ผมเองก็เคยเป็นโปรฯ มาก่อน ตอนนี้กำลังเรียนคำสอนเพื่อเป็นคาทอลิกอยู่ครับ
ผมเป็นโปรฯมา 6 ปี ผมต้อนรับพระเยซูตอนอายุ 14 โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ถึงอยากจะมานับถือศาสนาคริสต์ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ กระตุ้นให้ผมเดินเข้าโบสถ์
6 ปีที่ผมเดินกับพระเจ้า ผมเรียนรู้ เติบโต ก้่่าวเดิน หกล้ม และรับใช้ มาพอสมควร
จากปีแรกที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้าของทุกๆคนในคริสตจักร
วันเวลาผ่านไป พระเจ้าประทานความสามารถด้านดนตรีให้ผม โดยที่ผมไม่เคยปรารถนา
โดยที่ผมเล่นดนตรีก็ไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่พื้นฐานด้านดนตรีเลย
แต่ด้วยเหตุการหลายๆอย่าง และสถานการณ์ต่างๆ รวมๆกัน
พระเจ้าได้ยกผมไว้ในตำแหน่งนักเปียโนประจำคริสตจักร ผมขอบคุณพระเจ้ามากมาย
มีหลายครั้งที่ผมเองก็หยิ่งผยองในหน้าที่ และละเลยการรับใช้พระเจ้า
ผมเล่นเปียโน ในบางอาทิตย์มันดูเหมือนว่าโชว์ให้มนุษย์ดู มากกว่าที่จะเล่นเพลงเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
ผมจะมีความสุขมากเลย เวลาที่ผมเล่นเพลงนมัสการแล้วจิตใจผมอยู่ที่พระเจ้า
เวลาที่จิตใจของผมนมัสการพระเจ้าผ่านการเล่นเปียโน และมีความสุขกับการเล่น
ผมจะมีสันติสุข ผมจะเล่นด้วยรอยยิ้ม และจะพูดกับพระเจ้าว่า
"พระเจ้า ผมเล่นเต็มที่เพื่อพระองค์แล้วนะ ผมขอบคุณพระองค์ที่ทรงนำ
ขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุขที่ได้รับใช้"
แต่...ผมจะรู้สึกเล่นได้ไม่เต็มที่ และไม่มีความสุขในการเล่น และรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาเลย
เวลาที่ผมจองหอง และรับใช้พระเจ้าเพียงแค่เปลือกนอก เล่นโดยที่จิตใจไม่ได้อยู่กับพระเจ้าเลย
เล่นเหมือนกับว่าอวดให้มนุษย์ดูเฉยๆ
ผมเองก็ล้มลุกคลุกคลานในความเชื่อมา จน มาถึงปีที่ 5
พระเจ้าก็สอนผมในหลายๆเรื่องเลยและส่วนใหญ่ แน่นอนว่าพระองค์สอนเรื่องการรับใช้พระองค์
จนมาถึงวันที่ผมต้องร่วมรับใช้กับอาจารย์คนใหม่ ที่มาแทนอาจารย์คนเก่าของผม
ซึ่งอาจารย์คนเก่าของผม ถอนตัวออกจากสังกัดและย้ายไปรับใช้ที่คริสตจักรบ้านเกิด
ที่ จ.เชียงราย
ผมเองก็ต้องปรับตัวกับ ผู้นำคนใหม่/ทีมนมัสการหน้าใหม่/มือกลองคนใหม่ที่เป็นคู่กัดกันมา
แถมเหม็นขี้หน้ากันมาก ตั้งแต่สมัยเจอกันครั้งแรกที่ค่ายอนุชน ตอนผมอายุ 15
แล้วดันได้มาเจอกันที่นี่ แล้วมารับใช้ร่วมกันอีก ซึ่งก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว
แต่ก็ได้เจอ และพระเจ้าสอนให้ผมเรียนรู้จักการถ่อมใจอย่างมากมาย การยอมลดอัตตา
รวมถึงการปรับตัว และ ยอมรับรูปแบบการฝึกซ้อมนมัสการแบบใหม่ซึ่งนำโดย
การนำ ของอาจารย์ท่านใหม่....ผู้นี้ (เป็นป้าของมือกลองคนนี้แหละ แกหอบหลานมาด้วย)
แถมอาจารย์ท่านนี้ เป็นคนที่หัวแข็ง พูดจาไม่รักษาน้ำใจคน ชอบแดกดัน และจู้จี้
และที่สำคัญ มาจากเมืองกรุง ซึ่งต้องมาปรับตัวเข้ากับสภาพคริสตจกัรบ้านนอก
ผมเองก็เช่นกัน ผมเองก็เด็กคนหัวแข็งใช่ย่อย แข็งเจอแข็ง เลยไปกันใหญ่เลย
แถมเป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้า คนเมืองกรุงซักเท่าไหร่
หลายอาทิตย์ที่ผมรู้สึกกดดัน เพราะการซ้อมนมัสการ....มันไม่มีบรรยากาศของความรัก
และความอบอุ่นเลย การพูดจาก็มีแต่การอวดภูมิใส่กัน แถมยกตัวเองว่ามีความรู้มากกว่า
และแน่นอน ผมเองที่อ่านบรรทัด 5 เส้นไม่เป็น อ่านโน้ตไม่เป็น และไม่รู้ค่าของตัวโน้ต
แต่กลับสามารถเล่นเปียโนได้ และได้ขึ้นรับใช้ในตำแหน่งนี้
เลยมักจะถูกอาจารย์ท่านนี้เสียดสีบ่อยๆ ว่ารับใช้มาได้ยังไง ไม่มีพื้นฐานเลย
แค่บรรทัด 5 เส้นยังอ่านไม่ได้ ฯลฯ
ผมมันก็แค่เด็กบ้านนอกคนนึง ที่ก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่นับถือคริสต์
ไม่เคยเล่นดนตรี ไม่เคยเรียนดนตรี ไม่มีพื้นฐานดนตรี
เจอคนที่มียศตำแหน่งเป็นถึง [ศาสนาจารย์] มาพูดใส่แบบนี้ มันก็เลยน้อยใจ และเจ็บในใจลึกๆ
แถมอาจารย์ท่านนี้ก็ชอบมาจู้จี้ เวลาที่ผมรับใช้ด้านการเป็น คอรัส
ชอบว่าผมว่า "ร้องให้มันถูกจังหวะหน่อย"
"เป็นคอรัสน่ะร้องให้มันมีพลังหน่อย ร้องให้มันเต็มเสียงหน่อย"
ซึ่งเพลงที่ผมเป็นคอรัสให้ มันเป็นเพลงที่มีคีย์ต่ำมากสำหรับเสียงแบบผม
และเวลาร้อง เสียงมันจะอยู่ในคอ แทบจะไม่ได้ยินเสียงที่ร้องออกมาเลย
ซึ่งตามจริง จังหวะผมก็ร้องตามนั้นเป๊ะๆ ไม่มีคร่อมจังหวะด้วยซ้ำ แต่ก็ยังโดนว่า
มันเลยเป็นอาการที่อึดอัด และอัดอั้น และสะสม แล้วก็พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ที่สะสมมันมากๆ จนมันรับไม่ไหว
จนไม่นานมานี้ ผมและอาจารย์ท่านนี้ได้มีปากเสียง และทะเลาะกัน ในวันซ้อมนมัสการ
และเป็นเหตุให้ผม เดินออกจากโบสถ์ในขณะที่ยังซ้อมนมัสการอยู่
ผมทนไม่ไหว และผมแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ที่อาวุโสกว่าผม
และใช้คำพูดที่ไร้ซึ่งความถ่อมใจ คำพูดที่รุนแรง การตวาด และตะคอกใส่ อาจารย์ท่านนี้
และทำให้ทีมนักดนตรีทุกคน หน้าเสียไปตามๆกัน เพราะไม่เคยมีใครกล้าขัด กล้าหือ
หรือกล้าเถียงอาจารย์ท่านนี้มาก่อน แม้แต่หลานของเขา
ด้วยความโกรธ และโมโห ผมตัดพ้อกับประเจ้า ว่าผมจะไม่ขอรับใช้พระองค์อีกแล้ว
ถ้าการรับใช้ต้องมีแต่ความกดดัน ไม่มีสันติสุขเอาเสียเลย
ผมอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ถ้าให้ผมไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วถูกคนไม่เชื่อพระเจ้าเยาะเย้ย
ผมยังทนได้ และรับได้ มากกว่าการโดนเยาะเย้ย ถากถางจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสตชนด้วยกัน
และภายในเวลานั้นเองที่ผมสับสน โมโห โกรธ และมองไม่เห็นหนทาง ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
ผมไม่อยากจะกลับไปรับใช้อีกแล้ว ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าอาจารย์ท่านนั้น
ไม่อยากแม่แต่จะเหยียบเข้าไปในคริสตจักรเพราะรู้ว่า ต้องเจอกับคนๆนั้นที่อยู่ข้างในนั้น
แต่พระเจ้าที่แสนดีได้ปรอบประโลมใจผม ระงับความโกรธของผม
เตือนสติผม เล้าโลมจิตใจที่ชอกช้ำ และเปิดดวงตาของผมให้มองเห็น
ทำให้ผมระลึกถึงเพื่อนคนนึงที่เป็น คาทอลิก
และทำให้ผมนึกย้อนกลับไป และมองดูชีวิตของเพื่อนคนนี้
เขาไม่เคยดูถูกความเชื่อของคนต่างนิกาย เขาไม่เคยเหยียดหยามความเป็นตัวผม
เค้ามีแต่ความรักที่เผื่อแผ่และมอบให้
ถึงแม้ว่าเราจะเคยเถียงกันเรื่องความแตกต่างของนิกาย
แต่เขาก็ตอบผมด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความสุภาพ อ่อนโยน และถ่อมตัว
ผมระลึกถึงเขา ระลึกถึงวัดคาทอลิก ใกล้บ้าน
ในเวลานั้นเอง ผมอยากที่จะไปร่วมมิสซา อยากไปเรียนคำสอน
อยากไปสัมผัสบรรยากาศเวลาร่วมมิสซา ที่ผมไม่เคยไ้ด้สัมผัสเหมือนกับตอนที่ผมนมัสการพระเจ้า
และตอนนี้ ผมให้อภัยอาจารย์ท่านนั้นได้แล้ว แต่ผมคงไม่อยากที่จะกลับไปที่คริสตจักรอีกแล้ว
เพราะได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าจะไม่ขอกลับไปเล่นเปียโนอีก
และผมมีใจที่อยากจะเป็นคาทอลิกมากกว่า ซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงอยากจะเป็น
คาทอลิก มากกว่า โปรฯ
แต่ถ้าหากพระเจ้าประสงค์จะนำผมกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้ง ผมคงขัดขืนพระองค์ไม่ได้
ที่เล่ามาเสียยืดยาวเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดกับตัวของผมเอง ไม่ถึงเดือน
และเป็นเหตุการณ์ และสถานการณ์ที่พลิกผันให้ชีวิตผมได้ มาอยู่ในนิกายคาทอลิก
พิมพ์มาเสียยืดยาวเลย ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคนที่อดทนจนอ่านจบ
ขอพระเจ้าอวยพรครับ