ความหยาบกระด้างของใจมนุษย์ ได้ทำลายแผนการนี้จนหมดสิ้น
"เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่าน โมเสสจึงได้เขียนบัญญัติข้อนี้"
มนุษย์ได้ออกจากกระแสชีวิตเดิม เขาจึงได้ถามว่า"เป็นการถูกต้องหรือไม่?"
แต่
สำหรับพระเยซูเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นไปได้ เพราะพระองค์ทรงเปิดเผยความรักอ่อนหวานของพระเจ้าต่อแผ่นดิน
เมื่ออยู่กับพระเจ้า
ชายและหญิงจะกลับมาพบการเริ่มต้นที่สำคัญ คือ ความรักที่ทรงเริ่มต้นสรรพสิ่ง
และสร้างคู่ชายหญิงขึ้นตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า
จะกลับเป็นเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันของสองบุคคลในบรรยากาศของ"พวกเรา"
ในจุดสำคัญนี้
ผู้คนได้เข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้าหรือเปล่า?
ข้อสังเกตที่ชัดเจนของบรรดาสานุศิษย์และพยากรณ์ถึงอนาคตได้
"ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย"(มธ19:10)
ใช่แล้ว
ถ้าความรักอ่อนหวานและความเมตตาขาดไป
ถ้ามนุษย์ไม่ได้อยู่ในกระแสของความรักที่ทรงสร้างแล้ว
การสมรสก็เป็นเพียงแอกที่ทนไม่ไหวและหัวในหยาบกระด้างบังคับให้มีกฎการหย่ากัน
พระอาจารย์ทรงแย้มให้เห็นอีกวิธีหนึ่งเพื่อดำเนินชีวิตในความรักของพระเจ้า
พระองค์ตรัสว่า"บางคนไม่แต่งงานเพราะเห็นแก่พระอาณาจักรสวรรค์"(มธ19:12)
วิธีดำเนินชีวิตนี้ คือ การถือโสดเพื่ออุทิศถวายตนตามแบบของพระเยซูเจ้า
ชายและหญิงจะไม่แต่งงานเพื่ออุทิศตนประกาศข่าวดีได้เต็มที่
ดังนั้น เขาจะเปิดตนรับพลังความรักอ่อนหวานที่มาจากพระบิดา
เขาจะเป็นประจักษ์พยานและผู้ถ่ายทอดความรักนั้นแก่มนุษย์
ส่วนท่าทีของพระเยซูเจ้าที่มีต่อเด็กๆได้รับอิทธิพลจากความล้ำลึกที่เสริมสร้างของพระองค์
เป็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของสังคมอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกัน
เรารู้จักเรื่องราวที่ผู้ประพันธ์พระวรสารได้เล่าให้ฟัง
:มีผู้นำเด็กเล็กๆมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เพื่อให้ทรงสัมผัสและอวยพร แต่
บรรดาศิษย์กลับดุคนเหล่านั้น
เมื่อพระองค์ทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า"ปล่อยให้เด็กๆมาหาเราเถิด อย่าห้ามเขาเลย
เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้ เราขอบอกความจริงแก่ท่านว่า
"ผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเด็กเล็กๆเขาจะไม่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรนั้นเลย"
แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเหล่านั้นไว้ ทรงปกพระหัตถ์และประทานพระพร(มก 10:13-16)
หลายคนจำได้และประทับใจในความน่ารักของเรื่องนี้
แต่ท่าทีของพระเยซูเจ้ามีความหมายมากกว่านี้
เป็นท่าทีใหม่ในการมองดูเด็กๆ
ท่าทีของศิษย์ที่ไล่เด็กๆให้ออกไปเพราะรู้สึกว่าเด็กๆเหล่านี้ก่อความรำคาญให้พวกเขา
สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของสังคมโบราณได้เป็นอย่างดี สมัยนั้น มีเพียงผู้ใหญ่เท่านั้นที่มีความสำคัญ
ส่วนเด็กๆนั้นเป็น"สิ่ง"ที่ไม่สำคัญ และไม่ควรได้รับความเคารพ
พระเยซูเจ้าไม่เพียงขอให้เขาปล่อยเด็กๆเข้ามาหาพระองค์เท่านั้น
แต่ยังทรงยกเด็กๆขึ้นเป็นตัวอย่าง โดยให้ความหมาย เปรียบเทียบอย่างลึกซึ้งระหว่างพระอาณาจักรของพระเจ้ากับเด็กเล็กๆ
พระอาจารย์ทรงรู้ดีว่าเด็กๆไม่ได้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่พระองค์เล็งเห็นและพอพระทัยในตัวเขาคือ
ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ การเปิดใจอย่างง่ายดายเพื่อฟังคนอื่น
อีกกรณีหนึ่ง ที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า
วิบัติแก่ผู้ที่หลอกลวง ดูถูกความไว้วางใจและเป็นที่สะดุดแก่เด็กๆเหล่านั้น
เราไม่สามารถที่จะยืนยันศักดิ์ศรีของเด็กๆและให้เกียรติต่อเขามากกว่านี้
ให้รู้แต่เพียงว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงสำหรับเขาด้วย
จากตัวอย่างเหล่านี้
เราเห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระอาณาจักรของพระเจ้า
ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ถือสารมาแจ้งให้ทราบ และ
พระองค์ทรงทำให้เป็นปัจจุบันด้วยการประทับอยู่ของพระองค์
และเป็นรากฐานใหม่ของสังคม และ
การที่จะตั้งสังคมขึ้นได้ก็ต้องรับพลังแห่งความเมตตาและความรักอ่อนหวานที่มาจากพระบิดาเท่านั้น
ความจริงแล้ว
พลังเดียวนี้ สามารถเปิดทางให้โลกเหมาะสมสำหรับมนุษย์ยิ่งขึ้น
ตามกระแสประวัติศาสตร์
มีบางชาติที่ได้แสดงภรากรภาพบนความยุติธรรม เคร่งครัด
แต่เนื่องจากการไม่รู้จักให้อภัยและความรัก ชาติเหล่านั้นจึงตกอยู่ในความพินาศ
ความยุติธรรมที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ต้องมีความเมตตาและความรัก
และนี่เอง ที่ต้องเป็นพันธกิจของศิษย์ของพระเยซูเจ้าที่จะฉีดความรักเสน่หาและความเมตตา
ลงในกระแสของความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างบุคคลและสังคมไปพร้อมๆกันกับความยุติธรรม
ความรักเมตตา และความยุติธรรม ประกาศสารของพระเมสสิยาห์ในพระวรสาร
**********************************************************
พระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่เป็นนักปฏิรูปที่จะแก้ไขการใช้อำนาจในทางที่ผิดในกรอบของศาสนาและการเมืองในสมัยของพระองค์เท่านั้น
แต่พระองค์ยังทรงสร้างระบบใหม่ ในพระวาจาแต่ละคำของพระองค์ มีฤทธิ์ของโลกที่แฝงตัวอยู่อย่างเงียบๆกำลังผุดขึ้นมา
ฤทธิ์นั้นเป็นพลังแห่งความรัก อ่อนหวานของพระเจ้า บันดาลให้โลกเก่าปริแตก พังลง เหมือนต้นไม้ที่เจริญขึ้นเมื่อได้รับน้ำเลี้ยง
ต้นไม้นี้สามารถดันและยกกำแพงคอนกรีตได้
**********************************************************
ผู้นิพนธ์พระวรสารได้บันทึกพระวาจาของพระเยซูเจ้า
เรื่องหนึ่งที่มนุษย์ไม่ได้เข้าใจอย่างดีถึงพลังการปลดปล่อย
เพราะเขาไม่ได้เข้าใจแนวทางพระวรสาร คือ ไม่ได้เข้าใจโดยอาศัยแสงสว่างของพระอาณาจักรที่กำลังมาถึง
วันหนึ่ง ชาวฟาริสี กลุ่มหนึ่งทูลถามพระเยซูเจ้าว่า
"พระอาจารย์เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่จะเสียภาษีแก่ซีซาร์ เราต้องเสียภาษีหรือไม่ต้องเสียภาษี"
พระองค์ทรงทราบความเจ้าเล่ห์ของเขา จึงตรัสว่า
"มาทดสอบเราทำไม เอาเงินเหรียญมาให้เราดูสักเหรียญหนึ่งซิ"
เขาก็นำเงินเหรียญหนึ่งมาถวาย
พระองค์ตรัสถามว่า"รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?"
เขาก็ตอบว่า"เป็นของซีซาร์"
พระองค์จึงตรัสว่า"ของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของพระเจ้าก็จงคืนในพระเจ้าเถิด"
(มก 12:14-17)
คนส่วนใหญ่มักจะจำเฉพาะตอนแรกที่พระเยซูเจ้าทรงตอบ"ของของซีซาร์จงคืนให้แก่ซีซาร์"
และเขาเอาคำเหล่านี้มาเป็นพื้นฐานของข้อกำหนดความซื่อสัตย์สุจริตต่ออำนาจรัฐ
ดังนั้น พระวาจาของพระเยซูเจ้าจะเป็น เหมือนคำพิพากษาของซาโลมอน
ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันของทั้งสองอำนาจและขอบเขตของสองอาณาจักรในจิตตารมณ์แห่งการประนีประนอมกัน
การเข้าใจเช่นนี้ ไม่ตรงกับความคิดของพระเยซูเจ้าเลย
จุดสำคัญในคำตอบของพระเยซูเจ้าตรงกันข้ามกับความคิดของคนทั่วไป
ซึ่งปรากฎอยู่ในตอนที่สอง
"ของของพระเจ้าจงคืนให้แก่พระเจ้า"
เป็นวาจาที่คืนอิสรภาพเป็นวาจาของพระวรสาร
ไม่ใช่วาจาของจริยธรรมการเมือง
เหรียญเงินที่มีภาพลักษณ์ของพระเจ้าเป็นของพระเจ้า
ถ้าพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ ในมนุษย์มีส่วนหนึ่งที่ไม่ขึ้นต่อซีซาร์และอำนาจระบบของซีซาร์
เป็นส่วนหนึ่งที่เหนือธรรมชาติ ที่ไม่มีอำนาจใดในโลกจะเป็นเจ้าของได้
ส่วนที่เป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้า มนุษย์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยตรง
เราจะเข้าใจความหมายของพระวาจาของพระเยซูเจ้า ก็โดยอาศัยแสงสว่างของพระอาณาจักรที่กำลังมาถึง
พระวาจานี้ หมายความว่า เมื่อมนุษย์ได้ต้อนรับการเสด็จมาอยู่ใกล้ในรูปแบบใหม่ของพระเจ้าแล้ว
เขาก็จะได้รับอิสรภาพพ้นจากอำนาจของคนใดๆในโลกนี้
แทนที่จะเน้นหนักไปยังหน้าที่การงานที่ต้องนบนอบต่ออำนาจทางการเมือง
ในทางตรงกันข้าม พระวาจานี้มุ่งจะจำกัดหน้าที่ต่อรัฐ แม้จะไม่ได้ลบล้างหน้าที่นั้น
ในพระวาจาของพระเยซูเจ้า แต่ละคำมีการประทับอยู่ของพระเจ้า
ที่เสนอพระองค์เชื้อเชิญให้รักษาอิสรภาพ เหตุว่า
"โอรส ธิดา ย่อมได้รับการยกเว้น(จากการเสียภาษี)"(มธ 17:26)
(จบบทที่ 11)
