มันโดนบ่อยจนเป็นความซ้ำซาก ซ้าซ้อน จำเจ ซ้าไปซ้ำมา
เหมือนกับมันเคยเกิดขึ้นแล้วไม่รู้กี่ครั้งเป็นความซ้ำๆ ซ้ำเดิมๆ
ซ้ำไปมา จำเจ อ่านแล้วรู้สึกรำคาญ ซ้ำเหลือเกิน ซ้ำจริงๆ
เหมือนมันจะซ้ำนะ ซ้ำจนคนอื่นรำคาญ ซ้ำจริงไรจริง
จำเจหมกมุ่น = =





ประเด็นดังที่ถกเถียงกันมายาวนาน บัดนี้ขอเคลียร์ให้กระจ่าง
ตามที่ได้ไปอ่านเจอมา เป็นข้อความของท่าน C.Pink ที่ช่วย
มาตอบปัญหานี้แทนข้าพเจ้าในบอร์ดแห่งหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยนามไม่อยากให้ตามไปปวดหัว)
อ่านแล้วเป็นแนวทางในการตอบคำถามโลกแตกได้ดี
คำถามที่ซ้ำ น่าเบื่อจำเจ ซ้ำไปมา เรื่อง การวอนขอแม่พระ
โดนโจมตีบ่อยมั้ย หลายบอร์ด (บอร์ดคริสเตียน) เดี๋ยวนี้ไม่เล่นแล้ว
รู้สึกรำคาญเอะอะไรเราก็ผิืดตลอด
[เรียงชื่อ 4 เล่มแรก - มัทธิว,มาระโก,ลูกา,ยอห์น]
นักบุญลูกา เป็นผู้เขียน ในพระธรรมใหม่ มีอยู่ 2 ฉบับ คือ
1. ลูกา
2. กิจการ
มีหลายคนข้องใจถาม .... ว่า *
นักบุญลูกา * เขียนโดยได้รับการดลใจจากพระจิต* นั้น
หมายความว่า อย่างไร ?
กรณีที่ 1. หมายความว่า - คำทุกคำที่ นักบุญลูกา บันทึกไว้นั้น คือคำของพระเจ้าเองที่ได้ทรงตรัส ผ่านมาทาง ปลาย ปากกา ของ นักบุญลูกา
หรือว่า ไม่-ใช่ แต่ให้หมายความว่า ตามกรณีที่ 2 แทน
กรณีที่ 2. หมายความว่า - พระเจ้าเพียงแค่ ดลใจ นักบุญลูกา ด้วยพระจิต ให้ นายลูกา
ไปเขียนใหม่ 2 ฉบับ
แต่การที่ นักบุญลูกา จะเขียนออกมาเป็นอย่างไรนั้นพระเจ้า ตามใจ นักบุญลูกา ผู้เขียนผู้บันทึก จะเขียนเป็นเรื่องแบบ เขาเล่าว่า หรืออย่างไรก็ตามใจ นักบุญลูกาา ให้นักบุญลูกามีสมองอยู่แล้ว นักบุญลูกาจงไปคิดเอาเอง ว่าสมควรจะเขียนพระคัมภีรืออกมาให้เป็นเช่นไร
อธิบายกรณีนี้เช่น วันนี้
พระเจ้าดลใจ คุณ 1
หรือ พระเจ้าดลใจ นักบุญลูกา
หรือ ดลใจ คุณ 2
หรือ ดลใจ คุณ 3 ก็ได้ ให้มาหาผมถึงบ้าน
เพื่อจะได้มากล่าวคำจากข่าวประเสริฐนั้น ให้ผมฟัง อย่างถูกต้อง
เพื่อจะได้นำพระคำของพระองค์ มาหนุนใจผมถึงบ้าน ใน''วันนี้''
ตามลักษณะที่ 2 นี้ ใครคนใดคนหนึ่ง ที่มาหาผมถึงบ้าน ใน''วันนี้''
(ให้เราสมมุติไว้ก่อนว่า ทั้ง 4 ท่านนี้ ได้รับการดลใจจากพระจิตจริง)
เมื่อ คุณ1 มาหาผมถึงบ้าน ใน''วันนี้'' ทุกคำที่ออกจากปากของคุณ 1 ใน''วันนี้''เป็นคำของพระเจ้าเอง ทุกถ้อยคำ ทั้งสิ้น ไม่มีการผิดเพี้ยนเลยแม้แต่เล็กแต่น้อย
เพราะว่า การมาหาผมถึงบ้าน ของคุณ 1 ใน''วันนี้'' เป็นการมาหา โดยได้รับการดลใจ จากพระจิต ของพระเจ้า ''วันนี้''คุณ 1 จึงมานั่งอธิบายให้ผมฟัง เช้า ยันเย็นเลย หรือจะเปลี่ยนชื่อเป็น นักบุญลูกา แทนก็ได้ แทนที่จะดลใจส่งคุณ 1 มาหาผมถึงบ้าน ใน''วันนี้''
เขียนโดยได้รับการดลใจจากพระจิต * ตามกรณีที่ 2 นี้ * คุณคงจะมองเห็นได้ชัดเจน ว่ามันต่างจากกรณีที่ 1 อย่างไร สำหรับ 4 รายชื่อที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่างนี้
หนังสือลูกาได้เขียนขึ้นเมื่อราว คศ.60-80
เขียนขึ้นหลังจากพระเยซู สิ้นพระชนม์ไปแล้วไม่น้อยกว่า 30 ถึง50 ปี
คราวนี้ มาเข้าเรื่อง
นักบุญลูกา เขียน พระวรสาร ในคศ. ราว ..... ? คศ.60-80
พระเยซูสิ้นพระชนม์ไปนาน กี่ปีแล้ว ..... ? 50 ถึง 30 ปี เป็นอย่างน้อยสุด
นักบุญลูกา บันทึกไว้ว่า ''แม่ ของพระเจ้า''
(แปลแบบ ไม่ใช้ ราชาศัพท์ไทย)
นักบุญลูกา ย่อมรู้ดีว่า พระนางมารีย์เป็นมนุษย์ เป็นสิ่งสร้างจากพระเจ้า
ลูกา 1:43 เป็นไฉนข้าพเจ้าจึงได้ความโปรดปรานเช่นนี้ คือ มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าได้มาหาข้าพเจ้า
(นักบุญลูกากำลังเขียนบันทึก เรื่องราว ก่อนการกำเนิดของพระเยซูคริสต์ ที่พูดโดยนางเอลีซาเบธ แม่ของ ยอห์นผู้ให้บัพติสมา ได้เรียกนางมารีย์ว่า''แม่ ของพระเจ้า'')
''มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า'' -ศัพท์ไทย แปลแบบให้เกียรติ
''แม่ ของพระเจ้า'' -ไม่ใช้ ราชาศัพท์ แปลแบบ ไม่ให้ เกียรติ
''แม่พระ'' -คำย่อ
''พระแม่มารีย์'' มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า -ราชาศัพท์ไทย แปล พูดแบบให้เกียรติ
''พระแม่'' -คำย่อ
-ความหมายเดียวกัน แต่ใช้ -ราชาศัพท์ ตามสำนวนและความหมายในภาษาถิ่น ของคนไทย
ผมตอบว่า
* ถ้า นักบุญลูกา เขียนบันทึกตาม กรณีที่ 1.* หมายความว่า
พระเจ้าเองเป็นผู้ให้เกียรติ และยกย่องสิ่งสร้างชิ้นนี้เอง พระเจ้าเองต้องการให้เกียรติมนุษย์คนนี้ ให้มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ โดยที่พระเจ้าไม่ทรงอิจฉา นางเลย
(พระเจ้าทรงเป็นความรัก-ความรัก ไม่อิจฉา)
(พระเจ้าอาจจะยกย่องอีกหลายคนก็ได้ เช่นคุณ 3 ให้ได้รับเกียรติเช่นนี้ เพียงแต่ว่า ในพคภ. มีผู้หญิงคนนี้ได้ถูกบันทึกไว้แล้ว ว่า ได้รับเกียรติให้มนุษย์อย่างน้อยหนึ่งคน คือนักบุญลูกา เรียกนางเช่นนั้น)
* ถ้า นักบุญลูกา เขียนบันทึกตาม กรณีที่ 2.* หมายความว่า
บรรดาอัครสาวก และ สานุศิษย์ ของพระเยซู ในสมัยที่ นักบุญลูกา กำลังเขียนบันทึกนั้น หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ไปได้ประมาณ กี่ ... ปี อย่างน้อยสุด 30 ปี
แสดงว่า คริสตชนในยุคสมัย 30 ปีแรก ในขณะนั้น พระนางมารีย์ได้รับเกียรติจากบรรดาอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ เรียกนางว่า ''แม่ ของพระเจ้า''
หรือว่า ไม่ใช่
บ่อยครั้ง ที่พวกเราคริสเตียนชอบใช้วิธี ให้เพื่อนคริสเตียนของเราด้วยกัน ช่วยขอ พระเจ้าให้เรา บ้าง ตามคำสอนที่เปาโลกล่าวว่า 2 เธสะโลนิกา 3
1 พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดจงอธิษฐานเผื่อเรา
มีอีกหลายบท ที่เปาโลพูดทำนองนี้
บ่อยครั้ง ที่นักบุญเปาโลขอตรง ต่อพระเจ้าเองบ้าง
สอง วิธีการนี้ พวกเราคริสเตียนชอบใช้บ่อย
การให้คนอื่นๆช่วยขอให้เรา ขอแทนเรา ในบอร์ดหลายที่ยังใช้กันบ่อยด้วย ทั้งๆที่เรายังไม่เคยเห็นตัวกัน ยังไม่เคยรู้จักกัน แต่เราก็ยังรู้จักมาขอต่อมนุษย์ ให้ผู้อ่าน ที่เป็นผู้เชื่อ ไปขอต่อพระเจ้า ขอแทนเรา ให้เราด้วย
นั่นเป็นการขอในฐานะลูก ลูกๆ ทียังถูกพ่อเฆี่ยนพ่อตี อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ทั้งตัวเราเอง และเพื่อนของเรา อาจารย์ ศบ. ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า[ด่ากันอยู่เต็มบอร์ด(ไม่เอ่ยนาม) ต่างฝ่ายต่างก็ด่าว่าอีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่ได้เข้าสวรรค์แน่นอน ต้องลงนรกแน่นอน]
แต่เราก็ยังนิยมให้บรรดาลูกที่ถูกเฆี่ยนถูกตีเหล่านี้ ไปช่วยขอให้เราด้วย ขอแทนเรา ให้อาจารย์ ศบ. ช่วยวางมือบนเรา ขอต่อพระเจ้าให้กับเรา
แต่คาทอลิคเรา เพิ่มวิธีที่ 3 เข้ามา เพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
คาทอลิค บอกว่าก็คาทอลิก มีบันทึก ลำดับโป๊ปที่สืบทอด อำนาจนักบุญเปโตร ตกทอดสืบตำแหน่งต่อจากนักบุญเปโตรมาทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยขาดตอน มีบันทึก มาตั้งแต่ นับนักบุญเปโตรเป็น โป๊ปองค์ที่ 1 และ มี โป๊ปองค์ที่2 โป๊ปองค์ที่สาม 4 ห้า 6 ต่อมาเรื่อยๆ จนถึงโป๊ปองค์ปัจจุบันองค์ที่ 260 กว่า ก็มีคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
ถึงแม้ อาโรนพี่ชายโมเสส ก็ยังไม่ใช่คนดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า
นักบุญเปโตรก็ถูกพระเจ้า ดุ เรื่องความเชื่อมากกว่าอัครทูตคนอื่นๆใน 12 คนนั้น
เมื่อ คาทอลิค มองเห็นคำนี้ มั่นใจเลย ว่า คำสอนที่สืบทอดกันมาในเรื่องนี้นั้นถูกต้องดีอยู่แล้ว ตาม พระ คัม ภีร์ ทุกประการ
ผู้หญิงคนนี้ นางมารีย์คนนี้ เข้าสวรรค์ไปแล้วแน่นอน ถ้าหากให้ แม่ของพระเจ้า ช่วยขอให้ อีกแรงหนึ่งล่ะ [น่าจะดีกว่าคำขอจากลูกๆทียังด่ากันอยู่ในสังคมหลายแห่ง]
หากเราให้ พระนางมารีย์ ที่ได้รับเกียรติจากพระเจ้า และสาวกในยุคแรกนั้น เรียกนางว่า แม่-ของพระเจ้า(ตามคำที่ลูกาใช้) ช่วยขอให้เราอีกแรงหนึ่งด้วยล่ะ
มารดา-ของพระเจ้า จะช่วยขอให้เราบ้างหรือเปล่า เราไม่รู้
แต่ถ้าหาก พระนางยินยอมขอต่อพระบุตรของพระนางให้กับเราล่ะ
คิดว่าน่าจะดีกว่า คำขอจากบรรดาลูกๆที่ยังถูกเฆี่ยนถูกตี ลูกทียังด่ากันอยู่เต็มบอร์ด(ไม่ขอเอ่ยนามมีหลายแห่ง) ใครจะเข้าสวรรค์จริง ลงนรกจริง ยังเถียงกันไม่รู้จบเลย
ยอห์น 2
ที่พระเยซูเปลี่ยนน้ำเปล่าให้เป็นน้ำองุ่นในงานสมรสหมู่บ้านคานา
พระเยซู(พระเจ้า) ยอมทำตามคำขอ คำขอของผู้หญิงที่ชื่อนางมารีย์ในครั้งนั้น ที่นางขอแทน ขอให้ช่วยเจ้าภาพของงานนั้น ด้วยเคารพ เชื่อฟังพระนางมารีย์ ในฐานะ แม่ของพระเยซู(พระเจ้า)
คำคัดค้าน 95 ข้อ ของ ท่านมาร์ตินลูเธอร์ ก็ไม่มีการคัดค้านเรื่องนี้
(ท่านลูเธอร์ เป็นนักบวชปริญญาโทในพระศาสนาจักรคาทอลิค ยังอยู่ในชุดนักบวชคาทอลิคอยู่ในโบสถ์คาทอลิค และยังกระทำตัวเป็นนักบวชอยู่ในโบสถ์พระศาสนาจักรคาทอลิค จนวินาทีสุดท้าย ก่อน ถูกโป๊ปประกาศขับไล่ ออกจากพระศาสนาจักร ด้วยอำนาจ โป๊ปในสมัยนั้น)
ใช่แล้ว พคภ.ไม่เคยสอนให้เราไปบอกกับวิญญาณของคนตาย ว่าให้วิญญาณของคนตายไปช่วยขอต่อพระเจ้าให้เราหน่อย
แต่พระเจ้าบอกเราว่า พระองค์ไม่ได้มองอย่างนั้นครับ พระองค์ไม่ได้มองอย่างที่คุณกำลังมอง
พคภ บอกเราว่าในสายตาของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้มองเหมือนกับที่ คุณ กำลังมองครับ
คุณอาจมองว่า คุณปู้ทวด ย่าทวดของคุณตายไปนานแล้วเน่าเหลือแต่กระดูกแล้ว วิญญาณ กับ ร่างกาย แยกร่างออกจากกันนานแล้ว
นั่นเป็นการมองแบบมนุษย์ครับ
แต่ในสายตาของพระเจ้า ตัวคุณ และหญิงที่ชื่อมารีย์ ยังไม่ตาย เช่นเดียวกับที่ คุณปู้ทวด ย่าทวดของคุณก็ยังไม่ตายครับ
พระองค์ไม่ได้คิดอย่างที่คุณกำลังคิด พระเจ้ามองว่า คุณปู้ทวด ย่าทวดของคุณ ยังไม่ตายครับ
ลูกา 20
38 พระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าของผู้ตาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าของผู้เป็น
ดังนั้น ในสายตาของพระเจ้า คนทุกคนเป็นอยู่เหมือนกันหมดครับ ไม่ว่าวิญญาณจะแยกออกจากร่างแล้ว หรือยังมีวิญญาณอยู่ในร่างกาย ไม่มีคนเป็นหรือคนตาย ตามที่มนุษย์คิด และมนุษย์มองเห็นภาพเช่นนั้น แต่ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น ด้วยว่าจำเพาะพระเจ้า คนทุกคนเป็นอยู่
จำเพาะพระเจ้า คนทุกคนเป็นอยู่
ในสายตาของพระเจ้า ร่างกายคุณปู่ทวด ย่าทวดของคุณ แค่เปลี่ยนสภาพเท่านั้นครับ
จากที่เคยเป็นเด็กเล็กๆ 5กิโล ก็โตชึ้น ใหญ่ขึ้น อ้วนขึ้น น้ำหนักขึ้นเป็น 100กิโล แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนสภาพไป เป็นย่น ยุบตัวลง เป็นน้ำ เป็นธาตุ ต่างๆ ของ ดิน
ดังนั้นการที่คุณมองว่าเป็นการขอต่อวิญญาณ
เพราะมุมมองของคุณต่างหาก ที่มองว่า คุณปู้ทวด ย่าทวดของคุณ เหลือแต่วิญญาณแล้ว
แต่พระเจ้าไม่ได้มองอย่างที่คุณกำลังมองเห็นครับ
พระเจ้ามองว่า คุณปู้ทวด ย่าทวดของคุณ แค่เปลี่ยนสภาพไป
จนพูดคุยกับคุณด้วยเสียงไม่ได้ เท่านั้นเอง
พระเจ้ามองว่า คุณปู้ทวด ย่าทวดของคุณ ยัง''เป็นคน''อยู่ จำเพาะพระเจ้า
คนทุกคนเป็นอยู่ คุณปู้ทวด ย่าทวดของคุณ ยังเป็นคนอยู่ครับ
'คนทุกคนเป็นอยู่' และหญิงที่ชื่อมารีย์ ยัง'เป็น'อยู่ครับ 'เป็นสิ่งสร้าง'ที่พระเจ้าให้เกียรติกับนางในระดับ ''แม่ ของพระเจ้า''
ถ้าพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราที่เราสนิทสนม ที่เราเห็นคิดแบบมนุษย์ว่าเขาได้ตายไปแล้ว
และเรามั่นใจว่า วันนี้เขาได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว
เราอาจจะพูดว่า แม่ครับ พ่อครับ หรือคุณตาครับ ช่วยขอเรื่องนี้ต่อพระเจ้าให้ผมหน่อยซิ
........ เหมือนที่คุณมา ขอคำอธิษฐานกันในบอร์ด ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากัน ขอ ให้ ช่วยกันไปบอก(อธิษฐาน) ต่อพระเจ้าให้หน่อย
ดังนั้นคริสตเตียน 100 คน จึงยังเถียงกันอยู่ว่า แกนั่นแหละตกนรก ไม่ได้เข้าสวรรค์หรอก
แน่นอนว่า หากเพื่อนเรายังมีชีวิติอยู่ เราก็เคยขอให้เขาช่วยวางมือ ช่วยขอ ช่วยอฐิษฐานต่อพระเจ้าให้กับเรา
แต่วันนี้เขาตายไปแล้ว เขาอยู่ในนรกหรือสวรรค์กันแน่ ยังเถียงกันอยู่เต็มบอร์ด(ไม่ขอเอ่ยนาม)
ไอ้นู่นลัทธิเทียมเท็จ ไอ้นี่ลัทธิเท็จแต่ไม่เทียม
แต่พระเจ้าบอกว่า เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย ผมคิดว่าตรงนี้ต่างหากที่เราจึงไม่ ขอ กับเพื่อนหรือคนรู้จักที่ได้ตายไปแล้ว
แต่เรารู้ จากความในพคภ.ว่า พระนางมารีย์ได้เข้าอยู่ในสวรรค์แน่นอนแล้ว
มากยิ่งกว่านั้นอีก พระจิตได้ทรงตรัสเอง ผ่านทาง นักบุญลูกา
ให้เกียรติ เรียกนางว่า มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า นางได้รับเกียรติยศ เป็นถึง มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า อยู่ในสวรรค์ ล้านเปอร์เซนต์
ดังนั้นหากเราขอต่อวิญญาณของคุณตา หรือ พ่อแม่ของเราที่ได้ตายไปแล้ว และวันนี้ได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แน่นอนแล้ว ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นความผิดของเราตาม พคภ.แต่อย่างใด
เมื่อเราขอต่อ มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เช่นเดียวกัน
ชาวสวรรค์ ผู้ได้รับเกียรติ ถึงขนาดนั้น วันนี้หากเธอยังไม่รู้จักคุณ
คุณก็ลองทำความรู้จักกับเธอดูบ้างซิ
เช่นเดียวกับที่คุณเคยฝากขอกันในบอร์ดนี้นะแหละ
คุณเคยขอต่อเพื่อน ขอต่อ ศบ. เพื่อให้เขาไปขอต่อพระเจ้า ให้กับคุณ
ลองขอต่อเธอ ผู้ที่ได้รับเกียรติเป็นแม่ของพระเจ้าดูบ้างสิครับ
เพื่อให้เธอไปขอต่อพระเจ้า ให้กับคุณ
เหมือนในงานเลี้ยงสมรสที่พระเยซูทรงยอมทำตามคำขอของแม่พระ
หากพระนางมารีย์ คุณปู่คุณตา แม่พ่อ ที่เสียชีวิตไปแล้ว ไม่ยอมขอต่อพระเจ้าให้เรา
ความผิดของเราก็ไม่มี ไม่มีพคภ.ตรงไหนที่บอกว่าเราทำผิด ห้ามทำ แต่ถ้าหากเขาช่วยขอต่อพระเจ้าให้เราล่ะ เราก็ได้รับเร็วขึ้น
เมื่อเราได้รับแล้ว เราก็ขอบคุณพระเจ้า
ที่ได้ทรงพระกรุณาให้แก่เรา ตามคำขอของท่านเหล่านั้น
เราขอบคุณพระเจ้า แล้วเราก็ยังขอบคุณเขาอีกด้วย ที่ช่วยขอต่อพระเจ้าให้กับเรา (ผิดอีกหรือ) เราขอบคุณเพื่อน ขอบคุณศบ. ที่ช่วยกันวางมือให้เรา ที่เขาช่วยกันขอให้กับเรา ยังทำได้เลย พระเจ้ายังไม่อิจฉาเลย แต่พอเขาตายกลายเป็นวิญญาณแล้ว ทำไมพระเจ้าจะต้องเปลี่ยนใจเป็นพระเจ้าช่างอิจฉาด้วยเล่า
พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักไม่อิจฉา พระเจ้าของเราไม่ใช่พระเจ้าที่ช่างอิจฉา แล้วครับ
1 โครินธ์ 13
4-8 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง
ทีตอนให้เพื่อนหรืออาจารย์ช่วยขอ ช่วยวางมือ เรายังรู้จักขอบคุณเขา
วันนี้เพื่อนเราหรืออาจารย์เราเขาตายไปแล้ว กลายเป็นวิญญาณแล้ว เขาช่วยขอให้เรา แล้วเราก็ขอบคุณเขาไม่ได้แล้ว ห้าม อย่างนั้นล่ะหรือ
การรู้จักขอบคุณวิญญาณคุณปู่คุณตา แม่พ่อคราวนี้กลับกลายเป็นความผิดด้วยหรือไง ?
แล้วถ้าหากพระนางมารีย์ สิ่งสร้าง ที่พระเจ้าไม่ทรงอิจฉานาง และยังให้เกียรติเรียกนางว่า มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านทางนักบุญลูกา
จะผิดด้วยหรือ ถ้าหากเราคริสตชนจะใช้คำเรียกคำเดียวกันกับที่นักบุญลูกา เรียกนางว่า
" แม่ของพระเจ้า "