรงเป็นครู” ( ดู จดหมายฝากจากนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ฉบับที่ 1 บทที่ 1-2 )
เบื้องหลัง ใน จดหมายฝากของนักบุญเปาโลถึงชาวเมืองโครินธ์ ฉบับที่ 1 บทที่ 1 และ 2 ต้นๆ นั้น เมื่อเราอ่านจะพบว่า นักบุญเปาโลเปรียบเทียบให้เห็นถึงปัญญาของมนุษย์ กับอำนาจทางพระปัญญาของพระเจ้า ซึ่งในสมัยนั้นพวก “ซอฟ-อิซท” ( Sophists ) ได้ออกตระเวนสอนชักชวนให้โต้เถียงปัญหาเพื่ออวดความรู้ความฉลาดหรืออวดภูมิปัญญากัน แต่การเทศนาของท่านเปาโล ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงใช้ท่านให้ประกาศข่าวดี มิใช่ด้วยชั้นเชิงชักชวน เพื่ออวดฉลาดในการพูด เพราะเกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช (1:17) การเทศนาของอัครทูตเปาโลนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อไม่ได้อยู่ที่สติปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เมื่ออัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ท่ามกลางผู้มีความรู้ ที่เรียกกันว่านักปราชญ์ ความจริงแล้วนักบุญเปาโลสารภาพว่ารู้สึก ‘กลัว หวั่นไหว และอ่อนกำลัง’ แต่ที่เขากล้าประกาศข่าวดี (เทศนา)นั้น เพราะไม่ได้พูดด้วยปัญญาของตนเอง แต่เป็นคำพูดที่มาจากพระเจ้า ซึ่งพระจิตเจ้าทรงสำแดงเดชานุภาพ ไม่ต้องอาศัยปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชจากพระเจ้า
ขอนำพิจารณาเรื่อง พระจิตทรงสอนอย่างไรในฐานะที่ทรงเป็นครู
1.พระจิตเจ้าทรงสอนถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ( ดู 1 โครินธ์ 2 )
ในจดหมายฝาก 1 โครินธ์ บทที่ 2 อัครทูต เปาโลไม่ได้พูดถึงปัญญาของโลกนี้ แต่ท่านกำลังเป็นพยานถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ความล้ำลึก (Mystery) คืออะไร ในพระคัมภีร์ใหม่ ปรากฏอยู่ 27 ครั้ง หมายถึงสิ่งที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน โดยสติปัญญาของมนุษย์ แต่ได้ถูกสำแดงให้มนุษย์เข้าใจโดยพระจิต ความล้ำลึกที่นักบุญเปาโลเป็นพยานคือพระเยซูคริสต์ถูกตรึง ซึ่งเมื่อก่อนตัวท่านอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ จึงไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ขณะนี้เปาโลกำลังเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน คือ พระผู้ช่วยให้รอด ผู้ตายแทนความผิดบาปของโลกนี้
สิ่งที่อัครทูตเปาโลประกาศ คือความล้ำลึกของพระเจ้า ซึ่งท่านรู้จักได้โดยการทรงสำแดงของพระเจ้า แผนการรอดที่พระเจ้าทรงเตรียมทางพระบิดา พระบุตรและโดยการทรงนำของพระจิต (เอเฟซัส 1:3-14) ต่อบรรดาผู้เชื่อทั้งหมด เพราะความรักของพระเจ้า (1 ยอห์น 4:19) “เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” ด้วยเหตุนี้ชาวคริสต์สามารถรู้ได้โดยพระจิต ซึ่งสำแดงแก่เราโดยความล้ำลึกต่างๆจากพระเจ้าเกี่ยวกับความรอด ซึ่ง คือสิ่งที่ตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่เราจะรู้โดยการสอนของพระจิต
ผู้อ่านลองย้อนคิดถึงชีวิตของเราแต่ละคน มีหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงให้พระจิตเป็นผู้สอนเรา ให้เราเข้าใจถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ เชื่อว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการสอนถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ จากประสบการณ์ของฉันเมื่อได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระจิตทรงสำแดงถึงความล้ำลึกว่าทำไมถึงเลือกฉัน ไม่ใช่เพราะฉันน่ารัก หรือเป็นคนดีมาก หรือเป็นคนพิเศษ แต่ฉันเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงรักฉันขณะที่เป็นคนบาป การที่ทรงเลือกฉันเพราะ 1 )เพื่อนำพระพรของพระเจ้าถึงครอบครัว เพราะพระองค์มีประสงค์ให้ฉันเป็นแสงสว่างให้ครอบครัว และพระจิตที่ประทับในฉันให้ความมั่นใจว่าบุคคลในครอบครัวของฉันจะรู้จักพระองค์ ซึ่งต่อมาน้องสาวก็ได้รับเชื่อวางใจในพระเยซูเจ้า 2) เพื่อเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าทรงสำแดงโดยพระจิตเจ้า คือกระแสเรียกให้ฉันถวายตัวรับใช้พระองค์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเดินบนถนนที่ตัวเองอาศัย หรือสัญจร ฉันสัมผัสกับจิตใจคน และรู้สึกสงสารวิญญาณจิตของพวกเขา ไม่ว่าฉันเจอะเจอคนหลายเชื้อชาติ ภาษา ฐานะต่างกัน อยู่ในช่วงชั้นสังคมที่ต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่พระจิตสำแดงแก่ฉันคือเมื่อคนเหล่านั้นจากโลกนี้ แล้วเขาจะไปไหน? เขาต้องแยกกับพระเจ้านิรันดร์หรือ? ดังนั้นฉันในฐานะผู้รู้จักความล้ำลึกของพระเจ้าแล้ว มีภาระที่จะต้องประกาศถึงความล้ำลึกคือเรื่องพระเยซูคริสต์แก่คนที่ยังไม่รู้จักพระองค์ ฉันจึงตอบรับพระกระแสเรียก เข้ารับการอบรมที่สถาบันพระคริสตธรรม ( Seminary )
สมัยที่อัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องของพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระมหาไถ่ คนยิวแสวงหานิมิต คนกรีก เสาะหาปัญญา คนยิวกำลังรอคอยพระสัญญา มองหาความรอด โดยรอคอยพระเมสสิยาห์ ( พระผู้ช่วยให้รอด )พวกเขาเข้าใจว่าการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เขาต้องเห็นนิมิตหรือหมายสำคัญต่างๆ ไม่ว่าอยู่ในท้องฟ้า หรือบนพื้นโลก ยิ่งกว่านั้นพระเมสสิยาห์ของเขาควรจะสำแดง ฤทธานุภาพโดยการทำลาย อำนาจของความชั่วหรือศัตรูของพระเจ้า แต่เมื่อพระเยซูเจ้าถูกประกาศว่าเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ถูกตรึงโดยพวกเขาไม่เห็นหมายสำคัญอะไรเลย พระเยซูถูกลงโทษโดยถูกตรึงที่กางเขนเหมือนผู้ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง พวกยิวรับพระองค์ไม่ได้
ประกาศความล้ำลึกโดยพระจิตเจ้า เพื่อให้ผู้เชื่อหลุดพ้นจากอำนาจเทพเจ้า พระต่างๆ ภูตผี หมอผี หมอดู พ้นจากอำนาจความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และอำนาจของความตาย คนที่ปฏิเสธพระเจ้า สำหรับเขา กางเขนเป็นเรื่องโง่ คนในยุคที่นักบุญเปาโลประกาศ หรือแม้ในยุคปัจจุบัน พระจิตจึงไม่สามารถสอนเรื่องความล้ำลึกข้อนี้ได้
แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที
โปรดปราน ( พีพี )
ช่วงนี้ฉันดูโทรทัศน์ รู้สึกขบขันกับโฆษณา ที่ มารดา บิดา ของนักเรียน (พรีเซนเตอร์) ใส่ชุดนักเรียนหรือใส่รองเท้าของลูกๆ ไปโรงเรียน ทำให้ครู และเพื่อนๆของลูกๆงง นั่นคือการนำเสนอภาพบรรยากาศ ใกล้เปิดเทอม นำความ ตื่นเต้น มาถึง บิดา มารดา ครู อาจารย์ และพวกร้านขายอุปกรณ์การเรียน ต่าง นำเสนอลดแลกแจกแถมกันยกใหญ่ ฉันคิดถึงบทบาทของ ครู เชื่อว่าเราทุกคนมีบทบาทเป็นทั้งครูและนักเรียนด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพวกผู้ใหญ่พ้นสภาพจากนักเรียนนักศึกษาแล้ว บางคนอยู่บ้านต้องสอนลูก สอนภรรยา สอนคนงาน สอนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น ส่วนคริสตชนเองต้องเรียนรู้ (คือเป็นนักเรียน) จนกว่าจะหมดวาระขัยของอายุ แล้วใครคือครูของพวกเราล่ะ ฉันขอแนะนำครูที่สำคัญคือพระจิตของพระเจ้า หรือเรียกง่ายๆว่า“พระจิตเจ้าทรงเป็นครู” ( ดู จดหมายฝากจากนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ฉบับที่ 1 บทที่ 1-2 )
เบื้องหลัง ใน จดหมายฝากของนักบุญเปาโลถึงชาวเมืองโครินธ์ ฉบับที่ 1 บทที่ 1 และ 2 ต้นๆ นั้น เมื่อเราอ่านจะพบว่า นักบุญเปาโลเปรียบเทียบให้เห็นถึงปัญญาของมนุษย์ กับอำนาจทางพระปัญญาของพระเจ้า ซึ่งในสมัยนั้นพวก “ซอฟ-อิซท” ( Sophists ) ได้ออกตระเวนสอนชักชวนให้โต้เถียงปัญหาเพื่ออวดความรู้ความฉลาดหรืออวดภูมิปัญญากัน แต่การเทศนาของท่านเปาโล ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงใช้ท่านให้ประกาศข่าวดี มิใช่ด้วยชั้นเชิงชักชวน เพื่ออวดฉลาดในการพูด เพราะเกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช (1:17) การเทศนาของอัครทูตเปาโลนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อไม่ได้อยู่ที่สติปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เมื่ออัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ท่ามกลางผู้มีความรู้ ที่เรียกกันว่านักปราชญ์ ความจริงแล้วนักบุญเปาโลสารภาพว่ารู้สึก ‘กลัว หวั่นไหว และอ่อนกำลัง’ แต่ที่เขากล้าประกาศข่าวดี (เทศนา)นั้น เพราะไม่ได้พูดด้วยปัญญาของตนเอง แต่เป็นคำพูดที่มาจากพระเจ้า ซึ่งพระจิตเจ้าทรงสำแดงเดชานุภาพ ไม่ต้องอาศัยปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชจากพระเจ้า
ขอนำพิจารณาเรื่อง พระจิตทรงสอนอย่างไรในฐานะที่ทรงเป็นครู
1.พระจิตเจ้าทรงสอนถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ( ดู 1 โครินธ์ 2 )
ในจดหมายฝาก 1 โครินธ์ บทที่ 2 อัครทูต เปาโลไม่ได้พูดถึงปัญญาของโลกนี้ แต่ท่านกำลังเป็นพยานถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ความล้ำลึก (Mystery) คืออะไร ในพระคัมภีร์ใหม่ ปรากฏอยู่ 27 ครั้ง หมายถึงสิ่งที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน โดยสติปัญญาของมนุษย์ แต่ได้ถูกสำแดงให้มนุษย์เข้าใจโดยพระจิต ความล้ำลึกที่นักบุญเปาโลเป็นพยานคือพระเยซูคริสต์ถูกตรึง ซึ่งเมื่อก่อนตัวท่านอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ จึงไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ขณะนี้เปาโลกำลังเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน คือ พระผู้ช่วยให้รอด ผู้ตายแทนความผิดบาปของโลกนี้
สิ่งที่อัครทูตเปาโลประกาศ คือความล้ำลึกของพระเจ้า ซึ่งท่านรู้จักได้โดยการทรงสำแดงของพระเจ้า แผนการรอดที่พระเจ้าทรงเตรียมทางพระบิดา พระบุตรและโดยการทรงนำของพระจิต (เอเฟซัส 1:3-14) ต่อบรรดาผู้เชื่อทั้งหมด เพราะความรักของพระเจ้า (1 ยอห์น 4:19) “เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” ด้วยเหตุนี้ชาวคริสต์สามารถรู้ได้โดยพระจิต ซึ่งสำแดงแก่เราโดยความล้ำลึกต่างๆจากพระเจ้าเกี่ยวกับความรอด ซึ่ง คือสิ่งที่ตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่เราจะรู้โดยการสอนของพระจิต
ผู้อ่านลองย้อนคิดถึงชีวิตของเราแต่ละคน มีหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงให้พระจิตเป็นผู้สอนเรา ให้เราเข้าใจถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ เชื่อว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการสอนถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ จากประสบการณ์ของฉันเมื่อได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระจิตทรงสำแดงถึงความล้ำลึกว่าทำไมถึงเลือกฉัน ไม่ใช่เพราะฉันน่ารัก หรือเป็นคนดีมาก หรือเป็นคนพิเศษ แต่ฉันเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงรักฉันขณะที่เป็นคนบาป การที่ทรงเลือกฉันเพราะ 1 )เพื่อนำพระพรของพระเจ้าถึงครอบครัว เพราะพระองค์มีประสงค์ให้ฉันเป็นแสงสว่างให้ครอบครัว และพระจิตที่ประทับในฉันให้ความมั่นใจว่าบุคคลในครอบครัวของฉันจะรู้จักพระองค์ ซึ่งต่อมาน้องสาวก็ได้รับเชื่อวางใจในพระเยซูเจ้า 2) เพื่อเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าทรงสำแดงโดยพระจิตเจ้า คือกระแสเรียกให้ฉันถวายตัวรับใช้พระองค์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเดินบนถนนที่ตัวเองอาศัย หรือสัญจร ฉันสัมผัสกับจิตใจคน และรู้สึกสงสารวิญญาณจิตของพวกเขา ไม่ว่าฉันเจอะเจอคนหลายเชื้อชาติ ภาษา ฐานะต่างกัน อยู่ในช่วงชั้นสังคมที่ต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่พระจิตสำแดงแก่ฉันคือเมื่อคนเหล่านั้นจากโลกนี้ แล้วเขาจะไปไหน? เขาต้องแยกกับพระเจ้านิรันดร์หรือ? ดังนั้นฉันในฐานะผู้รู้จักความล้ำลึกของพระเจ้าแล้ว มีภาระที่จะต้องประกาศถึงความล้ำลึกคือเรื่องพระเยซูคริสต์แก่คนที่ยังไม่รู้จักพระองค์ ฉันจึงตอบรับพระกระแสเรียก เข้ารับการอบรมที่สถาบันพระคริสตธรรม ( Seminary )
สมัยที่อัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องของพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระมหาไถ่ คนยิวแสวงหานิมิต คนกรีก เสาะหาปัญญา คนยิวกำลังรอคอยพระสัญญา มองหาความรอด โดยรอคอยพระเมสสิยาห์ ( พระผู้ช่วยให้รอด )พวกเขาเข้าใจว่าการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เขาต้องเห็นนิมิตหรือหมายสำคัญต่างๆ ไม่ว่าอยู่ในท้องฟ้า หรือบนพื้นโลก ยิ่งกว่านั้นพระเมสสิยาห์ของเขาควรจะสำแดง ฤทธานุภาพโดยการทำลาย อำนาจของความชั่วหรือศัตรูของพระเจ้า แต่เมื่อพระเยซูเจ้าถูกประกาศว่าเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ถูกตรึงโดยพวกเขาไม่เห็นหมายสำคัญอะไรเลย พระเยซูถูกลงโทษโดยถูกตรึงที่กางเขนเหมือนผู้ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง พวกยิวรับพระองค์ไม่ได้
ประกาศความล้ำลึกโดยพระจิตเจ้า เพื่อให้ผู้เชื่อหลุดพ้นจากอำนาจเทพเจ้า พระต่างๆ ภูตผี หมอผี หมอดู พ้นจากอำนาจความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และอำนาจของความตาย คนที่ปฏิเสธพระเจ้า สำหรับเขา กางเขนเป็นเรื่องโง่ คนในยุคที่นักบุญเปาโลประกาศ หรือแม้ในยุคปัจจุบัน พระจิตจึงไม่สามารถสอนเรื่องความล้ำลึกข้อนี้ได้
แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที