+ เดือน กย.48 ญาติผู้กลับมาจากความตาย +
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 13, 2006 4:59 pm
ญาติผู้กลับมาจากความตาย
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2548 เวลา 00.10 - 00.35น.
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2548 ผมได้ไปวัดตอนค่ำเช่นเคย คุณพ่อได้เทศน์เกี่ยวกับการตักเตือนกันฉันพี่น้อง จากบทอ่านหนังสือประกาศกเอเสเคียลซึ่งมีข้อความว่า
“ถ้าเจ้าไม่ตักเตือนคนอธรรม เราจะเอาผิดเจ้าเพราะความตายของเขา”
พระเจ้าตรัสว่า “ส่วนเจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นคนยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อไร ก็จงให้คำตักเตือนของเราแก่ประชาชน ถ้าเรากล่าวแก่คนอธรรมว่า “เจ้าคนอธรรมเอ๋ย เจ้าต้องตายแน่ ” แต่เจ้าก็มิได้พูดตักเตือนให้คนอธรรมเปลี่ยนแปลงความประพฤติ คนอธรรมนั้นเองก็จะต้องตายเพราะบาปของตน แต่เราจะเอาผิดเจ้าเพราะความตาย ของเขา แต่ตรงกันข้าม ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนอธรรมให้เขาเปลี่ยนแปลงความประพฤติ แต่เขาไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เขาจะตายเพราะความชั่วของเขา ส่วนเจ้า เจ้าจะช่วยชีวิตของตัวเจ้าเองให้รอด”
และพระวรสารนักบุญมัทธิวซึ่งมีข้อความดังนี้
“ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านก็ได้พี่น้องคืนมา”
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับสานุศิษย์ว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำผิดต่อท่านจงไป ว่ากล่าวเขาตัวต่อตัว ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้เขาคืนมา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงเอาอีกคนหรือสองคนไปด้วยกัน จะได้มีพยานสองสามคนช่วยกันตกลงให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่เชื่อฟังพยาน จงแจ้งให้พระศาสนจักรทราบ ถ้าเขายังไม่เชื่อฟังพระศาสนจักรอีก จงถือเขาเป็นคนต่างศาสนาหรือคนเก็บภาษีเถิด”
“เรากล่าวแก่ท่านเป็นความสัตย์จริงว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกในโลก ก็จะผูกในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านแก้ในโลก ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
“เราขอเสริมว่า ถ้าสองคนในพวกท่านในโลกนี้พร้อมใจกันวอนขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะได้รับจากพระบิดาเจ้าสวรรค์ เหตุว่าที่ใดมีสองหรือสามคนประชุมกันในนามของเรา เราก็จะอยู่ที่นั่นท่ามกลางเขา”
ทีแรกผมต้องยอมรับว่าไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังสักเท่าไหร่ และก็ไม่เคยนึกเลยว่าข้อความดังกล่าวข้างต้นนี้กำลังจะเกิดขึ้นแก่ผมในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เมื่อผมต้องมาตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ญาติของผม 2 คนโต้เถียงกันเข้าจริงๆ ผมเป็นคนกลางได้แต่นั่งเงียบฟัง เพราะยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเข้าใจผิดกันในครั้งนี้ ทำให้ผมนึกถึงที่คุณพ่อเทศน์ในวัดขึ้นมาได้ เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ผมพูดเตือนสติเขาไปหลายอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาคำพูดเหล่านั้นมาจากไหน (ผมนึกขอบคุณ คุณพ่ออยู่ในใจ ถึงแม้จะฟังท่านเทศน์บ้างไม่ได้ฟังบ้างแต่ก็ยังได้นำคำสอนนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้) เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบรับอะไร ผมจึงคิดว่าผมควรปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวบ้างดีกว่า เพราะบางทีคนเราก็ต้องการเวลาสำหรับตนเองในการคิดแก้ปัญหา ผมก็เลยมาสวดภาวนาขอความบรรเทาใจจากแม่พระให้เขาแทน
คืนนี้กว่าจะสวดกันเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนพอดี ผมยังคงเฝ้ารอรับสาสน์จากแม่พระจนกระทั่งเวลา 00.10น. ของวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน ผมจึงเริ่มได้ยินเสียงของแม่พระดังนี้
“ลูกที่รัก วันนี้แม่เฝ้ามองลูกอยู่ด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก จงอย่าลืมคำที่แม่บอก หน้าที่ของลูกคือการออกไปช่วยเหลือผู้คน และเป็นที่พักพิงแก่คนทั้งหลาย
แม่หวังว่าลูกยังคงจำได้ที่แม่บอกลูกว่า จงอย่าลืมคนในครอบครัวของลูก เพราะยังมีคนขาดผู้ชี้นำทางให้เขาได้มาพบพระบิดาเจ้า
จงจำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงอย่าพิพากษาผู้อื่น ขอให้ปล่อยและวางใจในน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าเท่านั้น
วันนี้แม่รู้ว่าลูกอยากได้สาสน์ที่จะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย แม่ขอบอกลูกว่าจิตใจของมนุษย์นั้นยากเกินกว่าที่ลูกจะเข้าใจ ถึงแม้การสวดภาวนา การขอให้ทำพลีกรรม จะเป็นเรื่องที่เจ้าได้ยินซ้ำซาก แต่แม่ก็ขอยืนยันว่า สิ่งที่ลูกทำนั้นบังเกิด ผลแน่นอน พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงสดับฟังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการภาวนาจากลูก จากครอบครัวของลูก หรือจากคริสตชนอื่นที่ยังมั่นคงในพระองค์ คำภาวนาของพวกลูกทั้งหลายเป็นที่สบพระทัยของพระองค์ยิ่งนัก
จงอย่ากลัวเลย ถึงจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ด้วยการภาวนาและการทำพลีกรรมของพวกลูกทั้งหลาย สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้
แม่ไม่สามารถทนเห็นลูกของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์จะต้องมารับชะตากรรมร่วมกับคนอื่นเช่นนี้ แม่จึงมาเตือนพวกลูก ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความรักและความเมตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสวดภาวนาให้พวกเค๊าทั้งหลายได้รับพระพรอันประเสริฐ ของพระผู้เป็นเจ้า ให้อยู่ในสันติสุขของพระองค์
ด้วยการวิงวอนของพวกลูก สิ่งทั้งหลายที่ลูกวอนขอเหล่านี้ก็จะบังเกิดผลขึ้นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
ต่อไปข้างหน้าลูกจะได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆอีกมากมาย แต่แม่ขอเตือนลูกว่าจงสงบนิ่งต่อสิ่งที่ลูกได้เห็นนั้น จงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าเถิด
การพูดของลูกอาจจะทำให้ผู้ใดผู้หนึ่งถูกตัดสินจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จงหยุดนิ่งเพื่อถวายเกียรติแก่แม่เถิด (สาสน์ของแม่พระวันนี้ ตรงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้เอง โชคยังดีที่ผมไม่ตัดสินใครตามความคิดเห็นของผมว่า ใครผิดใคร ถูก แต่ก็เสียใจที่ผมละเลย ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปสัมผัสกับครอบครัวของเขา ทั้งๆที่รู้ว่าครอบครัวนี้ยังขาดผู้ชี้นำให้รู้จักกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง เนื่องจากฝ่ายหญิงเป็นคนต่างศาสนาและฝ่ายชายก็เอาแต่ทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ไม่เคยไปร่วมพิธีมิซซาในวันอาทิตย์มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ผมมัวแต่นึกถึงแต่การออกไปช่วยเหลือคนนอกบ้าน แต่ลืมคนในครอบครัวของตนเองเสียสนิท ผมขอขอบคุณแม่พระที่ทรงเตือนผมอีกครั้งในเรื่องนี้)
ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามขอให้ลูกนึกเสมอว่า ลูกทำทุกอย่างด้วยสิ้นสุดจิตใจ เพื่อถวายเกียรติแด่แม่และพระบิดาเจ้าในสรวงสวรรค์เถิด
สิ่งที่แม่ต้องการบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายก็คือ ก่อนจะพูดอะไรออกไปขอให้นึกให้ดีเสียก่อน ไม่ว่าลูกจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ถ้าอาจเกิดผลเสียได้แก่คนใดคนหนึ่งหรือคนหลายๆคน ขอให้พวกลูกหยุดยั้งเสียเถิด พวกลูกทำเพื่อแม่ได้มั๊ย?
จงสงบและนิ่งในทุกสถานะการณ์ จงดูตัวอย่างขององค์พระบุตรสุดที่รักของแม่ พระองค์ต้อถูกสบประมาทเพียงใด พระองค์ต้องทรงทุกข์ทรมานเพียงใด เพื่อไถ่บาปของพวกลูกทั้งหลาย บาปแม้แต่เพียงความคิดก็ทำให้พระองค์เศร้าพระทัยยิ่งนัก
ถ้าพวกลูกแน่ใจว่าลูกรักพระองค์จริงๆ ลูกจะยอมละเว้นไม่กระทำแม้แต่ในสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้ได้มั๊ย? อย่าทำให้ดวงพระทัยของพระองค์ต้องชอกช้ำไปมากกว่านี้เลย
จงจำไว้ให้ดี สิ่งที่ออกจากปากจะเป็นต้นเหตุแห่งบาป จงหยุดยั้งเสีย เพราะในเมื่อลูกได้พูดไปแล้ว ไม่สามารถเอาคืนได้อีก
แม่ขอให้ลูกนำสาสน์นี้ไปเผยแพร่แก่คนทั้งหลาย ว่านี่คือเรื่องที่ง่ายที่สุดที่มนุษย์พึงจะกระทำเพื่อพระบุตรสุดที่รักของแม่ พระองค์ขอแต่เพียงเท่านี้ พวกลูกทำให้พระองค์ได้มั๊ย?
จงอย่าลืมคำของแม่ จงเป็นแสงสว่างในที่มืดให้แก่คนทั้งหลาย รวมทั้งคนในครอบครัวของลูกด้วย เค๊ายังต้องการแสงสว่างนี้อยู่ ลูกได้เคยยื่นมือเข้าไปทำการช่วยเหลือแล้วหรือยัง จงถามใจพวกลูกดู
การทำความดีไม่ต้องมีประกาศ ไม่ต้องได้รับการสรรเสริญ พระบิดาเจ้าทรงเห็น ลูกจะได้รับบำเหน็จรางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่าจากพระองค์เมื่อลูกทำทุกสิ่งในพระนามของพระองค์”
เย็นของวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายนเมื่อกลับจากการไปร่วมพีธีมิซซา ผมต้องตกใจเมื่อรู้ว่าญาติคนที่ผมคุยด้วยเมื่อคืนนั้นได้ถูกหามไปส่งโรงพยาบาลแล้ว เนื่องจากกินยาเกินขนาด ที่ผมต้องเขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะผมต้องการที่จะให้น้องๆได้เห็นถึงการตัดสินใจของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นคาทอลิค ไม่รู้จะแก้ปัญหาให้ตัวเองอย่างไรดี จึงคิดหาทางออกด้วยวิธีการเช่นนี้ น้อง ๆ ครับยังมีคนที่รักเราจริง ๆ อีกหลายคน ที่ยังคอยเป็นห่วงเราอยู่ พวกเขาจะต้องเสียใจขนาดไหนถ้าเราเป็นอะไรไปขึ้นมา
ผมได้ตามไปที่โรงพยาบาลและขอให้ญาติๆของเขาร่วมกับผมสวดภาวนา เพื่อที่จะนำเขากลับมาจากการนอนหลับที่แสนจะยาวนานนี้ ผมเชื่อว่าเมื่อเราอยู่ร่วมกันตั้งแต่2 คนขึ้นไป สวดวิงวอนขอพระเมตตาขององค์พระเยซูเจ้า ทุกสิ่งก็จะเป็นไป ได้เสมอ ที่แปลกมากสำหรับผมก็คือ เมื่อผมได้สัมผัสกับผู้ป่วยนั้น ผมสามารถรับรู้ถึงอาการของญาติของผมว่ายังพอมีทางที่จะหายได้ ตอนนี้เขากำลังหลงทางอยู่ และยังหาทางกลับมาเข้าร่างที่ยังมีลมหายใจอยู่ไม่ได้ ผมจึงบอกกับสามีของเขาว่า พรุ่งนี้อย่างมากสุดก็คงไม่เกินบ่ายสองโมง เขาจะฟื้นขึ้นมาจากการนอนหลับนี้อย่างแน่นอน แล้วผมก็ต้องกลับบ้านเพราะในวันจันทร์ผมต้องออกไปทำงานแต่เช้ามืด
ก่อนที่ผมจะหลับไปในคืนนั้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวให้ทราบว่า ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่พวกเรากลับมาได้เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงพระเมตตาให้ญาติของผมได้กลับมา คำภาวนาของพวกเราได้ผลจริง ๆ
ผมมาทราบข่าวอีกทีก็เช้าวันอังคารที่ 6 กันยายนนี่เอง ญาติของผมเล่าให้สามีของเขาฟังว่า ในช่วงที่เขาหมดสติไปนั้น เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้นอนหลับ จึงลุกขึ้นเดินลงมาจากบ้าน เขาเดินไปที่ไหนก็ไม่รู้ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้มไปหมด เขาเดินไปไกลมากจนเหนื่อยแทบจะหมดแรง ก็ไปเจอสถานที่แห่งหนึ่ง มีประตูไม้บานใหญ่ซึ่งเก่ามากปิดอยู่ และมีคนผู้ชาย 2 คนยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา ทั้ง2คนไม่ได้ใส่เสื้อและนุ่งผ้าโจงกระเบนดูเหมือนคนสมัยโบราณ และที่มือของทั้งสองคนถืออะไรสักอย่างแต่เขามองเห็นไม่ถนัดว่าถืออะไรอยู่ เขาก็ถามชายทั้งสองคนนั้นว่าขอเข้าไปดูข้างในได้ไหม? อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ชายทั้งสองคนตอบว่าได้ แต่ประตูนี้มีเวลาเปิดปิดเป็นเวลานะ ถ้าเที่ยงคืนแล้วประตูจะปิด จะออกมาไม่ได้อีกเลย ญาติผมก็บอกว่าขอเข้าไปดูแป๊บเดียวไม่นานหรอก เขาจึงเปิดประตูให้
พอเดินเข้าไปข้างในญาติผมก็เห็นทางเดินปูด้วยแผ่นหินเรียงกันสามแผ่นไปตลอดทาง สองข้างทางนั้นมีผู้คนอยู่มากมายนุ่งผ้าโจงกระเบน แต่ละคนผอมมาก ญาติผมก็เดินเข้าไปหาและขอพักอยู่ด้วยคน แต่คนที่นั่นก็บอกว่าให้อยู่ไม่ได้หรอก ไม่เห็นหรือว่ามีคนเต็มไปหมดแล้ว ไปที่อื่นเสียเถอะ ญาติผมจึงจำใจต้องเดินต่อไป ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมากเหลือเกิน เดินไปสักพักก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งรู้สึกคุ้น ๆ ว่าเคยรู้จัก จึงเดินเข้าไปหาและบอกว่าน้า ๆ หนูขออยู่ด้วยคนได้ไหม? ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าไม่ได้หรอก ที่นี่คนเต็มหมดแล้ว ให้เดินไปถามคนกลุ่มข้างหน้าเถอะ
เวลานั้นเกือบค่ำแล้ว ญาติผมมองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีเด็กเล็ก ๆ หลายคนกำลังนั่งสวดภาวนาอยู่ แต่มองเห็นหน้าไม่ถนัดเพราะค่อนข้างมืดมากแล้ว เห็นแต่รูปร่างเท่านั้นที่พอจะบอกได้ว่าเป็นเด็ก ญาติผมบอกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นบทสวด ของคนคริสต์อย่างแน่นอน เขามองไปที่กลุ่มของเด็ก ๆ เหล่านั้นก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนหันหลังให้ ที่สะดุดตามากก็คือชุดที่ใส่เป็นสีขาวและมีผ้าคลุมศรีษะที่สว่างไสว ผู้หญิงท่านนี้ได้หันหน้ากลับมาถามญาติผมว่า หนูจะไปไหน? หนูมาไกลเกินไปแล้วนะ ญาติผมพยายามที่จะมองหน้าท่านผู้นี้แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมืดมาก เห็นแต่เพียงปลายจมูกที่พ้นผ้าคลุมเท่านั้น และท่านผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง ญาติผมก็ตอบว่า หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน หนูจะกลับบ้านแต่หนูหลงทาง ไม่รู้ว่าจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง? ท่านผู้นี้ก็บอกว่า หนูอยากกลับบ้านไหม? ถ้าหนูอยากกลับก็จะส่งให้กลับ แต่จะต้องเจ็บหน่อยนะ หนูจะทนได้มั๊ย? ด้วยความอยากกลับบ้านญาติผมจึงตอบว่า หนูทนได้ ท่านผู้นี้จึงบอกว่าให้นอนลงบนผ้าที่ปูไว้ ญาติผมก็ยอมนอนลง ท่านผู้นี้จึงบอกกับเด็ก ๆ ว่า เรามาช่วยกันสวดส่งหนูผู้นี้กลับบ้านของเขากันเถอะ เด็ก ๆ ก็มาล้อมญาติของผมไว้และเริ่มสวดภาวนา
เมื่อนอนลงญาติผมก็มองไม่เห็นอะไรอีก แต่จะได้ยินเสียงจากท่านผู้นี้เป็นระยะ ๆ ว่า พยายามให้เต็มที่นะ หนูจะได้กลับบ้าน และญาติผมก็รู้สึกเจ็บที่ขาทั้งสองข้างอย่างมาก เขายังคงได้ยินเสียงถามมาอีกว่า ได้กลับถึงบ้านแล้วหรือยัง? ญาติผมรู้สึกปวดที่ข้อเท้ามากเหมือนกับถูกกดทับไว้ จึงร้องออกมาว่าเจ็บ แล้วก็เริ่มรู้สึกตัวว่า ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงแล้วแต่ยังลืมตาไม่ขึ้น ญาติผมได้แต่ส่งเสียงเบา ๆ ตอบไปว่าได้กลับมาถึงแล้วเท่านั้น สามีที่เฝ้าอาการอยู่เห็นเข้าพอดีจึงเดินเข้าไปถามว่าเจ็บอะไร แต่เขาไม่มีแรงที่จะตอบคำถามนั้น ต่อมาญาติผมก็ยกมือขึ้นไหว้ท่านผู้นี้ เพราะถึงแม้จะลืมตาไม่ขึ้นแต่ก็รู้สึกได้ว่าท่านยังอยู่ในห้องนั้น
พอเริ่มได้สติจึงเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ฟังทีละเล็กทีละน้อยอย่างกระท่อนกระแท่นจนจับใจความทั้งหมดได้ สามีที่เฝ้าอยู่นั้นนึกถึงแม่พระขึ้นมาทันที เขาบอกด้วยความมั่นใจว่าต้องเป็นแม่พระมาช่วยเอาไว้อย่างแน่นอน ผมฟังแล้วก็แทบน้ำตาไหล ขอบคุณแม่พระครับที่ทรงพระกรุณาพาญาติของผมกลับมาเพื่อให้เขาได้กลับมาเป็นลูกของพระองค์
เย็นนี้ผมได้ไปดูอาการของเขาอีกที เขาบอกว่าที่ข้อเท้าด้านขวายังคงเจ็บอยู่ ผมมองเห็นรอยไหม้ที่บริเวณดังกล่าวเหมือนกับถูกความร้อนจัด ๆ มาแต่ไม่มีการพองให้เห็น ผมจึงรับอาสารักษาให้ เมื่อผมจับไปที่บริเวณข้อเท้านั้น ผมก็รับรู้ทางจิต ว่ารอยนี้จะยังคงมีอยู่อีกสามวัน เพื่อเป็นพยานยืนยันว่าญาติผมได้พบกับแม่พระจริง ๆ แล้วความเจ็บปวดนี้จะค่อย ๆ หายไปเมื่อครบกำหนดสามวัน ญาติผมบอกว่า ต่อไปนี้ทุก ๆ วันอาทิตย์จะไปร่วมพีธีมิซซาในตอนเช้าแล้ว (เขาเพิ่งจะเริ่มไปเรียน คำสอนของผู้ใหญ่ได้ไม่นานมานี่เอง แต่ยังไม่ได้รับศีลล้างบาป)
ผมคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเลย นี่แหละคือสิ่งที่แม่พระได้พยายามเตือนผมตั้งหลายครั้งหลายหน แต่ผมกลับมองไม่เห็นเลยสักนิด อะไรที่ใกล้ตัวเรามากจนเกินไปบางครั้งเราก็มองไม่เห็น กลับไปเห็นความสำคัญของเรื่องของโลกภายนอกมากกว่า ลูกขอโทษแม่พระที่ทำให้พระองค์ต้องมาเตือนลูกหลายครั้งหลายหน ลูกถึงได้ตาสว่างมองเห็นจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2548 เวลา 00.10 - 00.35น.
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2548 ผมได้ไปวัดตอนค่ำเช่นเคย คุณพ่อได้เทศน์เกี่ยวกับการตักเตือนกันฉันพี่น้อง จากบทอ่านหนังสือประกาศกเอเสเคียลซึ่งมีข้อความว่า
“ถ้าเจ้าไม่ตักเตือนคนอธรรม เราจะเอาผิดเจ้าเพราะความตายของเขา”
พระเจ้าตรัสว่า “ส่วนเจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นคนยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อไร ก็จงให้คำตักเตือนของเราแก่ประชาชน ถ้าเรากล่าวแก่คนอธรรมว่า “เจ้าคนอธรรมเอ๋ย เจ้าต้องตายแน่ ” แต่เจ้าก็มิได้พูดตักเตือนให้คนอธรรมเปลี่ยนแปลงความประพฤติ คนอธรรมนั้นเองก็จะต้องตายเพราะบาปของตน แต่เราจะเอาผิดเจ้าเพราะความตาย ของเขา แต่ตรงกันข้าม ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนอธรรมให้เขาเปลี่ยนแปลงความประพฤติ แต่เขาไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เขาจะตายเพราะความชั่วของเขา ส่วนเจ้า เจ้าจะช่วยชีวิตของตัวเจ้าเองให้รอด”
และพระวรสารนักบุญมัทธิวซึ่งมีข้อความดังนี้
“ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านก็ได้พี่น้องคืนมา”
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับสานุศิษย์ว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำผิดต่อท่านจงไป ว่ากล่าวเขาตัวต่อตัว ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้เขาคืนมา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงเอาอีกคนหรือสองคนไปด้วยกัน จะได้มีพยานสองสามคนช่วยกันตกลงให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่เชื่อฟังพยาน จงแจ้งให้พระศาสนจักรทราบ ถ้าเขายังไม่เชื่อฟังพระศาสนจักรอีก จงถือเขาเป็นคนต่างศาสนาหรือคนเก็บภาษีเถิด”
“เรากล่าวแก่ท่านเป็นความสัตย์จริงว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกในโลก ก็จะผูกในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านแก้ในโลก ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
“เราขอเสริมว่า ถ้าสองคนในพวกท่านในโลกนี้พร้อมใจกันวอนขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะได้รับจากพระบิดาเจ้าสวรรค์ เหตุว่าที่ใดมีสองหรือสามคนประชุมกันในนามของเรา เราก็จะอยู่ที่นั่นท่ามกลางเขา”
ทีแรกผมต้องยอมรับว่าไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังสักเท่าไหร่ และก็ไม่เคยนึกเลยว่าข้อความดังกล่าวข้างต้นนี้กำลังจะเกิดขึ้นแก่ผมในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เมื่อผมต้องมาตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ญาติของผม 2 คนโต้เถียงกันเข้าจริงๆ ผมเป็นคนกลางได้แต่นั่งเงียบฟัง เพราะยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเข้าใจผิดกันในครั้งนี้ ทำให้ผมนึกถึงที่คุณพ่อเทศน์ในวัดขึ้นมาได้ เหมือนมีอะไรมาดลใจให้ผมพูดเตือนสติเขาไปหลายอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาคำพูดเหล่านั้นมาจากไหน (ผมนึกขอบคุณ คุณพ่ออยู่ในใจ ถึงแม้จะฟังท่านเทศน์บ้างไม่ได้ฟังบ้างแต่ก็ยังได้นำคำสอนนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้) เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบรับอะไร ผมจึงคิดว่าผมควรปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวบ้างดีกว่า เพราะบางทีคนเราก็ต้องการเวลาสำหรับตนเองในการคิดแก้ปัญหา ผมก็เลยมาสวดภาวนาขอความบรรเทาใจจากแม่พระให้เขาแทน
คืนนี้กว่าจะสวดกันเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนพอดี ผมยังคงเฝ้ารอรับสาสน์จากแม่พระจนกระทั่งเวลา 00.10น. ของวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน ผมจึงเริ่มได้ยินเสียงของแม่พระดังนี้
“ลูกที่รัก วันนี้แม่เฝ้ามองลูกอยู่ด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก จงอย่าลืมคำที่แม่บอก หน้าที่ของลูกคือการออกไปช่วยเหลือผู้คน และเป็นที่พักพิงแก่คนทั้งหลาย
แม่หวังว่าลูกยังคงจำได้ที่แม่บอกลูกว่า จงอย่าลืมคนในครอบครัวของลูก เพราะยังมีคนขาดผู้ชี้นำทางให้เขาได้มาพบพระบิดาเจ้า
จงจำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงอย่าพิพากษาผู้อื่น ขอให้ปล่อยและวางใจในน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าเท่านั้น
วันนี้แม่รู้ว่าลูกอยากได้สาสน์ที่จะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย แม่ขอบอกลูกว่าจิตใจของมนุษย์นั้นยากเกินกว่าที่ลูกจะเข้าใจ ถึงแม้การสวดภาวนา การขอให้ทำพลีกรรม จะเป็นเรื่องที่เจ้าได้ยินซ้ำซาก แต่แม่ก็ขอยืนยันว่า สิ่งที่ลูกทำนั้นบังเกิด ผลแน่นอน พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงสดับฟังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการภาวนาจากลูก จากครอบครัวของลูก หรือจากคริสตชนอื่นที่ยังมั่นคงในพระองค์ คำภาวนาของพวกลูกทั้งหลายเป็นที่สบพระทัยของพระองค์ยิ่งนัก
จงอย่ากลัวเลย ถึงจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ด้วยการภาวนาและการทำพลีกรรมของพวกลูกทั้งหลาย สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้
แม่ไม่สามารถทนเห็นลูกของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์จะต้องมารับชะตากรรมร่วมกับคนอื่นเช่นนี้ แม่จึงมาเตือนพวกลูก ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความรักและความเมตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสวดภาวนาให้พวกเค๊าทั้งหลายได้รับพระพรอันประเสริฐ ของพระผู้เป็นเจ้า ให้อยู่ในสันติสุขของพระองค์
ด้วยการวิงวอนของพวกลูก สิ่งทั้งหลายที่ลูกวอนขอเหล่านี้ก็จะบังเกิดผลขึ้นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
ต่อไปข้างหน้าลูกจะได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆอีกมากมาย แต่แม่ขอเตือนลูกว่าจงสงบนิ่งต่อสิ่งที่ลูกได้เห็นนั้น จงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าเถิด
การพูดของลูกอาจจะทำให้ผู้ใดผู้หนึ่งถูกตัดสินจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จงหยุดนิ่งเพื่อถวายเกียรติแก่แม่เถิด (สาสน์ของแม่พระวันนี้ ตรงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้เอง โชคยังดีที่ผมไม่ตัดสินใครตามความคิดเห็นของผมว่า ใครผิดใคร ถูก แต่ก็เสียใจที่ผมละเลย ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปสัมผัสกับครอบครัวของเขา ทั้งๆที่รู้ว่าครอบครัวนี้ยังขาดผู้ชี้นำให้รู้จักกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง เนื่องจากฝ่ายหญิงเป็นคนต่างศาสนาและฝ่ายชายก็เอาแต่ทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ไม่เคยไปร่วมพิธีมิซซาในวันอาทิตย์มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ผมมัวแต่นึกถึงแต่การออกไปช่วยเหลือคนนอกบ้าน แต่ลืมคนในครอบครัวของตนเองเสียสนิท ผมขอขอบคุณแม่พระที่ทรงเตือนผมอีกครั้งในเรื่องนี้)
ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามขอให้ลูกนึกเสมอว่า ลูกทำทุกอย่างด้วยสิ้นสุดจิตใจ เพื่อถวายเกียรติแด่แม่และพระบิดาเจ้าในสรวงสวรรค์เถิด
สิ่งที่แม่ต้องการบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายก็คือ ก่อนจะพูดอะไรออกไปขอให้นึกให้ดีเสียก่อน ไม่ว่าลูกจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ถ้าอาจเกิดผลเสียได้แก่คนใดคนหนึ่งหรือคนหลายๆคน ขอให้พวกลูกหยุดยั้งเสียเถิด พวกลูกทำเพื่อแม่ได้มั๊ย?
จงสงบและนิ่งในทุกสถานะการณ์ จงดูตัวอย่างขององค์พระบุตรสุดที่รักของแม่ พระองค์ต้อถูกสบประมาทเพียงใด พระองค์ต้องทรงทุกข์ทรมานเพียงใด เพื่อไถ่บาปของพวกลูกทั้งหลาย บาปแม้แต่เพียงความคิดก็ทำให้พระองค์เศร้าพระทัยยิ่งนัก
ถ้าพวกลูกแน่ใจว่าลูกรักพระองค์จริงๆ ลูกจะยอมละเว้นไม่กระทำแม้แต่ในสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้ได้มั๊ย? อย่าทำให้ดวงพระทัยของพระองค์ต้องชอกช้ำไปมากกว่านี้เลย
จงจำไว้ให้ดี สิ่งที่ออกจากปากจะเป็นต้นเหตุแห่งบาป จงหยุดยั้งเสีย เพราะในเมื่อลูกได้พูดไปแล้ว ไม่สามารถเอาคืนได้อีก
แม่ขอให้ลูกนำสาสน์นี้ไปเผยแพร่แก่คนทั้งหลาย ว่านี่คือเรื่องที่ง่ายที่สุดที่มนุษย์พึงจะกระทำเพื่อพระบุตรสุดที่รักของแม่ พระองค์ขอแต่เพียงเท่านี้ พวกลูกทำให้พระองค์ได้มั๊ย?
จงอย่าลืมคำของแม่ จงเป็นแสงสว่างในที่มืดให้แก่คนทั้งหลาย รวมทั้งคนในครอบครัวของลูกด้วย เค๊ายังต้องการแสงสว่างนี้อยู่ ลูกได้เคยยื่นมือเข้าไปทำการช่วยเหลือแล้วหรือยัง จงถามใจพวกลูกดู
การทำความดีไม่ต้องมีประกาศ ไม่ต้องได้รับการสรรเสริญ พระบิดาเจ้าทรงเห็น ลูกจะได้รับบำเหน็จรางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่าจากพระองค์เมื่อลูกทำทุกสิ่งในพระนามของพระองค์”
เย็นของวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายนเมื่อกลับจากการไปร่วมพีธีมิซซา ผมต้องตกใจเมื่อรู้ว่าญาติคนที่ผมคุยด้วยเมื่อคืนนั้นได้ถูกหามไปส่งโรงพยาบาลแล้ว เนื่องจากกินยาเกินขนาด ที่ผมต้องเขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะผมต้องการที่จะให้น้องๆได้เห็นถึงการตัดสินใจของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นคาทอลิค ไม่รู้จะแก้ปัญหาให้ตัวเองอย่างไรดี จึงคิดหาทางออกด้วยวิธีการเช่นนี้ น้อง ๆ ครับยังมีคนที่รักเราจริง ๆ อีกหลายคน ที่ยังคอยเป็นห่วงเราอยู่ พวกเขาจะต้องเสียใจขนาดไหนถ้าเราเป็นอะไรไปขึ้นมา
ผมได้ตามไปที่โรงพยาบาลและขอให้ญาติๆของเขาร่วมกับผมสวดภาวนา เพื่อที่จะนำเขากลับมาจากการนอนหลับที่แสนจะยาวนานนี้ ผมเชื่อว่าเมื่อเราอยู่ร่วมกันตั้งแต่2 คนขึ้นไป สวดวิงวอนขอพระเมตตาขององค์พระเยซูเจ้า ทุกสิ่งก็จะเป็นไป ได้เสมอ ที่แปลกมากสำหรับผมก็คือ เมื่อผมได้สัมผัสกับผู้ป่วยนั้น ผมสามารถรับรู้ถึงอาการของญาติของผมว่ายังพอมีทางที่จะหายได้ ตอนนี้เขากำลังหลงทางอยู่ และยังหาทางกลับมาเข้าร่างที่ยังมีลมหายใจอยู่ไม่ได้ ผมจึงบอกกับสามีของเขาว่า พรุ่งนี้อย่างมากสุดก็คงไม่เกินบ่ายสองโมง เขาจะฟื้นขึ้นมาจากการนอนหลับนี้อย่างแน่นอน แล้วผมก็ต้องกลับบ้านเพราะในวันจันทร์ผมต้องออกไปทำงานแต่เช้ามืด
ก่อนที่ผมจะหลับไปในคืนนั้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวให้ทราบว่า ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่พวกเรากลับมาได้เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงพระเมตตาให้ญาติของผมได้กลับมา คำภาวนาของพวกเราได้ผลจริง ๆ
ผมมาทราบข่าวอีกทีก็เช้าวันอังคารที่ 6 กันยายนนี่เอง ญาติของผมเล่าให้สามีของเขาฟังว่า ในช่วงที่เขาหมดสติไปนั้น เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้นอนหลับ จึงลุกขึ้นเดินลงมาจากบ้าน เขาเดินไปที่ไหนก็ไม่รู้ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้มไปหมด เขาเดินไปไกลมากจนเหนื่อยแทบจะหมดแรง ก็ไปเจอสถานที่แห่งหนึ่ง มีประตูไม้บานใหญ่ซึ่งเก่ามากปิดอยู่ และมีคนผู้ชาย 2 คนยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา ทั้ง2คนไม่ได้ใส่เสื้อและนุ่งผ้าโจงกระเบนดูเหมือนคนสมัยโบราณ และที่มือของทั้งสองคนถืออะไรสักอย่างแต่เขามองเห็นไม่ถนัดว่าถืออะไรอยู่ เขาก็ถามชายทั้งสองคนนั้นว่าขอเข้าไปดูข้างในได้ไหม? อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ชายทั้งสองคนตอบว่าได้ แต่ประตูนี้มีเวลาเปิดปิดเป็นเวลานะ ถ้าเที่ยงคืนแล้วประตูจะปิด จะออกมาไม่ได้อีกเลย ญาติผมก็บอกว่าขอเข้าไปดูแป๊บเดียวไม่นานหรอก เขาจึงเปิดประตูให้
พอเดินเข้าไปข้างในญาติผมก็เห็นทางเดินปูด้วยแผ่นหินเรียงกันสามแผ่นไปตลอดทาง สองข้างทางนั้นมีผู้คนอยู่มากมายนุ่งผ้าโจงกระเบน แต่ละคนผอมมาก ญาติผมก็เดินเข้าไปหาและขอพักอยู่ด้วยคน แต่คนที่นั่นก็บอกว่าให้อยู่ไม่ได้หรอก ไม่เห็นหรือว่ามีคนเต็มไปหมดแล้ว ไปที่อื่นเสียเถอะ ญาติผมจึงจำใจต้องเดินต่อไป ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมากเหลือเกิน เดินไปสักพักก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งรู้สึกคุ้น ๆ ว่าเคยรู้จัก จึงเดินเข้าไปหาและบอกว่าน้า ๆ หนูขออยู่ด้วยคนได้ไหม? ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าไม่ได้หรอก ที่นี่คนเต็มหมดแล้ว ให้เดินไปถามคนกลุ่มข้างหน้าเถอะ
เวลานั้นเกือบค่ำแล้ว ญาติผมมองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีเด็กเล็ก ๆ หลายคนกำลังนั่งสวดภาวนาอยู่ แต่มองเห็นหน้าไม่ถนัดเพราะค่อนข้างมืดมากแล้ว เห็นแต่รูปร่างเท่านั้นที่พอจะบอกได้ว่าเป็นเด็ก ญาติผมบอกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นบทสวด ของคนคริสต์อย่างแน่นอน เขามองไปที่กลุ่มของเด็ก ๆ เหล่านั้นก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนหันหลังให้ ที่สะดุดตามากก็คือชุดที่ใส่เป็นสีขาวและมีผ้าคลุมศรีษะที่สว่างไสว ผู้หญิงท่านนี้ได้หันหน้ากลับมาถามญาติผมว่า หนูจะไปไหน? หนูมาไกลเกินไปแล้วนะ ญาติผมพยายามที่จะมองหน้าท่านผู้นี้แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมืดมาก เห็นแต่เพียงปลายจมูกที่พ้นผ้าคลุมเท่านั้น และท่านผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง ญาติผมก็ตอบว่า หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน หนูจะกลับบ้านแต่หนูหลงทาง ไม่รู้ว่าจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง? ท่านผู้นี้ก็บอกว่า หนูอยากกลับบ้านไหม? ถ้าหนูอยากกลับก็จะส่งให้กลับ แต่จะต้องเจ็บหน่อยนะ หนูจะทนได้มั๊ย? ด้วยความอยากกลับบ้านญาติผมจึงตอบว่า หนูทนได้ ท่านผู้นี้จึงบอกว่าให้นอนลงบนผ้าที่ปูไว้ ญาติผมก็ยอมนอนลง ท่านผู้นี้จึงบอกกับเด็ก ๆ ว่า เรามาช่วยกันสวดส่งหนูผู้นี้กลับบ้านของเขากันเถอะ เด็ก ๆ ก็มาล้อมญาติของผมไว้และเริ่มสวดภาวนา
เมื่อนอนลงญาติผมก็มองไม่เห็นอะไรอีก แต่จะได้ยินเสียงจากท่านผู้นี้เป็นระยะ ๆ ว่า พยายามให้เต็มที่นะ หนูจะได้กลับบ้าน และญาติผมก็รู้สึกเจ็บที่ขาทั้งสองข้างอย่างมาก เขายังคงได้ยินเสียงถามมาอีกว่า ได้กลับถึงบ้านแล้วหรือยัง? ญาติผมรู้สึกปวดที่ข้อเท้ามากเหมือนกับถูกกดทับไว้ จึงร้องออกมาว่าเจ็บ แล้วก็เริ่มรู้สึกตัวว่า ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงแล้วแต่ยังลืมตาไม่ขึ้น ญาติผมได้แต่ส่งเสียงเบา ๆ ตอบไปว่าได้กลับมาถึงแล้วเท่านั้น สามีที่เฝ้าอาการอยู่เห็นเข้าพอดีจึงเดินเข้าไปถามว่าเจ็บอะไร แต่เขาไม่มีแรงที่จะตอบคำถามนั้น ต่อมาญาติผมก็ยกมือขึ้นไหว้ท่านผู้นี้ เพราะถึงแม้จะลืมตาไม่ขึ้นแต่ก็รู้สึกได้ว่าท่านยังอยู่ในห้องนั้น
พอเริ่มได้สติจึงเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ฟังทีละเล็กทีละน้อยอย่างกระท่อนกระแท่นจนจับใจความทั้งหมดได้ สามีที่เฝ้าอยู่นั้นนึกถึงแม่พระขึ้นมาทันที เขาบอกด้วยความมั่นใจว่าต้องเป็นแม่พระมาช่วยเอาไว้อย่างแน่นอน ผมฟังแล้วก็แทบน้ำตาไหล ขอบคุณแม่พระครับที่ทรงพระกรุณาพาญาติของผมกลับมาเพื่อให้เขาได้กลับมาเป็นลูกของพระองค์
เย็นนี้ผมได้ไปดูอาการของเขาอีกที เขาบอกว่าที่ข้อเท้าด้านขวายังคงเจ็บอยู่ ผมมองเห็นรอยไหม้ที่บริเวณดังกล่าวเหมือนกับถูกความร้อนจัด ๆ มาแต่ไม่มีการพองให้เห็น ผมจึงรับอาสารักษาให้ เมื่อผมจับไปที่บริเวณข้อเท้านั้น ผมก็รับรู้ทางจิต ว่ารอยนี้จะยังคงมีอยู่อีกสามวัน เพื่อเป็นพยานยืนยันว่าญาติผมได้พบกับแม่พระจริง ๆ แล้วความเจ็บปวดนี้จะค่อย ๆ หายไปเมื่อครบกำหนดสามวัน ญาติผมบอกว่า ต่อไปนี้ทุก ๆ วันอาทิตย์จะไปร่วมพีธีมิซซาในตอนเช้าแล้ว (เขาเพิ่งจะเริ่มไปเรียน คำสอนของผู้ใหญ่ได้ไม่นานมานี่เอง แต่ยังไม่ได้รับศีลล้างบาป)
ผมคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเลย นี่แหละคือสิ่งที่แม่พระได้พยายามเตือนผมตั้งหลายครั้งหลายหน แต่ผมกลับมองไม่เห็นเลยสักนิด อะไรที่ใกล้ตัวเรามากจนเกินไปบางครั้งเราก็มองไม่เห็น กลับไปเห็นความสำคัญของเรื่องของโลกภายนอกมากกว่า ลูกขอโทษแม่พระที่ทำให้พระองค์ต้องมาเตือนลูกหลายครั้งหลายหน ลูกถึงได้ตาสว่างมองเห็นจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้