แสวงบุญที่สองคอนและสาสน์จากคุณแม่อักเนส พิลา
วันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2548
ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าเรื่องนี้เป็นความเชื่อของผมเองเท่า นั้น ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะนำเรื่องนี้ขึ้นมาเผยแพร่เพื่อให้เป็นที่สะดุดใจของผู้ อื่น
ผมได้ไปร่วมแสวงบุญที่สองคอนระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 20-วันอาทิตย์ที่ 23 ต.ค. 2548มาครับ และในการแสวงบุญครั้งนี้เองครับที่ผมได้รับประสบการณ์ที่ผมไม่อาจลืมไปจน ชั่วชีวิต
เมื่อผมไปถึงสองคอนหลังจากที่ได้ร่วมพิธีมิซซาที่ป่าศักดิ์สิทธิในตอนสาย แล้ว มีหลาย ๆ คนได้ไปเที่ยวกันที่ตลาดอินโดจีน ผมกับพี่สาวไม่ได้ไปด้วยเพราะคิดว่าเรา กว่าจะมีบุญได้มีโอกาสมาถึงสองคอนได้ก็ต้องรอเป็นเวลานานหลายสิบปี เมื่อมี โอกาสได้มาอยู่ที่นี่แล้วจึงไม่อยากไปไหนนอกจากอยู่ ณ. ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อสวดภาวนาดีกว่า
ในตอนเย็นก่อนที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน, ตอนนั้นผมอยู่บนชั้นสองของตึกที่พัก พี่สาวและผู้ที่ร่วมไปแสวงบุญอีกหลายคนได้เห็นอัศจรรย์ในดวงอาทิตย์ ทีแรกเห็นดวงอาทิตย์ส่ายไปทางซ้ายทีทางขวาที ผมก็มองไปด้วยความแปลกใจว่า เอ๊ะ เราตาฝาดไปหรือเปล่า ทีนี้ก็เลยจ้องมองดูอย่างไม่กระพริบตา แสงตอนนั้นยังจ้ามากมองแทบไม่ได้แต่เพียงชั่ว2-3วินาทีต่อมาผมก็เริ่มเห็น แผ่นศีลกลม ๆ สีเทามาบังดวงอาทิตย์ไว้ทำให้สามารถมองได้โดยไม่แสบตา รอบ ๆ ดวงอาทิตย์ผมเห็นแสงสีน้ำเงินเข้มวนอยู่โดยรอบดวงอาทิตย์ตกดินเร็วมากจึงรีบ เดินเพื่อหามุมที่ สามารถมองเห็นได้ดีกว่าบริเวณนั้น ผมเห็นน้อง ๆ กลุ่มเยาวชนฯโบกมือและบอกว่าให้ไปทานข้าวด้วยกัน แต่ผมไม่มีเวลาอธิบาย นอกจากรีบเดินไปดูดวงอาทิตย์ จนกระทั่งลับของฟ้าไป คืนนั้นก่อนนอนผมนัดกับพี่สาวว่า พรุ่งนี้เราจะรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำสมาธิกันที่บ้านคุณแม่อักเนสกัน
เช้าวันเสาร์ที่22ต.ค. 2548 เราสองคนก็รีบไปที่ริมแม่น้ำโขง ด้วยใจคิดว่าเช้านี้คงได้เห็นอัศจรรย์ในดวงอาทิตย์อีก เมื่อไปถึงก็เกือบ 07.00น.แล้ว แสงอาทิตย์จ้ามากมองไม่ได้เลย ผมก็พยายามเอามือมาประสานกันป้องตาไว้ เพื่อมองลอดช่องระหว่างนิ้วมือ การพยายามครั้งนี้ก็ได้ผลครับ ผมเห็นแผ่นศีลสีเทามาบังดวงอาทิตย์ไว้ทำให้แสงลดความจ้าลง และเริ่มเห็นที่ดวงอาทิตย์และเมฆบริเวณโดย รอบ ๆ นั้นเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ แล้วค่อย ๆ เข้มขึ้นที่บริเวณดวงอาทิตย์ เหมือนกับ เวลาที่เราระบายสีน้ำจากสีเข้มกระจายออกไปจนจางหายไปในที่สุด ขณะที่ผมกำลังพยายามดูดวงอาทิตย์อยู่นั้น พี่สาวของผมได้ยินเสียงบอกว่า
“อย่ามัวเสียเวลาทำอะไรกันอยู่เลย กำลังรออยู่…”
ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าที่จริงแล้วเช้านี้เราจะไปที่บ้านคุณแม่อักเนสกัน เราจึงรีบเดินและขึ้นไปบนบ้านของคุณแม่อักเนสและนั่งสำรวมจิต เพราะเชื่อว่าคุณแม่คงจะมีอะไรที่จะบอกแก่เราสองคนเป็นแน่ สักครู่หนึ่งผมก็เริ่มได้ยินเสียงทางจิต ผมพยายามที่จะพูดตามและบันทึกเสียงเอาไว้ แต่มีอุปสรรค์เพราะมีคนขึ้นมาบนบ้านคุณแม่อักเนสกันมาก ทำให้ผมไม่มีสมาธิและก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาตามที่ผมได้ยิน กลัวคนจะเข้าใจผิดว่าผมเป็นบ้า ก็เลยต้องวอนขอคุณแม่อักเนสอยู่ในใจว่าขอให้คนเหล่านั้นกลับไปเสียที แต่ผมก็ ได้ยินเสียงตอบกลับมาอีกว่า
“มันไม่ได้มีวิธีนี้วิธีเดียวนี่ลูก” ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ ว่าในกระเป๋ามีสมุดโน๊ตเล็ก ๆ ติดมาด้วย ผมก็เลยตัดสินใจที่จะจดบันทึกตามที่คุณแม่อักเนสพูดกับผมแทน ผมไม่เคยคิดว่าจะมีบุญพอที่จะได้พบคุณแม่อักเนสเลย เมื่อเริ่มจดบันทึกผมก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป มันไหนพลั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสายด้วยความตื้นตันใจ แม้กระทั่งคุณแม่ได้หยุดพูดกับผมแล้ว ผมก็ ยังร้องไห้ต่อไปโดยไม่สามารถหยุดได้เลย คุณแม่ได้พูดกับผมไว้ดังนี้
บ้านคุณแม่อักเนส พิลา, สองคอน
วันเสาร์ ที่ 22 ตุลาคม 2548 เวลา 07.15-07.40
“ ลูกที่รักทั้งสอง แม่ขอขอบใจที่ลูกทั้งสองยินดีทำตามน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า แม่ขอบอกแก่ลูกทั้งสองว่า ลูกคือผู้ที่ได้รับการเลือกสรรค์จากสวรรค์ให้มาทำหน้าที่ในโลกนี้ เพื่อนำพาดวงวิญญาณหลาย ๆ ดวงให้ได้กลับมาหาพระบิดาเจ้าสวรรค์ จงตั้งใจกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ต่อไปเถิด พระองค์จะมีวิธีการของพระองค์ที่นำพาพวกลูกไปสู่เส้นทางที่พระองค์ได้กำหนด ไว้สำหรับลูกทั้งสอง
ต่อไปนี้ขอให้ลูกจงตายจากโลกนี้ในขณะที่ลูก ยังมีชีวิตอยู่ แม่ไม่ได้บังคับถ้าลูกไม่สมัครใจ แต่แม่รู้น้ำใจของลูกทั้งสองดีว่าลูกเกิดมาเพื่อการนี้โดยแท้ พระบิดาเจ้าสวรรค์ได้เตรียมหนทางไว้ให้ลูกตั้งแต่ลูกเกิดมาแล้วว่า ลูกจะต้องมาทำงานให้
พระองค์ ลองมองย้อนหลังไปซิลูกรัก ลูกได้เดินทางมาไกลขนาดไหนแล้ว
การตายจากโลกนี้ขณะที่ลูกยังมี ชีวิตอยู่ สำหรับคนอื่นแล้วช่างเป็นเรื่องลำบากยากเย็น แต่ไม่ใช่สำหรับลูกทั้งสอง ขอเพียงแต่ลูกนึกอยู่แต่เพียงว่า ลูกทั้งสองมอบชีวิตให้อยู่ร่วมกับแม่พระและพระเยซูเจ้าในทุกชั่วขณะของลม หายใจ จงเปิด ใจให้ลูกได้ร่วมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ทั้งแม่พระและพระเยซูเจ้าโปรดปรานลูกทั้งสองคนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะคิดจะทำอะไรก็ตามขอให้นึกเสมอว่า บัดนี้ลูกอยู่กับพระองค์ ทั้งแม่พระและพระเยซูเจ้าสถิตย์ในตัวลูกเสมอ จงพูดคุยกับ พระองค์ดั่งพระองค์ทรงเป็นพี่เลี้ยงทางวิญญาณของลูก ขอให้เปิดใจยินยอมน้อมรับพระพรอันยิ่งใหญ่นี้
ลูกรู้ไหม ทำไมลูกต้องไปอารามชีลับ พระบิดาเจ้าดลใจให้ลูกไปหาความรู้ทางวิญญาณ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับวิญญาณของลูกทั้งสอง จงตั้งใจและฝึกฝนตามคำสอนของท่านนักบุญเทเรซาเถิด (นักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา) ด้วยวิธีนี้ลูกจะได้ แนบสนิทกับพระเยซูเจ้า ปล่อยให้พระองค์ทรงเลี้ยงดูวิญญาณของลูกเถิด
งานข้างหน้ากำลังรอ ลูกอยู่ ไม่ต้องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น พระองค์ไม่เคยบังคับฝืนใจให้ใครแบกกางเขนแล้วเดินตามพระองค์ไป ลูกเองต่างหากที่ยินดีและวอนขอเพื่อให้ ได้มีโอกาสติดตามพระองค์ ขอให้เชื่อใจแม่ กางเขนของลูกไม่หนักเกินกว่ากำลัง ของลูกหรอก พระองค์ไม่ประสงค์ให้ลูกทั้งสองตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากแต่อย่างใด
สิ่ง ที่แม่อยากจะบอกก็คือ กิจการบางอย่างที่ลูกทั้งสองต้องทำร่วมกันนั้น จงทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าเถิด ลูกจะรู้ด้วยจิตวิญญาณภายในเองว่ากิจการนั้นคืออะไร แต่ในขณะเดียวกันลูกทั้งสองก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ส่วนตัว ของแต่ละคนต่างหาก
ต่อไปนี้ลูกไม่ได้อยู่เพียงลำพังแล้ว ในจิตวิญญาณของลูกมีแม่พระและพระเยซูเจ้าสถิตย์อยู่เสมอ พระองค์พร้อมเสมอที่จะกระทำกิจการทุกอย่างร่วมกับลูกทั้งสอง ลูกจะรู้อยู่แก่ใจเองว่าแม่พระสถิตย์อยู่ในดวงใจของผู้ใด และพระเยซูเจ้าประทับอยู่กับผู้ใด
จงน้อมรับพระพรอันยิ่งใหญ่นี้ ด้วยความยินดีเถิด แม่และชาวสวรรค์ขอเป็นกำลังใจให้ลูกทั้งสองได้ทำงานให้สำเร็จตามพระประสงค์ ของพระบิดาเจ้า แม่และบุญราศีแห่งสองคอน จะคอยดูแลลูกทั้งสองให้อยู่ในศีลในพรของพระเป็นเจ้าตลอดไป
จากแม่ (คุณ แม่อักเนส พิลา บุญราศีแห่งสองคอน) ”
หลังจากที่ผมสงบจิตใจได้แล้วก็ได้อ่านบันทึกนั้นให้พี่สาวของผมฟัง และเราก็ตกลงใจกันว่าเรื่องนี้คงนำไปเล่าให้ใครฟังคงไม่ได้หรอก เพราะใครจะเชื่อว่าคุณแม่ ได้มาหาเราสองคน
ในตอนบ่ายพวกเราก็ได้ไปหาแม่พระที่บ้านซ่งแย้ หลาย ๆ คนได้สัมผัสถึงพระพรที่แม่พระได้ประทานให้แก่ทุกคนที่ไปในวันนั้น น้อง ๆ กลุ่มเยาวชนฯก็ถามผมว่าแม่พระได้บอกอะไรแก่ผมบ้าง ที่จริงแล้วในตอนนั้นผมไม่ได้มีสมาธิสักเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ฟังคุณพ่อเล่าประวัติและโครงการที่จะทำต่อไปในอนาคต แต่เมื่อตอนที่ผมขึ้น ไปบนวัดเห็นแม่พระแต่ไกลนั้นก็นึกอยู่ในใจว่า ทำไมหนอแม่ถึงต้องมาในที่ ๆ แสนจะธรรมดาเช่นนี้ ผมก็ได้ยินเสียงแม่พระตอบกลับมาว่า
“นี่แหละคือสาเหตุที่แม่ ต้องการมาอยู่ที่นี่ คือสมถะและเรียบง่าย และแม่ขออวยพรให้ลูกทุกคนอยู่ในศีลในพรของพระเป็นเจ้า”
ผมจึงบอกกับน้อง ๆ ไปตามที่ผมได้ยินแม่พระตรัสกับผมมา ผมเชื่อว่าแม่พระคงอยากเห็นลูก ๆ ของแม่ได้ดำเนินวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และ สมถะ เช่นกัน
ผมยังติดใจอยู่ในเรื่องที่คุณแม่อักเนสบอกให้ผมกับพี่สาวตายจากโลกนี้ในขณะ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมยังไม่เข้าใจว่าผมจะต้องทำอย่างไร ในค่ำวันนั้นผมจึงปรึกษากับคุณพ่อและท่านก็ได้กรุณาอธิบายให้ผมได้เข้าใจ มากขึ้น ผมจึงเริ่มสวดภาวนาอยู่ในใจและขอแม่พระว่า ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าแล้วลูกก็ขอน้อมรับให้เป็นไปตามนั้น และขอให้แม่สถิตย์อยู่กับดวงใจของลูกด้วย ผมก็ได้ยินเสียงแม่ตอบกลับมาว่า
“ได้ ซิลูกรัก แต่ต้องเป็นหัวใจแห่งมหาทุกข์นะลูก ลูกจะรับได้ไหม?”
ผมอึ้งอยู่พักใหญ่เลยครับ แล้วผมจึงตอบแม่พระไปว่าลูกยินดีน้อมรับพระพรอันนี้ ขอให้ลูกได้เป็นส่วนหนึ่งของแม่พระด้วย คืนนั้นผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังเลยเพราะคงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ
พอตอนเช้าก่อนไปร่วมพิธีถวายมิซซาในตอนเช้า คุณพ่อท่านก็ได้บอกให้ผมแบ่งปันเรื่องคุณแม่อักเนสกับพี่น้องทั้งหลายใน เช้าวันนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าจะสรุปยังไง เพราะข้อความทุกตอนมีความสำคัญ ผมเลยบอกกับท่านว่าผมขออนุญาตอ่านบันทึกทั้งหมดให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังก็ แล้วกัน เพราะเรื่องทั้งหมดนี้ผมไม่สามารถจะอธิบายได้ในระยะเวลาอันสั้น ก่อนที่ผมจะออกไปพูด ผมได้ขอแม่พระอยู่ตลอดเวลาว่า ช่วยลูกด้วย ลูกกลัวเหลือเกินที่จะเล่าเรื่องนี้ ให้ใคร ๆ ฟัง แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงของแม่พระบอกกับผมว่า
“แม่อยู่กับลูกเช่น นี้ แล้วยังจะกลัวอะไรอยู่อีกเล่า”
ผมจึงมีกำลังใจและออกไปพูดโดยไม่หวั่นไหวอีกต่อไป ถ้าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของแม่ก็แล้วกัน
เรื่องก็มีอยู่เพียงเท่านี้แหละครับ จึงเล่ามาสู่กันฟัง