โปรดปราน ( พีพี )
“อย่าให้เจ้าเดือดร้อนเพราะเหตุคนที่กระทำชั่ว อย่าอิจฉาคนที่ประพฤติผิด...
จงวางใจในพระเจ้า และกระทำความดี...” ( สดุดี 37.1,3 )
การมี “ เครดิต”ที่ทำงานไม่ว่าจะมีเครดิตกับหัวหน้างาน กับเพื่อนร่วมงาน หรือกับลูกน้อง ตลอดจนมีเครดิตกับลูกค้า คือการที่เรามี “ชื่อเสียง”ดี เป็นที่ไว้วางใจ มีชื่อเสียงว่าไม่เบี้ยว สัญญาแล้วทำตามสัญญา มั่นคง รู้จริงในสิ่งที่ทำ ไม่มั่วไม่หลอก ในทางตรงกันข้ามผู้ที่”เครดิต”ไม่ดี คือคนที่ติด “หนี้” เขาไปทั่ว หนี้ที่ว่านี้มิได้หมายถึงเงินทองเสมอไป หนี้คือการไม่ทำตามความรับผิดชอบ ในงานที่ต้องรู้จริงต้องทำเป็น ก็กลายเป็นรู้และทำแบบดำน้ำประเภทงูๆปลาๆแถมสัญญาเกินตัว พอต้องทำตามสัญญา ก็ทำแบบมั่วๆติดงานเขาไปทั่ว ผลคือ ไม่มี “เครดิต” ( อ้างอิง:พอใจ พุกกะคุปต์ คอลัมน์ ถอดรหัสธุรกิจ หนังสือพิมพ์ BizWeek ) ขณะอ่านคอลัมน์ของคุณพอใจ พุกกะคุปต์ ฉันคิดถึงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม หลายๆตอน ทีเดียว อย่างไรก็ตามขอนำจากบทสดุดีบทที่ 37 (สดด.37:1-11 ) มาแบ่งปันเพราะมีคำแนะนำว่า เราควรทำอย่างไรจึงจะได้รับสันติสุขและมีชีวิตที่สมบูรณ์ และเกิดผล ซึ่งจะสรุปจากพระคัมภีร์ตอนนี้ ว่า “จงวางใจในพระเจ้า” แท้จริงการวางใจในพระเจ้าเป็นหัวใจที่สำคัญในชีวิตคริสตชน เนื้อหาของสดุดีบทนี้เป็นคำสอนที่ดีมาก ซึ่งได้อธิบายถึงบทยากที่สุดของหนังสือทำนายถึงอนาคต (The book of Providence) เกี่ยวกับความก้าวหน้าของคนชั่ว และความอับอายของคนดี มีเนื้อความสำคัญดังนี้
I.ไม่ต้องโกรธแค้น เพราะคนชั่ว
เรื่องใหญ่ที่ทำได้ยาก และไม่มีใครอยากทำ คือเรื่องไม่ต้องโกรธแค้นคนชั่ว เหตุผลที่เราไม่ต้องโกรธแค้น เพราะว่าเรารู้ถึงจุดจบของคนชั่วโดยการทรงสำแดงของพระเจ้าแล้ว ในทำนองเดียวกันที่คริสตชนรู้ว่าจุดจบของตัวเองเต็มไปด้วยสง่าราศี โดยความเชื่อ นับว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเมื่อเรามองไปรอบๆ ตัวเราเองเป็นการง่ายที่จะถูกทดลอง หรือถูกยั่ว ให้เดือดร้อนใจต่อสถานการณ์ ต่างๆ ซึ่งทำให้เราผิดหวัง หมดกำลังใจ หรือเจ็บใจ ไม่ว่าเราจะมองไปในสังคมที่เราอยู่ ในประเทศของเรา ข้าราชการ รัฐบาล ตำรวจ ทหาร แม้แต่ภาคเอกชน หรือมองไปนอกประเทศ เราจะรู้สึกว่าโลกนี้มีแต่น้ำมือของคนชั่ว คนเลวกำลังทำงานอยู่ และพวกเขาประสบความสำเร็จ มีแต่ความสมบูรณ์พูนสุข มีความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อเรามองหรือคิดอย่างนี้แล้ว จะพบว่าตัวเองกำลังเดือดร้อนและอิจฉาริษยาอยู่
มีคำถามว่า สมควรที่เราจะเดือดร้อนหรือตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าไหม เพราะดูเหมือนพระองค์ทรงเมตตาต่อโลกนี้ แต่ไม่ทรงเมตตาต่อบางประเทศ หรือไม่ทรงเมตตาต่อคริสตจักร หรือพระศาสนจักรของพระองค์ เช่น หลายคริสตจักรและพระศาสนจักรในประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น ลาว เวียดนาม หรือจีน พวกเรามักต่อว่าพระเจ้าว่าทำไมพระองค์ทรงอนุญาตให้คนชั่วเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระองค์ และคนชั่วร้ายมีชัยต่อคริสตชน หรือเราสมควรจะอิจฉาริษยาสำหรับอิสรภาพที่พวกคนชั่วร้ายได้รับ เราทำให้พวกเขามั่งคั่ง ทั้งที่เรารู้ว่าเขาได้มาด้วยเล่ห์เหลี่ยม กลอุบายต่างๆ

แต่เมื่อเรามองไกลออกไปด้วยสายตาแห่งความเชื่อ เราจะเห็นว่าไม่มีประโยชน์เลยที่เราจะอิจฉาความสำเร็จหรือความมั่งคั่งของเหล่าคนชั่วพวกนั้น เพราะว่าเป็นความเน่าเปื่อย ความเสื่อมเสีย ความหายนะ คอยอยู่ที่ประตูพวกเขาแล้ว เขากำลังเก็บเกี่ยวผลนั้นอย่างรวดเร็ว เช่นในข้อ สดุดีบทที่ 37.2 บอกว่า เพราะไม่ช้าเขาจะเหี่ยวไปเหมือนหญ้า และแห้งไปเหมือนพืชสด คือพวกเขาได้รับความรุ่งเรืองแต่เหมือนหญ้า เหมือนพืชสด คงไม่มีใครเดือดร้อนหรืออิจฉาริษยาต้นหญ้าหรือวัชพืช เพราะเรารู้ว่าในไม่ช้ามันก็จะแห้งเหี่ยวไป หรือการพิพากษาของพระเจ้า เหมือนเคียวของชาวนา พร้อมที่จะตัดพวกคนชั่วช้าทันที นั่นเพราะว่าพวกเขา จะพินาศไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เมื่อถึงเวลาของพระเจ้า โดยเหตุนี้ เราจึงไม่สมควรเดือดร้อน หรืออิจฉาริษยา ผู้ที่ทำผิดเพราะความอิจฉานั้นจะนำให้เราทำบาป มีสิ่งเดียวที่คริสตชนควรทำคือ การวางใจในพระเจ้า
ฉันสังเกตเด็กเล็กๆ จากลูกของพี่ๆ และเพื่อนๆ พวกเด็กๆจะชอบแสดงออกโดยการกระโดดจากที่สูงและเมื่อผู้ใหญ่เช่นพ่อหรือแม่สัญญากับเด็กว่ากระโดดลงมาสิพ่อจะรับ หรือแม่จะรับ เด็กเล็กๆมั่นใจและกระโดดลงมา และเมื่อผู้ใหญ่รอรับเขาอยู่ในอ้อมแขน เด็กจะมีความสุขมากที่ทำได้สำเร็จ เช่นเดียวกับเรา เราจะต้องวางใจถึงขนาดไหน เราต้องวางใจในพระเจ้าจนสุดจิตสุดใจของเรา คือวางใจทั้งหมด (สุภาษิต 3:5ก) ถ้าเราได้วางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเราแล้ว และเรารู้ถึงจุดจบของมนุษย์แล้ว เราได้เข้าใจว่า เราคือใคร ดังนั้นเราจึงไม่ต้องเดือดร้อนหรือบ่นว่า เราไม่ต้องโกรธ ถามตัวเองว่าโกรธเพื่ออะไร เพราะจะชักจูงให้เราทำแต่สิ่งที่ไม่ดี ไม่สมควร หลายคนอาจจะมีจุดอ่อนคือเป็นคนใจร้อน โกรธง่าย ยากในการควบคุมตัวเองให้พ้นจากอารมณ์ โกรธ ฉุนเฉียว ดังนั้นจากจุดอ่อนข้อนี้มักทำให้คนอื่นโจมตีได้ง่าย คนที่อยู่ในอารมณ์โกรธจะแสดงออกโดยกระทำ หรือคำพูดที่ไม่น่าดูเลย เมื่อตอนเราอยู่ในอารมณ์โกรธ ลองส่องกระจกดูตัวเอง บางครั้งอาจจะตกใจที่จะเห็นภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวของตัวเองก็ได้ พระวาจาจากสุภาษิต 16:32 หนุนใจเราดังนี้
“บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้” จึงเห็นว่าความโกรธแค้น ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีแต่จะนำเราไปในทางที่ผิด ดังนั้นเราไม่ต้องโกรธ สำหรับคนชั่วผู้ซึ่งทำให้เราเจ็บปวด หรือทำสิ่งเลวๆ ต่อต้านเรา เพราะเรารู้ว่าจุดจบของชีวิตเขาเป็นอย่างไร หน้าที่ของเราคือต้องวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเรา
II. มีความปิติยินดีในพระเจ้า
“จงปีติยินดีในพระเจ้า และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน” (สดุดี 37.4 ) “ความยินดีในพระเจ้าเป็นกำลังของข้าฯ”ฉันคิดถึงเพลงนี้ที่เราชอบร้องกันทำนองก็สนุกครื้นเครงดี ผู้ติดตามองค์พระเยซูเจ้าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ การบังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อ โดยพระคุณของพระเจ้า ซึ่งเขาสามารถจะชื่นชมยินดีในความรอดของเขา แม้แต่ทูตสวรรค์ยังไม่มีโอกาสเช่นนั้น พระเจ้าทรงรักพวกเขามากทรงพิสูจน์ความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์โดยความตายของพระเยซูเจ้าบนกางเขน ดังนั้นเราจึงสามารถมีความปิติยินดีในพระเจ้า พลังอำนาจ ทางจิตวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับเรา เมื่อเรามีความปิติยินดีในพระองค์ พระเจ้าทรงประทานความปรารถนาดีในจิตใจ ซึ่งแน่นอนทีเดียวว่าทำให้จิตใจเราเต็มไปด้วยความหวังและความชื่นชมยินดี การมีความปิติยินดีในพระเจ้าหมายถึงเรารักพระองค์ ทำให้เป็นที่พอพระทัยต่อพระองค์ และมีความปรารถนาที่จะอยู่เพื่อรับใช้และสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้นเราไม่ต้องพูดบ่นว่าอะไร ไม่ต้องมีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ต่างๆ เพียงแต่ให้เรามองที่พระเจ้า พระองค์คือเป้าหมายของเราให้เราสงบใจ นิ่ง ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า คือไม่ต้องบ่นว่า เราไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่ถ้าหากว่าเราวางใจในพระเจ้า เราสามารถจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งพระวรสาร นักบุญยอห์นบันทึกว่า พระเยซูตรัส “เราเป็นเถาองุ่นแท้ ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ( ยอห์น15.5 )หรือ อัครทูตเปาโลบอก “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” ( ฟิลิปปี 14:13 )
สิ่งที่เราควรทำคือ ต้องอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าและคาดหวังจะได้รับคำตอบจากพระองค์ และอดทนรอคอยเวลาของพระองค์ ซึ่งเชื่อแน่ว่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมเราต้องฝึกที่จะอดทน การคอยท่าเราต้องรอคอยพระองค์ด้วยความอดทน ฉันยืนยันบ่อยครั้งว่าความอดทนนี่ก็เป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับชีวิตคริสตชน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้เวลาของพระองค์ ซึ่งจะดีและเหมาะสมสำหรับแต่ละคน