เมื่อวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าคำภาวนารักษาโรคได้จริง...
" If Jesus, Muhammad , and Buddha had penicillin , they probably would have used it - along with prayer , " LARRY DOSSEY , M.D.
ถ้า พระเยซู พระมหมัด และพระพุทธเจ้า จะใช้ยาแพนนิสซิลิน พวกท่านคงใช้มันควบคู่กับการสวดภาวนา
ผมได้เขียนถึง " การสวดมนต์ " มาครั้งหนึ่งแล้ว และพอจะอธิบายคร่าว ๆคร่าว ๆได้ว่า คลื่นพลังงานของการสวดมนต์นั้น เป็นคลื่นพลังงานที่มีผลต่อการทำงานระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ได้โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับระยะทาง ( NonLocal )
โดยที่ผมได้เขียนถึงงานวิจัยชิ้นสำคัญ คืองานของคุณหมอ Randolf Byrd M.D.ที่สรุปได้ว่าการสวดมนต์สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการหนักมีภาวะแทรกซ้อนน้อยลงอย่างชัดเจน ถือได้ว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้เลยทีเดียว หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพแบบใหม่เกือบทุกเล่มอ้างถึงงานวิจัยชิ้นนี้
แม้ว่าจะเป็นที่ฮือฮา และถือว่าเขย่าวงการแพทย์ค่อนข้างมากแค่ไหนก็ตาม งานวิจัยขิ้นนี้ยังเป็นที่กังขาของบรรดาแพทย์จำนวนมากที่ " ไม่เชื่อ " และหลายคนก็พยายามอธิบายว่า อาจจะเป็นผลทางอ้อมในแง่ของจิตวิทยา ของผู้เข้าร่วมการทดลองมากกว่า ที่เกิดอาการ" ใจขึ้น " เมื่อมีผู้มาคอยสวดมนต์ให้ก็เลยทำให้เกิดการรักษาที่ดีกว่าแบบนั้น
คุณหมอ Elisabeth targ M. D.จิตแพทย์ในระบบและเป็นหนึ่งในแพทย์ที่ " ไม่เชื่อ "และ " สงสัย " ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในงานทดลองของคุณหมอ Byrd เธอเติบโตมาในครอบครัวนักวิทยาศาสตร์ที่คุณพ่อเป็นนักออกแบบงานวิจัยที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เรียนมาในกรอบในระบบของการแพทย์ที่จะเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ และ " พระเจ้า"ที่ครอบครัวนี้เชื่อว่ามีจริงก็คือ " วิทยาศาสตร์" เท่านั้น แต่ด้วยความ "สงสัย" และมีเหตุการณ์พอเหมาะพอเจาะหลายเรื่องในช่วงนั้น ( 1980 ' s ) ที่ทำให้เธออยากติดตามในประเด็นนี้
ถ้า พระเยซู พระมหมัด และพระพุทธเจ้า จะใช้ยาแพนนิสซิลิน พวกท่านคงใช้มันควบคู่กับการสวดภาวนา
ผมได้เขียนถึง " การสวดมนต์ " มาครั้งหนึ่งแล้ว และพอจะอธิบายคร่าว ๆคร่าว ๆได้ว่า คลื่นพลังงานของการสวดมนต์นั้น เป็นคลื่นพลังงานที่มีผลต่อการทำงานระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ได้โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับระยะทาง ( NonLocal )
โดยที่ผมได้เขียนถึงงานวิจัยชิ้นสำคัญ คืองานของคุณหมอ Randolf Byrd M.D.ที่สรุปได้ว่าการสวดมนต์สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการหนักมีภาวะแทรกซ้อนน้อยลงอย่างชัดเจน ถือได้ว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้เลยทีเดียว หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพแบบใหม่เกือบทุกเล่มอ้างถึงงานวิจัยชิ้นนี้
แม้ว่าจะเป็นที่ฮือฮา และถือว่าเขย่าวงการแพทย์ค่อนข้างมากแค่ไหนก็ตาม งานวิจัยขิ้นนี้ยังเป็นที่กังขาของบรรดาแพทย์จำนวนมากที่ " ไม่เชื่อ " และหลายคนก็พยายามอธิบายว่า อาจจะเป็นผลทางอ้อมในแง่ของจิตวิทยา ของผู้เข้าร่วมการทดลองมากกว่า ที่เกิดอาการ" ใจขึ้น " เมื่อมีผู้มาคอยสวดมนต์ให้ก็เลยทำให้เกิดการรักษาที่ดีกว่าแบบนั้น
คุณหมอ Elisabeth targ M. D.จิตแพทย์ในระบบและเป็นหนึ่งในแพทย์ที่ " ไม่เชื่อ "และ " สงสัย " ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในงานทดลองของคุณหมอ Byrd เธอเติบโตมาในครอบครัวนักวิทยาศาสตร์ที่คุณพ่อเป็นนักออกแบบงานวิจัยที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เรียนมาในกรอบในระบบของการแพทย์ที่จะเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ และ " พระเจ้า"ที่ครอบครัวนี้เชื่อว่ามีจริงก็คือ " วิทยาศาสตร์" เท่านั้น แต่ด้วยความ "สงสัย" และมีเหตุการณ์พอเหมาะพอเจาะหลายเรื่องในช่วงนั้น ( 1980 ' s ) ที่ทำให้เธออยากติดตามในประเด็นนี้
หนึ่งคือเพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมได้โทรมาปรึกษาเธอถึงเรื่องทำนองนี้
สองคือประเด็นเรื่องสาขาวิชา Psychoneuroimmunology เริ่มกำลังเป็นที่สนใจ
สามคือคุณพ่อของเธอที่เป็นนักออกแบบงานวิจัยวิยทาศาสตร์ก็เริ่มมีความเชื่อเรื่องของ " พลังงานพิเศษ "เหล่านี้จากงานที่เขาทำ
สี่คืองานวิจัยของคุณหมอ David S pigel ที่ Standford ที่พบว่าการรักษาแบบกลุ่มทำให้คนไข้มะเร็งเต้านมดีขึ้น
ห้าคืองานวิจัยชิ้นแรก ๆของเธอเองเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าเพียงแค่การรวมกลุ่มกันของคนไข้ก็เกิดผลต่อจิตใจที่ให้ผลดีเท่ากับการให้ยาลดการซึมเศร้าชื่อดังอย่าง Prozac
ต่าง ๆเหล่านี้ทำให้จิตแพทย์อย่าง Elisabeth targ เริ่มสงสัยถึง " พลังงานพิเศษ " บางอย่างที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ (ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ "แบบเก่า" ที่มีอยู่เดิม)ว่าเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นกับคนไข้ได้อย่างไร เธอจึงได้พยายามคิดค้นการออกแบบงานทดลองทำนองนี้เพื่อค้นหาคำตอบมาหลายปี จนกระทั่งคุณหมอ targ ได้ออกแบบงานวิจัยขึ้นมาชิ้นหนึ่งเพื่อศึกษาดูว่า การสวดมนต์นั้นมีผลอย่างไรกับคนไข้ได้บ้างการทดลองครั้งนี้ได้ออกแบบมาเพื่ออุด รอยโหว่บางอย่างที่งานวิจัยของคุณหมอ Byrd ได้ทำไว้ โดยที่การทดลองครั้งนี้......
ตัดองค์ประกอบในเรื่องความเป็นศาสนาออกโดยที่เธอใช้เวลาหลายเดือนในการคัดเลือก " ผู้มีอำนาจพิเศษ " ในการสวดมนต์จำนวน 40 คนทั่วสหรัฐอเมริกา โดยที่ในกลุ่มนี้มีทุกศาสนารวมทั้งผู้พิเศษที่ไม่มีศาสนา และมีประสบการณ์ในการทำงานเรื่องเกี่ยวกับ " อำนาจพิเศษ "ต่าง ๆมาแล้ว
ตัดองค์ประกอบเรื่อง " การรู้ถึงงานวิจัย " ว่าอาจจะทำให้เกิดผลทางด้านจิตใจ คืองานวิจัยชิ้นที่มีความเป็น Double -Blind Study ตามที่มาตราฐานงานวิจัยนิยมกันคือ ไม่บอกกับคนไข้ที่เข้าร่วมโครงการเลยว่า มีงานวิจัยแบบนี้อยู่ คือคนไข้จะไม่ทราบว่ากำลังอยู่ในงานวิจัย ไม่ทราบว่าตนเองจะได้รับการสวดมนต์ให้หรือไม่และคุณหมอที่ดูแลคนไข้ก็ไม่ทราบอีกเช่นกันว่าคนไข้คนไหนที่ได้รับการสวดมนต์
โดยที่ในขั้นแรกเธอเลือกผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่มีอาการใกล้เคียงกันจำวนเพียง 20 ราย เท่านั้น นำรายชื่อ , รูปถ่าย , อาการทางคลินิกและจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด T ( T - cell count ) มาใส่ซองให้นักวิจัยคนหนึ่งเรียงเลขหมายไว้ ส่งให้นักวิจัยคนที่สองเพื่อสลับเลขทั้งหมดจดไว้แล้วส่งให้นักวิจัยคนที่สามสลับตำแหน่งซองอีก แล้วแบ่งกลุ่มคนไข้เป็นสองกลุ่มโดยการสุ่ม แล้วเก็บรายชื่อนั้นไว้ในล็อกเกอร์ที่ใส่กุญแจไว้สำหรับรายชื่อและเอกสารฉบับก๊อปปี้ของกลุ่มแรกนั้นถูกส่งให้ " ผู้สวดมนต์ "โดยที่ให้สวดวันละอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง หกวันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 10 สัปดาห์ติดต่อกันโดยการจัดให้คนไข้แต่ละคนจะได้รับการสวดจาก " ผู้สวด "10 คน โดยสุ่ม และ ผู้สวดแต่ละคนจะสวดให้คนไข้ 5 คน โดยการสุ่มสลับ
ผลการทดลองในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านไปพบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดตายไป 40 % กลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์ไม่มีคนไข้รายไหนที่เสียชีวิตเลย ทั้งยังพบว่าแต่ละคนมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย คุณหมอ targ แทบจะไม่เชื่อผลการทดลองครั้งนี้ที่ทำมากับมือตัวเอง ได้กลับไปทบทวนดูทุกขั้นตอนของการวิจัยว่ามีอะไรผิดพลาดในกระบวนการวิจัยหรือไม ่
ในปี1998 เธอได้ทำการทดลองใหม่ ครั้งนี้เพิ่มคนไข้ขึ้นเป็นจำนวน 40 คนและในช่วงนี้มีการผลิตยาต้านไวรัสขึ้นมา 3 ตัวมาใช้ในวงการแพทย์แล้ว ( Protease inhibitors + 2 Antiretrovirus เช่น AZT ) ในกลุ่มคนไข้ระยะสุดท้ายทำให้อัตราตายของคนไข้ลดน้อยลง เธอจึงต้องหาตัววัดผลใหม่ซึ่งได้แก่ระดับของเม็ดเลือดขาวชนิด T, โรคแทรกซ้อนชนิดอื่น ๆของเอดส์ , การใช้ยาที่เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆของโรคเอดส์ สุขภาพจิตและอื่น ๆผลการทดลองออกมาให้เป็นผลที่ชัดเจนว่า กลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์นั้นมีผลการรักษาที่ดีกว่า กลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดมนต์อย่างเห็นได้ชัดเจนในการวัดผลทุกชนิด อีกเช่นเดิม
คุณหมอ Larry Dossey , M.D. ซึ่งเป็นคุณหมอที่สำคัญมากคนหนึ่งในเรื่องของการสวดมนต์ เขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก ที่โด่งดังมากได้แก่หนังสือที่ชื่อ Healing W ords และ Prayer is goodMedicine บอกไว้ว่าเท่าที่ตัวเขารวบรวมงานทดลองวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ " การสวดมนต์ " นี้ ( นับถึงปี 1996 ) มีถึง 130 การทดลอง และพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของการวิจัยเหล่านี้ เชื่อถือได้ว่าการสวดมนต์นั้นมีผลดีต่อสุขภาพของคนไข้
ที่ผมนำมาเขียนและอ้างถึงเหล่านี้ มิได้ต้องการให้เชื่อแบบ " เหลวไหลงมงาย " หากแต่ต้องการชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นประเด็นสำคัญว่า เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องความเชื่อต่าง ๆ นั้นมีผลเกิดขึ้นอย่างไรกับระบบร่างกายของมนุษย์บ้าง และเรื่องเหล่านี้สามารถอธิบายได้ด้วย " วิทยาศาสตร์ใหม่ " ได้
หากแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คลื่นพลังงานหรือคลื่นความคิดต่าง ๆเหล่านั้นจะมีผล เกิดปรากฏผลได้จริงต่อร่างกายของมนุษย์ได้หรือไม่นั้น ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากทำความเข้าใจ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นประเด็นกว้าง ๆก็คือ " ความประสานสอดคล้อง " ของคลื่นความคิดเหล่านี้ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่จำเป็นเฉพาะแต่เรื่องของการสวดมนต์เท่านั้นแต่คลื่นความคิดคลื่นพลังงานเหล่านั้นสามรถจะทำให้เกิดขึ้นได้ จาการฝึกฝนตนเอง ในการเข้าสู่ "สภาวะ " หนึ่งที่มีได้หลายชื่อตามแต่จะเลือกใช้ได้ในกรณีต่าง ๆเช่น " สุข - สภาวะ " " มณฑลแห่งพลัง "ความเป็นปกติ " ฯลฯ ดังที่ได้เขียนถึงมาบ้างแล้ว
การสวดมนต์จึงเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในหลายวิธีการที่จะเหนี่ยวนำให้ระบบของร่าง กายเราเข้าไปสู่สภาวะแห่งการสมดุลดังกล่าวได้ ซึ่งผมจะนำมาทยอยเขียนถึงท่านเท่าที่เป็นไปได้ในคอลัมน์นี้
ว่าแต่ว่าคืนนี้เราสวดมนต์กันหรือยัง ?
โดย น.พ. วิธาน ฐานะวุฒ์
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ศาสนา - จิตใจ วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2546
พระคัมภีร์ตามคำบอกเล่าของนักบุญยากอบ บทที่5:13
ท่านใดทนทุกข์ จงอธิษฐานภาวนาเถิด ท่านใดร่าเริงยินดี จงร้องเพลงสดุดีเถิด ท่านใดเจ็บป่วย จงเชิญบรรดาผู้อาวุโสของพระศาสนจักรให้มาอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ป่วย เจิมน้ำมันผู้นั้นในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำอธิษฐานภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้ป่วยลุกขึ้น และถ้าเขาเคยกระทำบาป เขาก็จะได้รับการอภัย ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย
--------พระเจ้าทรงสอนสิ่งนี้แก่เราก่อนการแพทย์จะพิสูจน์ได้กว่า2000ปี
สองคือประเด็นเรื่องสาขาวิชา Psychoneuroimmunology เริ่มกำลังเป็นที่สนใจ
สามคือคุณพ่อของเธอที่เป็นนักออกแบบงานวิจัยวิยทาศาสตร์ก็เริ่มมีความเชื่อเรื่องของ " พลังงานพิเศษ "เหล่านี้จากงานที่เขาทำ
สี่คืองานวิจัยของคุณหมอ David S pigel ที่ Standford ที่พบว่าการรักษาแบบกลุ่มทำให้คนไข้มะเร็งเต้านมดีขึ้น
ห้าคืองานวิจัยชิ้นแรก ๆของเธอเองเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าเพียงแค่การรวมกลุ่มกันของคนไข้ก็เกิดผลต่อจิตใจที่ให้ผลดีเท่ากับการให้ยาลดการซึมเศร้าชื่อดังอย่าง Prozac
ต่าง ๆเหล่านี้ทำให้จิตแพทย์อย่าง Elisabeth targ เริ่มสงสัยถึง " พลังงานพิเศษ " บางอย่างที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ (ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ "แบบเก่า" ที่มีอยู่เดิม)ว่าเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นกับคนไข้ได้อย่างไร เธอจึงได้พยายามคิดค้นการออกแบบงานทดลองทำนองนี้เพื่อค้นหาคำตอบมาหลายปี จนกระทั่งคุณหมอ targ ได้ออกแบบงานวิจัยขึ้นมาชิ้นหนึ่งเพื่อศึกษาดูว่า การสวดมนต์นั้นมีผลอย่างไรกับคนไข้ได้บ้างการทดลองครั้งนี้ได้ออกแบบมาเพื่ออุด รอยโหว่บางอย่างที่งานวิจัยของคุณหมอ Byrd ได้ทำไว้ โดยที่การทดลองครั้งนี้......
ตัดองค์ประกอบในเรื่องความเป็นศาสนาออกโดยที่เธอใช้เวลาหลายเดือนในการคัดเลือก " ผู้มีอำนาจพิเศษ " ในการสวดมนต์จำนวน 40 คนทั่วสหรัฐอเมริกา โดยที่ในกลุ่มนี้มีทุกศาสนารวมทั้งผู้พิเศษที่ไม่มีศาสนา และมีประสบการณ์ในการทำงานเรื่องเกี่ยวกับ " อำนาจพิเศษ "ต่าง ๆมาแล้ว
ตัดองค์ประกอบเรื่อง " การรู้ถึงงานวิจัย " ว่าอาจจะทำให้เกิดผลทางด้านจิตใจ คืองานวิจัยชิ้นที่มีความเป็น Double -Blind Study ตามที่มาตราฐานงานวิจัยนิยมกันคือ ไม่บอกกับคนไข้ที่เข้าร่วมโครงการเลยว่า มีงานวิจัยแบบนี้อยู่ คือคนไข้จะไม่ทราบว่ากำลังอยู่ในงานวิจัย ไม่ทราบว่าตนเองจะได้รับการสวดมนต์ให้หรือไม่และคุณหมอที่ดูแลคนไข้ก็ไม่ทราบอีกเช่นกันว่าคนไข้คนไหนที่ได้รับการสวดมนต์
โดยที่ในขั้นแรกเธอเลือกผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่มีอาการใกล้เคียงกันจำวนเพียง 20 ราย เท่านั้น นำรายชื่อ , รูปถ่าย , อาการทางคลินิกและจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด T ( T - cell count ) มาใส่ซองให้นักวิจัยคนหนึ่งเรียงเลขหมายไว้ ส่งให้นักวิจัยคนที่สองเพื่อสลับเลขทั้งหมดจดไว้แล้วส่งให้นักวิจัยคนที่สามสลับตำแหน่งซองอีก แล้วแบ่งกลุ่มคนไข้เป็นสองกลุ่มโดยการสุ่ม แล้วเก็บรายชื่อนั้นไว้ในล็อกเกอร์ที่ใส่กุญแจไว้สำหรับรายชื่อและเอกสารฉบับก๊อปปี้ของกลุ่มแรกนั้นถูกส่งให้ " ผู้สวดมนต์ "โดยที่ให้สวดวันละอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง หกวันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 10 สัปดาห์ติดต่อกันโดยการจัดให้คนไข้แต่ละคนจะได้รับการสวดจาก " ผู้สวด "10 คน โดยสุ่ม และ ผู้สวดแต่ละคนจะสวดให้คนไข้ 5 คน โดยการสุ่มสลับ
ผลการทดลองในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านไปพบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดตายไป 40 % กลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์ไม่มีคนไข้รายไหนที่เสียชีวิตเลย ทั้งยังพบว่าแต่ละคนมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย คุณหมอ targ แทบจะไม่เชื่อผลการทดลองครั้งนี้ที่ทำมากับมือตัวเอง ได้กลับไปทบทวนดูทุกขั้นตอนของการวิจัยว่ามีอะไรผิดพลาดในกระบวนการวิจัยหรือไม ่
ในปี1998 เธอได้ทำการทดลองใหม่ ครั้งนี้เพิ่มคนไข้ขึ้นเป็นจำนวน 40 คนและในช่วงนี้มีการผลิตยาต้านไวรัสขึ้นมา 3 ตัวมาใช้ในวงการแพทย์แล้ว ( Protease inhibitors + 2 Antiretrovirus เช่น AZT ) ในกลุ่มคนไข้ระยะสุดท้ายทำให้อัตราตายของคนไข้ลดน้อยลง เธอจึงต้องหาตัววัดผลใหม่ซึ่งได้แก่ระดับของเม็ดเลือดขาวชนิด T, โรคแทรกซ้อนชนิดอื่น ๆของเอดส์ , การใช้ยาที่เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆของโรคเอดส์ สุขภาพจิตและอื่น ๆผลการทดลองออกมาให้เป็นผลที่ชัดเจนว่า กลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์นั้นมีผลการรักษาที่ดีกว่า กลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดมนต์อย่างเห็นได้ชัดเจนในการวัดผลทุกชนิด อีกเช่นเดิม
คุณหมอ Larry Dossey , M.D. ซึ่งเป็นคุณหมอที่สำคัญมากคนหนึ่งในเรื่องของการสวดมนต์ เขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก ที่โด่งดังมากได้แก่หนังสือที่ชื่อ Healing W ords และ Prayer is goodMedicine บอกไว้ว่าเท่าที่ตัวเขารวบรวมงานทดลองวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ " การสวดมนต์ " นี้ ( นับถึงปี 1996 ) มีถึง 130 การทดลอง และพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของการวิจัยเหล่านี้ เชื่อถือได้ว่าการสวดมนต์นั้นมีผลดีต่อสุขภาพของคนไข้
ที่ผมนำมาเขียนและอ้างถึงเหล่านี้ มิได้ต้องการให้เชื่อแบบ " เหลวไหลงมงาย " หากแต่ต้องการชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นประเด็นสำคัญว่า เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องความเชื่อต่าง ๆ นั้นมีผลเกิดขึ้นอย่างไรกับระบบร่างกายของมนุษย์บ้าง และเรื่องเหล่านี้สามารถอธิบายได้ด้วย " วิทยาศาสตร์ใหม่ " ได้
หากแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คลื่นพลังงานหรือคลื่นความคิดต่าง ๆเหล่านั้นจะมีผล เกิดปรากฏผลได้จริงต่อร่างกายของมนุษย์ได้หรือไม่นั้น ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากทำความเข้าใจ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นประเด็นกว้าง ๆก็คือ " ความประสานสอดคล้อง " ของคลื่นความคิดเหล่านี้ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่จำเป็นเฉพาะแต่เรื่องของการสวดมนต์เท่านั้นแต่คลื่นความคิดคลื่นพลังงานเหล่านั้นสามรถจะทำให้เกิดขึ้นได้ จาการฝึกฝนตนเอง ในการเข้าสู่ "สภาวะ " หนึ่งที่มีได้หลายชื่อตามแต่จะเลือกใช้ได้ในกรณีต่าง ๆเช่น " สุข - สภาวะ " " มณฑลแห่งพลัง "ความเป็นปกติ " ฯลฯ ดังที่ได้เขียนถึงมาบ้างแล้ว
การสวดมนต์จึงเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในหลายวิธีการที่จะเหนี่ยวนำให้ระบบของร่าง กายเราเข้าไปสู่สภาวะแห่งการสมดุลดังกล่าวได้ ซึ่งผมจะนำมาทยอยเขียนถึงท่านเท่าที่เป็นไปได้ในคอลัมน์นี้
ว่าแต่ว่าคืนนี้เราสวดมนต์กันหรือยัง ?
โดย น.พ. วิธาน ฐานะวุฒ์
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ศาสนา - จิตใจ วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2546
พระคัมภีร์ตามคำบอกเล่าของนักบุญยากอบ บทที่5:13
ท่านใดทนทุกข์ จงอธิษฐานภาวนาเถิด ท่านใดร่าเริงยินดี จงร้องเพลงสดุดีเถิด ท่านใดเจ็บป่วย จงเชิญบรรดาผู้อาวุโสของพระศาสนจักรให้มาอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ป่วย เจิมน้ำมันผู้นั้นในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำอธิษฐานภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้ป่วยลุกขึ้น และถ้าเขาเคยกระทำบาป เขาก็จะได้รับการอภัย ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย
--------พระเจ้าทรงสอนสิ่งนี้แก่เราก่อนการแพทย์จะพิสูจน์ได้กว่า2000ปี
พึ่งดูสารคดีเรื่องนี้ช่อง discovery มาพอดีเลย
- fizzy vippie
- โพสต์: 371
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ม.ค. 26, 2005 10:58 am
เมื่อเช้าเห็นใน ทีวี มีการแนะนำหนังสือด้วย
แบบว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับพวกผู้ป่วยโรคมะเร็ง
คนเขียนเป็นหมอ ยืนยันพลังใจและความเชื่อทางศาสนา
ในหนังสือเขาไม่ระบุ ยกเครดิตรวมให้ทุกศาสนาเลย
มีส่วนช่วยให้คนไข้ปรับตัวเพื่อต่อสู้โรคภัยร้ายๆได้ดีมาก
เอาไว้ต้องไปหาหนังสืออันนี้มาอ่านแล้วล่ะ
แบบว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับพวกผู้ป่วยโรคมะเร็ง
คนเขียนเป็นหมอ ยืนยันพลังใจและความเชื่อทางศาสนา
ในหนังสือเขาไม่ระบุ ยกเครดิตรวมให้ทุกศาสนาเลย
มีส่วนช่วยให้คนไข้ปรับตัวเพื่อต่อสู้โรคภัยร้ายๆได้ดีมาก
เอาไว้ต้องไปหาหนังสืออันนี้มาอ่านแล้วล่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ต้องหมั่นภาวนาครับ
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
พี่ปอว่าถ้าเอาไปลงพันทิพย์จะเกิดไรขึ้น?
แล้วจะเอาไปลงดีไหมอ่า
แล้วจะเอาไปลงดีไหมอ่า
พระบิดาและพระเยซูทรงเป็นแพทย์ที่ประเสริฐที่สุดค่ะ ^^
ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ได้ทรงประทานยาที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือพระองค์เอง มาให้แก่ผู้ที่บาดเจ็บ และเป็นทุกข์ ::)
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
ช้าไปแล้ว ผมเอาไปลงแล้ว :PMichaelPaul เขียน: พี่ปอว่าถ้าเอาไปลงพันทิพย์จะเกิดไรขึ้น?
แล้วจะเอาไปลงดีไหมอ่า
http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 61958.html
ไม่ได้ตั้งกระทู้ใหม่ แต่เอาไปตอบเค้า อ้างอิงแหล่งที่มาเรียบร้อย
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ ศุกร์ ส.ค. 12, 2005 12:12 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
มีผลวิจัยเพิ่มเติมอีกนะครับ
กระทู้ที่เกี่ยวข้องครับ
--+ทั้งคำถวายพระพรและคำสาปแช่งล้วนออกมาจากปากเดียวกัน +--
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9357.0
กระทู้ที่เกี่ยวข้องครับ
--+ทั้งคำถวายพระพรและคำสาปแช่งล้วนออกมาจากปากเดียวกัน +--
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9357.0
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ พ.ย. 03, 2008 6:41 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
จริงๆคนที่ทำเรื่องประมาณนี้ที่เด่นๆอีกคนก็ คือ Dr. Richard J. Davidson ที่ UW- Madison http://psych.wisc.edu/faculty/bio/davidson.html
เป็นคนที่ศึกษาคลื่นสมองของท่านดาไลลามะด้วยน่ะค่ะ
เป็นคนแรกๆที่มีบทบาทในสาขา psychoimmunology ... ยิ่งตอนนี้มีเทคนิค fMRI (functional Magnetic Resonance Imaging) ที่ทำให้เราได้สแกนสมองและเห็นการทำงานของสมองในส่วนต่างๆ งานวิจัยด้านนี้ก็ก้าวเร็วมาก ... หน้าตาภาพ fMRI ก็ออกมาประมาณนี้ ตรงสีๆคือ บริเวณที่เกิดการทำงานของสมอง ก็จะรู้ได้ว่า ส่วนไหนกำลังทำงานอยู่ อย่างในรูป ถ้าสีไปทางแดงมาก ก็ทำงานมาก ไปทางฟ้า ก็ทำงานน้อย
เคยฟังอาจารย์พูดครั้งนึง หัวข้อ Transform the mind to change the brain: Steps towards a neuroscience of well-being ตอนนั้นอาจารย์เล่าการทดลองง่ายๆอันนึงให้ฟัง คือเอาคนมา 2 กลุ่ม ตอนเช้าให้เงินแต่ละคนเท่าๆกัน แต่กลุ่มแรกบอกว่า ให้นำไปซื้ออะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากได้ ให้ทำเพื่อตัวเอง กลุ่มที่สองให้นำเงินไปใช้เพื่อผู้อื่น ใครอยากได้อะไร ก็ให้เค้าไป เอาไปทำบุญ ทำกุศล กลับมาตอนเย็นมาตรวจเลือด (จำไม่ได้เหมือนกันว่า ดูสารอะไรบ้าง แต่เป็นสารที่เค้าคิดมาว่า จะหลั่งเมื่อเกิดความสุข แล้วเค้าเอามาวัดเป็นดัชนีความสุข) ปรากฎว่า กลุ่มที่ให้เงินเพื่อไปทำเพื่อคนอื่น มีความสุขมากกว่า กลุ่มที่ทำเพื่อตัวเอง ::001::
อาจารย์ยังศึกษาเรื่องการนั่งสมาธิและนำคนที่นั่งสมาธิ ทั้งแบบพึ่งนั่ง และนั่งมานาน มาสแกนสมอง ซึ่งส่วนมากจะเกิด activation ที่สมองส่วน Insula ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อว่า เป็น mind-brain-body region ... Insula มีหน้าที่ควบคุมอวัยวะภายใน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเจอเรื่องระดับความดันเลือดลดลง และเกิดการรักษาของอวัยวะภายใน ... และก็มี activation ที่ Amygdala ซึ่งเป็นส่วนเกี่ยวกับอาราณ์ จะเกี่ยวข้องกับการกำจัดอารมณ์แง่ลบ และเมื่อดูฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ... ซึ่งจะหลั่งเมื่อเกิดความเครียด คนปกติในระหว่างวัน Cortisol จะสูงตอนกลางวัน และควรลดต่ำลงตอนจะนอน ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ (คือถ้าต่ำทั้งวันก็จะไม่กระตือรือร้น ดังนั้นต้องสูงระดับนึงตอนทำงาน และลดลงตอนจะนอน) ... คนที่นั่งสมาธิจะมีความสามารถในการลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลเร็วกว่าคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ ::001::
ถ้าสนใจลองไปดูที่เวบของอาจารย์ค่ะ มีเรื่องน่ารู้อีกเยอะเลย อันนี้เป็นเวบไซต์ของอาจารย์ค่ะ http://psyphz.psych.wisc.edu/ , http://brainimaging.waisman.wisc.edu/
เป็นคนที่ศึกษาคลื่นสมองของท่านดาไลลามะด้วยน่ะค่ะ
เป็นคนแรกๆที่มีบทบาทในสาขา psychoimmunology ... ยิ่งตอนนี้มีเทคนิค fMRI (functional Magnetic Resonance Imaging) ที่ทำให้เราได้สแกนสมองและเห็นการทำงานของสมองในส่วนต่างๆ งานวิจัยด้านนี้ก็ก้าวเร็วมาก ... หน้าตาภาพ fMRI ก็ออกมาประมาณนี้ ตรงสีๆคือ บริเวณที่เกิดการทำงานของสมอง ก็จะรู้ได้ว่า ส่วนไหนกำลังทำงานอยู่ อย่างในรูป ถ้าสีไปทางแดงมาก ก็ทำงานมาก ไปทางฟ้า ก็ทำงานน้อย
เคยฟังอาจารย์พูดครั้งนึง หัวข้อ Transform the mind to change the brain: Steps towards a neuroscience of well-being ตอนนั้นอาจารย์เล่าการทดลองง่ายๆอันนึงให้ฟัง คือเอาคนมา 2 กลุ่ม ตอนเช้าให้เงินแต่ละคนเท่าๆกัน แต่กลุ่มแรกบอกว่า ให้นำไปซื้ออะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากได้ ให้ทำเพื่อตัวเอง กลุ่มที่สองให้นำเงินไปใช้เพื่อผู้อื่น ใครอยากได้อะไร ก็ให้เค้าไป เอาไปทำบุญ ทำกุศล กลับมาตอนเย็นมาตรวจเลือด (จำไม่ได้เหมือนกันว่า ดูสารอะไรบ้าง แต่เป็นสารที่เค้าคิดมาว่า จะหลั่งเมื่อเกิดความสุข แล้วเค้าเอามาวัดเป็นดัชนีความสุข) ปรากฎว่า กลุ่มที่ให้เงินเพื่อไปทำเพื่อคนอื่น มีความสุขมากกว่า กลุ่มที่ทำเพื่อตัวเอง ::001::
อาจารย์ยังศึกษาเรื่องการนั่งสมาธิและนำคนที่นั่งสมาธิ ทั้งแบบพึ่งนั่ง และนั่งมานาน มาสแกนสมอง ซึ่งส่วนมากจะเกิด activation ที่สมองส่วน Insula ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อว่า เป็น mind-brain-body region ... Insula มีหน้าที่ควบคุมอวัยวะภายใน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเจอเรื่องระดับความดันเลือดลดลง และเกิดการรักษาของอวัยวะภายใน ... และก็มี activation ที่ Amygdala ซึ่งเป็นส่วนเกี่ยวกับอาราณ์ จะเกี่ยวข้องกับการกำจัดอารมณ์แง่ลบ และเมื่อดูฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ... ซึ่งจะหลั่งเมื่อเกิดความเครียด คนปกติในระหว่างวัน Cortisol จะสูงตอนกลางวัน และควรลดต่ำลงตอนจะนอน ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ (คือถ้าต่ำทั้งวันก็จะไม่กระตือรือร้น ดังนั้นต้องสูงระดับนึงตอนทำงาน และลดลงตอนจะนอน) ... คนที่นั่งสมาธิจะมีความสามารถในการลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลเร็วกว่าคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ ::001::
ถ้าสนใจลองไปดูที่เวบของอาจารย์ค่ะ มีเรื่องน่ารู้อีกเยอะเลย อันนี้เป็นเวบไซต์ของอาจารย์ค่ะ http://psyphz.psych.wisc.edu/ , http://brainimaging.waisman.wisc.edu/
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ จันทร์ พ.ย. 03, 2008 8:07 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
อยากให้ผู้ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่..ทั้งมือใหม่มือเก่า พร้อมใจกันสอนลูก ๆ ให้สวดก่อนนอนจนติดเป็นนิสัยบ้าง
มีอยู่ช่วงนึงที่ลูกชาย(7 ขวบ)กับดิฉัน พูดกันไม่ค่อยเข้าใจ รู้สึกว่าลูกไม่ค่อยฟังที่แม่พูด แล้วรู้สึกว่าเราเองก็ไม่ค่อยฟังลูกด้วยเหมือนกัน แล้วก็..เครียด.. เพราะ..จะพูดจะสอนอะไรไป ก็รู้สึกว่าเขาไม่ฟังเราเลย และเราก็ไม่สนใจความต้องการของเขาด้วย
เลยพาลูกสวดก่อนนอน พยายามทำให้บ่อย ๆ เพราะบางครั้งงานยุ่งมาก ก็ลืมไปบ้างเหมือนกัน ก็พยายามเท่าที่จะทำได้ แล้วก็เกิดผลดีอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควรเหมือนกัน รู้สึกได้เลยว่า ลูกฟังคำพูดของเราและสนใจในสิ่งที่เราบอกและสอน ในขณะเดียวกันเราเองก็สนใจในสิ่งที่ลูกพูดกับเรามากขึ้นด้วย
แล้วความเครียดก็หายไปจากชีวิต หมายถึง ความเครียดเรื่องที่ลูกกับเราดูเหมือนจะขัดแย้งและไม่สนใจต่อกัน
และยังได้แนะนำให้เพื่อน ที่มีปัญหากับลูกสาววัย 5 ขวบ ไปทำดูบ้าง เพราะลูกสาวเขาไม่สนใจแม่เลย เอาแต่ใจใช้อารมณ์เอาแต่ใจ ดูเหมือนจะเรียกร้องความสนใจจากแม่ แต่ตัวแม่เขาไม่เข้าใจ บอกแต่ว่า ลูกสาวเขาดื้อกับเขามาก แต่เพื่อนคนนี้เขานับถือพุทธ ส่วนลูสาวก็นับถือพุทธแต่เรียนอยู่ที่ รร.มารีวิทยากบินทร์บุรี เขาก็ไปลองทำดูบ้างแต่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เขามาเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวต้องสวดบท วันทามารีอา ก่อน แล้วถึงจะค่อย สวด นโมตะสะ พาลูกสาวสวดก่อนนอนซักพักก็รู้สึกดีขึ้น ทั้งแม่และลูกสาว..ใจเย็นลงด้วยกันทั้งคู่ ต่างคนก็เริ่มฟังกันและกันมากขึ้น แล้วก็ัรักกันมากขึ้น
ลองทำดูสิค่ะ แล้วจะรู้ว่า คำภาวนาของเด็ก ๆ มีผลเร็วมากกว่าของผู้ใหญ่อีก.. ไม่ได้อิจฉาเด็กนะ แต่รู้ว่าพระบิดาเจ้าชื่นชอบความซื่อๆและบริสุทธิ์ใจของเด็ก ๆ (เป็นจุดอ่อนของพระบิดาเจ้าหน่ะ)
มีอยู่ช่วงนึงที่ลูกชาย(7 ขวบ)กับดิฉัน พูดกันไม่ค่อยเข้าใจ รู้สึกว่าลูกไม่ค่อยฟังที่แม่พูด แล้วรู้สึกว่าเราเองก็ไม่ค่อยฟังลูกด้วยเหมือนกัน แล้วก็..เครียด.. เพราะ..จะพูดจะสอนอะไรไป ก็รู้สึกว่าเขาไม่ฟังเราเลย และเราก็ไม่สนใจความต้องการของเขาด้วย
เลยพาลูกสวดก่อนนอน พยายามทำให้บ่อย ๆ เพราะบางครั้งงานยุ่งมาก ก็ลืมไปบ้างเหมือนกัน ก็พยายามเท่าที่จะทำได้ แล้วก็เกิดผลดีอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควรเหมือนกัน รู้สึกได้เลยว่า ลูกฟังคำพูดของเราและสนใจในสิ่งที่เราบอกและสอน ในขณะเดียวกันเราเองก็สนใจในสิ่งที่ลูกพูดกับเรามากขึ้นด้วย
แล้วความเครียดก็หายไปจากชีวิต หมายถึง ความเครียดเรื่องที่ลูกกับเราดูเหมือนจะขัดแย้งและไม่สนใจต่อกัน
และยังได้แนะนำให้เพื่อน ที่มีปัญหากับลูกสาววัย 5 ขวบ ไปทำดูบ้าง เพราะลูกสาวเขาไม่สนใจแม่เลย เอาแต่ใจใช้อารมณ์เอาแต่ใจ ดูเหมือนจะเรียกร้องความสนใจจากแม่ แต่ตัวแม่เขาไม่เข้าใจ บอกแต่ว่า ลูกสาวเขาดื้อกับเขามาก แต่เพื่อนคนนี้เขานับถือพุทธ ส่วนลูสาวก็นับถือพุทธแต่เรียนอยู่ที่ รร.มารีวิทยากบินทร์บุรี เขาก็ไปลองทำดูบ้างแต่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เขามาเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวต้องสวดบท วันทามารีอา ก่อน แล้วถึงจะค่อย สวด นโมตะสะ พาลูกสาวสวดก่อนนอนซักพักก็รู้สึกดีขึ้น ทั้งแม่และลูกสาว..ใจเย็นลงด้วยกันทั้งคู่ ต่างคนก็เริ่มฟังกันและกันมากขึ้น แล้วก็ัรักกันมากขึ้น
ลองทำดูสิค่ะ แล้วจะรู้ว่า คำภาวนาของเด็ก ๆ มีผลเร็วมากกว่าของผู้ใหญ่อีก.. ไม่ได้อิจฉาเด็กนะ แต่รู้ว่าพระบิดาเจ้าชื่นชอบความซื่อๆและบริสุทธิ์ใจของเด็ก ๆ (เป็นจุดอ่อนของพระบิดาเจ้าหน่ะ)
ขอบคุณครับ มีความรู้เพิ่มเติม
ได้ความรู้เพิ่มเติมมากมายเลยครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 12:58 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
กระทู้นี้ก็เหมือนกันครับ ถ้าจะปักหมุดเอาไว้น่าจะดีมากมายครับ
เห็นด้วยครับ เห็นด้วย