ใครเคยเป็นโปรเตสแตนต์ แล้วเปลี่ยนมาเป็น คาทอลิกบ้างครับ
ใครเคยเป็นโบแตสแต๊นแล้วเปลี่ยนมาเป็น คาทอลิกบ้างครับ
ผมเคยเป็นโบแตสแต๊น7 ปีก่อนที่จะมาเป็นคาทอลิก
มีเหตุผลส่วนตัวอย่างไรกันบ้างครับ ของผมพระนำมาครับ
ผมเคยเป็นโบแตสแต๊น7 ปีก่อนที่จะมาเป็นคาทอลิก
มีเหตุผลส่วนตัวอย่างไรกันบ้างครับ ของผมพระนำมาครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Prod Pran เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 08, 2006 8:54 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
คุณพี่นี่เป็นคนเดียวกับคุณพี่สเตฟานที่เล่นละครช่องเจ็ดสีหรือเปล่าคะStephen เขียน: ใครเคยเป็นโบแตสแต๊นแล้วเปลี่ยนมาเป็น คาทอลิกบ้างครับ
ผมเคยเป็นโบแตสแต๊น7 ปีก่อนที่จะมาเป็นคาทอลิก
มีเหตุผลส่วนตัวอย่างไรกันบ้างครับ ของผมพระนำมาครับ
สวัสดีค่ะ ดิฉัน แห่ม สุริวิภาวดีรังสิต-องครักษ์-นครนายก ขอเจาะใจเพื่อนใหม่ของเรานะคะ เอ่อ คุณฟานคะ ดิฉันอยากถามคุณฟานหน่อยค่ะ ว่าที่คุณฟานบอกว่า พระเจ้าคุณฟานมารู้จักกับคาทอลิกนั้น ทรงนำคุณฟานมาอย่างไรคะ แล้วทำไมคุณฟานถึงเลือกนักบุญสเตเฟนเป็นองค์อุปถัมภ์ อีกคำถามหนึ่งค่ะ คือคุณฟานล้างบาปวัดไหน ตอนนี้เข้าวัดที่ไหนคะStephen เขียน: ไม่ใช่หรอกครับ นั้นเป็นชื่อนักบุญของผม
ผมไม่มีความสุขกับการเป็นคริสเตียนมากนัก รู้สึกวุ่นวายใจ พอดีมีวัดมาสร้างใหม่ใกล้บ้านคือวัดพระกุมารเยซู บางนา-ตราด กม.8 มันเป็นช่วงที่ผมตกงานด้วยผมมีปัญหาชีวิตเลยเข้าไปคุยและเรียนคำสอนกับพระบ้าง บราเดอร์บ้าง แล้วต่อก็ได้รับศีลล้างบาป ครับ
ขอโทษที่ลืมบอกไป เรื่องชื่อนักบุญ ท่านเป็น มรณะสักขีคนแรก รักจนยอมตายและสวดยกโทษแทนคนบาปนี่คือหัวใจของศาสนาคริสต์เลยละครับ ออ ผมไม่ได้ชื่อต่อนะครับ ผมชื่อหนุ่ยครับ ผมชอบไปวัดพระจิตที่สาทร มิซาวันอังคารด้วยครับ ผมรับเรื่องพระจิตได้มาสักพักแล้ว
อ้อ ค่ะ ขอบคุณคุณฟานมากนะคะ แต่แห่มเองก็ยังติดใจอยู่หน่อยค่ะ และแห่มคิดว่าท่านผู้ชมก็คงงงด้วย คือ เอ่อ ชื่อ"ต่อ"น่ะค่ะ มีใครเรียกคุณฟานว่า"ต่อ"เหรอคะ ทำไมต้องออกตัวด้วยว่าไม่ได้ชื่อ"ต่อ" แต่ชื่อ"หนุ่ย" ล่ะคะ แห่ม...งงStephen เขียน: ขอโทษที่ลืมบอกไป เรื่องชื่อนักบุญ ท่านเป็น มรณะสักขีคนแรก รักจนยอมตายและสวดยกโทษแทนคนบาปนี่คือหัวใจของศาสนาคริสต์เลยละครับ ออ ผมไม่ได้ชื่อต่อนะครับ ผมชื่อหนุ่ยครับ ผมชอบไปวัดพระจิตที่สาทร มิซาวันอังคารด้วยครับ ผมรับเรื่องพระจิตได้มาสักพักแล้ว
ผม เคยเป็นโปรแตสแตนท์ อยู่2ปีละครับ
ปัจจุบันก็เป็นคาทอลิคมาจะ2ปีละ
แต่ก้ยังทำตัวเป้น เอกนิกายสัมพันธ์กับคนนิกายอื่นอยู่เนืองๆ
เหตุผลที่มาทางนี้ ก็คงเหมือนพี่อันตนละครับ ว่าพระเจ้าเลือกเรามาทางนี้
ชอบไปวัดพระจิตวันอังคารเหมือนกันครับ บางทีๆ เราอาจจะเคยเจอคุณหนุ่ยโดยไม่รู้ตัวแล้วก็ได้
ปัจจุบันก็เป็นคาทอลิคมาจะ2ปีละ
แต่ก้ยังทำตัวเป้น เอกนิกายสัมพันธ์กับคนนิกายอื่นอยู่เนืองๆ
เหตุผลที่มาทางนี้ ก็คงเหมือนพี่อันตนละครับ ว่าพระเจ้าเลือกเรามาทางนี้
ชอบไปวัดพระจิตวันอังคารเหมือนกันครับ บางทีๆ เราอาจจะเคยเจอคุณหนุ่ยโดยไม่รู้ตัวแล้วก็ได้
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
อ้าว ไปวัดพระจิตด้วยเหมือนกันเหรอค่ะ
โห.....คนไหนเนี่ย อิอิ
ในบอร์ดนี้ก็มีคนไปที่วัดพระจิตหลายคนนะคะ
นั่งอยู่แถวไหนรึค่ะ เหอ เหอ เผื่อจะแอบส่องดู อิอิ
โห.....คนไหนเนี่ย อิอิ
ในบอร์ดนี้ก็มีคนไปที่วัดพระจิตหลายคนนะคะ
นั่งอยู่แถวไหนรึค่ะ เหอ เหอ เผื่อจะแอบส่องดู อิอิ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 07, 2006 7:20 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ไม่น่่าจะออกเสียงว่า สเตฟานนะคะ
ไม่เคยเป็นค่ะ แต่เคยเข้าโบสถ์ที่ไม่ใช่ของสายหลัก แล้วไม่ชอบ เพราะตอนที่อยู่ในโบสถ์ดูชื่นชมยินดีมีความสุข แต่พอออกมา เปลี่ยนเป็นคนละคนกันหมดเลย ก็เลยไม่ชอบ และก็เลยไม่ชอบศาสนาคริสต์ตั้งแต่นั้นมา เพราะมีภาพนั้นไงคะ แต่ก็ยังชอบอ่านพระคัมภีร์อยู่เป็นครั้งคราว สลับกับการอ่านหนังสือธรรมะ กับ นั่งสมาธิแบบพุทธ คือพอไม่สบายใจ อ่านพระคัมภีร์แล้วช่วยได้ แต่พอสบายใจก็ปฎิบัติแบบพุทธ ตอนนี้เป็นคาทอลิกมา 5 ปีแล้วค่ะ
ไม่เคยเป็นค่ะ แต่เคยเข้าโบสถ์ที่ไม่ใช่ของสายหลัก แล้วไม่ชอบ เพราะตอนที่อยู่ในโบสถ์ดูชื่นชมยินดีมีความสุข แต่พอออกมา เปลี่ยนเป็นคนละคนกันหมดเลย ก็เลยไม่ชอบ และก็เลยไม่ชอบศาสนาคริสต์ตั้งแต่นั้นมา เพราะมีภาพนั้นไงคะ แต่ก็ยังชอบอ่านพระคัมภีร์อยู่เป็นครั้งคราว สลับกับการอ่านหนังสือธรรมะ กับ นั่งสมาธิแบบพุทธ คือพอไม่สบายใจ อ่านพระคัมภีร์แล้วช่วยได้ แต่พอสบายใจก็ปฎิบัติแบบพุทธ ตอนนี้เป็นคาทอลิกมา 5 ปีแล้วค่ะ
เหมือนกันเลยอ่ะเหมือนอยู่กับพระเยซูรักแม่พระมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ยังไม่รู้จักในตอนนั้น จำได้แค่ว่าเจอรูปแม่พระที่ไหนจะน้อมหัวลงเคารพอ่ะNIPPONRYU เขียน: ผมว่านะคับทุกศาสนาดีหมดแต่ขึ้นว่าจะทรัศธาอันไหนมากที่สุด
แต่ผมว่าผมรักพระเยซูคับเพราะตอนเด็กผมจำได้ว่าอยู่กับพระองค์ตลอด
แต่ไม่รู้จัก
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
ถามไปทำสำมะโนประชากรบอร์ดเหรอครับMs.BIG เขียน:สวัสดีค่ะ ดิฉัน แห่ม สุริวิภาวดีรังสิต-องครักษ์-นครนายก ขอเจาะใจเพื่อนใหม่ของเรานะคะ เอ่อ คุณฟานคะ ดิฉันอยากถามคุณฟานหน่อยค่ะ ว่าที่คุณฟานบอกว่า พระเจ้าคุณฟานมารู้จักกับคาทอลิกนั้น ทรงนำคุณฟานมาอย่างไรคะ แล้วทำไมคุณฟานถึงเลือกนักบุญสเตเฟนเป็นองค์อุปถัมภ์ อีกคำถามหนึ่งค่ะ คือคุณฟานล้างบาปวัดไหน ตอนนี้เข้าวัดที่ไหนคะStephen เขียน: ไม่ใช่หรอกครับ นั้นเป็นชื่อนักบุญของผม
เพิ่งรู้ว่ามีฝ่ายทำประชากรบอร์ดนะ55555Immanuel (MichaelPaul) เขียน:ถามไปทำสำมะโนประชากรบอร์ดเหรอครับMs.BIG เขียน:สวัสดีค่ะ ดิฉัน แห่ม สุริวิภาวดีรังสิต-องครักษ์-นครนายก ขอเจาะใจเพื่อนใหม่ของเรานะคะ เอ่อ คุณฟานคะ ดิฉันอยากถามคุณฟานหน่อยค่ะ ว่าที่คุณฟานบอกว่า พระเจ้าคุณฟานมารู้จักกับคาทอลิกนั้น ทรงนำคุณฟานมาอย่างไรคะ แล้วทำไมคุณฟานถึงเลือกนักบุญสเตเฟนเป็นองค์อุปถัมภ์ อีกคำถามหนึ่งค่ะ คือคุณฟานล้างบาปวัดไหน ตอนนี้เข้าวัดที่ไหนคะStephen เขียน: ไม่ใช่หรอกครับ นั้นเป็นชื่อนักบุญของผม
-
- โพสต์: 137
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 07, 2005 1:38 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ผมเคยเป็นโปรฯ ตั้งม.4 แล้ว ตอนนี้ทำงานมาหลายปีแล้วเพิ่งมาเรียนคำสอนเพื่อเตรียมรับศีลล้างบาปอยู่ครับ ที่วัดพระมหาไถ่ ซ.ร่วมฤดี
พี่เป็นคาทอลิกนอนครับ ได้เรียนคำสอนจนรับศีลกำลังเรียบร้อยแต่ก็พื้นๆ ไม่เข้าใจมากจนคริสตจักร์หนึ่งชวนพี่เข้า สาเหตุคือว่าตอนนั้นพี่อายุ 23 น้องสาวพี่เรียน ม. เกษตร พี่เลยตามน้องสาวไปเพื่อจะหาจีบเด็ก ม.เกษตร น่ารักๆ นะครับ แต่ถูกคริสเตียนชวนก็เลยไป
รับใช้พระเจ้าอยู่ที่นั้น 4 ปี ระหว่างอยู่ที่นั้นพี่ไปโบสถ์ไม่เคยขาดเลย หนึ่งอาทิตย์พี่เข้ากลุ่มทุกวัน วันจันทร์ติดตามผู้เชื่อใหม่ ผู้สนใจ วันอังคารเข้ากลุ่มผู้นำ วันพุธเข้ากลุ่มแคร์ วันพฤหัสใช้เวลาสอนพระคัมภีร์ 1 ต่อ 1 กับลูกแกะ วันศุกร์ใช้เวลาเรียนพระคัมภีร์ 1 ต่อ 1 กับพี่เลี้ยง ทุกเดือนพี่ต้องไปต่างจังหวัด 2 - 3 วัน เพื่อนบุกเบิกคริสตจักร์ท้องถิ่น นอกจากนั้นเวลาปกติพี่ยังเรียนสถาบันศาสนศาสตร์ของที่โบสถ์อีกเรียนเต็มเวลาครับ
มาอยู่คาทอลิกเลยเศร้าเลยคือมาใหม่ๆ เราประกาศอยู่คนเดียวไม่มีใครส่งเสริมเลย พี่ไปเข้าพลมารีแต่มันก็ไม่ใช้อย่างที่เราทำมีแต่คนสูงอายุ แล้วพวกนี้ก็รู้พระคัมภีร์ งูๆ ปลาๆ แต่พี่ก็ต้องนบนอบเพราะมีแต่ผู้ใหญ่ พี่อยู่พลมารีย์ 8 ปี ก็รู้ว่าไม่ใช้วิถีทางของเรา เลยออกมาคิดจะประกาศรับใช้พระทางอื่น
พี่กลับมาอยู่คาทอลิกได้ 10 กว่าปีแล้วครับ
รับใช้พระเจ้าอยู่ที่นั้น 4 ปี ระหว่างอยู่ที่นั้นพี่ไปโบสถ์ไม่เคยขาดเลย หนึ่งอาทิตย์พี่เข้ากลุ่มทุกวัน วันจันทร์ติดตามผู้เชื่อใหม่ ผู้สนใจ วันอังคารเข้ากลุ่มผู้นำ วันพุธเข้ากลุ่มแคร์ วันพฤหัสใช้เวลาสอนพระคัมภีร์ 1 ต่อ 1 กับลูกแกะ วันศุกร์ใช้เวลาเรียนพระคัมภีร์ 1 ต่อ 1 กับพี่เลี้ยง ทุกเดือนพี่ต้องไปต่างจังหวัด 2 - 3 วัน เพื่อนบุกเบิกคริสตจักร์ท้องถิ่น นอกจากนั้นเวลาปกติพี่ยังเรียนสถาบันศาสนศาสตร์ของที่โบสถ์อีกเรียนเต็มเวลาครับ
มาอยู่คาทอลิกเลยเศร้าเลยคือมาใหม่ๆ เราประกาศอยู่คนเดียวไม่มีใครส่งเสริมเลย พี่ไปเข้าพลมารีแต่มันก็ไม่ใช้อย่างที่เราทำมีแต่คนสูงอายุ แล้วพวกนี้ก็รู้พระคัมภีร์ งูๆ ปลาๆ แต่พี่ก็ต้องนบนอบเพราะมีแต่ผู้ใหญ่ พี่อยู่พลมารีย์ 8 ปี ก็รู้ว่าไม่ใช้วิถีทางของเรา เลยออกมาคิดจะประกาศรับใช้พระทางอื่น
พี่กลับมาอยู่คาทอลิกได้ 10 กว่าปีแล้วครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ เสาร์ ก.ย. 16, 2006 5:16 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Good................................................เรียกว่าใช้เครื่องมือได้ถูกวิธีมั่กๆ (ดวงตาเห็นธรรม)Buddy เขียน: ไม่น่่าจะออกเสียงว่า สเตฟานนะคะ : xemo017 :
ไม่เคยเป็นค่ะ แต่เคยเข้าโบสถ์ที่ไม่ใช่ของสายหลัก แล้วไม่ชอบ เพราะตอนที่อยู่ในโบสถ์ดูชื่นชมยินดีมีความสุข แต่พอออกมา เปลี่ยนเป็นคนละคนกันหมดเลย ก็เลยไม่ชอบ และก็เลยไม่ชอบศาสนาคริสต์ตั้งแต่นั้นมา เพราะมีภาพนั้นไงคะ แต่ก็ยังชอบอ่านพระคัมภีร์อยู่เป็นครั้งคราว สลับกับการอ่านหนังสือธรรมะ กับ นั่งสมาธิแบบพุทธ คือพอไม่สบายใจ อ่านพระคัมภีร์แล้วช่วยได้ แต่พอสบายใจก็ปฎิบัติแบบพุทธ ตอนนี้เป็นคาทอลิกมา 5 ปีแล้วค่ะ
ตอนเด็กๆ เคยเป็นคริสเตียนอยู่พักหนึ่งค่ะ แต่คริสเตียนมีหลายนิกาย มีคำสอนที่แตกต่างกันในหลายๆ เรื่อง จึงพยายามศึกษาอยู่หลายนิกาย เพราะต้องการทราบว่านิกายไหนสอนถูกต้องที่สุด และที่สุดก็พบว่า ศาสนจักรเที่ยงแท้มีเพียงหนึ่งเดียวคือคาทอลิก
แต่คิดว่าพระเจ้าก็ทรงอยู่กับคริสเตียนทุกนิกายด้วย เพราะแต่ละคนมีจิตใจเหมาะสมที่จะนับถือนิกายนั้นๆ แตกต่างกัน บางคนพระเจ้าก็เรียกให้เป็นคาทอลิก บางคนก็เรียกให้เป็นคริสเตียนเพราะเขามีจิตใจเหมาะสมจะเป็นคริสเตียนมากกว่า เช่น การสารภาพความผิดผ่านพระสงฆ์ไม่ได้ ทำใจได้ยาก ก็ไม่เหมาะสมจะเป็นคาทอลิก ก็อย่างที่หลายๆ ท่านในที่นี้บอก พระเจ้าเป็นผู้เลือกเรา ไม่ใช่เราเลือกพระเจ้า
แต่สำหรับฉันการเป็นคาทอลิก ทำให้สนิทกับพระมากกว่าเป็นคริสเตียน เพราะสามารถรับพระเยซูเข้ามาในกายและใจได้ทุกวันเมื่อร่วมพิธีมิสซา
หลายคนเข้าใจว่าคาทอลิกต้องภาวนาผ่านพระสงฆ์ ภาวนาตามบทสวด แต่คริสเตียนไม่ต้องผ่านใคร และอธิษฐานด้วยคำพูดจากใจตัวเอง ซึ่งเป็นความเข้าใจคาทอลิกผิด เพราะแท้จริงคาทอลิกที่ฉันรู้จัก ทั้งอธิษฐานและภาวนาไปพร้อมกัน คือเมื่อพวกเขาภาวนาตามบทสวดแล้ว พวกเขาก็อธิษฐาน
และที่สำคัญคาทอลิกยังมีผู้ช่วยอธิษฐาน ซึ่งนำพระพรมากมายมาให้คือแม่พระ เพราะขนาดเวลาของพระเยซูที่จะเปิดเผยพระองค์ยังมาไม่ถึง แต่เพียงแม่พระไปบอกว่า “เขาไม่มีน้ำองุ่นแล้ว” พระเยซูก็ยังยอมทำอัศจรรย์ และเป็นอัศจรรย์ครั้งแรกที่ทำก่อนเวลาด้วย
แต่คิดว่าพระเจ้าก็ทรงอยู่กับคริสเตียนทุกนิกายด้วย เพราะแต่ละคนมีจิตใจเหมาะสมที่จะนับถือนิกายนั้นๆ แตกต่างกัน บางคนพระเจ้าก็เรียกให้เป็นคาทอลิก บางคนก็เรียกให้เป็นคริสเตียนเพราะเขามีจิตใจเหมาะสมจะเป็นคริสเตียนมากกว่า เช่น การสารภาพความผิดผ่านพระสงฆ์ไม่ได้ ทำใจได้ยาก ก็ไม่เหมาะสมจะเป็นคาทอลิก ก็อย่างที่หลายๆ ท่านในที่นี้บอก พระเจ้าเป็นผู้เลือกเรา ไม่ใช่เราเลือกพระเจ้า
แต่สำหรับฉันการเป็นคาทอลิก ทำให้สนิทกับพระมากกว่าเป็นคริสเตียน เพราะสามารถรับพระเยซูเข้ามาในกายและใจได้ทุกวันเมื่อร่วมพิธีมิสซา
หลายคนเข้าใจว่าคาทอลิกต้องภาวนาผ่านพระสงฆ์ ภาวนาตามบทสวด แต่คริสเตียนไม่ต้องผ่านใคร และอธิษฐานด้วยคำพูดจากใจตัวเอง ซึ่งเป็นความเข้าใจคาทอลิกผิด เพราะแท้จริงคาทอลิกที่ฉันรู้จัก ทั้งอธิษฐานและภาวนาไปพร้อมกัน คือเมื่อพวกเขาภาวนาตามบทสวดแล้ว พวกเขาก็อธิษฐาน
และที่สำคัญคาทอลิกยังมีผู้ช่วยอธิษฐาน ซึ่งนำพระพรมากมายมาให้คือแม่พระ เพราะขนาดเวลาของพระเยซูที่จะเปิดเผยพระองค์ยังมาไม่ถึง แต่เพียงแม่พระไปบอกว่า “เขาไม่มีน้ำองุ่นแล้ว” พระเยซูก็ยังยอมทำอัศจรรย์ และเป็นอัศจรรย์ครั้งแรกที่ทำก่อนเวลาด้วย
เป็นคริสเตียนมา 10 กว่าปี ตอนนี้จะเป็นคาทอลิกและ
ยอมรับว่าตอนแรก เจอคนพูดแนะนำบ่อยเรื่องคาทอลิก ก็เลย
เริ่มสับสนและนำมาคิด และในที่สุดก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง
ว่าไม่ล่ะ ไม่เป็นคาทอลิกหรอก แต่ในมี่สุดก็(กำลังจะ)มาเป็นนี่แหละครับ
เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโปรแตสแตนซ์เลย คือรักพระมากเวลาเข้าโบสถ์งี้รักพระที่สุด
มีอาการร้องไห้ ศรัทธา แต่พออกโบสถ์เหมือนเป็นคนละคนกัน
คือรู้สึกจะเริ่มทำตัวออกห่างพระมากขึ้น
ตอน(หัวใจ)มาเป็นคาทอลิก รู้สึกอยู่ใกล้พระมากขึ้น เพราะสวดทุกวัน
และขอให้แม่พระช่วยเราให้เข้าแนบพระมากขึ้นด้วย
ยอมรับว่าตอนแรก เจอคนพูดแนะนำบ่อยเรื่องคาทอลิก ก็เลย
เริ่มสับสนและนำมาคิด และในที่สุดก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง
ว่าไม่ล่ะ ไม่เป็นคาทอลิกหรอก แต่ในมี่สุดก็(กำลังจะ)มาเป็นนี่แหละครับ
เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโปรแตสแตนซ์เลย คือรักพระมากเวลาเข้าโบสถ์งี้รักพระที่สุด
มีอาการร้องไห้ ศรัทธา แต่พออกโบสถ์เหมือนเป็นคนละคนกัน
คือรู้สึกจะเริ่มทำตัวออกห่างพระมากขึ้น
ตอน(หัวใจ)มาเป็นคาทอลิก รู้สึกอยู่ใกล้พระมากขึ้น เพราะสวดทุกวัน
และขอให้แม่พระช่วยเราให้เข้าแนบพระมากขึ้นด้วย
-
- โพสต์: 1029
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm
เมื่อวานไปต้อนรับน้องใหม่ที่เริ่มเรียนคำสอนปีนี้
มีคุณยายอายุ 75 ท่านหนึ่งมาเรียนด้วย
คุณยายเป็นโปรฯ คริสตจักรหนึ่งมาหลายสิบปีแล้ว
แล้วรู้สึกจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง (ฟังไม่ค่อยชัด)
ทำให้คุณยายไม่พอใจคริสตจักรช่วงหลัง
พอย้ายมาอยู่กับหลาน มีวัดใกล้บ้านเลยตัดสินใจเรียนคำสอน
แนวคิดคุณยายดีมาก ท่านบอกว่า
"ฉันไม่ได้เกลียดคริสตจักร..(ละชื่อ)... เพราะที่นั่นทำให้ฉันรู้จักพระเจ้า
และรักพระเจ้าเหนืือกว่าเรื่องยึดติดว่าต้องเป็นโปรฯ หรือคาทอลิก"
มีคุณยายอายุ 75 ท่านหนึ่งมาเรียนด้วย
คุณยายเป็นโปรฯ คริสตจักรหนึ่งมาหลายสิบปีแล้ว
แล้วรู้สึกจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง (ฟังไม่ค่อยชัด)
ทำให้คุณยายไม่พอใจคริสตจักรช่วงหลัง
พอย้ายมาอยู่กับหลาน มีวัดใกล้บ้านเลยตัดสินใจเรียนคำสอน
แนวคิดคุณยายดีมาก ท่านบอกว่า
"ฉันไม่ได้เกลียดคริสตจักร..(ละชื่อ)... เพราะที่นั่นทำให้ฉันรู้จักพระเจ้า
และรักพระเจ้าเหนืือกว่าเรื่องยึดติดว่าต้องเป็นโปรฯ หรือคาทอลิก"
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอชื่นชมความคิดคุณยายนะครับ
ผมเองก็เคยเป็นโปรฯ มาก่อน ตอนนี้กำลังเรียนคำสอนเพื่อเป็นคาทอลิกอยู่ครับ
ผมเป็นโปรฯมา 6 ปี ผมต้อนรับพระเยซูตอนอายุ 14 โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ถึงอยากจะมานับถือศาสนาคริสต์ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ กระตุ้นให้ผมเดินเข้าโบสถ์
6 ปีที่ผมเดินกับพระเจ้า ผมเรียนรู้ เติบโต ก้่่าวเดิน หกล้ม และรับใช้ มาพอสมควร
จากปีแรกที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้าของทุกๆคนในคริสตจักร
วันเวลาผ่านไป พระเจ้าประทานความสามารถด้านดนตรีให้ผม โดยที่ผมไม่เคยปรารถนา
โดยที่ผมเล่นดนตรีก็ไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่พื้นฐานด้านดนตรีเลย
แต่ด้วยเหตุการหลายๆอย่าง และสถานการณ์ต่างๆ รวมๆกัน
พระเจ้าได้ยกผมไว้ในตำแหน่งนักเปียโนประจำคริสตจักร ผมขอบคุณพระเจ้ามากมาย
มีหลายครั้งที่ผมเองก็หยิ่งผยองในหน้าที่ และละเลยการรับใช้พระเจ้า
ผมเล่นเปียโน ในบางอาทิตย์มันดูเหมือนว่าโชว์ให้มนุษย์ดู มากกว่าที่จะเล่นเพลงเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
ผมจะมีความสุขมากเลย เวลาที่ผมเล่นเพลงนมัสการแล้วจิตใจผมอยู่ที่พระเจ้า
เวลาที่จิตใจของผมนมัสการพระเจ้าผ่านการเล่นเปียโน และมีความสุขกับการเล่น
ผมจะมีสันติสุข ผมจะเล่นด้วยรอยยิ้ม และจะพูดกับพระเจ้าว่า
"พระเจ้า ผมเล่นเต็มที่เพื่อพระองค์แล้วนะ ผมขอบคุณพระองค์ที่ทรงนำ
ขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุขที่ได้รับใช้"
แต่...ผมจะรู้สึกเล่นได้ไม่เต็มที่ และไม่มีความสุขในการเล่น และรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาเลย
เวลาที่ผมจองหอง และรับใช้พระเจ้าเพียงแค่เปลือกนอก เล่นโดยที่จิตใจไม่ได้อยู่กับพระเจ้าเลย
เล่นเหมือนกับว่าอวดให้มนุษย์ดูเฉยๆ
ผมเองก็ล้มลุกคลุกคลานในความเชื่อมา จน มาถึงปีที่ 5
พระเจ้าก็สอนผมในหลายๆเรื่องเลยและส่วนใหญ่ แน่นอนว่าพระองค์สอนเรื่องการรับใช้พระองค์
จนมาถึงวันที่ผมต้องร่วมรับใช้กับอาจารย์คนใหม่ ที่มาแทนอาจารย์คนเก่าของผม
ซึ่งอาจารย์คนเก่าของผม ถอนตัวออกจากสังกัดและย้ายไปรับใช้ที่คริสตจักรบ้านเกิด
ที่ จ.เชียงราย
ผมเองก็ต้องปรับตัวกับ ผู้นำคนใหม่/ทีมนมัสการหน้าใหม่/มือกลองคนใหม่ที่เป็นคู่กัดกันมา
แถมเหม็นขี้หน้ากันมาก ตั้งแต่สมัยเจอกันครั้งแรกที่ค่ายอนุชน ตอนผมอายุ 15
แล้วดันได้มาเจอกันที่นี่ แล้วมารับใช้ร่วมกันอีก ซึ่งก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว
แต่ก็ได้เจอ และพระเจ้าสอนให้ผมเรียนรู้จักการถ่อมใจอย่างมากมาย การยอมลดอัตตา
รวมถึงการปรับตัว และ ยอมรับรูปแบบการฝึกซ้อมนมัสการแบบใหม่ซึ่งนำโดย
การนำ ของอาจารย์ท่านใหม่....ผู้นี้ (เป็นป้าของมือกลองคนนี้แหละ แกหอบหลานมาด้วย)
แถมอาจารย์ท่านนี้ เป็นคนที่หัวแข็ง พูดจาไม่รักษาน้ำใจคน ชอบแดกดัน และจู้จี้
และที่สำคัญ มาจากเมืองกรุง ซึ่งต้องมาปรับตัวเข้ากับสภาพคริสตจกัรบ้านนอก
ผมเองก็เช่นกัน ผมเองก็เด็กคนหัวแข็งใช่ย่อย แข็งเจอแข็ง เลยไปกันใหญ่เลย
แถมเป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้า คนเมืองกรุงซักเท่าไหร่
หลายอาทิตย์ที่ผมรู้สึกกดดัน เพราะการซ้อมนมัสการ....มันไม่มีบรรยากาศของความรัก
และความอบอุ่นเลย การพูดจาก็มีแต่การอวดภูมิใส่กัน แถมยกตัวเองว่ามีความรู้มากกว่า
และแน่นอน ผมเองที่อ่านบรรทัด 5 เส้นไม่เป็น อ่านโน้ตไม่เป็น และไม่รู้ค่าของตัวโน้ต
แต่กลับสามารถเล่นเปียโนได้ และได้ขึ้นรับใช้ในตำแหน่งนี้
เลยมักจะถูกอาจารย์ท่านนี้เสียดสีบ่อยๆ ว่ารับใช้มาได้ยังไง ไม่มีพื้นฐานเลย
แค่บรรทัด 5 เส้นยังอ่านไม่ได้ ฯลฯ
ผมมันก็แค่เด็กบ้านนอกคนนึง ที่ก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่นับถือคริสต์
ไม่เคยเล่นดนตรี ไม่เคยเรียนดนตรี ไม่มีพื้นฐานดนตรี
เจอคนที่มียศตำแหน่งเป็นถึง [ศาสนาจารย์] มาพูดใส่แบบนี้ มันก็เลยน้อยใจ และเจ็บในใจลึกๆ
แถมอาจารย์ท่านนี้ก็ชอบมาจู้จี้ เวลาที่ผมรับใช้ด้านการเป็น คอรัส
ชอบว่าผมว่า "ร้องให้มันถูกจังหวะหน่อย"
"เป็นคอรัสน่ะร้องให้มันมีพลังหน่อย ร้องให้มันเต็มเสียงหน่อย"
ซึ่งเพลงที่ผมเป็นคอรัสให้ มันเป็นเพลงที่มีคีย์ต่ำมากสำหรับเสียงแบบผม
และเวลาร้อง เสียงมันจะอยู่ในคอ แทบจะไม่ได้ยินเสียงที่ร้องออกมาเลย
ซึ่งตามจริง จังหวะผมก็ร้องตามนั้นเป๊ะๆ ไม่มีคร่อมจังหวะด้วยซ้ำ แต่ก็ยังโดนว่า
มันเลยเป็นอาการที่อึดอัด และอัดอั้น และสะสม แล้วก็พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ที่สะสมมันมากๆ จนมันรับไม่ไหว
จนไม่นานมานี้ ผมและอาจารย์ท่านนี้ได้มีปากเสียง และทะเลาะกัน ในวันซ้อมนมัสการ
และเป็นเหตุให้ผม เดินออกจากโบสถ์ในขณะที่ยังซ้อมนมัสการอยู่
ผมทนไม่ไหว และผมแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ที่อาวุโสกว่าผม
และใช้คำพูดที่ไร้ซึ่งความถ่อมใจ คำพูดที่รุนแรง การตวาด และตะคอกใส่ อาจารย์ท่านนี้
และทำให้ทีมนักดนตรีทุกคน หน้าเสียไปตามๆกัน เพราะไม่เคยมีใครกล้าขัด กล้าหือ
หรือกล้าเถียงอาจารย์ท่านนี้มาก่อน แม้แต่หลานของเขา
ด้วยความโกรธ และโมโห ผมตัดพ้อกับประเจ้า ว่าผมจะไม่ขอรับใช้พระองค์อีกแล้ว
ถ้าการรับใช้ต้องมีแต่ความกดดัน ไม่มีสันติสุขเอาเสียเลย
ผมอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ถ้าให้ผมไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วถูกคนไม่เชื่อพระเจ้าเยาะเย้ย
ผมยังทนได้ และรับได้ มากกว่าการโดนเยาะเย้ย ถากถางจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสตชนด้วยกัน
และภายในเวลานั้นเองที่ผมสับสน โมโห โกรธ และมองไม่เห็นหนทาง ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
ผมไม่อยากจะกลับไปรับใช้อีกแล้ว ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าอาจารย์ท่านนั้น
ไม่อยากแม่แต่จะเหยียบเข้าไปในคริสตจักรเพราะรู้ว่า ต้องเจอกับคนๆนั้นที่อยู่ข้างในนั้น
แต่พระเจ้าที่แสนดีได้ปรอบประโลมใจผม ระงับความโกรธของผม
เตือนสติผม เล้าโลมจิตใจที่ชอกช้ำ และเปิดดวงตาของผมให้มองเห็น
ทำให้ผมระลึกถึงเพื่อนคนนึงที่เป็น คาทอลิก
และทำให้ผมนึกย้อนกลับไป และมองดูชีวิตของเพื่อนคนนี้
เขาไม่เคยดูถูกความเชื่อของคนต่างนิกาย เขาไม่เคยเหยียดหยามความเป็นตัวผม
เค้ามีแต่ความรักที่เผื่อแผ่และมอบให้
ถึงแม้ว่าเราจะเคยเถียงกันเรื่องความแตกต่างของนิกาย
แต่เขาก็ตอบผมด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความสุภาพ อ่อนโยน และถ่อมตัว
ผมระลึกถึงเขา ระลึกถึงวัดคาทอลิก ใกล้บ้าน
ในเวลานั้นเอง ผมอยากที่จะไปร่วมมิสซา อยากไปเรียนคำสอน
อยากไปสัมผัสบรรยากาศเวลาร่วมมิสซา ที่ผมไม่เคยไ้ด้สัมผัสเหมือนกับตอนที่ผมนมัสการพระเจ้า
และตอนนี้ ผมให้อภัยอาจารย์ท่านนั้นได้แล้ว แต่ผมคงไม่อยากที่จะกลับไปที่คริสตจักรอีกแล้ว
เพราะได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าจะไม่ขอกลับไปเล่นเปียโนอีก
และผมมีใจที่อยากจะเป็นคาทอลิกมากกว่า ซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงอยากจะเป็น
คาทอลิก มากกว่า โปรฯ
แต่ถ้าหากพระเจ้าประสงค์จะนำผมกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้ง ผมคงขัดขืนพระองค์ไม่ได้
ที่เล่ามาเสียยืดยาวเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดกับตัวของผมเอง ไม่ถึงเดือน
และเป็นเหตุการณ์ และสถานการณ์ที่พลิกผันให้ชีวิตผมได้ มาอยู่ในนิกายคาทอลิก
พิมพ์มาเสียยืดยาวเลย ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคนที่อดทนจนอ่านจบ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ผมเป็นโปรฯมา 6 ปี ผมต้อนรับพระเยซูตอนอายุ 14 โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ถึงอยากจะมานับถือศาสนาคริสต์ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ กระตุ้นให้ผมเดินเข้าโบสถ์
6 ปีที่ผมเดินกับพระเจ้า ผมเรียนรู้ เติบโต ก้่่าวเดิน หกล้ม และรับใช้ มาพอสมควร
จากปีแรกที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้าของทุกๆคนในคริสตจักร
วันเวลาผ่านไป พระเจ้าประทานความสามารถด้านดนตรีให้ผม โดยที่ผมไม่เคยปรารถนา
โดยที่ผมเล่นดนตรีก็ไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่พื้นฐานด้านดนตรีเลย
แต่ด้วยเหตุการหลายๆอย่าง และสถานการณ์ต่างๆ รวมๆกัน
พระเจ้าได้ยกผมไว้ในตำแหน่งนักเปียโนประจำคริสตจักร ผมขอบคุณพระเจ้ามากมาย
มีหลายครั้งที่ผมเองก็หยิ่งผยองในหน้าที่ และละเลยการรับใช้พระเจ้า
ผมเล่นเปียโน ในบางอาทิตย์มันดูเหมือนว่าโชว์ให้มนุษย์ดู มากกว่าที่จะเล่นเพลงเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
ผมจะมีความสุขมากเลย เวลาที่ผมเล่นเพลงนมัสการแล้วจิตใจผมอยู่ที่พระเจ้า
เวลาที่จิตใจของผมนมัสการพระเจ้าผ่านการเล่นเปียโน และมีความสุขกับการเล่น
ผมจะมีสันติสุข ผมจะเล่นด้วยรอยยิ้ม และจะพูดกับพระเจ้าว่า
"พระเจ้า ผมเล่นเต็มที่เพื่อพระองค์แล้วนะ ผมขอบคุณพระองค์ที่ทรงนำ
ขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุขที่ได้รับใช้"
แต่...ผมจะรู้สึกเล่นได้ไม่เต็มที่ และไม่มีความสุขในการเล่น และรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาเลย
เวลาที่ผมจองหอง และรับใช้พระเจ้าเพียงแค่เปลือกนอก เล่นโดยที่จิตใจไม่ได้อยู่กับพระเจ้าเลย
เล่นเหมือนกับว่าอวดให้มนุษย์ดูเฉยๆ
ผมเองก็ล้มลุกคลุกคลานในความเชื่อมา จน มาถึงปีที่ 5
พระเจ้าก็สอนผมในหลายๆเรื่องเลยและส่วนใหญ่ แน่นอนว่าพระองค์สอนเรื่องการรับใช้พระองค์
จนมาถึงวันที่ผมต้องร่วมรับใช้กับอาจารย์คนใหม่ ที่มาแทนอาจารย์คนเก่าของผม
ซึ่งอาจารย์คนเก่าของผม ถอนตัวออกจากสังกัดและย้ายไปรับใช้ที่คริสตจักรบ้านเกิด
ที่ จ.เชียงราย
ผมเองก็ต้องปรับตัวกับ ผู้นำคนใหม่/ทีมนมัสการหน้าใหม่/มือกลองคนใหม่ที่เป็นคู่กัดกันมา
แถมเหม็นขี้หน้ากันมาก ตั้งแต่สมัยเจอกันครั้งแรกที่ค่ายอนุชน ตอนผมอายุ 15
แล้วดันได้มาเจอกันที่นี่ แล้วมารับใช้ร่วมกันอีก ซึ่งก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว
แต่ก็ได้เจอ และพระเจ้าสอนให้ผมเรียนรู้จักการถ่อมใจอย่างมากมาย การยอมลดอัตตา
รวมถึงการปรับตัว และ ยอมรับรูปแบบการฝึกซ้อมนมัสการแบบใหม่ซึ่งนำโดย
การนำ ของอาจารย์ท่านใหม่....ผู้นี้ (เป็นป้าของมือกลองคนนี้แหละ แกหอบหลานมาด้วย)
แถมอาจารย์ท่านนี้ เป็นคนที่หัวแข็ง พูดจาไม่รักษาน้ำใจคน ชอบแดกดัน และจู้จี้
และที่สำคัญ มาจากเมืองกรุง ซึ่งต้องมาปรับตัวเข้ากับสภาพคริสตจกัรบ้านนอก
ผมเองก็เช่นกัน ผมเองก็เด็กคนหัวแข็งใช่ย่อย แข็งเจอแข็ง เลยไปกันใหญ่เลย
แถมเป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้า คนเมืองกรุงซักเท่าไหร่
หลายอาทิตย์ที่ผมรู้สึกกดดัน เพราะการซ้อมนมัสการ....มันไม่มีบรรยากาศของความรัก
และความอบอุ่นเลย การพูดจาก็มีแต่การอวดภูมิใส่กัน แถมยกตัวเองว่ามีความรู้มากกว่า
และแน่นอน ผมเองที่อ่านบรรทัด 5 เส้นไม่เป็น อ่านโน้ตไม่เป็น และไม่รู้ค่าของตัวโน้ต
แต่กลับสามารถเล่นเปียโนได้ และได้ขึ้นรับใช้ในตำแหน่งนี้
เลยมักจะถูกอาจารย์ท่านนี้เสียดสีบ่อยๆ ว่ารับใช้มาได้ยังไง ไม่มีพื้นฐานเลย
แค่บรรทัด 5 เส้นยังอ่านไม่ได้ ฯลฯ
ผมมันก็แค่เด็กบ้านนอกคนนึง ที่ก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่นับถือคริสต์
ไม่เคยเล่นดนตรี ไม่เคยเรียนดนตรี ไม่มีพื้นฐานดนตรี
เจอคนที่มียศตำแหน่งเป็นถึง [ศาสนาจารย์] มาพูดใส่แบบนี้ มันก็เลยน้อยใจ และเจ็บในใจลึกๆ
แถมอาจารย์ท่านนี้ก็ชอบมาจู้จี้ เวลาที่ผมรับใช้ด้านการเป็น คอรัส
ชอบว่าผมว่า "ร้องให้มันถูกจังหวะหน่อย"
"เป็นคอรัสน่ะร้องให้มันมีพลังหน่อย ร้องให้มันเต็มเสียงหน่อย"
ซึ่งเพลงที่ผมเป็นคอรัสให้ มันเป็นเพลงที่มีคีย์ต่ำมากสำหรับเสียงแบบผม
และเวลาร้อง เสียงมันจะอยู่ในคอ แทบจะไม่ได้ยินเสียงที่ร้องออกมาเลย
ซึ่งตามจริง จังหวะผมก็ร้องตามนั้นเป๊ะๆ ไม่มีคร่อมจังหวะด้วยซ้ำ แต่ก็ยังโดนว่า
มันเลยเป็นอาการที่อึดอัด และอัดอั้น และสะสม แล้วก็พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ที่สะสมมันมากๆ จนมันรับไม่ไหว
จนไม่นานมานี้ ผมและอาจารย์ท่านนี้ได้มีปากเสียง และทะเลาะกัน ในวันซ้อมนมัสการ
และเป็นเหตุให้ผม เดินออกจากโบสถ์ในขณะที่ยังซ้อมนมัสการอยู่
ผมทนไม่ไหว และผมแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ที่อาวุโสกว่าผม
และใช้คำพูดที่ไร้ซึ่งความถ่อมใจ คำพูดที่รุนแรง การตวาด และตะคอกใส่ อาจารย์ท่านนี้
และทำให้ทีมนักดนตรีทุกคน หน้าเสียไปตามๆกัน เพราะไม่เคยมีใครกล้าขัด กล้าหือ
หรือกล้าเถียงอาจารย์ท่านนี้มาก่อน แม้แต่หลานของเขา
ด้วยความโกรธ และโมโห ผมตัดพ้อกับประเจ้า ว่าผมจะไม่ขอรับใช้พระองค์อีกแล้ว
ถ้าการรับใช้ต้องมีแต่ความกดดัน ไม่มีสันติสุขเอาเสียเลย
ผมอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ถ้าให้ผมไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วถูกคนไม่เชื่อพระเจ้าเยาะเย้ย
ผมยังทนได้ และรับได้ มากกว่าการโดนเยาะเย้ย ถากถางจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสตชนด้วยกัน
และภายในเวลานั้นเองที่ผมสับสน โมโห โกรธ และมองไม่เห็นหนทาง ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
ผมไม่อยากจะกลับไปรับใช้อีกแล้ว ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าอาจารย์ท่านนั้น
ไม่อยากแม่แต่จะเหยียบเข้าไปในคริสตจักรเพราะรู้ว่า ต้องเจอกับคนๆนั้นที่อยู่ข้างในนั้น
แต่พระเจ้าที่แสนดีได้ปรอบประโลมใจผม ระงับความโกรธของผม
เตือนสติผม เล้าโลมจิตใจที่ชอกช้ำ และเปิดดวงตาของผมให้มองเห็น
ทำให้ผมระลึกถึงเพื่อนคนนึงที่เป็น คาทอลิก
และทำให้ผมนึกย้อนกลับไป และมองดูชีวิตของเพื่อนคนนี้
เขาไม่เคยดูถูกความเชื่อของคนต่างนิกาย เขาไม่เคยเหยียดหยามความเป็นตัวผม
เค้ามีแต่ความรักที่เผื่อแผ่และมอบให้
ถึงแม้ว่าเราจะเคยเถียงกันเรื่องความแตกต่างของนิกาย
แต่เขาก็ตอบผมด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความสุภาพ อ่อนโยน และถ่อมตัว
ผมระลึกถึงเขา ระลึกถึงวัดคาทอลิก ใกล้บ้าน
ในเวลานั้นเอง ผมอยากที่จะไปร่วมมิสซา อยากไปเรียนคำสอน
อยากไปสัมผัสบรรยากาศเวลาร่วมมิสซา ที่ผมไม่เคยไ้ด้สัมผัสเหมือนกับตอนที่ผมนมัสการพระเจ้า
และตอนนี้ ผมให้อภัยอาจารย์ท่านนั้นได้แล้ว แต่ผมคงไม่อยากที่จะกลับไปที่คริสตจักรอีกแล้ว
เพราะได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าจะไม่ขอกลับไปเล่นเปียโนอีก
และผมมีใจที่อยากจะเป็นคาทอลิกมากกว่า ซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงอยากจะเป็น
คาทอลิก มากกว่า โปรฯ
แต่ถ้าหากพระเจ้าประสงค์จะนำผมกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้ง ผมคงขัดขืนพระองค์ไม่ได้
ที่เล่ามาเสียยืดยาวเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดกับตัวของผมเอง ไม่ถึงเดือน
และเป็นเหตุการณ์ และสถานการณ์ที่พลิกผันให้ชีวิตผมได้ มาอยู่ในนิกายคาทอลิก
พิมพ์มาเสียยืดยาวเลย ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคนที่อดทนจนอ่านจบ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- Joseph visit
- โพสต์: 12
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 07, 2011 9:23 pm
มาแสดงความยินดีด้วยครับ สำหรับโปรแตสแตนท์ที่เปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก
- Joseph visit
- โพสต์: 12
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 07, 2011 9:23 pm
แก้ไขนิดหนึ่ง ที่จริงแล้วไปเมื่อมองเด็กเกษตร์น่ารักๆ เพราะจะหาใครเป็นคู่สักคนเพราะตอนนั้นยังว่าง ตอนเป็นคาทอลิกยังไม่ได้เข้าใจอะไรมากเกี่ยวกับพระคัมภีร์ บางทีเราตอบอะไรไปไม่ชัดเจนตอบแบบเล่นๆ สนุกๆ ก็ทำให้คนอ่านเข้าใจอะไรผิดไปอีกมุมมองหนึ่งได้ เข้ามาอ่านอีกทีเลยแก้ไขนิดJoseph เขียน:พี่เป็นคาทอลิกนอนครับ ได้เรียนคำสอนจนรับศีลกำลังเรียบร้อยแต่ก็พื้นๆ ไม่เข้าใจมากจนคริสตจักร์หนึ่งชวนพี่เข้า สาเหตุคือว่าตอนนั้นพี่อายุ 23 น้องสาวพี่เรียน ม. เกษตร พี่เลยตามน้องสาวไปเพื่อจะหาจีบเด็ก ม.เกษตร น่ารักๆ นะครับ แต่ถูกคริสเตียนชวนก็เลยไป
รับใช้พระเจ้าอยู่ที่นั้น 4 ปี ระหว่างอยู่ที่นั้นพี่ไปโบสถ์ไม่เคยขาดเลย หนึ่งอาทิตย์พี่เข้ากลุ่มทุกวัน วันจันทร์ติดตามผู้เชื่อใหม่ ผู้สนใจ วันอังคารเข้ากลุ่มผู้นำ วันพุธเข้ากลุ่มแคร์ วันพฤหัสใช้เวลาสอนพระคัมภีร์ 1 ต่อ 1 กับลูกแกะ วันศุกร์ใช้เวลาเรียนพระคัมภีร์ 1 ต่อ 1 กับพี่เลี้ยง ทุกเดือนพี่ต้องไปต่างจังหวัด 2 - 3 วัน เพื่อนบุกเบิกคริสตจักร์ท้องถิ่น นอกจากนั้นเวลาปกติพี่ยังเรียนสถาบันศาสนศาสตร์ของที่โบสถ์อีกเรียนเต็มเวลาครับ
มาอยู่คาทอลิกเลยเศร้าเลยคือมาใหม่ๆ เราประกาศอยู่คนเดียวไม่มีใครส่งเสริมเลย พี่ไปเข้าพลมารีแต่มันก็ไม่ใช้อย่างที่เราทำมีแต่คนสูงอายุ แล้วพวกนี้ก็รู้พระคัมภีร์ งูๆ ปลาๆ แต่พี่ก็ต้องนบนอบเพราะมีแต่ผู้ใหญ่ พี่อยู่พลมารีย์ 8 ปี ก็รู้ว่าไม่ใช้วิถีทางของเรา เลยออกมาคิดจะประกาศรับใช้พระทางอื่น
พี่กลับมาอยู่คาทอลิกได้ 10 กว่าปีแล้วครับ