3 “ความสุขมีแก่ผู้สำนึกว่าตนขัดสน ฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว
4“ความสุขมีแก่ผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาจะได้รับการปลอบประโลม
5 ความสุขมีแก่ผู้ที่ถ่อมสุภาพ เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก (มัทธิว 5:3-5-ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ดัชนีความสุข เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2549 มูลนิธิเศรษฐกิจใหม่ (New Economics Foundation) ใช้ตัวย่อว่า NEF (เอ็นอีเอฟ) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความสุขในประเทศต่างๆ 178 ประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศไทยได้อันดับที่ 32 ภูฏานของพระราชาธิบดีจิกมี่ เคเซอร์ นัมเกล วังซุก (คนไทยเรียกติดปากว่า เจ้าชายจิกมี่ ) ติดอันดับที่ 13 อันดับที่ 1 ซึ่งถือว่ามีความสุขที่สุดในโลก ได้แก่ ประเทศวานุอาตู (Vanuatu) เป็นประเทศหมู่เกาะมีทั้งหมด 80 เกาะ เนื้อที่ประมาณ 12,189 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงคือพอทวิลา หมู่เกาะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก มีประชากรอาศัยอยู่ราว 200,000 คน ภาษาที่ใช้คือภาษาบิสลามา อังกฤษ และฝรั่งเศส วานุอาตูเคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและฝรั่งเศส ก่อนประกาศอิสรภาพเป็นสาธารณรัฐในปี 2523 ประชากรส่วนใหญ่ ทำเกษตรขนาดเล็ก นอกจากนี้ ยังทำประมงและท่องเที่ยว ส่วนประเทศที่มีดัชนีความสุขอันดับท้ายสุดหรือประเทศที่ทุกข์ที่สุดคือประเทศซิมบับเวในทวีปแอฟริกา อยู่ในอันดับที่ 178
ดัชนีความสุข (Happy Planet Index = H P I) มีองค์ประกอบหลัก 3 อย่างตามที่ เอ็นอีเอฟ กำหนด ได้แก่ (1) ความพึงพอใจในการมีชีวิต (2) ความคาดหวังในชีวิต และ (3) การรักษาระบบนิเวศตามแบบฉบับเดิม
เราคริสตชนพิจารณาความสุขจากพระคัมภีร์ดังนี้ ความสุขจากมาจากภาษากรีก มาคาริโอส (makarios) = ความสุข ความเบิกบานใจ makaios มาจากรากศัพท์ maker = เป็นสุข คือ สถานภาพที่จะไม่อาจสั่นคลอนของมนุษย์ไม่ว่าอยู่ภายใต้ สถานการณ์ใดๆ เช่น ความยากจน ความอ่อนแอ และความตาย ( ตายได้กำไร เพราะจะได้อยู่กับพระเจ้า )นี่คือความหมายของความสุขในพระคัมภีร์
มาคาริโอส (ความสุข) บรรยายถึงความชื่นชมยินดีภายในซึ่งเป็นที่ปรารถนาในหัวใจมนุษย์ พระเยซูเจ้าตรัสว่าความสุขนี้เป็นความชื่นชมยินดีที่ไม่มีผู้ใดช่วงชิงไปได้ (ยอห์น 16:22) คือสันติสุขภายใน เป็นความเบิกบานข้างใน ความสุขเป็นความชื่นชมยินดีที่อยู่ข้างในที่ไม่ได้เป็นมาจากเหตุการณ์ข้างนอก
คำเทศนาบนภูเขาเป็นพระดำรัสที่ยิ่งใหญ่ เพราะพระองค์ทรงอำนวยพรแทนที่จะสาปแช่ง แก่บรรดาผู้ที่ต้องการจะเป็นสุข
ข้อ 3 “ความสุขมีแก่ผู้สำนึกว่าตนขัดสน ฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว” ทำไมพระเยซูตรัสเช่นนี้ เพราะพระองค์ตรัสถึงการดำเนินชีวิตแบบใหม่ มาตรฐานใหม่ วิถีทางใหม่ การเริ่มต้นใหม่ของชีวิต ทำไมต้องเริ่มต้น เพราะว่าการรู้สึกฝ่ายจิตวิญญาณขัดสน บกพร่อง เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า ไม่มีใครจะสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้พร้อมกับความเย่อหยิ่ง ผู้สำนึกว่าฝ่ายจิตวิญญาณ ความขัดสนจะทำให้เขาถ่อมลงต่อพระเจ้า ทำให้เขาตระหนักว่าพระผู้สร้างนั้นยิ่งใหญ่ “ ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดของปัญญา และเป็นแหล่งของชีวิตเรา” นี่คือมาตรฐานของคริสตชน เมื่อไหร่ที่คริสตชนคนใดไม่รู้สึกว่าฝ่ายจิตวิญญาณของตัวเองขัดสน คนนั้นก็ไม่สามารถรับพระคุณของพระเจ้าได้เลย
ฝ่าย ( จิต )วิญญาณ = ภายในของมนุษย์ ภายในกำลังเรียกร้องต้องการความช่วยเหลือ แม้ภายนอกบอกว่าไม่ บทเพลงสดุดี 34:18 บอกว่า “พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ฟกช้ำ และทรงช่วยผู้ที่จิตใจสำนึกผิด” และ“เครื่องเผาบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือ จิตใจที่ฟกช้ำ จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น ข้าแต่พระเจ้าพระองค์มิได้ทรงดูถูก” (สดุดี 51:7) พระเจ้าทรงเห็นอกเห็นใจผู้ที่มีความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่ใช่ผู้ที่คิดว่าตัวเองพอแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่คิดว่าสามารถช่วยตัวเองให้รอดได้
ผู้ที่สำนึกว่าขัดสนฝ่ายวิญญาณเป็นบุคคลมีความสุข ความสุขเป็นของคนยากจนแสนเข็ญฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ว่างเปล่าฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ล้มละลายฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเขาหมอบอยู่มุมใดมุมหนึ่งด้วยความกลัวแล้วร้องตะโกนขอความเมตตาจากพระเจ้า ความยากจนแบบนี้ไม่ใช่ความยากจนที่เราจะต้องพยายามดิ้นรนเอาชนะ ด้วยตัวเอง แต่เป็นความยากจนที่เติมเต็มได้ด้วยพระพรของพระคริสตเจ้า
นักบุญออกัสติน ( ค.ศ. 354-430 ) ก่อนกลับใจใหม่มาเริ่มต้นกับพระเจ้า เขาภูมิใจในสติปัญญาของตัวเองมาก และสติปัญญานั่นเองคือเครื่องกีดขวางไม่ให้เขารู้จักพระเจ้า แต่เมื่อเขาได้ลดความหยิ่งจึงได้พบพระเจ้า ท่านออกัสตินได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งเทววิทยาตะวันตกและเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระศาสนจักร ผลงานทางเทววิทยาของท่านนั้นยิ่งใหญ่และกว้างขวางมากจนท่านกลายเป็นผู้รองรับธรรมประเพณีทางเทววิทยาของทางตะวันออก เป็นต้น หลังจากเขามาเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าแล้ว น.ออกัสติน กล่าวว่า อันที่จริงความรักของพระเป็นเจ้าที่กระจายอยู่ในดวงใจของเรานั้นมิใช่ความรักที่พระองค์เองทรงรักเรา แต่เป็นความรักซึ่งพระองค์ทำให้เราเป็นคู่รักของพระองค์ เหมือนดังที่ความชอบธรรมของพระเป็นเจ้าได้ทำให้เรากลายเป็นผู้ชอบธรรมโดยทางพระคุณของพระองค์...นี้คือความชอบธรรมของพระเป็นเจ้าซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เรารู้มิใช่โดยทางกฎบัญญัติเท่านั้นแต่พระองค์ยังประทานให้เราโดยทางพระคุณของพระวิญญาณด้วย