ไต่ตามโค้งตะวัน
“คำพูดของคุณ มีผลต่อคนอื่นมากกว่าที่คิด”
เรื่องจริงจาก 2 ชีวิตที่เหมือนและแตกต่าง
จาก ประสบการณ์ชีวิตของท่าน ท่านเคยรู้สึกเจ็บปวด ผิดหวัง เสียใจต่อคำพูดที่มากระทบใจบ้างหรือไม่? และท่านเคยพูดกระทบใจผู้คนรอบข้างท่าน หรือคนอื่น ๆ มากน้อยอย่างไรบ้าง???
ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง 2 เรื่องที่อาจช่วยให้เราหันกลับมาสำรวจตรวจสอบคำพูดของเราที่พูดกับคนอื่น เพราะเป็นไปได้ว่า คำพูดที่พูดไปนั้นอาจมีผลต่อชีวิตและอนาคตของผู้คนที่เราพูดด้วยมากกว่าที่ เราคิดก็เป็นได้
นานมาแล้ว ในหมู่ย้านชนบทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เด็กช่วยมิสซาคนหนึ่งทำศีลมหาสนิทที่อยู่ในรูปของเหล้าองุ่นหกโดยไม่ได้ ตั้งใจ คุณพ่อผู้ประกอบพิธีมิสซาตบเด็กคนนี้และตะโกน “ออกไป และอย่ากลับมาอีก!”
เด็กคนนี้เมื่อโตขึ้น เขาเป็นทหารที่มีชื่อว่า นายพลตีโต้ (Josip Broz Tito : 7 หรือ 25 พฤษภาคม 1892 – 4 พฤษภาคม 1980) เขาเป็นผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์ในประเทศยูโกสลาเวีย
ณ โบสถ์ใหญ่ในเมืองแห่งหนึ่ง เด็กช่วยมิสซาอีกคนหนึ่งทำศีลมหาสนิทที่อยู่ในรูปของเหล่าองุ่นหกโดยไม่ได้ ตั้งใจเช่นกัน พระสังฆราชผู้ประกอบพิธีเดินมาหาเขาและกระซิบปลอบใจเขาว่า “ไม่เป็นไรหรอก วันหนึ่งเธอจะเป็นพระสงฆ์ที่ยิ่งใหญ่”
เด็กคนนี้ เมื่อโตขึ้น เขาเป็นพระสงฆ์คาทอลิก เขาคือพระอัครสังฆราชฟูลตัน ซีน (Archbishop Fulton Sheen : 8 พฤษภาคม 1895 - 9 พฤษภาคม 1979) พระคุณเจ้าเป็นนักเทศน์และนักเขียนที่ครองใจประชาชนเป็นล้าน ๆ คนผ่านทางรายการโทรทัศน์และวิทยุทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
---+ คำพูดของคุณ มีผลต่อคนอื่นมากกว่าที่คิด +---
ย้อนมองตน : แล้วเราพูดให้กระทบใจใครบ้าง?
เมื่อผมอ่านเรื่องราวจาก ชีวิตจริงทั้งสองเรื่องนี้แล้ว อดคิดย้อนกลับมามองตนเองไม่ได้ว่ามีเหตุการณ์ใดในชีวิตที่ผมพูดกระทบใจคน อื่น และผมพบว่ามีมากมายหลายเหตุการณ์ที่ผมพูดไปแล้ว ผมรู้สึกเสียใจ แม้ว่าในขณะนั้นผมพูดด้วยเจตนาดีก็ตาม คำพูดเหล่านั้นก็ยังคงทำให้คนที่รับฟังรู้สึกเสียใจ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจมากน้อยตามแต่กรณี
ผมสังเกตว่า ในการพูดกระทบใจคนอื่นนั้นเริ่มขึ้นเมื่อผมเห็นหรือได้ยินเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วเกิดความรู้สึกภายใน เช่น เป็นห่วงกังวล อึดอัด ลำบากใจ ขัดเคืองใจ ตามด้วยคำพูดที่ออกมาแบบอัตโนมัติ
ในขณะเดียว กันผมก็สังเกตว่ามีคำพูดของคนอื่น ที่ผมฟังแล้ว ผมรู้สึกไม่สบายใจ เสียใจเช่นเดียวกัน บางครั้งผมก็พูดตอบโต้ออกไปทันทีทันใด บางครั้งผมก็ฟังโดยไม่ได้พูดตอบและเสียใจ ไม่สบายใจอยู่อย่างเงียบ ๆ
ผม คิดใจว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจะมีทางเลือก หรือทางออกอะไรบ้างที่จะช่วยให้ทั้งตนเองและคนอื่นสามารถสานความสัมพันธ์ต่อ ไปได้ อีกทางเลือกหนึ่ง : การพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน
เมื่อ ผมเรียนรู้เรื่องการสื่อสารด้วยความกรุณา (Compassionate Communication) ผมพบว่ามีเรื่องหนึ่งซึ่งสำคัญมากต่อความสัมพันธ์และความเข้าใจซึ่งกันและ กัน นั่นคือ “การสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน”
การสังเกตโดยปราศจาก การตัดสินคือ การพูดถึงเหตุการณ์ที่เราต้องการสื่อสารให้ผู้อื่นรับทราบอย่าง ตรงไปตรงมา ชัดเจน เฉพาะเจาะจง ปราศจากคำตัดสิน คำกล่าวโทษ หรือรวมเอาคำที่มีอคติเข้าไปด้วย เปรียบเสมือนกับการบันทึกภาพเหตุการณ์ด้วยกล้องวีดีโอ อย่างเช่น
ปกติเราอาจพูดว่า “ทำไมคุณมาสาย”
ถ้า เราจะพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน เราอาจพูดแบบการบันทึกภาพด้วยกล้องวีดีโอ “เรานัดประชุมเวลา 9 โมงเช้า ผมเห็นว่าคุณมาเวลา 11 โมง”
หรือเมื่อเราพูดว่า “ทำไมคุณไม่ทำตามที่เราตกลงกันไว้”
การพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินอาจพูดว่า “เมื่อว่านนี้ผมได้ยินคุณพูดว่า คุณจะเอาซอด้วงมา วันนี้ผมไม่เห็นซอด้วงของคุณ”
อีกตัวอย่างหนึ่ง เราพูดว่า “ชาวบ้านที่นี่ไม่ให้ความร่วมมือเลย”
ถ้า พูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินอาจพูดใหมได้ว่า “ในวันที่เรานัดประชุมชาวบ้าน 90 ครอบครัว ผมเห็นชาวบ้านมาร่วมประชุม 8 คน”
แถมอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราพูดว่า “เด็กพวกนี้นิสัยไม่ดี”
เราอาจพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินได้ว่า “ผมได้ยินเด็กคนหนึ่งในกลุ่มนี้พูดกับผมว่า ‘ลุงแก่แล้วอยู่เฉย ๆ เถอะ’”
การ พูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินเหมือนการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอนี้ ช่วยให้เราเริ่มต้นการสนทนากันด้วยความสบายใจ ลดความรู้สึกต่อต้าน ลดการปกป้องตนเอง หรือการพยายามอธิบายถึงการกระทำของตนเอง เพราะไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกกล่าวโทษ ตำหนิ วิจารณ์ หรือต่อว่า
หัวใจของการสังเกตคือการแยกแยะระหว่างการสังเกต ซึ่งแตกต่างจากการพูดด้วยคำตัดสินตีความ กล่าวโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การสังเกตโดยปราศจากการตัดสินเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราอาจใช้เพื่อเริ่มต้นการพูดคุยกันด้วยความกรุณา
เมื่อผมอ่านเรื่องราวจาก ชีวิตจริงทั้งสองเรื่องนี้แล้ว อดคิดย้อนกลับมามองตนเองไม่ได้ว่ามีเหตุการณ์ใดในชีวิตที่ผมพูดกระทบใจคน อื่น และผมพบว่ามีมากมายหลายเหตุการณ์ที่ผมพูดไปแล้ว ผมรู้สึกเสียใจ แม้ว่าในขณะนั้นผมพูดด้วยเจตนาดีก็ตาม คำพูดเหล่านั้นก็ยังคงทำให้คนที่รับฟังรู้สึกเสียใจ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจมากน้อยตามแต่กรณี
ผมสังเกตว่า ในการพูดกระทบใจคนอื่นนั้นเริ่มขึ้นเมื่อผมเห็นหรือได้ยินเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วเกิดความรู้สึกภายใน เช่น เป็นห่วงกังวล อึดอัด ลำบากใจ ขัดเคืองใจ ตามด้วยคำพูดที่ออกมาแบบอัตโนมัติ
ในขณะเดียว กันผมก็สังเกตว่ามีคำพูดของคนอื่น ที่ผมฟังแล้ว ผมรู้สึกไม่สบายใจ เสียใจเช่นเดียวกัน บางครั้งผมก็พูดตอบโต้ออกไปทันทีทันใด บางครั้งผมก็ฟังโดยไม่ได้พูดตอบและเสียใจ ไม่สบายใจอยู่อย่างเงียบ ๆ
ผม คิดใจว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจะมีทางเลือก หรือทางออกอะไรบ้างที่จะช่วยให้ทั้งตนเองและคนอื่นสามารถสานความสัมพันธ์ต่อ ไปได้ อีกทางเลือกหนึ่ง : การพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน
เมื่อ ผมเรียนรู้เรื่องการสื่อสารด้วยความกรุณา (Compassionate Communication) ผมพบว่ามีเรื่องหนึ่งซึ่งสำคัญมากต่อความสัมพันธ์และความเข้าใจซึ่งกันและ กัน นั่นคือ “การสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน”
การสังเกตโดยปราศจาก การตัดสินคือ การพูดถึงเหตุการณ์ที่เราต้องการสื่อสารให้ผู้อื่นรับทราบอย่าง ตรงไปตรงมา ชัดเจน เฉพาะเจาะจง ปราศจากคำตัดสิน คำกล่าวโทษ หรือรวมเอาคำที่มีอคติเข้าไปด้วย เปรียบเสมือนกับการบันทึกภาพเหตุการณ์ด้วยกล้องวีดีโอ อย่างเช่น
ปกติเราอาจพูดว่า “ทำไมคุณมาสาย”
ถ้า เราจะพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน เราอาจพูดแบบการบันทึกภาพด้วยกล้องวีดีโอ “เรานัดประชุมเวลา 9 โมงเช้า ผมเห็นว่าคุณมาเวลา 11 โมง”
หรือเมื่อเราพูดว่า “ทำไมคุณไม่ทำตามที่เราตกลงกันไว้”
การพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินอาจพูดว่า “เมื่อว่านนี้ผมได้ยินคุณพูดว่า คุณจะเอาซอด้วงมา วันนี้ผมไม่เห็นซอด้วงของคุณ”
อีกตัวอย่างหนึ่ง เราพูดว่า “ชาวบ้านที่นี่ไม่ให้ความร่วมมือเลย”
ถ้า พูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินอาจพูดใหมได้ว่า “ในวันที่เรานัดประชุมชาวบ้าน 90 ครอบครัว ผมเห็นชาวบ้านมาร่วมประชุม 8 คน”
แถมอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราพูดว่า “เด็กพวกนี้นิสัยไม่ดี”
เราอาจพูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินได้ว่า “ผมได้ยินเด็กคนหนึ่งในกลุ่มนี้พูดกับผมว่า ‘ลุงแก่แล้วอยู่เฉย ๆ เถอะ’”
การ พูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินเหมือนการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอนี้ ช่วยให้เราเริ่มต้นการสนทนากันด้วยความสบายใจ ลดความรู้สึกต่อต้าน ลดการปกป้องตนเอง หรือการพยายามอธิบายถึงการกระทำของตนเอง เพราะไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกกล่าวโทษ ตำหนิ วิจารณ์ หรือต่อว่า
หัวใจของการสังเกตคือการแยกแยะระหว่างการสังเกต ซึ่งแตกต่างจากการพูดด้วยคำตัดสินตีความ กล่าวโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การสังเกตโดยปราศจากการตัดสินเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราอาจใช้เพื่อเริ่มต้นการพูดคุยกันด้วยความกรุณา
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ ต.ค. 12, 2009 9:53 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ไตร่ตรอง : เราพูดแบบสังเกตหรือตัดสินผู้อื่น?
เมื่อผมไตร่ตรองคำ พูดของผมแล้ว ผมพบว่าในเหตุการณ์ณืมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมตัดสินตีความเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ก็เกิดการตื่นรู้ เกิดการตระหนักรู้ เกิดความสำนึกในตนเอง และอยากจะเปลี่ยนแปลงการพูดของตนเองให้แตกต่างจากเดิม ให้เป็นคำพูดที่มีความกรุณามากขึ้น มีสันติมากขึ้น โดยที่ยังคงความจริงใจอยู่ด้วย
น้อง ๆ ที่ทำงานด้านสังคม ทำงานด้านเยาวชนหลายคน เมื่อได้เรียนรู้ “การสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน” แล้ว พวกเขานั่งgงียบ และเล่าว่าที่นั่งเงียบก็เพราะว่า พวกเขาย้อนมองตนเองแล้ว พบว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะคุ้นเคยหรือเคยชินกับการตัดสิน ตีความแทนการสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน ทั้งที่พวกเขามีเจตนาดีและไม่มีเจตนาจะตัดสินกล่าวโทษผู้อื่นแต่อย่างใด
ลงลึก : ท่านตัดสินเขาอย่างไร?
ผม จำได้ว่าในการศึกษาพระวรสารเป็นหลุ่มครั้งแรกในชีวิตของผมเมื่อผมยังเรียน อยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนั้น เราไตร่ตรองและแบ่งปันในเรื่อง “อย่าตัดสินผู้อื่น” (มัทธิว 7:1-5)
“อย่าตัดสินเขา เพื่อท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขาพระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน
เหตุไฉนท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้องแต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย
ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่าน
ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากด้วงตาของพี่น้อง”
การ กลับมาไตร่ตรองพระวรสารตอนนี้อีกครั้ง ช่วยให้เกิดความตระหนักถึงการใช้คำพูดโดยปราศจากตัดสิน เริ่มด้วยการขอความสว่างจากพระให้เรายอมรับตนเอง ขอพระคุณที่จำเป็นเพื่อช่วยให้เราเห็นหนทางที่จะสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น กับคนอื่นตามหนทางแห่งความรักของพระองค์
เติมเต็มความกรุณาให้แก่กันและกัน
การ พูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินนี้อาจเป็นวิธีการหนึ่งในอีกหลายวิธีการที่ ช่วยให้เราพอจะมีแนวทาง พอจะมีตัวเลือกเพื่อสานสัมพันธ์ เพื่อสร้างสันติ ลดความรุนแรง เพื่อเติมเต็มความกรุณาให้แก่กันและกัน ทั้งในครอบครัว ในที่ทำงาน สถานศึกษา วัด ชุมชน และสังคมไทยอันเป็นที่รักของเรา
“ลิ้นของปราชญ์นำการักษามาให้” (สุภาษิต 12:18)
แหล่งอ้างอิง
“Word for Today” with Bob Gass
http://www.ucb.couk/word_for_today
http://en.wikipedia.org/wiki/Fulton_Sheen
http://en.wikipedia.org/wiki/Josip_Broz_Tito
การสื่อสารด้วยความกรุณา (Compassionate Communication) มีพื้นฐานมาจากการสื่อสารไร้ความรุนแรง (Nonviolent Communication)
นิตยสารคาทอลิกรายเดือนอุดมศานต์ ประจำเดือนตุลาคม 2552/2009 หน้าที่ 54 – 56. กรุงเทพฯ:
เมื่อผมไตร่ตรองคำ พูดของผมแล้ว ผมพบว่าในเหตุการณ์ณืมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมตัดสินตีความเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ก็เกิดการตื่นรู้ เกิดการตระหนักรู้ เกิดความสำนึกในตนเอง และอยากจะเปลี่ยนแปลงการพูดของตนเองให้แตกต่างจากเดิม ให้เป็นคำพูดที่มีความกรุณามากขึ้น มีสันติมากขึ้น โดยที่ยังคงความจริงใจอยู่ด้วย
น้อง ๆ ที่ทำงานด้านสังคม ทำงานด้านเยาวชนหลายคน เมื่อได้เรียนรู้ “การสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน” แล้ว พวกเขานั่งgงียบ และเล่าว่าที่นั่งเงียบก็เพราะว่า พวกเขาย้อนมองตนเองแล้ว พบว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะคุ้นเคยหรือเคยชินกับการตัดสิน ตีความแทนการสังเกตโดยปราศจากการตัดสิน ทั้งที่พวกเขามีเจตนาดีและไม่มีเจตนาจะตัดสินกล่าวโทษผู้อื่นแต่อย่างใด
ลงลึก : ท่านตัดสินเขาอย่างไร?
ผม จำได้ว่าในการศึกษาพระวรสารเป็นหลุ่มครั้งแรกในชีวิตของผมเมื่อผมยังเรียน อยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนั้น เราไตร่ตรองและแบ่งปันในเรื่อง “อย่าตัดสินผู้อื่น” (มัทธิว 7:1-5)
“อย่าตัดสินเขา เพื่อท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขาพระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน
เหตุไฉนท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้องแต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย
ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่าน
ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากด้วงตาของพี่น้อง”
การ กลับมาไตร่ตรองพระวรสารตอนนี้อีกครั้ง ช่วยให้เกิดความตระหนักถึงการใช้คำพูดโดยปราศจากตัดสิน เริ่มด้วยการขอความสว่างจากพระให้เรายอมรับตนเอง ขอพระคุณที่จำเป็นเพื่อช่วยให้เราเห็นหนทางที่จะสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น กับคนอื่นตามหนทางแห่งความรักของพระองค์
เติมเต็มความกรุณาให้แก่กันและกัน
การ พูดแบบสังเกตโดยปราศจากการตัดสินนี้อาจเป็นวิธีการหนึ่งในอีกหลายวิธีการที่ ช่วยให้เราพอจะมีแนวทาง พอจะมีตัวเลือกเพื่อสานสัมพันธ์ เพื่อสร้างสันติ ลดความรุนแรง เพื่อเติมเต็มความกรุณาให้แก่กันและกัน ทั้งในครอบครัว ในที่ทำงาน สถานศึกษา วัด ชุมชน และสังคมไทยอันเป็นที่รักของเรา
“ลิ้นของปราชญ์นำการักษามาให้” (สุภาษิต 12:18)
แหล่งอ้างอิง
“Word for Today” with Bob Gass
http://www.ucb.couk/word_for_today
http://en.wikipedia.org/wiki/Fulton_Sheen
http://en.wikipedia.org/wiki/Josip_Broz_Tito
การสื่อสารด้วยความกรุณา (Compassionate Communication) มีพื้นฐานมาจากการสื่อสารไร้ความรุนแรง (Nonviolent Communication)
นิตยสารคาทอลิกรายเดือนอุดมศานต์ ประจำเดือนตุลาคม 2552/2009 หน้าที่ 54 – 56. กรุงเทพฯ:
เท่าที่สัมผัสกับตัวเองน่ะ ส่วนใหญ่เวลาพูด ผมจะระมัดระวัง เพราะไม่อยากไปพาดพิงใคร หรือทำให้ใครเสีย พูดง่ายๆ ว่าไม่อยากมีเรื่องครับ อนึ่งเวลาผมไม่ชอบฟังคนอื่นพูดแบบไหน ผมก็จะไม่พูดแบบนั้น ผมจะเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานเสมอ แต่ถ้าผมพูดแบบไม่คิดก็ไม่คิดจริงๆ ผมไม่สนใจใคร แม้จะมานั่งคิดทีหลัง แต่ผมก็ไม่คิดจะไปแก้ไขมัน เพราะตอนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
อยากได้บทความแบบนี้มานานแย้วค๊าบบบบT^T
ของคุงเฮียปอป๊ออย่างยิ่งยวดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ของคุงเฮียปอป๊ออย่างยิ่งยวดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
โดนเต็มๆ เรื่องนี้
แต่ไม่ได้ว่าใครหรอกนะ จะเป็นเรื่องที่เป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมา
ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร แต่บางทีก็ไปกระทบความรู้สึกคนอื่น
หรือบางทีพูดเล่น แต่ไปโดนจุดเค้า ก็จะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง
ถ้าข้าพเจ้าทำใครเสียใจก็ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ
แต่ไม่ได้ว่าใครหรอกนะ จะเป็นเรื่องที่เป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมา
ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร แต่บางทีก็ไปกระทบความรู้สึกคนอื่น
หรือบางทีพูดเล่น แต่ไปโดนจุดเค้า ก็จะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง
ถ้าข้าพเจ้าทำใครเสียใจก็ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ
แก้ไขล่าสุดโดย sinner เมื่อ จันทร์ ต.ค. 12, 2009 10:15 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ขอบคุณครับ บทความแบบนี้เนื้อหาน่าสนใจมากมาย ขอเอาไปเผยแพร่ต่อเช่นเคยนะครับ