10:34 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา
10:35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี
10:36 และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน
10:37 ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา
ผมไม่เข้าใจอ่ะคับ
ว่าทำไมพระเยซูถึงพูดอย่างนั้นอ่ะคับ
ขอความกระจ่างด้วยนะครับ ^ ^
ผมไม่เข้าใจ มธ.10:34-37
-
- โพสต์: 605
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 05, 2009 3:19 pm
- ที่อยู่: พเนจร
- ติดต่อ:
ทั้งหมดชี้กลับไปที่ว่า จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจครับ
ถ้ามนุษย์รักกันเองมากกว่าพระเจ้าแล้ว สันติภาพก็ไม่มีความหมาย เพราะมนุษย์จะเลือกที่รักและเลือกที่จะชัง
เมื่อมนุษย์ไม่สละทุกสิ่งเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็จะพะวงกับสิ่งรอบตัว และในที่สุดก็ลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าไป
ความพะวงจะนำมาซึ่งความหวงแหน และนำไปสู่ความหวาดระแวง
ที่สุดแล้ว คนที่เลือกพระเจ้าในครอบครัวที่ไม่เลือกพระเจ้าก็จะถูกข่มเหง
คนที่เลือกพระเจ้่าจึงต้องออกจากครัวเรือนที่อยู่ แล้วมีครอบครัวใหม่คือ ครอบครัวในพระคริสต์
พระดำรัสชี้ให้เห็นคำว่า โลก เพราะโลกที่พระองค์เสด็จมานี้ก็ไม่ต้อนรับพระองค์เช่นกัน
ถ้ามนุษย์รักกันเองมากกว่าพระเจ้าแล้ว สันติภาพก็ไม่มีความหมาย เพราะมนุษย์จะเลือกที่รักและเลือกที่จะชัง
เมื่อมนุษย์ไม่สละทุกสิ่งเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็จะพะวงกับสิ่งรอบตัว และในที่สุดก็ลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าไป
ความพะวงจะนำมาซึ่งความหวงแหน และนำไปสู่ความหวาดระแวง
ที่สุดแล้ว คนที่เลือกพระเจ้าในครอบครัวที่ไม่เลือกพระเจ้าก็จะถูกข่มเหง
คนที่เลือกพระเจ้่าจึงต้องออกจากครัวเรือนที่อยู่ แล้วมีครอบครัวใหม่คือ ครอบครัวในพระคริสต์
พระดำรัสชี้ให้เห็นคำว่า โลก เพราะโลกที่พระองค์เสด็จมานี้ก็ไม่ต้อนรับพระองค์เช่นกัน
บทนั้นทรงตรัสถึงกรณีของคนที่ กลับใจมาเชื่อพระองค์ โดยที่บ้านไม่เห็นด้วยครับ
ปัญหานี้ไม่ได้มีแต่คริสตชนใหม่ในประเทศที่คนส่วนมากไม่ใช่คริสต์ในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ปัญหา การไม่เห้นด้วย ต่อต้าน ด่าทอ ไม่ยินยอม ให้สมาชิกในครอบครัวหันไปเชื่อพระเจ้า มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซูเอง
โดยบริบทอาจแตกต่างกันเล็กน้อยเช่น เมืองไทย สมัยนี้ มักเป็นกรณีครอบครัวเป็นพุทธ(จะเคร่งหรือทะเบียนบ้านก้ตาม) แล้วมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง มารับเชื่อเป็นคริสต์ แล้วโดนคนในบ้านหรือครอบครัวตัวเองเบียดเบียน (ซึ่งคนที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ จะเข้าใจซึ้งถึงพระวาจาในบทนี้เป็นอย่างดี) หรือถึงขั้นห้ามมาล้างบาป ห้ามมาเชื่อ ถ้าใครเอาใจพ่อแม่ และตัดสินใจเลิกเชื่อและเลิกมานับถือคริสต์ เขาก็คือคนที่พลาดโอกาสความรอด โดยโทษใครไม่ได้ เพราะเขาตัดสินใจเลือกคนรอบข้างมากกว่าพระเจ้า
สิ่งนี้ยังรวมไปถึงกรณีคริสตชนบางคนที่เมื่อแต่งงานกับคู่รักบางศาสนา ที่บังคับให้เปลี่ยนศาสนา แล้วเขายอมเปลี่ยน เพื่อจะได้ครองรักกับคนที่เขารักในโลกชั่วคราวนี้ โดยยอมแลกสิทธิบุตรหัวปีเหมือนเอซาว แลกพระเจ้าที่จะได้อยู่ด้วยกันนิจนิรันดร กับคู่รักที่อยู่กันเต็มที่ก็60-70ปีในโลก ในเมื่อเขาเลือกเอง เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการคือ คู่ครองในโลก และสูญเสียสิ่งที่เขาสลัดทิ้งคือพระเจ้าแท้และความรอดนิรันดร
ในสมัยพระเยซูคริสต์ ปัญหานี้ เกิดกับครอบครัวชาวยิวมากมาย ที่ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ และเป็นบุตรพระเจ้า แต่สมาชิกบางคนในครอบครัวตนอาจเชื่อเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้โดนกล่าวพาดพิงถึงในพระคัมภีร์ เช่นคนที่แอบมาเป็นศิษย์ลับๆของพระเยซู อย่าง นิโคเดมัส พระเยซูเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าคุณเลือกเอาใจคนในครอบครัว โดยสละละทิ้งความเชื่อคริสตชนเพื่อให้คนอื่นๆพอใจ คุณก็ได้ตัดสินใจแลกพระเจ้าและความรอดกับพวกเขาแล้ว เมื่อคุณเห็นพระเจ้าและความรอดมีค่าน้อยกว่าความพอใจของคนในครอบครัว คุณก็อดรับเชื่อรับความรอด
แต่พระเยซู เน้นย้ำความจริงว่า ความรักของพระเจ้าและความรอดไม่ได้ด้อยค่ากว่าความรักของสมาชิกครอบครัวเลย ตรงข้ามมากมายยิ่งกว่าอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงไม่ใช่พระเจ้าไม่มีค่าพอสำหรับคุณ แต่คุณเองต่างห่างที่ไม่คู่ควรกับพระองค์
ปัญหานี้ไม่ได้มีแต่คริสตชนใหม่ในประเทศที่คนส่วนมากไม่ใช่คริสต์ในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ปัญหา การไม่เห้นด้วย ต่อต้าน ด่าทอ ไม่ยินยอม ให้สมาชิกในครอบครัวหันไปเชื่อพระเจ้า มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซูเอง
โดยบริบทอาจแตกต่างกันเล็กน้อยเช่น เมืองไทย สมัยนี้ มักเป็นกรณีครอบครัวเป็นพุทธ(จะเคร่งหรือทะเบียนบ้านก้ตาม) แล้วมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง มารับเชื่อเป็นคริสต์ แล้วโดนคนในบ้านหรือครอบครัวตัวเองเบียดเบียน (ซึ่งคนที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ จะเข้าใจซึ้งถึงพระวาจาในบทนี้เป็นอย่างดี) หรือถึงขั้นห้ามมาล้างบาป ห้ามมาเชื่อ ถ้าใครเอาใจพ่อแม่ และตัดสินใจเลิกเชื่อและเลิกมานับถือคริสต์ เขาก็คือคนที่พลาดโอกาสความรอด โดยโทษใครไม่ได้ เพราะเขาตัดสินใจเลือกคนรอบข้างมากกว่าพระเจ้า
สิ่งนี้ยังรวมไปถึงกรณีคริสตชนบางคนที่เมื่อแต่งงานกับคู่รักบางศาสนา ที่บังคับให้เปลี่ยนศาสนา แล้วเขายอมเปลี่ยน เพื่อจะได้ครองรักกับคนที่เขารักในโลกชั่วคราวนี้ โดยยอมแลกสิทธิบุตรหัวปีเหมือนเอซาว แลกพระเจ้าที่จะได้อยู่ด้วยกันนิจนิรันดร กับคู่รักที่อยู่กันเต็มที่ก็60-70ปีในโลก ในเมื่อเขาเลือกเอง เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการคือ คู่ครองในโลก และสูญเสียสิ่งที่เขาสลัดทิ้งคือพระเจ้าแท้และความรอดนิรันดร
ในสมัยพระเยซูคริสต์ ปัญหานี้ เกิดกับครอบครัวชาวยิวมากมาย ที่ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ และเป็นบุตรพระเจ้า แต่สมาชิกบางคนในครอบครัวตนอาจเชื่อเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้โดนกล่าวพาดพิงถึงในพระคัมภีร์ เช่นคนที่แอบมาเป็นศิษย์ลับๆของพระเยซู อย่าง นิโคเดมัส พระเยซูเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าคุณเลือกเอาใจคนในครอบครัว โดยสละละทิ้งความเชื่อคริสตชนเพื่อให้คนอื่นๆพอใจ คุณก็ได้ตัดสินใจแลกพระเจ้าและความรอดกับพวกเขาแล้ว เมื่อคุณเห็นพระเจ้าและความรอดมีค่าน้อยกว่าความพอใจของคนในครอบครัว คุณก็อดรับเชื่อรับความรอด
แต่พระเยซู เน้นย้ำความจริงว่า ความรักของพระเจ้าและความรอดไม่ได้ด้อยค่ากว่าความรักของสมาชิกครอบครัวเลย ตรงข้ามมากมายยิ่งกว่าอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงไม่ใช่พระเจ้าไม่มีค่าพอสำหรับคุณ แต่คุณเองต่างห่างที่ไม่คู่ควรกับพระองค์
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
ขอบคุณค่ะ เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ
สงสัยมานานเหมือนกันนะเนี่ย

- ^_^Matthew^_^
- โพสต์: 354
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 2:03 am
- ที่อยู่: 125 ม.7 ถ.ชัยภูมิ-สีคิ้ว ต.หนองนาแซง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ 36000
- ติดต่อ:
ขอบคุณมากๆครับ
ความจริงมีอีกคำหนึ่งนะครับ คือคำว่านำดาบมาให้
นั่นคือ พระองค์ไม่ให้เราใช้วิธีหลบๆซ่อนๆไปตลอด หรือโกหกไปวันๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้นับถือสองอย่าง ฯลฯ แต่ทรงให้ใช้วิธีีแตกหักไปเลยกับเรื่องแบบนี้ครับ ไม่ได้แปลว่าให้ไปด่าทอทะเลาะกัน แต่หมายถึงต้องพูดให้ชัดเจนให้เข้าใจอย่างเข้มแข็ง
ผมเคยพบผู้ล้างบาปหรือมีความประสงค์ล้างบาปเมื่อโตแล้วหลายคน ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เรื่องศาสนา แต่พอผมถามว่าในชีวิตเคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเคยขัดใจพ่อแม่ไหม ก็นึกออกกันคนละหลายเรื่องนะครับ ยิ่งบางคนวีรกรรมเยอะมาก แต่เมื่อถามให้คิดว่า ที่เคยขัดใจท่านไปมีเรื่องไหนที่สำคัญเท่าเรื่องนี้ไหม คำตอบคือไม่มี ก็น่าแปลกนะครับ เด็กบางคนยอมขัดใจหรือทะเลาะจะเป็นจะตายกับพ่อแม่ด้วยเรื่องไร้สาระมาหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองตลอดกาล(ยิ่งกว่าแต่งงาน คนมากมายกล้าขัดใจพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบ) กลับเลือกที่จะไม่เผชิญความจริง
หลายๆคน ช่วงเวลาหลบๆซ่อนๆปราณีปรานอมไม่ชัดเจนโดนเบียดเบียนอย่างหนัก แต่พอกล้าแตกหักบอกความจริง ครอบครัวกลับยอมรับได้(แม้จะช็อคหรืออะไรบ้างก็ตาม) และไม่เบียดเบียนกันอีก
ดังนั้น ก็หนุนใจให้คริสตชนใหม่ หาโอกาสแสดงตนต่อครอบครัวอย่างเหมาะสมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเอง
นั่นคือ พระองค์ไม่ให้เราใช้วิธีหลบๆซ่อนๆไปตลอด หรือโกหกไปวันๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้นับถือสองอย่าง ฯลฯ แต่ทรงให้ใช้วิธีีแตกหักไปเลยกับเรื่องแบบนี้ครับ ไม่ได้แปลว่าให้ไปด่าทอทะเลาะกัน แต่หมายถึงต้องพูดให้ชัดเจนให้เข้าใจอย่างเข้มแข็ง
ผมเคยพบผู้ล้างบาปหรือมีความประสงค์ล้างบาปเมื่อโตแล้วหลายคน ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เรื่องศาสนา แต่พอผมถามว่าในชีวิตเคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเคยขัดใจพ่อแม่ไหม ก็นึกออกกันคนละหลายเรื่องนะครับ ยิ่งบางคนวีรกรรมเยอะมาก แต่เมื่อถามให้คิดว่า ที่เคยขัดใจท่านไปมีเรื่องไหนที่สำคัญเท่าเรื่องนี้ไหม คำตอบคือไม่มี ก็น่าแปลกนะครับ เด็กบางคนยอมขัดใจหรือทะเลาะจะเป็นจะตายกับพ่อแม่ด้วยเรื่องไร้สาระมาหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองตลอดกาล(ยิ่งกว่าแต่งงาน คนมากมายกล้าขัดใจพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบ) กลับเลือกที่จะไม่เผชิญความจริง
หลายๆคน ช่วงเวลาหลบๆซ่อนๆปราณีปรานอมไม่ชัดเจนโดนเบียดเบียนอย่างหนัก แต่พอกล้าแตกหักบอกความจริง ครอบครัวกลับยอมรับได้(แม้จะช็อคหรืออะไรบ้างก็ตาม) และไม่เบียดเบียนกันอีก
ดังนั้น ก็หนุนใจให้คริสตชนใหม่ หาโอกาสแสดงตนต่อครอบครัวอย่างเหมาะสมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเอง
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 10:23 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
Holy เขียน: บทนั้นทรงตรัสถึงกรณีของคนที่ กลับใจมาเชื่อพระองค์ โดยที่บ้านไม่เห็นด้วยครับ
ปัญหานี้ไม่ได้มีแต่คริสตชนใหม่ในประเทศที่คนส่วนมากไม่ใช่คริสต์ในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ปัญหา การไม่เห้นด้วย ต่อต้าน ด่าทอ ไม่ยินยอม ให้สมาชิกในครอบครัวหันไปเชื่อพระเจ้า มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซูเอง
โดยบริบทอาจแตกต่างกันเล็กน้อยเช่น เมืองไทย สมัยนี้ มักเป็นกรณีครอบครัวเป็นพุทธ(จะเคร่งหรือทะเบียนบ้านก้ตาม) แล้วมีสมาชิกคนใดคนหนึ่ง มารับเชื่อเป็นคริสต์ แล้วโดนคนในบ้านหรือครอบครัวตัวเองเบียดเบียน (ซึ่งคนที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ จะเข้าใจซึ้งถึงพระวาจาในบทนี้เป็นอย่างดี) หรือถึงขั้นห้ามมาล้างบาป ห้ามมาเชื่อ ถ้าใครเอาใจพ่อแม่ และตัดสินใจเลิกเชื่อและเลิกมานับถือคริสต์ เขาก็คือคนที่พลาดโอกาสความรอด โดยโทษใครไม่ได้ เพราะเขาตัดสินใจเลือกคนรอบข้างมากกว่าพระเจ้า
สิ่งนี้ยังรวมไปถึงกรณีคริสตชนบางคนที่เมื่อแต่งงานกับคู่รักบางศาสนา ที่บังคับให้เปลี่ยนศาสนา แล้วเขายอมเปลี่ยน เพื่อจะได้ครองรักกับคนที่เขารักในโลกชั่วคราวนี้ โดยยอมแลกสิทธิบุตรหัวปีเหมือนเอซาว แลกพระเจ้าที่จะได้อยู่ด้วยกันนิจนิรันดร กับคู่รักที่อยู่กันเต็มที่ก็60-70ปีในโลก ในเมื่อเขาเลือกเอง เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการคือ คู่ครองในโลก และสูญเสียสิ่งที่เขาสลัดทิ้งคือพระเจ้าแท้และความรอดนิรันดร
ในสมัยพระเยซูคริสต์ ปัญหานี้ เกิดกับครอบครัวชาวยิวมากมาย ที่ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ และเป็นบุตรพระเจ้า แต่สมาชิกบางคนในครอบครัวตนอาจเชื่อเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้โดนกล่าวพาดพิงถึงในพระคัมภีร์ เช่นคนที่แอบมาเป็นศิษย์ลับๆของพระเยซู อย่าง นิโคเดมัส พระเยซูเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าคุณเลือกเอาใจคนในครอบครัว โดยสละละทิ้งความเชื่อคริสตชนเพื่อให้คนอื่นๆพอใจ คุณก็ได้ตัดสินใจแลกพระเจ้าและความรอดกับพวกเขาแล้ว เมื่อคุณเห็นพระเจ้าและความรอดมีค่าน้อยกว่าความพอใจของคนในครอบครัว คุณก็อดรับเชื่อรับความรอด
แต่พระเยซู เน้นย้ำความจริงว่า ความรักของพระเจ้าและความรอดไม่ได้ด้อยค่ากว่าความรักของสมาชิกครอบครัวเลย ตรงข้ามมากมายยิ่งกว่าอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงไม่ใช่พระเจ้าไม่มีค่าพอสำหรับคุณ แต่คุณเองต่างห่างที่ไม่คู่ควรกับพระองค์
เฉียบมากค่ะ เห็นด้วยตามนี้ทุกประการHoly เขียน: ความจริงมีอีกคำหนึ่งนะครับ คือคำว่านำดาบมาให้
นั่นคือ พระองค์ไม่ให้เราใช้วิธีหลบๆซ่อนๆไปตลอด หรือโกหกไปวันๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้นับถือสองอย่าง ฯลฯ แต่ทรงให้ใช้วิธีีแตกหักไปเลยกับเรื่องแบบนี้ครับ ไม่ได้แปลว่าให้ไปด่าทอทะเลาะกัน แต่หมายถึงต้องพูดให้ชัดเจนให้เข้าใจอย่างเข้มแข็ง
ผมเคยพบผู้ล้างบาปหรือมีความประสงค์ล้างบาปเมื่อโตแล้วหลายคน ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เรื่องศาสนา แต่พอผมถามว่าในชีวิตเคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเคยขัดใจพ่อแม่ไหม ก็นึกออกกันคนละหลายเรื่องนะครับ ยิ่งบางคนวีรกรรมเยอะมาก แต่เมื่อถามให้คิดว่า ที่เคยขัดใจท่านไปมีเรื่องไหนที่สำคัญเท่าเรื่องนี้ไหม คำตอบคือไม่มี ก็น่าแปลกนะครับ เด็กบางคนยอมขัดใจหรือทะเลาะจะเป็นจะตายกับพ่อแม่ด้วยเรื่องไร้สาระมาหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองตลอดกาล(ยิ่งกว่าแต่งงาน คนมากมายกล้าขัดใจพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบ) กลับเลือกที่จะไม่เผชิญความจริง
หลายๆคน ช่วงเวลาหลบๆซ่อนๆปราณีปรานอมไม่ชัดเจนโดนเบียดเบียนอย่างหนัก แต่พอกล้าแตกหักบอกความจริง ครอบครัวกลับยอมรับได้(แม้จะช็อคหรืออะไรบ้างก็ตาม) และไม่เบียดเบียนกันอีก
ดังนั้น ก็หนุนใจให้คริสตชนใหม่ หาโอกาสแสดงตนต่อครอบครัวอย่างเหมาะสมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเอง

สั้นๆ ได้ใจความ อธิบายครอบคลุมชัดเจน
พี่โฮลี่สอนดีจังค่ะ เข้าใจพูดสอนน้องHoly เขียน: ความจริงมีอีกคำหนึ่งนะครับ คือคำว่านำดาบมาให้
นั่นคือ พระองค์ไม่ให้เราใช้วิธีหลบๆซ่อนๆไปตลอด หรือโกหกไปวันๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้นับถือสองอย่าง ฯลฯ แต่ทรงให้ใช้วิธีีแตกหักไปเลยกับเรื่องแบบนี้ครับ ไม่ได้แปลว่าให้ไปด่าทอทะเลาะกัน แต่หมายถึงต้องพูดให้ชัดเจนให้เข้าใจอย่างเข้มแข็ง
ผมเคยพบผู้ล้างบาปหรือมีความประสงค์ล้างบาปเมื่อโตแล้วหลายคน ไม่กล้าขัดใจพ่อแม่ เรื่องศาสนา แต่พอผมถามว่าในชีวิตเคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเคยขัดใจพ่อแม่ไหม ก็นึกออกกันคนละหลายเรื่องนะครับ ยิ่งบางคนวีรกรรมเยอะมาก แต่เมื่อถามให้คิดว่า ที่เคยขัดใจท่านไปมีเรื่องไหนที่สำคัญเท่าเรื่องนี้ไหม คำตอบคือไม่มี ก็น่าแปลกนะครับ เด็กบางคนยอมขัดใจหรือทะเลาะจะเป็นจะตายกับพ่อแม่ด้วยเรื่องไร้สาระมาหลายครั้งหลายหน แต่เรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองตลอดกาล(ยิ่งกว่าแต่งงาน คนมากมายกล้าขัดใจพ่อแม่แต่งงานกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบ) กลับเลือกที่จะไม่เผชิญความจริง
หลายๆคน ช่วงเวลาหลบๆซ่อนๆปราณีปรานอมไม่ชัดเจนโดนเบียดเบียนอย่างหนัก แต่พอกล้าแตกหักบอกความจริง ครอบครัวกลับยอมรับได้(แม้จะช็อคหรืออะไรบ้างก็ตาม) และไม่เบียดเบียนกันอีก
ดังนั้น ก็หนุนใจให้คริสตชนใหม่ หาโอกาสแสดงตนต่อครอบครัวอย่างเหมาะสมครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเอง

จริงๆนะ มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ไม่ใช่แค่ชีวิตนี้ แต่คือ ชีวิตหน้าด้วย และถ้าที่บ้านยอมรับแล้ว ความรักในครอบครัวเราจะเปลี่ยน จะรักกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น อบอุ่นขึ้น อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ

- Slave of God
- โพสต์: 336
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 02, 2008 10:47 pm
สุดยอดครับ เพราะผมก็ประกาศไปเลยเหมือนกันว่าผมลูกพระ
ไม่สนคนรอบข้างจะว่าไง
-รถผมชน 2 ครั้ง คนรอบข้างบอกให้ผมเปลี่ยนรถ หรือไม่ก็ไป รดน้ำมนต์บ้าง แต่ผมไม่เปลี่ยน และไม่ไปรดน้ำมนต์ เพราะผมเชื่อในพระเจ้า อาถรรพ์รถอะไรนั้น จะมาสู้กับพระได้ไง ผมคิดเช่นนั้น
-ที่ผ่านมาที่เขาไหว้เจ้ากัน มีไหว้รถด้วย รถจอดเรียงกัน 5-6 คัน คนในบ้านถามว่าจะไหว้รถผมด้วยไหม ผมบอกไม่ต้อง ผมไม่ไหว้
-ตอนนั้นไปร่วมงานทำบุญที่คณะ ที่มหาลัย เขาเชิญผมถวายข้าวพระสงฆ์ (พุทธ) ผมบอกไม่ละครับ ผมเป็นคริสต์
-ตอนนั้นต้องเดินทางกันเป็นหมู่คณะ เขาพากันไปไหว้พระ หน้ามหาลัยก่อนเดินทาง มีคนส่งธูปมาให้ ผมบอกไม่ไหว้ ผมเป็นคริสต์
-วันครบรอบพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อนผมถามว่าทำบุญให้บ้างไหม (ทางพุทธ) ผมบอกไม่ทำ ผมเป็นคริสต์ เพื่อนบอกว่า มึ-เปลี่ยนแล้วพ่อแม่มึ-เปลี่ยนด้วยเลอ ผมเงียบไม่สนใจ
-ผมย้ายบ้านเขามาบ้านใหม่ที่ซื้อต่อญาติกัน เขาบอกว่าเขาจะทิ้งศาลเจ้าที่จีนไว้ให้ที่บ้านด้วย ผมบอกเอาไปเลย ผมไม่ไหว้
-ผมอยู่กับน้องอีก2คนที่บ้านเท่านั้น มีพระพุทธรูปอยู่บ้างของพ่อกับแม่ ผมบอกน้อง ถ้าจะไหว้หรือบูชาให้เอาไว้ในห้องของตัวเอง ไม่ต้องเอาออกมาในบ้าน ผลสุดท้ายไม่มีใครบูชา ผมเลยเก็บเข้าตู้หมด ถือว่าของพ่อแม่ และน้องยังเป็นพุทธอยู่
ทุกวันนี้กับศาสนาเดิม ผมเคารพในคนและคำสอน ตราบเท่าที่ไม่มาวุ่นวายกับจริตของผม
ไม่สนคนรอบข้างจะว่าไง
-รถผมชน 2 ครั้ง คนรอบข้างบอกให้ผมเปลี่ยนรถ หรือไม่ก็ไป รดน้ำมนต์บ้าง แต่ผมไม่เปลี่ยน และไม่ไปรดน้ำมนต์ เพราะผมเชื่อในพระเจ้า อาถรรพ์รถอะไรนั้น จะมาสู้กับพระได้ไง ผมคิดเช่นนั้น
-ที่ผ่านมาที่เขาไหว้เจ้ากัน มีไหว้รถด้วย รถจอดเรียงกัน 5-6 คัน คนในบ้านถามว่าจะไหว้รถผมด้วยไหม ผมบอกไม่ต้อง ผมไม่ไหว้
-ตอนนั้นไปร่วมงานทำบุญที่คณะ ที่มหาลัย เขาเชิญผมถวายข้าวพระสงฆ์ (พุทธ) ผมบอกไม่ละครับ ผมเป็นคริสต์
-ตอนนั้นต้องเดินทางกันเป็นหมู่คณะ เขาพากันไปไหว้พระ หน้ามหาลัยก่อนเดินทาง มีคนส่งธูปมาให้ ผมบอกไม่ไหว้ ผมเป็นคริสต์
-วันครบรอบพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อนผมถามว่าทำบุญให้บ้างไหม (ทางพุทธ) ผมบอกไม่ทำ ผมเป็นคริสต์ เพื่อนบอกว่า มึ-เปลี่ยนแล้วพ่อแม่มึ-เปลี่ยนด้วยเลอ ผมเงียบไม่สนใจ
-ผมย้ายบ้านเขามาบ้านใหม่ที่ซื้อต่อญาติกัน เขาบอกว่าเขาจะทิ้งศาลเจ้าที่จีนไว้ให้ที่บ้านด้วย ผมบอกเอาไปเลย ผมไม่ไหว้
-ผมอยู่กับน้องอีก2คนที่บ้านเท่านั้น มีพระพุทธรูปอยู่บ้างของพ่อกับแม่ ผมบอกน้อง ถ้าจะไหว้หรือบูชาให้เอาไว้ในห้องของตัวเอง ไม่ต้องเอาออกมาในบ้าน ผลสุดท้ายไม่มีใครบูชา ผมเลยเก็บเข้าตู้หมด ถือว่าของพ่อแม่ และน้องยังเป็นพุทธอยู่
ทุกวันนี้กับศาสนาเดิม ผมเคารพในคนและคำสอน ตราบเท่าที่ไม่มาวุ่นวายกับจริตของผม
-
- โพสต์: 605
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 05, 2009 3:19 pm
- ที่อยู่: พเนจร
- ติดต่อ:
แจ่มแจ้งแดงแจ๋คร้าบบบ
ขอบคุณมากครับผม
เข้าใจแว้ววววว
มีอะไรสงสัยเดี๋ยวววมาถามอีกนะฮะ ^ ^
ขอบคุณมากครับผม
เข้าใจแว้ววววว
มีอะไรสงสัยเดี๋ยวววมาถามอีกนะฮะ ^ ^