ตามมาตอบกระทู้พี่บัดดี้ตามคำขอครับ
เรื่องกระแสเรียกนักบวชนั้น ถ้าจำกระทู้เรื่องที่ผมเคยโพสต์ว่าผมไม่เหลืออะไรอีกแล้วนั้นได้ ผมก็รู้สึกว่าพระเจ้าจะทรงสงวนตัวผมไว้เฉพาะพระองค์นะครับ ดูสิ ไม่มีอะไรสักอย่าง เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ไม่มีทั้งนั้นเลยครับ สาขาวิชาที่ผมจบมา ชาวบ้านเขาหางานได้ทั้งงานประจำและงานพิเศษ เงินทองไหลมาเทมา แต่ผมไม่มีสักอย่าง ผมจึงคิดว่าสงสัยพระองค์จะสงวนผมไว้เฉพาะพระองค์กระมัง เพราะถ้าผมมีเงินมาก ผมก็อาจเสียศูนย์ยึดติดกับลาภยศสรรเสริญก็เป็นได้ เพราะพระองค์อาจทอดพระเนตรเห็นว่าผมมีความอ่อนแอในเรื่องนี้น่ะครับ
จริงๆเรื่องกระแสเรียกนักบวชนี้ ผมก็คงเหมือนหลายๆคนที่เริ่มต้นจากความสนใจในชีวิตนักบวช เริ่มจากความสนใจ ในระหว่างนี้ก็มีคนมาทักตลอด ไม่ไปบวชเหรอ (ในขณะที่ทางโลกไม่ค่อยเห็นมีใครมาชวนมาชี้ให้ไปทำงานหาเงินตรงนั้นตรงนี้เลยครับ) มีมาตลอด เร็วๆนี้ก็มีพ่อคนหนึ่งก็เอ่ยปากชวนไปสัมผัสกระแสเรียกนักบวช เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าผมไปถามพ่อคนหนึ่งว่า "พ่อครับ ผมทราบว่าพ่อไปสัมมนามาริมทะเล พ่อได้เจอพระเยซูเจ้ามากวักมือเรียกพ่อไปเป็นชาวประมงจับมนุษย์ไหม" พ่อหัวเราะแล้วตอบว่า "พ่อเจอพระเยซูเจ้า แต่พระองค์ไม่ได้ชวนพ่อไปเป็นชาวประมงจับมนุษย์ แต่บอกพ่อว่าให้ชวนลูก(หมายถึง"ผม")ไปสัมผัสชีวิตนักบวช" ผมโดนเชิญและโดนชวนอย่างนี้บ่อยมากเลยครับ
ก่อนเป็นนักบวชจริง ไม่ว่าคณะใดๆก็ตาม ต้องมีการสัมผัสชีวิตนักบวช ผมก็ได้ไปที่สิงคโปร์เหมือนที่เพชรไปครับ ที่นั่นผมมีความสุขใจมาก เหมือนนักบุญเปโตรได้ตามพระเยซูเจ้าขึ้นไปบนภูเขาทาบอร์ที่ซึ่งพระองค์ทรงจำแลงพระกาย ท่านบอกว่าไม่อยากกลับลงไปพื้นราบอีกเลย อยากทำกระโจมขึ้นและอยู่บนนั้นตลอดไป ที่บ้านคาร์เมไลท์ที่สิงคโปร์นั้น ผมมีความสุขใจมาก ทุกคนรักกัน สามัคคี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่แสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศอย่างบ้าคลั่ง ผมรู้สึกเหมือนที่นั่นเป็นสวรรค์จริงๆนะครับ โดยส่วนตัวผมไม่เคยมีความคิดสะสมทรัพย์สมบัติ ไม่ต้องการเกียรติยศชื่อเสียง แล้วผมจะไปเหน็ดเหนื่อยอย่างคนในโลกวัตถุนิยมทำไมล่ะครับ ผมเริ่มคิดว่าชีวิตนักบวชนี่ดีจริง งานและการภาวนาไปด้วยกันอย่างสมดุลย์(ถ้าเราสัตย์ซื่อต่อกระแสเรียกและพระวินัยของคณะนักบวช) น่าสนใจมาก เพราะไม่ต้องเป็นห่วงกังวลกับสิ่งใดๆในโลกนี้อีกแล้วครับ รับใช้พระอย่างซื่อสัตย์อย่างเดียวตามกระแสเรียกผ่านจิตตารมณ์ของคณะนักบวช แล้วพระองค์ก็จะทรงดูแลผมเอง ผมอยากมอบตัวผมแด่พระเจ้าทั้งครบ ทั้งนี้ในความดูแลของพระนางพรหมจารีมารีอา มารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์น่ะครับ
ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่อยากสะสมทรัพย์สินเงินทองและชื่อเสียงเกียรติยศเหมือนเดิมครับ เรื่องทรัพย์สินเงินทองนี้บางคนอาจบอกว่าคณะนักบวชก็ต้องใช้เงินในการใช้จ่ายเพื่อกิจการของคณะ หลีกไม่พ้นหรอก ก็จริงอยู่ครับ แต่การครอบครองทรัพย์สินนี้ไม่ได้เป็นไปในลักษณะปัจเจกบุคคล คือทรัพย์สินทั้งหลายไม่ได้เป็นของนักบวชคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของกลางร่วมกัน ทำให้ผมสามารถปฏิบัติฤทธิ์กุศลความยากจนได้ครับ ชื่อเสียงเกียรติยศหรือ ผมก็ไม่ต้องการ จะเป็นคนต่ำต้อยที่สุดในคณะนักบวชก็ไม่ใช่ปัญหาอันใดสำหรับผมนะครับ ผมยินดีเป็นคนต้อยต่ำ เพราะผมเห็นว่าชื่อเสียงเกียรติยศเป็นของจอมปลอมสำหรับผมน่ะครับ
ทุกๆวันที่ผ่านมาและจะผ่านไป ผมไปในหลายๆที่หลายๆแห่ง ผมเห็นคนในยุคนี้ตกเป็นทาสวัตถุ รักการบริโภค และมีความเป็นปัจเจกสูง(สนใจแต่ตัวเอง) ผมอดถามพวกเขาในใจไม่ได้ว่า พวกคุณจะแสวงหาไปถึงเมื่อไร จะแสวงหาไปถึงไหนถึงจะพอ ไม่เหนื่อยเหรอ ไม่คิดจะหยุดบ้างเหรอ ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง แต่ก่อนก็เห็นไปวัดดีๆ พอเริ่มทำงานเธอก็ห่างวัด ไปวัดปีละครั้งสองครั้งตามเทศกาลสำคัญๆประจำปีพิธีกรรม ชีวิตทางโลกเธอรุ่งเรืองมาก แต่ชีวิตทางธรรมมันรุ่งริ่งอย่างไรก็ไม่รู้ครับ เธอมีชื่อเสียง มีเงินทอง (ผมคิดว่าเป็นเช่นนั้นครับ) แต่ทางธรรมมันหงอยเหงาเศร้าสร้อยมาก ผมนึกถึงพระพุทธเจ้า ก่อนพระองค์จะออกผนวช พระองค์พบเทวดา 4 องค์จำแลงกายมาเป็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายโลกและเสด็จออกผนวช ผมนึกถึงว่าตัวผมที่ได้เห็นคนติดวัตถุ คลั่งการบริโภค สนใจแต่ตัวเอง ก็เหมือนเป็นสิ่งที่แสดงให้ผมได้ใคร่ครวญว่า คนเรา ชีวิตนี้มีแค่นี้เองเหรอ มีแค่นี้จริงๆเหรอ ความสุขที่ได้รับ แม้บางครั้งจะอิ่มเอมเปรมใจ แต่มันยั่งยืนถาวรเหรอ ทำไมวัตถุมันมีบทบาทมากถึงเพียงนี้ มากจนคนหลงลืมจิตใจ ฯลฯ พอได้ใคร่ครวญเช่นนี้ ก็ทำให้ผมอยากทิ้งโลกนี้ไป ผมเคยปรารภกับพ่อบางคนว่า ผมไม่รู้ว่าตัวผมเองจะทนมีชีวิตอยู่ในโลกเช่นนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน นอกจากนี้ ผมได้ศึกษาชีวิตของท่านพุทธทาส ท่านว่าท่านสนุกกับพระธรรม และมีความสุขกับการสอนธรรมะเพื่อช่วยคนให้พ้นจากการเป็นทาสของวัตถุและการบริโภค ตลอดจนตั้งปณิธานในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนาด้วย ผมประทับใจมาก และรู้สึกว่าอยากอุทิศตนเพื่อพระศาสนาอย่างท่านบ้าง และให้พระศาสนาเป็นที่หนึ่งในชีวิตครับ
ผมจะอุทิศตัวเพื่อพระศาสนาได้อย่างไร ถ้าผมยังต้องหาเช้ากินค่ำ อาบเหงื่อต่างน้ำ ต้องสาละวนอยู่กับการกินการอยู่ของตัวผมเอง แม้ว่าหลายคนทำได้ และทำได้ดี แต่สิ่งนี้ไม่ใช่หนทางสำหรับผมน่ะครับ ซึ่งถ้าพระเจ้าเรียกผมไปบวช ผมคงได้ไปสักวันหนึ่งครับ
ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ถ้าพระเจ้าทรงทำให้ผมไม่เหลืออะไร ก็คงจะทรงมีแผนการณ์เพื่อช่วยให้ผมมีอะไรในแนวทางของพระองค์ สิ่งนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไปครับ
ผมรู้สึกลึกๆว่าโลกชิงชังผม เพราะผมไม่ได้รับการเอื้อประโยชน์ใดๆจากโลกเลยครับ ถ้าพระเจ้าเรียกผมจริง ผมก็จะหันหลังให้กับโลกแห่งวัตถุนิยม บริโภคนิยม และปัจเจกนิยมนี้ และจากโลกนี้ไป เพื่อที่จะหันกลับมารักโลกได้อย่างดีและมากยิ่งครับ
แบ่งปันแค่นี้ก่อนนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลัง"สงสัย"ว่าตนเองมีกระแสเรียกนักบวชด้วยครับ แล้วเราอาจเจอกันในอารามนะครับ
