ประวัตินักบุญ อย่างย่อเดือน ตุลาคม (วันที่1-15)
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑ ตุลาคม
นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู
St. Thérèse of the Child Jesus
นักบุญเทเรซาเกิดเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๑๘๗๓ ในเมือง Alencon ประเทศฝรั่งเศส บิดามารดา
ของเธอเป็นคาทอลิกใจศรัทธา (ภายหลัง พระสันตะปาปาฟรังซิสได้สถาปนาหลุยส์และเซลีเป็น
นักบุญในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๐๑๕) มารดาเสียชีวิตเมื่อเทเรซาอายุ ๔ ขวบ บิดาและพวกพี่สาว
ช่วยกันอบรมเลี้ยงดูเธอ
ในวันคริสต์มาสปี ๑๘๘๖ เทเรซามีประสบการณ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างแนบแน่น ซึ่งเธอ
บรรยายว่าเป็น "การกลับใจอย่างสมบูรณ์" ต่อมา เมื่อเธอร่วมคณะจาริกแสวงบุญไปโรม และ
ได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๑๓ เธอทูลขอพระองค์อนุญาตให้เธอเข้าอารามคาร์เมไลท์ได้
แม้อายุเพียง ๑๕ ปี
เมื่อเทเรซาเข้าอยู่ในอารามคณะคาร์เมไลท์ เธอพยายามดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ เธอทำทุกอย่างด้วย
ความรักและไว้วางใจอย่างเด็กๆ ในพระเจ้า เธอต้องปรับตัวกับการดำเนินชีวิตกลุ่มในอาราม เธอ
ตัดสินใจกระทำทุกอย่างด้วยความรัก โดยเฉพาะกับคนที่เธอไม่ชอบ เธอทำสิ่งต่างๆ โดยไม่เลือกว่า
จะเล็กน้อยหรือใหญ่โต กิจการเหล่านี้ช่วยให้เธอเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อกระแสเรียกของเธอ
เธอเขียนในอัตชีวประวัติว่าเธอใฝ่ฝันอยากเป็นธรรมทูต เป็นอัครสาวก เป็นมรณสักขี แต่เธอเป็นเพียง
ชีลับคนหนึ่งในอารามเงียบสงัดในฝรั่งเศส แล้วความปรารถนานี้จะเป็นจริงได้อย่างไร?
"ความรักมอบกุญแจไขกระแสเรียกของฉัน ฉันเกิดความเข้าใจว่าพระศาสนจักรมีหัวใจและหัวใจนี้ลุกไหม้
ด้วยความรัก ฉันรู้ว่าความรักผลักดันให้สมาชิกของพระศาสนจักรออกกระทำกิจการดีต่างๆ ถ้าความรักนี้
มอดดับ อัครสาวกก็จะไม่ประกาศพระวรสารอีกต่อไป มรณสักขีจะไม่หลั่งเลือดอีกต่อไป ฉันเข้าใจว่า
ความรักเป็นที่มาของกระแสเรียกทั้งหลาย ความรักเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่สวมกอดทุกแห่งแหล่งที่และ
ทุกกาลเวลา ...กล่าวอีกอย่าง นั่นเป็นนิรันดร ดังนั้นด้วยความเบิกบานจนสุดจะข่มกลั้น ฉันร้องออกมาว่า
โอ้พระเยซูความรักของฉัน กระแสเรียกของฉัน ในที่สุด ฉันพบแล้วกระแสเรียกของฉันคือความรัก"
เทเรซาถวายตัวเธอเป็นพลีบูชาแด่ความรักของพระเจ้าในวันที่ ๙ มิถุนายน ๑๘๙๕ ในวันฉลองพระตรีเอกภาพ
แล้วปีต่อมา ในคืนระหว่างวันพฤหัสฯ ศักดิ์สิทธิ์และศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เธอก็พบอาการแรกของวัณโรค ซึ่งเป็น
ความเจ็บป่วยที่จะนำไปสู่ความตายของเธอ เทเรซาตระหนักว่าความเจ็บป่วยของเธอคือการเชื้อเชิญอย่าง
ลึกลับของการเป็นเจ้าสาวของพระเจ้า และเธอยินดีต้อนรับความทุกข์ทรมานในฐานะเป็นคำตอบรับสำหรับ
การถวายตัวของเธอเมื่อปีก่อน
เธอได้พบการทดสอบด้านความเชื่อ ซึ่งคงอยู่จนกระทั่งถึงวันที่เธอสิ้นใจ คำพูดสุดท้ายของเธอคือ
"พระเจ้าของลูก ลูกรักพระองค์"
ภายหลังการสิ้นใจด้วยวัยเพียง ๒๔ ปีของเธอ คริสตชนนับล้านได้รับแรงบันดาลใจจาก "ทางสายน้อย"
ในการแสดงความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ของเธอ มีอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายจากผู้วอนขอ เธอ
เคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตในสวรรค์ของฉันจะถูกใช้เพื่อกระทำสิ่งดีๆ ในโลก"
ในปี ๑๙๙๗ อันเป็นวาระ ๑๐๐ ปีการเสียชีวิตของเธอ นักบุญเทเรซาได้รับประกาศเป็นนักปราชญ์ของ
พระศาสนจักร โดยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ เธอเป็นสตรีคนที่สามที่ได้รับประกาศเป็นนักปราชญ์
ของพระศาสนจักร ต่อจากนักบุญแคทเธอรีนแห่งซีเอนา และนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา
นักบุญเทเรซาเคยเขียนไว้ว่า "พระเจ้าไม่ได้มองการกระทำของเราว่ายิ่งใหญ่หรือ
ต้องประสบทุกข์ยากลำบากเพียงใด แต่ทรงมองที่ความรักของเราในการกระทำสิ่งนั้น"
CR. : Sinapis
1 ตุลาคม
ระลึกถึงนักบุญเทเรซา แห่งพระกุมารเยซู
พรหมจารี และนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร
(St Thérèse of the Child Jesus, Virgin & Doctor, memorial)
มารี ฟร็องซัวส์ เทแรส (Marie Francoise Thérèse) เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1873 เป็นลูก
คนสุดท้องในจำนวนทั้งหมด 9 คน จากครอบครัวที่ศรัทธาแห่งอะลังซอง (Alencon) ประเทศฝรั่งเศส
ทั้งคุณพ่อ Louis และคุณแม่ Zelie Martin ของท่านนักบุญเคยคิดที่จะเจริญชีวิตเป็นนักบวชมาก่อน
แต่พระเจ้าทรงทดแทนให้ท่านทั้งสองโดยรับลูกๆของพวกท่านถึง 5 คนให้ได้ไปเป็นนักบวช หนูน้อย
เทเรซาตั้งแต่อายุ 9 ขวบเป็นต้นมาได้พยายามตามบรรดาพี่ๆของเธอไปที่อารามคณะคาร์เมไลท์
ไม่สวมรองเท้าที่เมือง ลีซีเออซ์ (Lisieux) ขณะที่เธอมีอายุได้ 14 ปี พระสังฆราชก็ยังพิจารณาเห็นว่า
เธอยังเด็กไปที่จะเข้าอาราม ดังนั้นในปีศักดิ์สิทธิ์เธอได้เดินทางไปที่กรุงโรม และได้ร้องขอเป็นการ
ส่วนตัวต่อสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ให้อนุมัติแก่เธอเป็นพิเศษเพื่อจะได้เข้าอาราม ในที่สุด
ท่านก็ได้รับการต้อนรับให้เข้าอารามได้จาก Mother Prioress ในขณะที่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น
ซิสเตอร์เทเรซา แห่งพระกุมารเยซู ซึ่งใครๆก็เรียกเธอด้วยชื่อนี้ ได้รับคำชื่นชมโดยเห็นได้ชัดว่าเป็น
ผลิตผลแห่งพระหรรษทาน เธอได้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและรวดเร็วในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์
จนกระทั่งเมื่ออายุ 22 ปีก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนวกจารย์ - ความซื่อแบบเด็กๆ ความสุภาพที่ปรากฏ
ออกมาภายนอก การเสียสละอุทิศตนอย่างสม่ำเสมอ และความรักต่อพระเจ้าอย่างไม่มีขอบเขต
รวมถึงความไว้วางใจในพระองค์โดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้คือคุณธรรมที่โดดเด่นในชีวิตของเธอ
"ไม่มีใครจะวอนขอมากเกินไปจากพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพและทรงเมตตาสงสาร เขาจะได้รับจาก
พระองค์จริงๆตามสัดส่วนของความไว้วางใจที่เขามีต่อพระองค์" แต่โดยผ่านทาง "หนทางเล็กๆ"
(Little Way) ของเธอ ในการกระทำหน้าที่เล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันอย่างครบครันด้วยความรัก
ต่อพระเจ้า ก็ได้กลายเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจสำหรับคนธรรมดาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน
ซึ่งเธอได้เปิดเผยในหนังสืออัตชีวประวัติที่มีชื่อเสียงของเธอที่ชื่อว่า "เรื่องเล่าของวิญญาณดวงหนึ่ง"
(The Story of a Soul) ซึ่งเธอได้เขียนเพราะความนบนอบ "อย่าทำตนให้เด่นในทุกสิ่ง อย่าบ่นว่า
อย่าบอกว่าตนไม่สบาย จงแสดงความเป็นมิตรอย่างพิเศษกับคนเหล่านั้นที่ใจจืดใจดำกับเรา
จงให้คำตอบอย่างหลักแหลมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ" - เหล่านี้คือ สิ่งที่เธอปฏิบัติจริง
ในช่วงระยะเวลาเก้าปีครึ่งในการใช้ชีวิตอยู่ในอารามเธอไม่ได้ทำตัวโดดเด่น แต่กลับวางตัวเป็น
ธรรมชาติมากจนว่าเธอสามารถผ่านเวลานี้ไปโดยไม่เป็นที่สังเกต สิ่งที่เธอตั้งใจทำเป็นพิเศษ คือเธอ
รู้สึกว่าจะต้องช่วยบรรดาพระสงฆ์และบรรดามิชชันนารีของพระศาสนจักร ดังนั้น เธอจึงสวดภาวนา
และทำพลีกรรมเพื่อพวกเขา และหลังจากการตายต่อตนเองทั้งร่างกายและจิตใจ
(เธอเคยใฝ่ฝันจะเป็นมรณสักขีตั้งแต่วัยเด็ก) เธอได้มอบถวายตนด้วยความอ่อนหวานและความอดทน
ขั้นวีรกรรม ให้เป็นเสมือนเชลยของความรักเปี่ยมเมตตาของพระเจ้า เธอได้สิ้นชีพเพราะวัณโรค
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ.1897 เมื่อมีอายุ 24 ปี "มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำเมื่อเราอยู่ในโลกข้างล่างนี้
คือรักพระเยซูเจ้า และช่วยวิญญาณต่างๆ ให้รอด เพื่อพระองค์จะทรงได้รับความรักมากขึ้น"
ได้รับแต่งตั้งเป็นบุญราศี ในปี ค.ศ. 1923 และได้รับการประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญเมื่อ
วันที่ 17 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1925 โดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ชื่อของท่านนักบุญที่ว่า
"ดอกไม้น้อยๆ" (the Little Flower) กลายเป็นชื่อที่คนรู้จักกันอย่างกว้างขวาง ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์
ของบรรดานักบิน ของประเทศรัสเซีย และพร้อมกับนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ ของประเทศมิสซังทั้งหลาย
และท่านยังได้รับการประกาศเป็นนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักรในปี ค.ศ.1997
โดย นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา
(ถอดความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ Saint Companions For Each Day
เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู
St. Thérèse of the Child Jesus
นักบุญเทเรซาเกิดเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๑๘๗๓ ในเมือง Alencon ประเทศฝรั่งเศส บิดามารดา
ของเธอเป็นคาทอลิกใจศรัทธา (ภายหลัง พระสันตะปาปาฟรังซิสได้สถาปนาหลุยส์และเซลีเป็น
นักบุญในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๐๑๕) มารดาเสียชีวิตเมื่อเทเรซาอายุ ๔ ขวบ บิดาและพวกพี่สาว
ช่วยกันอบรมเลี้ยงดูเธอ
ในวันคริสต์มาสปี ๑๘๘๖ เทเรซามีประสบการณ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างแนบแน่น ซึ่งเธอ
บรรยายว่าเป็น "การกลับใจอย่างสมบูรณ์" ต่อมา เมื่อเธอร่วมคณะจาริกแสวงบุญไปโรม และ
ได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๑๓ เธอทูลขอพระองค์อนุญาตให้เธอเข้าอารามคาร์เมไลท์ได้
แม้อายุเพียง ๑๕ ปี
เมื่อเทเรซาเข้าอยู่ในอารามคณะคาร์เมไลท์ เธอพยายามดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ เธอทำทุกอย่างด้วย
ความรักและไว้วางใจอย่างเด็กๆ ในพระเจ้า เธอต้องปรับตัวกับการดำเนินชีวิตกลุ่มในอาราม เธอ
ตัดสินใจกระทำทุกอย่างด้วยความรัก โดยเฉพาะกับคนที่เธอไม่ชอบ เธอทำสิ่งต่างๆ โดยไม่เลือกว่า
จะเล็กน้อยหรือใหญ่โต กิจการเหล่านี้ช่วยให้เธอเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อกระแสเรียกของเธอ
เธอเขียนในอัตชีวประวัติว่าเธอใฝ่ฝันอยากเป็นธรรมทูต เป็นอัครสาวก เป็นมรณสักขี แต่เธอเป็นเพียง
ชีลับคนหนึ่งในอารามเงียบสงัดในฝรั่งเศส แล้วความปรารถนานี้จะเป็นจริงได้อย่างไร?
"ความรักมอบกุญแจไขกระแสเรียกของฉัน ฉันเกิดความเข้าใจว่าพระศาสนจักรมีหัวใจและหัวใจนี้ลุกไหม้
ด้วยความรัก ฉันรู้ว่าความรักผลักดันให้สมาชิกของพระศาสนจักรออกกระทำกิจการดีต่างๆ ถ้าความรักนี้
มอดดับ อัครสาวกก็จะไม่ประกาศพระวรสารอีกต่อไป มรณสักขีจะไม่หลั่งเลือดอีกต่อไป ฉันเข้าใจว่า
ความรักเป็นที่มาของกระแสเรียกทั้งหลาย ความรักเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่สวมกอดทุกแห่งแหล่งที่และ
ทุกกาลเวลา ...กล่าวอีกอย่าง นั่นเป็นนิรันดร ดังนั้นด้วยความเบิกบานจนสุดจะข่มกลั้น ฉันร้องออกมาว่า
โอ้พระเยซูความรักของฉัน กระแสเรียกของฉัน ในที่สุด ฉันพบแล้วกระแสเรียกของฉันคือความรัก"
เทเรซาถวายตัวเธอเป็นพลีบูชาแด่ความรักของพระเจ้าในวันที่ ๙ มิถุนายน ๑๘๙๕ ในวันฉลองพระตรีเอกภาพ
แล้วปีต่อมา ในคืนระหว่างวันพฤหัสฯ ศักดิ์สิทธิ์และศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เธอก็พบอาการแรกของวัณโรค ซึ่งเป็น
ความเจ็บป่วยที่จะนำไปสู่ความตายของเธอ เทเรซาตระหนักว่าความเจ็บป่วยของเธอคือการเชื้อเชิญอย่าง
ลึกลับของการเป็นเจ้าสาวของพระเจ้า และเธอยินดีต้อนรับความทุกข์ทรมานในฐานะเป็นคำตอบรับสำหรับ
การถวายตัวของเธอเมื่อปีก่อน
เธอได้พบการทดสอบด้านความเชื่อ ซึ่งคงอยู่จนกระทั่งถึงวันที่เธอสิ้นใจ คำพูดสุดท้ายของเธอคือ
"พระเจ้าของลูก ลูกรักพระองค์"
ภายหลังการสิ้นใจด้วยวัยเพียง ๒๔ ปีของเธอ คริสตชนนับล้านได้รับแรงบันดาลใจจาก "ทางสายน้อย"
ในการแสดงความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ของเธอ มีอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายจากผู้วอนขอ เธอ
เคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตในสวรรค์ของฉันจะถูกใช้เพื่อกระทำสิ่งดีๆ ในโลก"
ในปี ๑๙๙๗ อันเป็นวาระ ๑๐๐ ปีการเสียชีวิตของเธอ นักบุญเทเรซาได้รับประกาศเป็นนักปราชญ์ของ
พระศาสนจักร โดยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ เธอเป็นสตรีคนที่สามที่ได้รับประกาศเป็นนักปราชญ์
ของพระศาสนจักร ต่อจากนักบุญแคทเธอรีนแห่งซีเอนา และนักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา
นักบุญเทเรซาเคยเขียนไว้ว่า "พระเจ้าไม่ได้มองการกระทำของเราว่ายิ่งใหญ่หรือ
ต้องประสบทุกข์ยากลำบากเพียงใด แต่ทรงมองที่ความรักของเราในการกระทำสิ่งนั้น"
CR. : Sinapis
1 ตุลาคม
ระลึกถึงนักบุญเทเรซา แห่งพระกุมารเยซู
พรหมจารี และนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร
(St Thérèse of the Child Jesus, Virgin & Doctor, memorial)
มารี ฟร็องซัวส์ เทแรส (Marie Francoise Thérèse) เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1873 เป็นลูก
คนสุดท้องในจำนวนทั้งหมด 9 คน จากครอบครัวที่ศรัทธาแห่งอะลังซอง (Alencon) ประเทศฝรั่งเศส
ทั้งคุณพ่อ Louis และคุณแม่ Zelie Martin ของท่านนักบุญเคยคิดที่จะเจริญชีวิตเป็นนักบวชมาก่อน
แต่พระเจ้าทรงทดแทนให้ท่านทั้งสองโดยรับลูกๆของพวกท่านถึง 5 คนให้ได้ไปเป็นนักบวช หนูน้อย
เทเรซาตั้งแต่อายุ 9 ขวบเป็นต้นมาได้พยายามตามบรรดาพี่ๆของเธอไปที่อารามคณะคาร์เมไลท์
ไม่สวมรองเท้าที่เมือง ลีซีเออซ์ (Lisieux) ขณะที่เธอมีอายุได้ 14 ปี พระสังฆราชก็ยังพิจารณาเห็นว่า
เธอยังเด็กไปที่จะเข้าอาราม ดังนั้นในปีศักดิ์สิทธิ์เธอได้เดินทางไปที่กรุงโรม และได้ร้องขอเป็นการ
ส่วนตัวต่อสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ให้อนุมัติแก่เธอเป็นพิเศษเพื่อจะได้เข้าอาราม ในที่สุด
ท่านก็ได้รับการต้อนรับให้เข้าอารามได้จาก Mother Prioress ในขณะที่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น
ซิสเตอร์เทเรซา แห่งพระกุมารเยซู ซึ่งใครๆก็เรียกเธอด้วยชื่อนี้ ได้รับคำชื่นชมโดยเห็นได้ชัดว่าเป็น
ผลิตผลแห่งพระหรรษทาน เธอได้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและรวดเร็วในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์
จนกระทั่งเมื่ออายุ 22 ปีก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนวกจารย์ - ความซื่อแบบเด็กๆ ความสุภาพที่ปรากฏ
ออกมาภายนอก การเสียสละอุทิศตนอย่างสม่ำเสมอ และความรักต่อพระเจ้าอย่างไม่มีขอบเขต
รวมถึงความไว้วางใจในพระองค์โดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้คือคุณธรรมที่โดดเด่นในชีวิตของเธอ
"ไม่มีใครจะวอนขอมากเกินไปจากพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพและทรงเมตตาสงสาร เขาจะได้รับจาก
พระองค์จริงๆตามสัดส่วนของความไว้วางใจที่เขามีต่อพระองค์" แต่โดยผ่านทาง "หนทางเล็กๆ"
(Little Way) ของเธอ ในการกระทำหน้าที่เล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันอย่างครบครันด้วยความรัก
ต่อพระเจ้า ก็ได้กลายเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจสำหรับคนธรรมดาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน
ซึ่งเธอได้เปิดเผยในหนังสืออัตชีวประวัติที่มีชื่อเสียงของเธอที่ชื่อว่า "เรื่องเล่าของวิญญาณดวงหนึ่ง"
(The Story of a Soul) ซึ่งเธอได้เขียนเพราะความนบนอบ "อย่าทำตนให้เด่นในทุกสิ่ง อย่าบ่นว่า
อย่าบอกว่าตนไม่สบาย จงแสดงความเป็นมิตรอย่างพิเศษกับคนเหล่านั้นที่ใจจืดใจดำกับเรา
จงให้คำตอบอย่างหลักแหลมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ" - เหล่านี้คือ สิ่งที่เธอปฏิบัติจริง
ในช่วงระยะเวลาเก้าปีครึ่งในการใช้ชีวิตอยู่ในอารามเธอไม่ได้ทำตัวโดดเด่น แต่กลับวางตัวเป็น
ธรรมชาติมากจนว่าเธอสามารถผ่านเวลานี้ไปโดยไม่เป็นที่สังเกต สิ่งที่เธอตั้งใจทำเป็นพิเศษ คือเธอ
รู้สึกว่าจะต้องช่วยบรรดาพระสงฆ์และบรรดามิชชันนารีของพระศาสนจักร ดังนั้น เธอจึงสวดภาวนา
และทำพลีกรรมเพื่อพวกเขา และหลังจากการตายต่อตนเองทั้งร่างกายและจิตใจ
(เธอเคยใฝ่ฝันจะเป็นมรณสักขีตั้งแต่วัยเด็ก) เธอได้มอบถวายตนด้วยความอ่อนหวานและความอดทน
ขั้นวีรกรรม ให้เป็นเสมือนเชลยของความรักเปี่ยมเมตตาของพระเจ้า เธอได้สิ้นชีพเพราะวัณโรค
เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ.1897 เมื่อมีอายุ 24 ปี "มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำเมื่อเราอยู่ในโลกข้างล่างนี้
คือรักพระเยซูเจ้า และช่วยวิญญาณต่างๆ ให้รอด เพื่อพระองค์จะทรงได้รับความรักมากขึ้น"
ได้รับแต่งตั้งเป็นบุญราศี ในปี ค.ศ. 1923 และได้รับการประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญเมื่อ
วันที่ 17 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1925 โดยพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ชื่อของท่านนักบุญที่ว่า
"ดอกไม้น้อยๆ" (the Little Flower) กลายเป็นชื่อที่คนรู้จักกันอย่างกว้างขวาง ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์
ของบรรดานักบิน ของประเทศรัสเซีย และพร้อมกับนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ ของประเทศมิสซังทั้งหลาย
และท่านยังได้รับการประกาศเป็นนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักรในปี ค.ศ.1997
โดย นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา
(ถอดความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ Saint Companions For Each Day
เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
ฉลองวันที่ ๒ ตุลาคม
เทวดารักษาตัว
The Guardain Angels
"เพราะพระองค์ได้ทรงมอบเทวดาให้คุ้มครองเจ้า ให้เจ้ารักษาหนทางของพระองค์"
บทสดุดี ๙๐:๑๑
พระคัมภีร์เก่าและใหม่เล่าถึงเทวดารักษาตัวที่ช่วยปกป้องเราจากความชั่วร้ายทั้งทางกายและใจ
ในหนังสือกิจการอัครสาวก เทวดาช่วยนำนักบุญเปโตรออกจากคุก และในพระวรสาร พวกท่าน
ช่วยบรรเทาทุกข์ของพระเยซูในสวนเกธเสมนี
พระเยซูทรงกล่าวถึงการมีอยู่และทำหน้าที่ของเทวดาว่า "จงระวังอย่าดูหมิ่นคนเล็กน้อยในหมู่ท่าน
เพราะเราขอกล่าวแก่ท่านว่า เทวดาของพวกเขาในสวรรค์เฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า" (มธ. ๑๘:๑๐)
พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า ทุกคน แม้แต่เด็กเล็กๆ มีเทวดารักษาตัว เทวดาเหล่านั้นอยู่ในสวรรค์
เฝ้าเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ภารกิจของพวกท่านบนโลกคือนำทางและปกป้องเราตลอดการเดินทาง
ไปสู่บ้านพระบิดาของเรา นักบุญเปาโลกล่าวว่า "พวกท่านเป็นจิตที่ถูกส่งมาเพื่อดูแลพวกเขาผู้จะได้รับ
มรดกแห่งความรอดมิใช่หรือ?" (ฮบ. ๑:๑๔)
CR. : Sinapis
เทวดารักษาตัว
The Guardain Angels
"เพราะพระองค์ได้ทรงมอบเทวดาให้คุ้มครองเจ้า ให้เจ้ารักษาหนทางของพระองค์"
บทสดุดี ๙๐:๑๑
พระคัมภีร์เก่าและใหม่เล่าถึงเทวดารักษาตัวที่ช่วยปกป้องเราจากความชั่วร้ายทั้งทางกายและใจ
ในหนังสือกิจการอัครสาวก เทวดาช่วยนำนักบุญเปโตรออกจากคุก และในพระวรสาร พวกท่าน
ช่วยบรรเทาทุกข์ของพระเยซูในสวนเกธเสมนี
พระเยซูทรงกล่าวถึงการมีอยู่และทำหน้าที่ของเทวดาว่า "จงระวังอย่าดูหมิ่นคนเล็กน้อยในหมู่ท่าน
เพราะเราขอกล่าวแก่ท่านว่า เทวดาของพวกเขาในสวรรค์เฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า" (มธ. ๑๘:๑๐)
พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า ทุกคน แม้แต่เด็กเล็กๆ มีเทวดารักษาตัว เทวดาเหล่านั้นอยู่ในสวรรค์
เฝ้าเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ภารกิจของพวกท่านบนโลกคือนำทางและปกป้องเราตลอดการเดินทาง
ไปสู่บ้านพระบิดาของเรา นักบุญเปาโลกล่าวว่า "พวกท่านเป็นจิตที่ถูกส่งมาเพื่อดูแลพวกเขาผู้จะได้รับ
มรดกแห่งความรอดมิใช่หรือ?" (ฮบ. ๑:๑๔)
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๓ ตุลาคม
บุญราศีแอน-เทแรซ เกแรง
Blessed Anne-Thérèse Guérin
ท่านเกิดที่เมือง Etables แคว้น Brittany ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๑๗๙๘ และเสียชีวิต
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๑๘๕๖ พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ประกาศตั้งท่านเป็นบุญราศี
ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๑๙๙๘
ในช่วงที่ท่านเป็นเด็ก รัฐบาลฝรั่งเศสต่อต้านพระสงฆ์นักบวชอย่างรุนแรง มีการปิดบ้านเณรและ
วัดรวมทั้งจับกุมคุณพ่อ ซิสเตอร์ บราเดอร์ ญาติคนหนึ่งของท่านซึ่งเป็นเณร หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่
กับครอบครัวของท่าน เขาสอนท่านเรื่องความเชื่อและความรู้ทางศาสนา
เมื่ออายุ ๒๖ ปีท่านเข้าคณะซิสเตอร์แห่งพระญาณสอดส่อง (Sisters of Providence) ท่านอุทิศ
ตัวเองเพื่อการอบรมสั่งสอนความรู้ด้านศาสนา ท่านมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดจนสถาบันวิชาการ
ของประเทศให้การยอมรับ
ในปี ๑๘๔๐ ท่านถูกส่งไปรัฐอินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อตั้งอารามของคณะในสังฆมณฑล
Vincennes ที่นั่น ท่านได้บุกเบิกงานด้านการศึกษาคาทอลิก ท่านเปิดโรงเรียนประจำสตรีแห่งแรก
ในรัฐอินเดียน่าและรับมือกับการต่อต้านคาทอลิกในยุคสมัยนั้น
ท่านกล้าหาญยืนหยัดเป็นพยานความเชื่อความหวังและความรักของพระเจ้า หลายครั้งอารามที่ท่าน
ก่อตั้งถูกพวกต่อต้านคาทอลิกเผาทำลาย การเบียดเบียนยังมีมาจากภายในพระศาสนจักรเองด้วย
พระสังฆราชซึ่งไม่ได้รับสิทธิ์เหนือคณะของท่าน ได้ประกาศอัปเปหิท่านออกจากพระศาสนจักร
แต่การประกาศนี้ภายหลังถูกยกเลิกโดยสังฆราชองค์ใหม่
CR. : Sinapis
บุญราศีแอน-เทแรซ เกแรง
Blessed Anne-Thérèse Guérin
ท่านเกิดที่เมือง Etables แคว้น Brittany ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๑๗๙๘ และเสียชีวิต
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๑๘๕๖ พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ประกาศตั้งท่านเป็นบุญราศี
ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๑๙๙๘
ในช่วงที่ท่านเป็นเด็ก รัฐบาลฝรั่งเศสต่อต้านพระสงฆ์นักบวชอย่างรุนแรง มีการปิดบ้านเณรและ
วัดรวมทั้งจับกุมคุณพ่อ ซิสเตอร์ บราเดอร์ ญาติคนหนึ่งของท่านซึ่งเป็นเณร หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่
กับครอบครัวของท่าน เขาสอนท่านเรื่องความเชื่อและความรู้ทางศาสนา
เมื่ออายุ ๒๖ ปีท่านเข้าคณะซิสเตอร์แห่งพระญาณสอดส่อง (Sisters of Providence) ท่านอุทิศ
ตัวเองเพื่อการอบรมสั่งสอนความรู้ด้านศาสนา ท่านมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดจนสถาบันวิชาการ
ของประเทศให้การยอมรับ
ในปี ๑๘๔๐ ท่านถูกส่งไปรัฐอินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อตั้งอารามของคณะในสังฆมณฑล
Vincennes ที่นั่น ท่านได้บุกเบิกงานด้านการศึกษาคาทอลิก ท่านเปิดโรงเรียนประจำสตรีแห่งแรก
ในรัฐอินเดียน่าและรับมือกับการต่อต้านคาทอลิกในยุคสมัยนั้น
ท่านกล้าหาญยืนหยัดเป็นพยานความเชื่อความหวังและความรักของพระเจ้า หลายครั้งอารามที่ท่าน
ก่อตั้งถูกพวกต่อต้านคาทอลิกเผาทำลาย การเบียดเบียนยังมีมาจากภายในพระศาสนจักรเองด้วย
พระสังฆราชซึ่งไม่ได้รับสิทธิ์เหนือคณะของท่าน ได้ประกาศอัปเปหิท่านออกจากพระศาสนจักร
แต่การประกาศนี้ภายหลังถูกยกเลิกโดยสังฆราชองค์ใหม่
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๔ ตุลาคม
นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี
St. Francis of Assisi
ฟรังซิสแห่งอัสซีซีเป็นสังฆานุกรชาวอิตาเลียนผู้นำการปฏิรูปมาสู่พระศาสนจักรโดยการดำเนินชีวิต
ตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าอย่างเที่ยงตรงที่สุดเท่าที่จะกระทำได้
ท่านเกิดเมื่อปี ๑๑๘๐ ในตระกูลค้าขายที่มั่งคั่ง บิดาท่านชื่อ Pietro Bernardone และมารดาชื่อ Pica
ท่านได้รับชื่อแรกเกิดว่า Giovanni (ยอห์น) แต่บิดาของท่านเลือกจะเรียกท่านว่า Francesco (ฟรังซิส)
ฟรังซิสแตกต่างจากนักบุญองค์อื่นๆ ของยุคกลาง ในวัยหนุ่มท่านไม่ได้โดดเด่นพิเศษเรื่องความศรัทธา
หรือการศึกษา ความร่ำรวยของบิดาทำให้ท่านสามารถใช้ชีวิตชนชั้นสูง ท่านเป็นหนุ่มสังคม แต่งตัวโฉบ
เฉี่ยวทันสมัยและชอบร้องเพลง ท่านสนใจเรื่องการรบพุ่งจนเข้าร่วมรบในสงครามของรัฐอิตาเลียนคู่แข่ง
ช่วงเวลาที่ท่านถูกคุมขังเพราะการรบสู้นั้น ท่านเริ่มหันเหความคิดสู่เรื่องที่จริงจังกว่า ท่านกลับเมืองอัสซีซี
ในปี ๑๒๐๕ และเริ่มคิดถึงการใช้ชีวิตถือความยากจน
มีเหตุการณ์ ๓ อย่างที่สร้างความมั่นใจให้กับทางเลือกนี้ของฟรังซิส ที่เมืองอัสซีซีท่านเอาชนะความกลัว
ด้วยการจูบมือคนเป็นโรคเรื้อน หลังจากนั้น ท่านจาริกแสวงบุญไปยังโรม ท่านบริจาคเงินที่มีติดตัว
ให้กับตู้ทานสุสานนักบุญเปโตร และแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากับขอทานคนหนึ่ง ไม่นาน หลังกลับถึงบ้าน
ฟรังซิสได้ยินพระคริสต์ตรัสกับท่านในภาพนิมิตว่า "ไปเถิด ฟรังซิส ไปซ่อมแซมบ้านของเรา ท่านเห็น
แล้วว่ามันกำลังปรักหักพังเพียงใด"
ฟรังซิสใช้เงินทองของบิดาซ่อมแซมวัดวาต่างๆ บิดาท่านไม่พอใจ เกิดการโต้เถียงรุนแรง ท่านตัดสินใจ
ถอดเสื้อผ้าคืนให้ และประกาศว่าท่านไม่มีบิดาไหนอื่นนอกจากพระเจ้า ท่านถือว่าตัวเองเป็นสามีของ
"เลดี้ยากจน" และตัดสินใจจะรับใช้พระคริสต์ในฐานะ "ผู้นำสาสน์ของกษัตริย์ยิ่งใหญ่"
ในปี ๑๒๐๘ ท่านได้รับแรงบันดาลใจก่อตั้งขบวนการฟรังซิสกัน ในมิสซาเช้า ท่านได้ยินบทอ่าน
พระวรสารที่พระคริสต์แนะนำให้อัครสาวกออกเดินทางไปโดยไม่มีเงินทอง รองเท้า และเสื้อผ้าสำรอง
วิถีชีวิตแบบนี้ไม่ช้าก็ได้รับการรับรองพระวินัยโดยพระสันตะปาปา และดึงดูดผู้ติดตามจำนวนมาก
ในช่วงชีวิตของฟรังซิส
ในการดำเนินชีวิตจำลองแบบพระคริสต์ฟรังซิสก็ร่วมรับพระทรมานกับพระองค์ด้วย ท่านได้รับรอย
แผลศักดิ์สิทธิ์ระหว่างเดือนกันยายน ๑๒๒๔ สุขภาพของท่านเสื่อมโทรมตลอด ๒ ปีต่อมา ท่านเป็น
"เครื่องบูชาที่มีชีวิต" ด้วยการสอนและใช้โทษบาปเป็นเวลา ๒๐ ปีของงานแพร่ธรรมของท่าน
ท่านเสียชีวิตในวันที่ ๓ ตุลาคม ๑๒๒๖ พระสันตะปาปาเกรกอรี ที่ ๙ เพื่อนและผู้ศรัทธาต่อท่าน
ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ๑๒๒๘
CR. : Sinapis
+ ชายผู้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสัตว์ในคริสตปรัชญา +
ในเวลาที่เราเห็นคนเรียกน้องหมา น้องแมว มากขึ้น เราพบพฤติกรรมอันใหม่นี้แพร่หลายไม่เกิน
30 ปีที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้าไม่ช้านานการนับสัตว์เป็นครอบครัวญาติพี่น้องถูกมองว่า "โอเว่อร์"
หรือ "เพี้ยน" และในกระแสการยกระดับและคลั่งไคล้เอ็นดูสัตว์ในปัจจุบัน ก็ปรากฎการฟีเวอร์ขึ้น
ในการพูดถึงและ ให้ความเคารพแก่นักบุญท่านหนึ่ง ผู้ราวกับเกิดมาก่อนกาลเวลาล้ำหน้ากว่าใคร
ในยุคสมัยของตน เพราะเขาผู้เรียกสัตว์เป็นน้อง เมื่อเกือบ 900 ปีที่แล้ว แล้วไม่ใช่แค่สัตว์
แม้พระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็นับเป็นพี่ เขาจึงอาจเป็นมนุษย์คนแรกที่นับญาติกับสัตว์
และสิ่งสร้างทั้งหมดของพระเจ้า
นักบุญ ฟรังซิส แห่ง อัสซิซี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1181 เป็นนักบุญคนสำคัญของคริสตศาสนาเพราะได้
ชื่อว่า สวรรค์ส่งมาเกิดให้เป็นผู้กอบกู้พระศาสนจักรในยุคกลาง ที่พระสงฆ์นักบวชเริ่มมีอำนาจทาง
โลกมากเกินไป และเริ่มฟุ้งเฟ้อเกินฐานะศิษย์พระคริสต์ผู้ยากจน ชายผู้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ทำตัวเช่น
เหล่าศิษย์ของพระเยซู ไม่ขอมีทรัพย์สินใด ไม่แตะเงิน อาหารส่วนหนึ่งมาจากการขอบริจาคทาน และ
กลับไปใช้วิถีชีวิตแบบที่พระเยซูทำในพระคัมภีร์ ท่านทำให้เหล่าพระสังฆราชถึงแก่ถกเถียงกันว่า
ที่ท่านทำนี้มันสุดโต่งเกินไปไหม จนมีพระสังฆราชท่านหนึ่งพูดขึ้นกลางที่ประชุมว่า ถ้าที่ฟรังซิสทำมันผิด
เท่ากับเรากำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูสอนทำไม่ได้จริง ท่านจึงเป็นนักปฏิรูปคริสตศาสนาคนแรกๆ ที่ปฏิรูป
ศาสนาสู่ความสมถะยากจนจากภายใน ท่านจึงเป็นนักบุญในสาระบบของคาทอลิก และโปรแตสแตนท์
แองกลีกัน และลูเธอรัน ด้วย
บทอธิษฐานที่ท่านแต่งยังลึกซึ้งกินใจชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและโปรแตสแตนท์จำนวนมากที่ว่า
"ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
- ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
- ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
- ที่ใดมีความแตกแยก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี...."
บทอธิษฐานภาวนาของท่านจึงเป็นบทที่ถูกยกขึ้นมาเสมอในงานสานสัมพันธ์ระหว่างคริสต์นิกายต่างๆ
และยิ่งกว่านั้นวีรกรรมที่ท่านบุกเข้าไปหาสุลต่านมุสลิมในค่ายทหารมุสลิม เพื่อเสวนาสร้างความเข้าใจ
ในศาสนาคริสต์อย่างไม่กลัวความตาย จนสุลต่าน ทึ่งและนับถือในตัวท่าน และปล่อยท่านออกมาอย่าง
ปลอดภัยทั้งที่เคยฆ่าคริสตชนมามากมาย ทำให้ในปัจจุบันเมื่อการเสวนาระหว่างศาสนาคริสต์และ
ศาสนาอื่น เป็นวิสัยทัศน์ของพระศาสนจักร ท่านจึงถูกยกขึ้นมาเป็นองค์อุปถัมภ์การเสวนาระหว่าง
ศาสนาด้วย
แต่การสร้างสันติและมิตรภาพของท่านไม่จำกัดแค่คนต่างศาสนากัน หรือคนนิกายกัน แต่วีรกรรม
ในชีวิตท่านยังเต็มไปด้วยมิตรภาพของท่านและสัตว์ต่างๆอีกด้วย
ก่อนหน้ายุคสมัยของท่าน ตั้งแต่ศาสนายิวมา การฆ่าสัตว์เป็นวิถีชีวิตธรรมดาของมนุษย์ ด้วยข้อความ
ในปฐมกาล
“ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ
ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไปและสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:26)
ชาวยิว คริสต์ อิสลาม จึงไม่สอนว่าบาปในการฆ่าสัตว์โดยเฉพาะเพื่อเอามากิน แต่เทววิทยาของฟรังซิส
ผู้นี้ บอกว่า การปกครองที่พระเจ้าหมายถึงไม่ใช่การมุ่งแสวงหาประโยชน์ แต่ให้ดูแลรักษา ดุจ ดังลูกที่ดี
ที่รักพ่อ ย่อมดูแลและรักษาของขวัญที่พ่อให้อย่างดี ไม่ใช่ใช้ทิ้งขว้างทำลายล้างอย่างไม่เห็นค่า
ท่านยังชี้ว่า พระเจ้า สร้างมนุษย์คู่แรกมาให้ปลอดภัยและสุขสบายอยู่ใน "สวน" ไม่ใช่มหาวิหารหรือ
ราชวังสุดหรู แต่คือสวนที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า และสัตว์น้อยใหญ่ ท่านและคณะของท่านจึงเน้นการอยู่กับ
ธรรมชาติในป่าในสวน ทำงานเพาะปลูก และค้นพบพระเจ้าในธรรมชาติและสิ่งที่พระองค์สร้าง สำหรับ
ท่านแล้วทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างล้วนเป็นพี่น้องร่วมบิดาผู้สร้างเดียวกัน ท่านจึงเรียกสิ่งต่างๆทั้งดวงดาว
ดิน น้ำ พืช สัตว์ เป็นพี่น้องของท่านทั้งหมด
ท่านไม่ได้พูดสอนโลกสวยเป็นทฤษฎีดีแต่ปาก แต่มีการกระทำจริง มีบันทึกชีวประวัติของท่านและคณะ
นักบวชได้เล่าเรื่องราว(ที่ยากจะสรุปว่าเหนือธรรมชาติหรือสุดแสนจะธรรมชาติกันแน่)ของท่านกับสัตว์ไว้
มากมายกว่านักบุญคนอื่นๆในคริสตศาสนา
- การเทศนาให้เหล่านก -
มีบันทึกว่า เมื่อคนไม่มาฟังท่านเทศนา ท่านเลยหันไปเทศนาให้นกฟัง ปรากฏว่าเริ่มมีนกมากมายมา
ชุมนุมกัน แม้แต่นกแปลกๆต่างถิ่นที่คนแถวนั้นไม่เคยเห็น พวกมันเกาะเต็มพื้นเต็มต้นไม้รอบตัวท่าน
ท่านได้สอนพวกมันถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อพวกมัน ให้มีขนสวยงาม ให้มีอาหารประจำวัน ฯลฯ
พวกมันฟังกันอย่างสงบนิ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้พบเห็นจนเอาไปเล่าต่อๆกันทั่วเมือง
-กระต่ายป่าที่ แกร๊กโซ-
ในปี 1229 ท่านพบกระต่ายติดกับดักที่ชายป่าแกร๊กโซ ท่านช่วยมันจากกับดัก และอุ้มมันอย่างอ่อนโยน
และพูดกับมันว่า "น้องกระต่ายระวังอย่าให้ใครจับได้อีกนะ"จากนั้นท่านก็ปล่อยมัน แต่มันกลับไม่ยอม
ไปไหน และกระโดดมาบนตักท่าน ท่านจึงค่อยๆอุ้ม และพูดกับมันว่า กลับเข้าป่าไปได้แล้วปลอดภัยแล้ว
แต่ไม่ว่ากี่ครั้งมันก็กระโดดกลับมาหาท่านตลอด จนท่านต้องขอให้นักบวชท่านอื่นในคณะช่วยนำมันไป
ปล่อยที่อีกฟากของป่า
-ปล่อยปลาที่เรียตี-
มีคนเอาปลาตัวใหญ่ที่เพิ่งจับได้มาทำบุญให้ท่าน ท่านไม่อยากฆ่ามัน จึงเอามันไปปล่อยพร้อมพูด
กับมันว่า"จงไปและสรรเสริญพระเจ้าเถิด"
-น้องน้ำ-
ท่านเคยอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าว่า
"สรรเสริญพระเจ้าสำหรับน้องน้ำ ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ สุภาพ ล้ำค่า และบริสุทธิ์"
และเรื่องที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดคือเรื่อง หมาป่าแห่งกุบบิโย ซึ่งเล่าลือไปทั่วอิตาลี
ใน คศ.1220 ที่กุบบิโย มีหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่งมักลอบเข้ามากัดกินสัตว์และทำร้ายคนในหมู่บ้าน
ชาวบ้านตามล่ามันหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ฟรังซิสทราบเรื่องเข้าท่านรีบเข้าไปในป่า พบหมาป่า
ดุร้ายตัวนี้เข้า ท่านพูดกับมันอย่างอ่อนหวานว่า "น้องหมาป่าเอ๋ย ในนามพระเยซูเจ้า ฉันขอสั่งห้าม
เธอไม่ให้ทำร้ายใครๆอีกเลยนะ" หมาป่านั่นหมอบลงราวกับรู้ภาษา และเดินตามท่านกลับเมือง
เมื่อถึงเมืองท่านเจรจากับชาวบ้านว่าอย่าฆ่ามันเลย เพราะที่มันทำไปเพราะ มันหลงฝูงขาดแคลน
อาหารจึงหิวโหยโหดร้าย พวกท่านจะช่วยแบ่งปันอาหารให้มันเลี้ยงดูมัน มันจะได้ไม่ทำร้ายใครอีก
และฟรังซิสได้หันไปยื่นมือขอสัญญาจากมัน มันก็ยกอุ้งเท้าวางบนมือท่าน ชาวบ้านเห็นมันเชื่องไปเช่นนี้
จึงยอมทำตามและช่วยกันเลี้ยงดูมันในหมู่บ้าน จน2ปีต่อมามันจึงตายลงอย่างสงบที่หมู่บ้านนั่นเอง
สิ่งที่ท่านทำเรียกได้ว่าเป็นการฝึกให้ชุมชนร่วมรับผิดชอบและอยู่ร่วมกับสัตว์จรจัดเป็นคนแรกๆของโลก
หลายร้อยปีผ่านไป เมื่อกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ และการรักสัตว์บูมในโลกตะวันตก ชื่อของท่านก็บูม
ขึ้นมาด้วย เรื่องราววีรกรรมกับสัตว์ในชีวิตของท่านถูกยกขึ้นมาสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ และปรัชญา
เทววิทยาที่ท่านได้ตีความเกี่ยวกับสัตว์อย่างไม่เหมือนใคร ได้ทำให้ศาสนาคริสต์ที่ไม่มีการสอนว่า
ฆ่าสัตว์เป็นบาป ก็สามารถใช้ เทววิทยาของน.ฟรังซิส เข้ารองรับกระแสใหม่นี้ได้ทันที แม้แต่ในกลุ่ม
วีแกน(Vegan)หลายกลุ่มยังยกย่องท่านขึ้นมาเป็นแบบอย่าง
(แม้ท่านจะไม่ถึงขนาดกินผักทุกมื้อก็ตามเพราะขอทานมาได้อะไรก็กิน) ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับสัตว์
บางคน เช่น ซีซาร์ มิลาน นักฝึกสุนัขชื่อดังของอเมริกามีรูปปั้นของท่านท่ามกลางสัตว์ อยู่ที่หน้าบ้าน
ของตน ปัจจุบัน หลายโบสถ์ในคาทอลิกและแองกลีกัน มีพิธีอวยพรสัตว์เลี้ยงในวันระลึกท่าน
คือวันที่ 4 ตุลาคม ของทุกปี
นักบุญฟรังซิส ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญ ผู้อุปถัมภ์สัตว์และระบบนิเวศน์ เพราะท่านรักทุกสรรพสิ่ง
ที่พระเจ้าสร้าง และเห็นชัดเจนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ พืช สัตว์ ดวงดาว สิ่งแวดล้มต่างๆ ล้วนถูกสร้างมา
อย่างมีเหตุผลและต้องอยู่อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เราทั้งผองไม่เพียงมนุษย์ แต่ทุกสิ่งทั้งจักรวาลนี้ล้วนเป็นพี่น้องกัน
( มัทธิว 5:5,7) ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
CR. : จิต ศรัทธา
นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี
St. Francis of Assisi
ฟรังซิสแห่งอัสซีซีเป็นสังฆานุกรชาวอิตาเลียนผู้นำการปฏิรูปมาสู่พระศาสนจักรโดยการดำเนินชีวิต
ตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าอย่างเที่ยงตรงที่สุดเท่าที่จะกระทำได้
ท่านเกิดเมื่อปี ๑๑๘๐ ในตระกูลค้าขายที่มั่งคั่ง บิดาท่านชื่อ Pietro Bernardone และมารดาชื่อ Pica
ท่านได้รับชื่อแรกเกิดว่า Giovanni (ยอห์น) แต่บิดาของท่านเลือกจะเรียกท่านว่า Francesco (ฟรังซิส)
ฟรังซิสแตกต่างจากนักบุญองค์อื่นๆ ของยุคกลาง ในวัยหนุ่มท่านไม่ได้โดดเด่นพิเศษเรื่องความศรัทธา
หรือการศึกษา ความร่ำรวยของบิดาทำให้ท่านสามารถใช้ชีวิตชนชั้นสูง ท่านเป็นหนุ่มสังคม แต่งตัวโฉบ
เฉี่ยวทันสมัยและชอบร้องเพลง ท่านสนใจเรื่องการรบพุ่งจนเข้าร่วมรบในสงครามของรัฐอิตาเลียนคู่แข่ง
ช่วงเวลาที่ท่านถูกคุมขังเพราะการรบสู้นั้น ท่านเริ่มหันเหความคิดสู่เรื่องที่จริงจังกว่า ท่านกลับเมืองอัสซีซี
ในปี ๑๒๐๕ และเริ่มคิดถึงการใช้ชีวิตถือความยากจน
มีเหตุการณ์ ๓ อย่างที่สร้างความมั่นใจให้กับทางเลือกนี้ของฟรังซิส ที่เมืองอัสซีซีท่านเอาชนะความกลัว
ด้วยการจูบมือคนเป็นโรคเรื้อน หลังจากนั้น ท่านจาริกแสวงบุญไปยังโรม ท่านบริจาคเงินที่มีติดตัว
ให้กับตู้ทานสุสานนักบุญเปโตร และแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากับขอทานคนหนึ่ง ไม่นาน หลังกลับถึงบ้าน
ฟรังซิสได้ยินพระคริสต์ตรัสกับท่านในภาพนิมิตว่า "ไปเถิด ฟรังซิส ไปซ่อมแซมบ้านของเรา ท่านเห็น
แล้วว่ามันกำลังปรักหักพังเพียงใด"
ฟรังซิสใช้เงินทองของบิดาซ่อมแซมวัดวาต่างๆ บิดาท่านไม่พอใจ เกิดการโต้เถียงรุนแรง ท่านตัดสินใจ
ถอดเสื้อผ้าคืนให้ และประกาศว่าท่านไม่มีบิดาไหนอื่นนอกจากพระเจ้า ท่านถือว่าตัวเองเป็นสามีของ
"เลดี้ยากจน" และตัดสินใจจะรับใช้พระคริสต์ในฐานะ "ผู้นำสาสน์ของกษัตริย์ยิ่งใหญ่"
ในปี ๑๒๐๘ ท่านได้รับแรงบันดาลใจก่อตั้งขบวนการฟรังซิสกัน ในมิสซาเช้า ท่านได้ยินบทอ่าน
พระวรสารที่พระคริสต์แนะนำให้อัครสาวกออกเดินทางไปโดยไม่มีเงินทอง รองเท้า และเสื้อผ้าสำรอง
วิถีชีวิตแบบนี้ไม่ช้าก็ได้รับการรับรองพระวินัยโดยพระสันตะปาปา และดึงดูดผู้ติดตามจำนวนมาก
ในช่วงชีวิตของฟรังซิส
ในการดำเนินชีวิตจำลองแบบพระคริสต์ฟรังซิสก็ร่วมรับพระทรมานกับพระองค์ด้วย ท่านได้รับรอย
แผลศักดิ์สิทธิ์ระหว่างเดือนกันยายน ๑๒๒๔ สุขภาพของท่านเสื่อมโทรมตลอด ๒ ปีต่อมา ท่านเป็น
"เครื่องบูชาที่มีชีวิต" ด้วยการสอนและใช้โทษบาปเป็นเวลา ๒๐ ปีของงานแพร่ธรรมของท่าน
ท่านเสียชีวิตในวันที่ ๓ ตุลาคม ๑๒๒๖ พระสันตะปาปาเกรกอรี ที่ ๙ เพื่อนและผู้ศรัทธาต่อท่าน
ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ๑๒๒๘
CR. : Sinapis
+ ชายผู้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสัตว์ในคริสตปรัชญา +
ในเวลาที่เราเห็นคนเรียกน้องหมา น้องแมว มากขึ้น เราพบพฤติกรรมอันใหม่นี้แพร่หลายไม่เกิน
30 ปีที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้าไม่ช้านานการนับสัตว์เป็นครอบครัวญาติพี่น้องถูกมองว่า "โอเว่อร์"
หรือ "เพี้ยน" และในกระแสการยกระดับและคลั่งไคล้เอ็นดูสัตว์ในปัจจุบัน ก็ปรากฎการฟีเวอร์ขึ้น
ในการพูดถึงและ ให้ความเคารพแก่นักบุญท่านหนึ่ง ผู้ราวกับเกิดมาก่อนกาลเวลาล้ำหน้ากว่าใคร
ในยุคสมัยของตน เพราะเขาผู้เรียกสัตว์เป็นน้อง เมื่อเกือบ 900 ปีที่แล้ว แล้วไม่ใช่แค่สัตว์
แม้พระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็นับเป็นพี่ เขาจึงอาจเป็นมนุษย์คนแรกที่นับญาติกับสัตว์
และสิ่งสร้างทั้งหมดของพระเจ้า
นักบุญ ฟรังซิส แห่ง อัสซิซี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1181 เป็นนักบุญคนสำคัญของคริสตศาสนาเพราะได้
ชื่อว่า สวรรค์ส่งมาเกิดให้เป็นผู้กอบกู้พระศาสนจักรในยุคกลาง ที่พระสงฆ์นักบวชเริ่มมีอำนาจทาง
โลกมากเกินไป และเริ่มฟุ้งเฟ้อเกินฐานะศิษย์พระคริสต์ผู้ยากจน ชายผู้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ทำตัวเช่น
เหล่าศิษย์ของพระเยซู ไม่ขอมีทรัพย์สินใด ไม่แตะเงิน อาหารส่วนหนึ่งมาจากการขอบริจาคทาน และ
กลับไปใช้วิถีชีวิตแบบที่พระเยซูทำในพระคัมภีร์ ท่านทำให้เหล่าพระสังฆราชถึงแก่ถกเถียงกันว่า
ที่ท่านทำนี้มันสุดโต่งเกินไปไหม จนมีพระสังฆราชท่านหนึ่งพูดขึ้นกลางที่ประชุมว่า ถ้าที่ฟรังซิสทำมันผิด
เท่ากับเรากำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูสอนทำไม่ได้จริง ท่านจึงเป็นนักปฏิรูปคริสตศาสนาคนแรกๆ ที่ปฏิรูป
ศาสนาสู่ความสมถะยากจนจากภายใน ท่านจึงเป็นนักบุญในสาระบบของคาทอลิก และโปรแตสแตนท์
แองกลีกัน และลูเธอรัน ด้วย
บทอธิษฐานที่ท่านแต่งยังลึกซึ้งกินใจชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและโปรแตสแตนท์จำนวนมากที่ว่า
"ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
- ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
- ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
- ที่ใดมีความแตกแยก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี...."
บทอธิษฐานภาวนาของท่านจึงเป็นบทที่ถูกยกขึ้นมาเสมอในงานสานสัมพันธ์ระหว่างคริสต์นิกายต่างๆ
และยิ่งกว่านั้นวีรกรรมที่ท่านบุกเข้าไปหาสุลต่านมุสลิมในค่ายทหารมุสลิม เพื่อเสวนาสร้างความเข้าใจ
ในศาสนาคริสต์อย่างไม่กลัวความตาย จนสุลต่าน ทึ่งและนับถือในตัวท่าน และปล่อยท่านออกมาอย่าง
ปลอดภัยทั้งที่เคยฆ่าคริสตชนมามากมาย ทำให้ในปัจจุบันเมื่อการเสวนาระหว่างศาสนาคริสต์และ
ศาสนาอื่น เป็นวิสัยทัศน์ของพระศาสนจักร ท่านจึงถูกยกขึ้นมาเป็นองค์อุปถัมภ์การเสวนาระหว่าง
ศาสนาด้วย
แต่การสร้างสันติและมิตรภาพของท่านไม่จำกัดแค่คนต่างศาสนากัน หรือคนนิกายกัน แต่วีรกรรม
ในชีวิตท่านยังเต็มไปด้วยมิตรภาพของท่านและสัตว์ต่างๆอีกด้วย
ก่อนหน้ายุคสมัยของท่าน ตั้งแต่ศาสนายิวมา การฆ่าสัตว์เป็นวิถีชีวิตธรรมดาของมนุษย์ ด้วยข้อความ
ในปฐมกาล
“ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและ
ฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไปและสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:26)
ชาวยิว คริสต์ อิสลาม จึงไม่สอนว่าบาปในการฆ่าสัตว์โดยเฉพาะเพื่อเอามากิน แต่เทววิทยาของฟรังซิส
ผู้นี้ บอกว่า การปกครองที่พระเจ้าหมายถึงไม่ใช่การมุ่งแสวงหาประโยชน์ แต่ให้ดูแลรักษา ดุจ ดังลูกที่ดี
ที่รักพ่อ ย่อมดูแลและรักษาของขวัญที่พ่อให้อย่างดี ไม่ใช่ใช้ทิ้งขว้างทำลายล้างอย่างไม่เห็นค่า
ท่านยังชี้ว่า พระเจ้า สร้างมนุษย์คู่แรกมาให้ปลอดภัยและสุขสบายอยู่ใน "สวน" ไม่ใช่มหาวิหารหรือ
ราชวังสุดหรู แต่คือสวนที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า และสัตว์น้อยใหญ่ ท่านและคณะของท่านจึงเน้นการอยู่กับ
ธรรมชาติในป่าในสวน ทำงานเพาะปลูก และค้นพบพระเจ้าในธรรมชาติและสิ่งที่พระองค์สร้าง สำหรับ
ท่านแล้วทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างล้วนเป็นพี่น้องร่วมบิดาผู้สร้างเดียวกัน ท่านจึงเรียกสิ่งต่างๆทั้งดวงดาว
ดิน น้ำ พืช สัตว์ เป็นพี่น้องของท่านทั้งหมด
ท่านไม่ได้พูดสอนโลกสวยเป็นทฤษฎีดีแต่ปาก แต่มีการกระทำจริง มีบันทึกชีวประวัติของท่านและคณะ
นักบวชได้เล่าเรื่องราว(ที่ยากจะสรุปว่าเหนือธรรมชาติหรือสุดแสนจะธรรมชาติกันแน่)ของท่านกับสัตว์ไว้
มากมายกว่านักบุญคนอื่นๆในคริสตศาสนา
- การเทศนาให้เหล่านก -
มีบันทึกว่า เมื่อคนไม่มาฟังท่านเทศนา ท่านเลยหันไปเทศนาให้นกฟัง ปรากฏว่าเริ่มมีนกมากมายมา
ชุมนุมกัน แม้แต่นกแปลกๆต่างถิ่นที่คนแถวนั้นไม่เคยเห็น พวกมันเกาะเต็มพื้นเต็มต้นไม้รอบตัวท่าน
ท่านได้สอนพวกมันถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อพวกมัน ให้มีขนสวยงาม ให้มีอาหารประจำวัน ฯลฯ
พวกมันฟังกันอย่างสงบนิ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้พบเห็นจนเอาไปเล่าต่อๆกันทั่วเมือง
-กระต่ายป่าที่ แกร๊กโซ-
ในปี 1229 ท่านพบกระต่ายติดกับดักที่ชายป่าแกร๊กโซ ท่านช่วยมันจากกับดัก และอุ้มมันอย่างอ่อนโยน
และพูดกับมันว่า "น้องกระต่ายระวังอย่าให้ใครจับได้อีกนะ"จากนั้นท่านก็ปล่อยมัน แต่มันกลับไม่ยอม
ไปไหน และกระโดดมาบนตักท่าน ท่านจึงค่อยๆอุ้ม และพูดกับมันว่า กลับเข้าป่าไปได้แล้วปลอดภัยแล้ว
แต่ไม่ว่ากี่ครั้งมันก็กระโดดกลับมาหาท่านตลอด จนท่านต้องขอให้นักบวชท่านอื่นในคณะช่วยนำมันไป
ปล่อยที่อีกฟากของป่า
-ปล่อยปลาที่เรียตี-
มีคนเอาปลาตัวใหญ่ที่เพิ่งจับได้มาทำบุญให้ท่าน ท่านไม่อยากฆ่ามัน จึงเอามันไปปล่อยพร้อมพูด
กับมันว่า"จงไปและสรรเสริญพระเจ้าเถิด"
-น้องน้ำ-
ท่านเคยอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าว่า
"สรรเสริญพระเจ้าสำหรับน้องน้ำ ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ สุภาพ ล้ำค่า และบริสุทธิ์"
และเรื่องที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดคือเรื่อง หมาป่าแห่งกุบบิโย ซึ่งเล่าลือไปทั่วอิตาลี
ใน คศ.1220 ที่กุบบิโย มีหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่งมักลอบเข้ามากัดกินสัตว์และทำร้ายคนในหมู่บ้าน
ชาวบ้านตามล่ามันหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ฟรังซิสทราบเรื่องเข้าท่านรีบเข้าไปในป่า พบหมาป่า
ดุร้ายตัวนี้เข้า ท่านพูดกับมันอย่างอ่อนหวานว่า "น้องหมาป่าเอ๋ย ในนามพระเยซูเจ้า ฉันขอสั่งห้าม
เธอไม่ให้ทำร้ายใครๆอีกเลยนะ" หมาป่านั่นหมอบลงราวกับรู้ภาษา และเดินตามท่านกลับเมือง
เมื่อถึงเมืองท่านเจรจากับชาวบ้านว่าอย่าฆ่ามันเลย เพราะที่มันทำไปเพราะ มันหลงฝูงขาดแคลน
อาหารจึงหิวโหยโหดร้าย พวกท่านจะช่วยแบ่งปันอาหารให้มันเลี้ยงดูมัน มันจะได้ไม่ทำร้ายใครอีก
และฟรังซิสได้หันไปยื่นมือขอสัญญาจากมัน มันก็ยกอุ้งเท้าวางบนมือท่าน ชาวบ้านเห็นมันเชื่องไปเช่นนี้
จึงยอมทำตามและช่วยกันเลี้ยงดูมันในหมู่บ้าน จน2ปีต่อมามันจึงตายลงอย่างสงบที่หมู่บ้านนั่นเอง
สิ่งที่ท่านทำเรียกได้ว่าเป็นการฝึกให้ชุมชนร่วมรับผิดชอบและอยู่ร่วมกับสัตว์จรจัดเป็นคนแรกๆของโลก
หลายร้อยปีผ่านไป เมื่อกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ และการรักสัตว์บูมในโลกตะวันตก ชื่อของท่านก็บูม
ขึ้นมาด้วย เรื่องราววีรกรรมกับสัตว์ในชีวิตของท่านถูกยกขึ้นมาสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ และปรัชญา
เทววิทยาที่ท่านได้ตีความเกี่ยวกับสัตว์อย่างไม่เหมือนใคร ได้ทำให้ศาสนาคริสต์ที่ไม่มีการสอนว่า
ฆ่าสัตว์เป็นบาป ก็สามารถใช้ เทววิทยาของน.ฟรังซิส เข้ารองรับกระแสใหม่นี้ได้ทันที แม้แต่ในกลุ่ม
วีแกน(Vegan)หลายกลุ่มยังยกย่องท่านขึ้นมาเป็นแบบอย่าง
(แม้ท่านจะไม่ถึงขนาดกินผักทุกมื้อก็ตามเพราะขอทานมาได้อะไรก็กิน) ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับสัตว์
บางคน เช่น ซีซาร์ มิลาน นักฝึกสุนัขชื่อดังของอเมริกามีรูปปั้นของท่านท่ามกลางสัตว์ อยู่ที่หน้าบ้าน
ของตน ปัจจุบัน หลายโบสถ์ในคาทอลิกและแองกลีกัน มีพิธีอวยพรสัตว์เลี้ยงในวันระลึกท่าน
คือวันที่ 4 ตุลาคม ของทุกปี
นักบุญฟรังซิส ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญ ผู้อุปถัมภ์สัตว์และระบบนิเวศน์ เพราะท่านรักทุกสรรพสิ่ง
ที่พระเจ้าสร้าง และเห็นชัดเจนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ พืช สัตว์ ดวงดาว สิ่งแวดล้มต่างๆ ล้วนถูกสร้างมา
อย่างมีเหตุผลและต้องอยู่อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เราทั้งผองไม่เพียงมนุษย์ แต่ทุกสิ่งทั้งจักรวาลนี้ล้วนเป็นพี่น้องกัน
( มัทธิว 5:5,7) ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
CR. : จิต ศรัทธา
ฉลองนักบุญ วันที่ ๕ ตุลาคม
บุญราศีบาร์โธโลมิว ลองโก
Blessed Bartholomew Longo
"ความปรารถนาหนึ่งเดียวของข้าพเจ้าคือได้พบพระนางมารีย์ผู้นำทางและช่วยเหลือข้าพเจ้า
ให้พ้นจากอุ้งมือของซาตาน" คำพูดสุดท้ายของบุญราศีบาร์โธโลมิว ลองโก
เรื่องราวการกลับใจของท่านน่าสนใจและน่าพิศวงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ
พระศาสนจักร ท่านเคยเป็นพระสงฆ์ของลัทธินิยมซาตาน และได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษ
จากพระนางมารีย์จนกระทั่งถูกประกาศเป็นบุญราศี
ท่านเกิดมาในครอบครัวคาทอลิกในปี ๑๘๔๑ เมื่อเยาว์วัยก็เข้ามิสซาที่วัดสม่ำเสมอ แต่เมื่อโต
เป็นวัยรุ่นไปศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยในเมืองเนเปิล ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แรกเริ่ม ท่านเข้า
กลุ่มคาทอลิกที่ต่อต้านพระสันตะปาปา จากนั้นได้กลายเป็นคนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และได้เป็นผู้นิยม
ลัทธิซาตาน จนที่สุดบวชเป็นพระสงฆ์ของกลุ่มลัทธินี้ ท่านได้เป็นผู้ต่อต้านความเชื่ออย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวและเพื่อนๆ ของท่านพยายามสวดภาวนาให้ท่านกลับใจสู่ความเชื่อในวัยเด็ก
อาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งพูดคุยกับท่าน จนทำให้ท่านเริ่มมองเห็นความผิดพลาดของตนเอง
แล้วท่านก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักพระสงฆ์คณะโดมินิกันองค์หนึ่งชื่อคุณพ่ออัลเบิร์ต ซึ่งได้ช่วยนำทาง
ท่านให้เปลี่ยนความคิด และในที่สุดก็นำท่านกลับมาสู่พระศาสนจักร
ท่านมีความเชื่ออีกครั้งแต่ตระหนักดีถึงความอื้อฉาวและความเสียหายที่ตนเองได้ก่อไว้ ท่านอยาก
ชดเชย ท่านรับรู้ถึงความยากไร้ของผู้เช่าที่นาใกล้บ้านเกิด เมื่อเห็นพวกเขาถ้อยคำของแม่พระแห่ง
สายประคำผุดขึ้นในความคิดท่านว่า "ผู้ส่งเสริมการสวดสายประคำจะได้รับความรอด"
นับจากวันนั้น ท่านอุทิศตนเพื่อเผยแผ่ความศรัทธาต่อสายประคำ ท่านจัดตั้งกลุ่มสวดสายประคำที่
วัดบ้านเกิด และที่พระแท่นภาพวาดแม่พระแห่งสายประคำ พระแท่นได้พัฒนาเป็นสักการสถาน
ในปี ๑๙๐๑ ดึงดูดผู้จาริกแสวงบุญนับพันคนในแต่ละวัน
ผู้ช่วยเหลือท่านในภารกิจนี้คือเคาเตสท์ดิฟุสโก แม่หม้ายใจศรัทธา พระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๑๓
ทรงแนะนำให้ทั้งสองแต่งงานกันเพื่อยุติคำครหานินทา ทั้งคู่นบนอบต่อพระสันตะปาปา แต่ปฏิญาณ
ตนดำเนินชีวิตถือความบริสุทธิ์
พวกท่านเปิดบ้านเด็กกำพร้าสำหรับลูกๆ ของพวกนักโทษ ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งสำหรับพวกเด็ก
เพราะสังคมสมัยนั้นถือว่าไม่มีอนาคต เพราะมีเชื้อสายของอาชญากร
ในช่วงยี่สิบปีสุดท้าย ท่านเจ็บป่วยและมีผู้โจมตีกล่าวร้ายท่านเพราะอิจฉา ท่านยึดเอาความศรัทธา
ต่อสายประคำเป็นที่พึ่ง ท่านประกาศว่าแม่พระมีบทบาทสำคัญที่ช่วยเหลือท่านจากลัทธิซาตานและ
กลับใจมาสู่สัจธรรม ท่านเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันถึงข้อความเชื่อเรื่องการเสด็จสู่สวรรค์ของ
พระนางมารีย์ซึ่งได้รับการประกาศในปี ๑๙๕๐ โดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๒
ท่านสิ้นใจในวันที่ ๕ ตุลาคม ๑๙๒๖ ด้วยอายุ ๘๕ ปี พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ประกาศตั้งท่าน
เป็นบุญราศีในปี ๑๙๘๐ พระองค์เทศน์ในพิธีวันนั้นว่า "ด้วยสายประคำในมือ
ท่านบุญราศีบาร์โธโลมิว ลองโก บอกเราแต่ละคนว่า จงปลุกความไว้วางใจใน
พระนางมารีย์พรหมจารีย์แห่งสายประคำ พระนางผู้น่าเคารพ ในพระนาง เราขอมอบปัญหาทุกข์ยาก
ทุกประการ ความไว้วางใจ และความหวังทั้งมวล"
CR. : Sinapis
+ จากผู้นำลัทธิซาตาน สู่การประกาศเป็นบุญราศี +
'Every saint has a past, and every sinner has a future.'
- Oscar Wilde
"นักบุญทุกคนมีอดีต และคนบาปทุกคนมีอนาคต"
คำกล่าวของ ออสการ์ ไวลด์ กวีชาวไอริชผู้โด่งดังนี้ บุคคลคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดคือ
บาร์โทโล ลองโก้ ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยชื่นชอบลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า เข้าร่วมลัทธิซาตานจนได้รับการ
อภิเษกแต่งตั้งเป็นนักบวชผู้นำลัทธิซาตาน และกระทำบาปทุกสิ่งที่คำสอนของศาสนาอันล้าหลัง
คร่ำครึในสายตาเขาได้ห้ามไว้ แล้ววันฟ้าถล่มดินทลายของชีวิตเขาก็มาถึง เขาได้กลับตัวกลับใจ
อุทิศชีวิตแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ จนได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวินของพระศาสนจักร ได้รับการคำนับ
และยกย่องจากบรรดาพระสันตะปาปา และได้เข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งนักบุญ และในขณะนี้อยู่
ในสถานะ "บุญราศี"
บาร์โทโล ลองโก้ (Bartolo Longo)ชาวอิตาลี เกิดเมื่อ10กุมภา1841 ในครอบครัวคาทอลิก
เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้10ขวบ เขาก็ค่อยๆห่างไกลจากความศรัทธาในศาสนาไปเรื่อยๆ
จนอายุได้20ปี เขาได้เข้ามหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์(Naples) เพื่อเรียนวิชากฎหมาย
หากแต่ว่าในช่วงศตวรรษที่19 เป็นช่วงเวลาวุ่นวายทางการเมืองของอิตาลี มีการปฎิวัติหลายครั้ง
และในช่วง 1860 มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองชาตินิยม ที่ชี้ประเด็นว่าศาสนาและโดยเฉพาะคาทอลิก
เป็นสิ่งถ่วงความเจริญของอิตาลี ให้ล้าหลังคร่ำครึ และพระสันตะปาปาถูกมองว่าเป็นศัตรูของแนวคิด
ชาตินิยม การเหยียดนักบวช หรือล้อเลียนศาสนาเป็นตัวตลก เป็นเทรนด์นิยมของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น
และ มหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์ในเวลานั้นนอกจากเป็นที่สอนหนังสือ ยังเป็นที่เผยแพร่อุดมการณ์ต่างๆ กลาย
เป็นแหล่งรวมของกลุ่ม สมาคม ชมรม ทุกรูปแบบ และรวมแนวคิดที่ต่อต้านระเบียบจารีตยุคเก่า อันนำ
เอาคริสตศาสนาคาทอลิกมาเป็นจำเลย ก็เฟื่องฟูในมหาวิทยาลัย มีชมรม หรือสมาคม ที่นำเอาเรื่อง
ศาสตร์คุณไสยจากต่างประเทศรูปแบบต่างๆ ทั้งแม่มด คนทรง ไปจนถึงแนวคิดบูชาซาตาน เข้ามา
เฟื่องฟูในมหาวิทยาลัยด้วย
บาร์โทโล นักศึกษาหนุ่ม เข้าสมาคมสื่อวิญญาณ(séances) อันพาเขาลุ่มหลงไปกับไสยศาสตร์วิชามาร
การมั่วสุมใช้ยาเสพติดทุกชนิด และการมั่วเพศแบบเซ็กส์หมู่ เพื่อทำให้ผีปีศาจพอใจและลบหลู่ศีลธรรม
แบบคริสตศาสนา บาร์โทโล ได้รับการยกย่องชื่นชม ในการท้าทายเหยียดหยามศาสนาดูหมิ่นพระเจ้า
ในที่สาธารณะ จนชาวคณะทำการบวช(ordained) เขาเป็นบาทหลวงซาตาน(Satanic priest)ในระดับ
ผู้นำลัทธิ(Satanic bishop)
บาร์โทโล หลงระเริงในความสุขเนื้อหนังและอบายมุขและการยกย่องชื่นชมจากบรรดาปัญญาชนผู้รัก
ในวิถีชีวิตเสรีที่แหวกขนบธรรมเนียมล้าหลัง ในหมู่เพื่อนเขาคือฮีโร่ แต่กับครอบครัว ญาติพี่น้อง และ
เพื่อนเก่า เห็นว่า เขาเหมือนคนบ้า มีอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาท มีการนอยด์ตลอดเวลา
และหมกมุ่น ในโลกส่วนตัว เหมือนคนเสียสติ มากกว่าคนฉลาดที่มีการศึกษาอย่างที่เขาเคยเป็น
+ คำอธิษฐานภาวนาของครอบครัว +
เมื่อครอบครัวของเขารู้เรื่องที่เขาไปบ้าคลั่งลัทธิจนชีวิตพัง ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสวดภาวนาขอ
พระเจ้าให้เขากลับใจ และคำภาวนาของผู้คนที่รักเขาก็ได้รับการตอบรับ
คืนหนึ่งขณะที่ บาร์โทโล ผู้มีการการเครียด ซึมเศร้า และวิตกจริตกำลังจะหลับ เขาได้ยินเสียงที่เขา
คุ้นเคยในวัยเด็ก เขาจำได้ดีว่าคือเสียงพ่อที่จากไปของเขา ร้องเสียงดังว่า
"กลับมาหาพระเจ้าเถิดลูกเอ๋ย!"
บาร์โทโล เอง รู้ตัวดีว่า เส้นทางความสุขจอมปลอมที่เขาเดินทางเข้ามาจมปลักนั้น ทำลายตัวตน
ของเขาไปมาก แต่ความสับสนในชีวิต ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกขังในห้องมืดที่ไม่รู้จะออกจากสภาพนี้
ได้ยังไง แต่เสียงของพ่อคืนนั้นเหมือนใครสักคนผลักประตูเข้ามาจนแสงสว่างจ้าเห็นทางออก
บาร์โทโล รีบไปพบเพื่อนเก่า ชื่อ วีเซนโซ่ เปป( Vincenzo Pepe) และขอความช่วยเหลือจากเพื่อน
เปปร้องไห้พูดกับเขาว่า"นายอยากตายในสถานบำบัดคนโรคจิตแล้วตกนรกไปตลอดกาลหรือไง?
" ทั้งสองตกลงกันว่าต้องช่วยกันพากันออกจากชีวิตเหลวแหลกนี้ เปปพาบาร์โทโล ไปพบ
คุณพ่ออัลเบอโต้(Fr. Alberto Radente)พระสงฆ์คณะโดมินิกัน
บาร์โทโล เข้าสู่การสารภาพบาป และบำบัดที่เหมือนเข้าเงียบระยะยาว กับคุณพ่ออัลเบอโต้
ผู้ซึ่งอดทนใช้เวลาในการในคำปรึกษาฝ่ายจิตแก่เขาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอดทน หลังจากบำบัด
กับคุณพ่อนานนับเดือน บาร์โทโลฟื้นฟูจิตวิญญาณของตน จนในปี 1871 บาร์โทโล สมัครเข้าเป็นสมาชิก
โดมินิกันชั้น3(ฆารวาสที่ร่วมปฎิบัติวินัยบางข้อของคณะนักบวชที่เข้าร่วมสังกัด) และกลับไปยังสมาคม
สื่อวิญญาณของมหาวิทยาลัย ในคาเฟ่ ท่ามกลางปาร์ตี้มั่วสุมของนักศึกษา และยืนขึ้นบนโต๊ะประกาศว่า
"ผมขอประกาศลาออกจากลัทธิวิญญาณนี้ เพราะมันคือเขาวงกตแห่งความหลงผิดและความเท็จ"
เขาใช้เวลา6ปี ในการอุทิศตนนำคนที่หลงผิดแบบเขากลับมาหาพระเจ้า และช่วยเหลือรับใช้คนยากจน
- ที่หลบภัยของคนบาป +
แต่ดูเหมือนชีวิตมันไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่ออาการทางจิตประสาทกลับมาคุกคามเขา อาการวิตกจริด และนอยด์
กลับมาหลอกหลอนเขาอีก เขาเริ่มหลอนว่าตนเองยังถูกซาตานยึดวิญญาณไว้ และกลัวว่าพระเจ้าจะยังไม่ให้
อภัย เขาจะต้องตกนรก เขาเริ่มมีอาการซึมเศร้าจนอยากจะฆ่าตัวตาย แต่ก็กลัวตกนรก กลัวต้องกลับไป
อยู่กับซาตาน วันหนึ่งเขานึกถึงวัยเด็ก กิจศรัทธาเรียบง่ายอย่างการสวดสายประคำ และ
ความรักอันอ่อนโยนของแม่พระที่เขาจำได้ และเขาได้ยินแม่พระพูดกับเขาว่า
"โดยการสอนผู้อื่นเรื่องสายประคำ ลูกจะปลอดภัย"
ในเทววิทยา พระแม่มารีย์ไม่ใช่ผู้ไถ่บาป แต่แม่เป็น "ที่หลบภัยของคนบาป" เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณ
โดยเฉพาะของผู้ที่ขาดความวางใจหรือเสียใจในบาปมากเสียจนคิดว่าพระเจ้าจะไม่ให้อภัย เหมือน
ความรู้สึกของลูกล้างผลาญที่บอกกับพ่อว่า "ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพ่อ" แม่พระทำสิ่งที่เหมือน
นางรีเบคาห์ แม่ของฝาแฝด เอซาวและยาโคบ คือเป็นที่พึ่งและกำลังใจให้ยาโคบ ที่คิดว่าตนไม่เป็น
ที่รักของพ่อแบบเอซาว แม่พระจึงเหมือนนางรีเบคาห์ที่เป็นแม่ผู้เชื่อมพ่อลูกที่มีปัญหาเรื่อง
ความสัมพันธ์ต่อกันไว้ไม่ให้แตกหักลงไป
บาร์โทโล จึงได้เอาชนะความวิตกจริต และการป่วยทางจิต โดยมุ่งมั่นทำพันธกิจการแผยแพร่
เรื่องการสวดสายประคำ เขาเดินทางไปยังปอมเปอี ซึ่งเขาได้เขียนเล่าในบันทึกว่า
"เต็มไปด้วยเรื่องซูแปร์ติซัง(ความเชื่อโชคลางคุณไสย)มีทั้งการใช้เวทย์มนต์คาถา แม่มด คนทรง
เครื่องรางของขลังมั่วไปหมด"
เหตุการณ์เมื่อครั้งนักบุญโดมินิกได้รับสายประคำจากพระเยซูและแม่พระ โดยอาศัยการสวด
สายประคำขับไล่ลัทธิหลงผิดในยุคของท่าน บาร์โทโล ก็เดินหน้าเปลี่ยนแปลง
ความหลงผิดของที่นี่ด้วยสายประคำเช่นกัน
+ พันธกิจของผู้รับใช้พระเจ้า +
กว่า50ปี ของการทำพันธกิจเพื่อความศรัทธาในพระเจ้า บาร์โทโลและภรรยา เค้าท์เตส มาเรียน่า
(Countess Mariana di Fusco) ได้ตั้งโรงเรียนเพื่อเด็กยากจน บ้านเด็กกำพร้า และบ้านพักพิง
สำหรับเด็กที่พ่อแม่จำคุก และการปฏิวัติแท้จริงก็คือ ปอมเปอี จากพื้นที่ซูแปร์ติซัง ได้กลายเป็นชุมชน
ความศรัทธา ท่านได้ฟื้นฟูโบสถ์ที่ถูกทิ้งร้าง จนกลายเป็นวิหารพรหมจารีย์แห่งสายประคำแห่งปอมเปอี
(Shrine of the Virgin of the Rosary of Pompei) ซึ่งมีผู้แสวงบุญจำนวนมาก
พระศาสนจักรมอบเกียรติให้ท่าน โดยแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน ชั้น
Order of the Holy Sepulchre of Jerusalem และมหาวิหารนี้คือที่วางร่างของชายเป็นที่รักและ
อยู่ในความทรงจำของผู้คนในโลงแก้วเพื่อทุกคนจะระลึกถึงเขาได้ตลอดเวลา บรรดาพระสันตะปาปา
ล้วนมาคำนับศพเขา จากนักบวชลัทธิซาตานพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่2เรียกเขาว่าเป็น
"คนของแม่พระ" และพระศาสนจักร ประกาศให้ บาร์โทโล เป็นบุญราศี และมีวันที่ระลึกถึง
ในวันที่ 5 ตุลาคม
เพื่อพระเจ้าจะโปรดการกลับใจ แก่ผู้หลงผิด จะทรงรักษาผู้ติดยา และชี้ทางสว่างแก่ผู้หลงไหล
ในลัทธิซาตาน ขอ บุญราศี บาร์โทโล ช่วยวิงวอนเทอญ
ปล.ภาพซ้ายบนคือภาพบาร์โทโลในวัย22ปี ขณะเป็นเจ้าลัทธิซาตาน ภาพขวาบน
คือภาพของเขาท่ามกลางเด็กกำพร้าที่เขาดูแล สีหน้าและแววตานั้นต่างกันราวคนละคน
cr.www.facebook.com/holysmn
CR. : จิต ศรัทธา
บุญราศีบาร์โธโลมิว ลองโก
Blessed Bartholomew Longo
"ความปรารถนาหนึ่งเดียวของข้าพเจ้าคือได้พบพระนางมารีย์ผู้นำทางและช่วยเหลือข้าพเจ้า
ให้พ้นจากอุ้งมือของซาตาน" คำพูดสุดท้ายของบุญราศีบาร์โธโลมิว ลองโก
เรื่องราวการกลับใจของท่านน่าสนใจและน่าพิศวงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ
พระศาสนจักร ท่านเคยเป็นพระสงฆ์ของลัทธินิยมซาตาน และได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษ
จากพระนางมารีย์จนกระทั่งถูกประกาศเป็นบุญราศี
ท่านเกิดมาในครอบครัวคาทอลิกในปี ๑๘๔๑ เมื่อเยาว์วัยก็เข้ามิสซาที่วัดสม่ำเสมอ แต่เมื่อโต
เป็นวัยรุ่นไปศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยในเมืองเนเปิล ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แรกเริ่ม ท่านเข้า
กลุ่มคาทอลิกที่ต่อต้านพระสันตะปาปา จากนั้นได้กลายเป็นคนไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และได้เป็นผู้นิยม
ลัทธิซาตาน จนที่สุดบวชเป็นพระสงฆ์ของกลุ่มลัทธินี้ ท่านได้เป็นผู้ต่อต้านความเชื่ออย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวและเพื่อนๆ ของท่านพยายามสวดภาวนาให้ท่านกลับใจสู่ความเชื่อในวัยเด็ก
อาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งพูดคุยกับท่าน จนทำให้ท่านเริ่มมองเห็นความผิดพลาดของตนเอง
แล้วท่านก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักพระสงฆ์คณะโดมินิกันองค์หนึ่งชื่อคุณพ่ออัลเบิร์ต ซึ่งได้ช่วยนำทาง
ท่านให้เปลี่ยนความคิด และในที่สุดก็นำท่านกลับมาสู่พระศาสนจักร
ท่านมีความเชื่ออีกครั้งแต่ตระหนักดีถึงความอื้อฉาวและความเสียหายที่ตนเองได้ก่อไว้ ท่านอยาก
ชดเชย ท่านรับรู้ถึงความยากไร้ของผู้เช่าที่นาใกล้บ้านเกิด เมื่อเห็นพวกเขาถ้อยคำของแม่พระแห่ง
สายประคำผุดขึ้นในความคิดท่านว่า "ผู้ส่งเสริมการสวดสายประคำจะได้รับความรอด"
นับจากวันนั้น ท่านอุทิศตนเพื่อเผยแผ่ความศรัทธาต่อสายประคำ ท่านจัดตั้งกลุ่มสวดสายประคำที่
วัดบ้านเกิด และที่พระแท่นภาพวาดแม่พระแห่งสายประคำ พระแท่นได้พัฒนาเป็นสักการสถาน
ในปี ๑๙๐๑ ดึงดูดผู้จาริกแสวงบุญนับพันคนในแต่ละวัน
ผู้ช่วยเหลือท่านในภารกิจนี้คือเคาเตสท์ดิฟุสโก แม่หม้ายใจศรัทธา พระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๑๓
ทรงแนะนำให้ทั้งสองแต่งงานกันเพื่อยุติคำครหานินทา ทั้งคู่นบนอบต่อพระสันตะปาปา แต่ปฏิญาณ
ตนดำเนินชีวิตถือความบริสุทธิ์
พวกท่านเปิดบ้านเด็กกำพร้าสำหรับลูกๆ ของพวกนักโทษ ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งสำหรับพวกเด็ก
เพราะสังคมสมัยนั้นถือว่าไม่มีอนาคต เพราะมีเชื้อสายของอาชญากร
ในช่วงยี่สิบปีสุดท้าย ท่านเจ็บป่วยและมีผู้โจมตีกล่าวร้ายท่านเพราะอิจฉา ท่านยึดเอาความศรัทธา
ต่อสายประคำเป็นที่พึ่ง ท่านประกาศว่าแม่พระมีบทบาทสำคัญที่ช่วยเหลือท่านจากลัทธิซาตานและ
กลับใจมาสู่สัจธรรม ท่านเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันถึงข้อความเชื่อเรื่องการเสด็จสู่สวรรค์ของ
พระนางมารีย์ซึ่งได้รับการประกาศในปี ๑๙๕๐ โดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๒
ท่านสิ้นใจในวันที่ ๕ ตุลาคม ๑๙๒๖ ด้วยอายุ ๘๕ ปี พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ประกาศตั้งท่าน
เป็นบุญราศีในปี ๑๙๘๐ พระองค์เทศน์ในพิธีวันนั้นว่า "ด้วยสายประคำในมือ
ท่านบุญราศีบาร์โธโลมิว ลองโก บอกเราแต่ละคนว่า จงปลุกความไว้วางใจใน
พระนางมารีย์พรหมจารีย์แห่งสายประคำ พระนางผู้น่าเคารพ ในพระนาง เราขอมอบปัญหาทุกข์ยาก
ทุกประการ ความไว้วางใจ และความหวังทั้งมวล"
CR. : Sinapis
+ จากผู้นำลัทธิซาตาน สู่การประกาศเป็นบุญราศี +
'Every saint has a past, and every sinner has a future.'
- Oscar Wilde
"นักบุญทุกคนมีอดีต และคนบาปทุกคนมีอนาคต"
คำกล่าวของ ออสการ์ ไวลด์ กวีชาวไอริชผู้โด่งดังนี้ บุคคลคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดคือ
บาร์โทโล ลองโก้ ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยชื่นชอบลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า เข้าร่วมลัทธิซาตานจนได้รับการ
อภิเษกแต่งตั้งเป็นนักบวชผู้นำลัทธิซาตาน และกระทำบาปทุกสิ่งที่คำสอนของศาสนาอันล้าหลัง
คร่ำครึในสายตาเขาได้ห้ามไว้ แล้ววันฟ้าถล่มดินทลายของชีวิตเขาก็มาถึง เขาได้กลับตัวกลับใจ
อุทิศชีวิตแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ จนได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวินของพระศาสนจักร ได้รับการคำนับ
และยกย่องจากบรรดาพระสันตะปาปา และได้เข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งนักบุญ และในขณะนี้อยู่
ในสถานะ "บุญราศี"
บาร์โทโล ลองโก้ (Bartolo Longo)ชาวอิตาลี เกิดเมื่อ10กุมภา1841 ในครอบครัวคาทอลิก
เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้10ขวบ เขาก็ค่อยๆห่างไกลจากความศรัทธาในศาสนาไปเรื่อยๆ
จนอายุได้20ปี เขาได้เข้ามหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์(Naples) เพื่อเรียนวิชากฎหมาย
หากแต่ว่าในช่วงศตวรรษที่19 เป็นช่วงเวลาวุ่นวายทางการเมืองของอิตาลี มีการปฎิวัติหลายครั้ง
และในช่วง 1860 มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองชาตินิยม ที่ชี้ประเด็นว่าศาสนาและโดยเฉพาะคาทอลิก
เป็นสิ่งถ่วงความเจริญของอิตาลี ให้ล้าหลังคร่ำครึ และพระสันตะปาปาถูกมองว่าเป็นศัตรูของแนวคิด
ชาตินิยม การเหยียดนักบวช หรือล้อเลียนศาสนาเป็นตัวตลก เป็นเทรนด์นิยมของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น
และ มหาวิทยาลัยเนเปิ้ลส์ในเวลานั้นนอกจากเป็นที่สอนหนังสือ ยังเป็นที่เผยแพร่อุดมการณ์ต่างๆ กลาย
เป็นแหล่งรวมของกลุ่ม สมาคม ชมรม ทุกรูปแบบ และรวมแนวคิดที่ต่อต้านระเบียบจารีตยุคเก่า อันนำ
เอาคริสตศาสนาคาทอลิกมาเป็นจำเลย ก็เฟื่องฟูในมหาวิทยาลัย มีชมรม หรือสมาคม ที่นำเอาเรื่อง
ศาสตร์คุณไสยจากต่างประเทศรูปแบบต่างๆ ทั้งแม่มด คนทรง ไปจนถึงแนวคิดบูชาซาตาน เข้ามา
เฟื่องฟูในมหาวิทยาลัยด้วย
บาร์โทโล นักศึกษาหนุ่ม เข้าสมาคมสื่อวิญญาณ(séances) อันพาเขาลุ่มหลงไปกับไสยศาสตร์วิชามาร
การมั่วสุมใช้ยาเสพติดทุกชนิด และการมั่วเพศแบบเซ็กส์หมู่ เพื่อทำให้ผีปีศาจพอใจและลบหลู่ศีลธรรม
แบบคริสตศาสนา บาร์โทโล ได้รับการยกย่องชื่นชม ในการท้าทายเหยียดหยามศาสนาดูหมิ่นพระเจ้า
ในที่สาธารณะ จนชาวคณะทำการบวช(ordained) เขาเป็นบาทหลวงซาตาน(Satanic priest)ในระดับ
ผู้นำลัทธิ(Satanic bishop)
บาร์โทโล หลงระเริงในความสุขเนื้อหนังและอบายมุขและการยกย่องชื่นชมจากบรรดาปัญญาชนผู้รัก
ในวิถีชีวิตเสรีที่แหวกขนบธรรมเนียมล้าหลัง ในหมู่เพื่อนเขาคือฮีโร่ แต่กับครอบครัว ญาติพี่น้อง และ
เพื่อนเก่า เห็นว่า เขาเหมือนคนบ้า มีอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาท มีการนอยด์ตลอดเวลา
และหมกมุ่น ในโลกส่วนตัว เหมือนคนเสียสติ มากกว่าคนฉลาดที่มีการศึกษาอย่างที่เขาเคยเป็น
+ คำอธิษฐานภาวนาของครอบครัว +
เมื่อครอบครัวของเขารู้เรื่องที่เขาไปบ้าคลั่งลัทธิจนชีวิตพัง ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสวดภาวนาขอ
พระเจ้าให้เขากลับใจ และคำภาวนาของผู้คนที่รักเขาก็ได้รับการตอบรับ
คืนหนึ่งขณะที่ บาร์โทโล ผู้มีการการเครียด ซึมเศร้า และวิตกจริตกำลังจะหลับ เขาได้ยินเสียงที่เขา
คุ้นเคยในวัยเด็ก เขาจำได้ดีว่าคือเสียงพ่อที่จากไปของเขา ร้องเสียงดังว่า
"กลับมาหาพระเจ้าเถิดลูกเอ๋ย!"
บาร์โทโล เอง รู้ตัวดีว่า เส้นทางความสุขจอมปลอมที่เขาเดินทางเข้ามาจมปลักนั้น ทำลายตัวตน
ของเขาไปมาก แต่ความสับสนในชีวิต ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกขังในห้องมืดที่ไม่รู้จะออกจากสภาพนี้
ได้ยังไง แต่เสียงของพ่อคืนนั้นเหมือนใครสักคนผลักประตูเข้ามาจนแสงสว่างจ้าเห็นทางออก
บาร์โทโล รีบไปพบเพื่อนเก่า ชื่อ วีเซนโซ่ เปป( Vincenzo Pepe) และขอความช่วยเหลือจากเพื่อน
เปปร้องไห้พูดกับเขาว่า"นายอยากตายในสถานบำบัดคนโรคจิตแล้วตกนรกไปตลอดกาลหรือไง?
" ทั้งสองตกลงกันว่าต้องช่วยกันพากันออกจากชีวิตเหลวแหลกนี้ เปปพาบาร์โทโล ไปพบ
คุณพ่ออัลเบอโต้(Fr. Alberto Radente)พระสงฆ์คณะโดมินิกัน
บาร์โทโล เข้าสู่การสารภาพบาป และบำบัดที่เหมือนเข้าเงียบระยะยาว กับคุณพ่ออัลเบอโต้
ผู้ซึ่งอดทนใช้เวลาในการในคำปรึกษาฝ่ายจิตแก่เขาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและอดทน หลังจากบำบัด
กับคุณพ่อนานนับเดือน บาร์โทโลฟื้นฟูจิตวิญญาณของตน จนในปี 1871 บาร์โทโล สมัครเข้าเป็นสมาชิก
โดมินิกันชั้น3(ฆารวาสที่ร่วมปฎิบัติวินัยบางข้อของคณะนักบวชที่เข้าร่วมสังกัด) และกลับไปยังสมาคม
สื่อวิญญาณของมหาวิทยาลัย ในคาเฟ่ ท่ามกลางปาร์ตี้มั่วสุมของนักศึกษา และยืนขึ้นบนโต๊ะประกาศว่า
"ผมขอประกาศลาออกจากลัทธิวิญญาณนี้ เพราะมันคือเขาวงกตแห่งความหลงผิดและความเท็จ"
เขาใช้เวลา6ปี ในการอุทิศตนนำคนที่หลงผิดแบบเขากลับมาหาพระเจ้า และช่วยเหลือรับใช้คนยากจน
- ที่หลบภัยของคนบาป +
แต่ดูเหมือนชีวิตมันไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่ออาการทางจิตประสาทกลับมาคุกคามเขา อาการวิตกจริด และนอยด์
กลับมาหลอกหลอนเขาอีก เขาเริ่มหลอนว่าตนเองยังถูกซาตานยึดวิญญาณไว้ และกลัวว่าพระเจ้าจะยังไม่ให้
อภัย เขาจะต้องตกนรก เขาเริ่มมีอาการซึมเศร้าจนอยากจะฆ่าตัวตาย แต่ก็กลัวตกนรก กลัวต้องกลับไป
อยู่กับซาตาน วันหนึ่งเขานึกถึงวัยเด็ก กิจศรัทธาเรียบง่ายอย่างการสวดสายประคำ และ
ความรักอันอ่อนโยนของแม่พระที่เขาจำได้ และเขาได้ยินแม่พระพูดกับเขาว่า
"โดยการสอนผู้อื่นเรื่องสายประคำ ลูกจะปลอดภัย"
ในเทววิทยา พระแม่มารีย์ไม่ใช่ผู้ไถ่บาป แต่แม่เป็น "ที่หลบภัยของคนบาป" เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณ
โดยเฉพาะของผู้ที่ขาดความวางใจหรือเสียใจในบาปมากเสียจนคิดว่าพระเจ้าจะไม่ให้อภัย เหมือน
ความรู้สึกของลูกล้างผลาญที่บอกกับพ่อว่า "ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพ่อ" แม่พระทำสิ่งที่เหมือน
นางรีเบคาห์ แม่ของฝาแฝด เอซาวและยาโคบ คือเป็นที่พึ่งและกำลังใจให้ยาโคบ ที่คิดว่าตนไม่เป็น
ที่รักของพ่อแบบเอซาว แม่พระจึงเหมือนนางรีเบคาห์ที่เป็นแม่ผู้เชื่อมพ่อลูกที่มีปัญหาเรื่อง
ความสัมพันธ์ต่อกันไว้ไม่ให้แตกหักลงไป
บาร์โทโล จึงได้เอาชนะความวิตกจริต และการป่วยทางจิต โดยมุ่งมั่นทำพันธกิจการแผยแพร่
เรื่องการสวดสายประคำ เขาเดินทางไปยังปอมเปอี ซึ่งเขาได้เขียนเล่าในบันทึกว่า
"เต็มไปด้วยเรื่องซูแปร์ติซัง(ความเชื่อโชคลางคุณไสย)มีทั้งการใช้เวทย์มนต์คาถา แม่มด คนทรง
เครื่องรางของขลังมั่วไปหมด"
เหตุการณ์เมื่อครั้งนักบุญโดมินิกได้รับสายประคำจากพระเยซูและแม่พระ โดยอาศัยการสวด
สายประคำขับไล่ลัทธิหลงผิดในยุคของท่าน บาร์โทโล ก็เดินหน้าเปลี่ยนแปลง
ความหลงผิดของที่นี่ด้วยสายประคำเช่นกัน
+ พันธกิจของผู้รับใช้พระเจ้า +
กว่า50ปี ของการทำพันธกิจเพื่อความศรัทธาในพระเจ้า บาร์โทโลและภรรยา เค้าท์เตส มาเรียน่า
(Countess Mariana di Fusco) ได้ตั้งโรงเรียนเพื่อเด็กยากจน บ้านเด็กกำพร้า และบ้านพักพิง
สำหรับเด็กที่พ่อแม่จำคุก และการปฏิวัติแท้จริงก็คือ ปอมเปอี จากพื้นที่ซูแปร์ติซัง ได้กลายเป็นชุมชน
ความศรัทธา ท่านได้ฟื้นฟูโบสถ์ที่ถูกทิ้งร้าง จนกลายเป็นวิหารพรหมจารีย์แห่งสายประคำแห่งปอมเปอี
(Shrine of the Virgin of the Rosary of Pompei) ซึ่งมีผู้แสวงบุญจำนวนมาก
พระศาสนจักรมอบเกียรติให้ท่าน โดยแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน ชั้น
Order of the Holy Sepulchre of Jerusalem และมหาวิหารนี้คือที่วางร่างของชายเป็นที่รักและ
อยู่ในความทรงจำของผู้คนในโลงแก้วเพื่อทุกคนจะระลึกถึงเขาได้ตลอดเวลา บรรดาพระสันตะปาปา
ล้วนมาคำนับศพเขา จากนักบวชลัทธิซาตานพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่2เรียกเขาว่าเป็น
"คนของแม่พระ" และพระศาสนจักร ประกาศให้ บาร์โทโล เป็นบุญราศี และมีวันที่ระลึกถึง
ในวันที่ 5 ตุลาคม
เพื่อพระเจ้าจะโปรดการกลับใจ แก่ผู้หลงผิด จะทรงรักษาผู้ติดยา และชี้ทางสว่างแก่ผู้หลงไหล
ในลัทธิซาตาน ขอ บุญราศี บาร์โทโล ช่วยวิงวอนเทอญ
ปล.ภาพซ้ายบนคือภาพบาร์โทโลในวัย22ปี ขณะเป็นเจ้าลัทธิซาตาน ภาพขวาบน
คือภาพของเขาท่ามกลางเด็กกำพร้าที่เขาดูแล สีหน้าและแววตานั้นต่างกันราวคนละคน
cr.www.facebook.com/holysmn
CR. : จิต ศรัทธา
ฉลองนักบุญ วันที่ ๖ ตุลาคม
นักบุญบรูโน
St. Bruno, Founder
ท่านเป็นผู้ตั้งคณะฤษีคาร์ธูเซียน (Carthusian) ซึ่งยังคงโดดเด่นในธรรมเนียมและพระวินัย
เคร่งครัดของชีวิตบำเพ็ญภาวนา
ท่านเกิดเมื่อปี ๑๐๓๐ ในตระกูลสำคัญของเมืองโคโลญจน์ ท่านศึกษาเทววิทยาในเมือง Reims
ของฝรั่งเศสก่อนจะคืนสู่บ้านเกิด ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ปี ๑๐๕๕
ท่านกลับไปที่ Reims และได้เป็นผู้นำสถาบันที่ท่านเคยศึกษา ท่านสอนและบริหารสถาบันนั้น
เกือบ๒๐ ปี มีชื่อเสียงในฐานะนักเทววิทยาและนักปรัชญาผู้เปรื่องปราด จนกระทั่งได้รับตำแหน่ง
ที่ปรึกษาของ สังฆมณฑลท้องถิ่นในปี ๑๐๗๕
ต่อมา ท่านและเพื่อน ๒ คนตัดสินใจสละทรัพย์สมบัติและตำแหน่งหน้าที่ทางโลกเข้าสู่ชีวิตนักบวช
ท่านได้รับการดลใจในฝันให้ไปรับการแนะนำจากสังฆราช Hugh แห่ง Grenoble
ซึ่งภายหลังเป็นนักบุญ
ท่านพำนักในภูเขา Chartreuse ในปี ๑๐๘๔ มีคนกลุ่มหนึ่งที่แสวงหาวิถีชีวิตฤษีมาอยู่ร่วมด้วย
ในปี ๑๐๘๘ พระสันตะปาปาอูร์บัน ที่ ๒ เรียกตัวท่านจากอารามบนภูเขาอัลไพน์ที่ซึ่งท่านพำนัก
อยู่ ๖ปี ให้ช่วยรับมือคู่แข่งที่ประกาศตนเทียบเท่าพระสันตะปาปา คือจักรพรรดิเฮนรี่ ที่ ๔
บรูโนทำหน้าที่ผู้แนะนำอย่างใกล้ชิดให้พระสันตะปาปาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูป
ท่านปฏิเสธ ที่จะเป็นสังฆราชของแคว้นอิตาลีชื่อ Calabria เมื่อได้รับอนุญาตจากพระสันตะปาปา
ให้กลับคือสู่ชีวิต ในอาราม ท่านก็ยังถูกขอร้องให้อยู่ในอิตาลีเพื่อช่วยพระองค์เป็นครั้งคราว
ในปี ๑๐๙๐ มีผู้มอบที่ดินให้กลุ่มฤษีของท่านตั้งอาราม ฤษีคณะนี้ได้เป็นที่รู้จักนับแต่ในครั้งนั้น
ตลอดจนทุกวันนี้ว่าบำเพ็ญพรต ถือความยากจนและการสวดภาวนาอย่างเข้มข้น ทั้งมีการจัดการ
บริหารที่พิเศษเฉพาะรวมเอาชีวิตที่สันโดษเข้ากับชีวิตกลุ่ม
ท่านเสียชีวิตในวันที่ ๖ ตุลาคม ๑๑๐๑ มีมรดกข้อเขียนของท่านที่เน้นถึงความเชื่อเรื่องการประทับ
อยู่จริงของพระคริสต์ในพิธีมิสซา
"ข้าพเจ้าเชื่อในศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระศาสนจักรเชื่อและยึดถือด้วยความเคารพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ศีลมหาสนิทบนพระแท่นที่เป็นพระกายและพระโลหิตแท้จริงของพระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา อาศัย
พระกายและพระโลหิตนี้เอง เราได้รับการอภัยบาปและมีความหวังถึงความรอดนิรันดร"
ในปี ๒๐๐๖ มีการถ่ายทำหนังสารคดีเรื่อง Into Great Silence (สู่ความเงียบสงัด)
ที่ถ่ายทอดชีวิตของฤษีคณะคาร์ธูเซียน ในอารามที่ Grand Chartreuse
CR. : Sinapis
พิธีฝังศพแบบคณะคาร์ธูเซียน
คณะคาร์ธูเซียน (Carthusian Order) เป็นหนึ่งในคณะนักบวชของนิกายคาทอลิก ก่อตั้งโดย
นักบุญบรูโนแห่งโคโลญเมื่อค.ศ. 1084 บนภูเขาชาร์ทรูซ (Chartreuse) หลายคนอาจคุ้นชื่อนี้ดี
ทีเดียว เพราะเป็นชื่อเดียวกับเหล้าชาร์ทรูซ เหล้าที่นักบวชคณะนี้ทำขึ้นมานั่นเอง
นักบวชคาร์ธูเซียนมีวินัยของพวกเขาเอง เน้นอยู่อย่างสันโดษและเรียบง่าย อยู่แต่ในอารามเป็น
ส่วนใหญ่ ไม่ทานเนื้อสัตว์ และทานเพียงขนมปังกับน้ำในวันศุกร์และช่วงถือศีลอดตามปฏิทิน
จนเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นคณะที่เคร่งวินัยมากที่สุด
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของคณะนี้นั่นคือ "พิธีศพ" ครับ เพราะอย่างที่บอกว่าคณะนี้อยู่อย่างเรียบง่าย
เมื่อมีนักบวชในคณะเสียชีวิตลง พิธีศพก็จะถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่สุดตามไปด้วย โดยร่างของ
พวกเขาจะถูกสวมด้วยชุดของคณะที่ใส่มาทั้งชีวิตก่อนฝังลงสุสานเล็กๆ ไม่มีโลงศพ ไม่มีการเล่าถึง
ชีวิตของนักบวชว่าตอนยังอยู่เป็นอย่างไร ฝังทั้งอย่างนั้นเลย
และถ้าหากไม่ใช่เจ้าอธิการ จะมีเพียงกางเขนไม้ปักบนหลุมศพ ไม่มีป้ายสลักชื่อพวกเขาไว้ เสมือน
เป็นการสื่อโดยนัยให้ผู้ที่ยังอยู่ตระหนักว่าเนื้อหนังร่างกายของเรา ล้วนแล้วไม่มีความหมายอะไรเลย
เมื่อเราได้จากโลกนี้ไปแล้วนั่นเอง
/AdminMichael
CR. : ประวัติศาสตร์คริสตศาสนา - ทั้งตะวันตกและตะวันออก
นักบุญบรูโน
St. Bruno, Founder
ท่านเป็นผู้ตั้งคณะฤษีคาร์ธูเซียน (Carthusian) ซึ่งยังคงโดดเด่นในธรรมเนียมและพระวินัย
เคร่งครัดของชีวิตบำเพ็ญภาวนา
ท่านเกิดเมื่อปี ๑๐๓๐ ในตระกูลสำคัญของเมืองโคโลญจน์ ท่านศึกษาเทววิทยาในเมือง Reims
ของฝรั่งเศสก่อนจะคืนสู่บ้านเกิด ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ปี ๑๐๕๕
ท่านกลับไปที่ Reims และได้เป็นผู้นำสถาบันที่ท่านเคยศึกษา ท่านสอนและบริหารสถาบันนั้น
เกือบ๒๐ ปี มีชื่อเสียงในฐานะนักเทววิทยาและนักปรัชญาผู้เปรื่องปราด จนกระทั่งได้รับตำแหน่ง
ที่ปรึกษาของ สังฆมณฑลท้องถิ่นในปี ๑๐๗๕
ต่อมา ท่านและเพื่อน ๒ คนตัดสินใจสละทรัพย์สมบัติและตำแหน่งหน้าที่ทางโลกเข้าสู่ชีวิตนักบวช
ท่านได้รับการดลใจในฝันให้ไปรับการแนะนำจากสังฆราช Hugh แห่ง Grenoble
ซึ่งภายหลังเป็นนักบุญ
ท่านพำนักในภูเขา Chartreuse ในปี ๑๐๘๔ มีคนกลุ่มหนึ่งที่แสวงหาวิถีชีวิตฤษีมาอยู่ร่วมด้วย
ในปี ๑๐๘๘ พระสันตะปาปาอูร์บัน ที่ ๒ เรียกตัวท่านจากอารามบนภูเขาอัลไพน์ที่ซึ่งท่านพำนัก
อยู่ ๖ปี ให้ช่วยรับมือคู่แข่งที่ประกาศตนเทียบเท่าพระสันตะปาปา คือจักรพรรดิเฮนรี่ ที่ ๔
บรูโนทำหน้าที่ผู้แนะนำอย่างใกล้ชิดให้พระสันตะปาปาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูป
ท่านปฏิเสธ ที่จะเป็นสังฆราชของแคว้นอิตาลีชื่อ Calabria เมื่อได้รับอนุญาตจากพระสันตะปาปา
ให้กลับคือสู่ชีวิต ในอาราม ท่านก็ยังถูกขอร้องให้อยู่ในอิตาลีเพื่อช่วยพระองค์เป็นครั้งคราว
ในปี ๑๐๙๐ มีผู้มอบที่ดินให้กลุ่มฤษีของท่านตั้งอาราม ฤษีคณะนี้ได้เป็นที่รู้จักนับแต่ในครั้งนั้น
ตลอดจนทุกวันนี้ว่าบำเพ็ญพรต ถือความยากจนและการสวดภาวนาอย่างเข้มข้น ทั้งมีการจัดการ
บริหารที่พิเศษเฉพาะรวมเอาชีวิตที่สันโดษเข้ากับชีวิตกลุ่ม
ท่านเสียชีวิตในวันที่ ๖ ตุลาคม ๑๑๐๑ มีมรดกข้อเขียนของท่านที่เน้นถึงความเชื่อเรื่องการประทับ
อยู่จริงของพระคริสต์ในพิธีมิสซา
"ข้าพเจ้าเชื่อในศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระศาสนจักรเชื่อและยึดถือด้วยความเคารพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ศีลมหาสนิทบนพระแท่นที่เป็นพระกายและพระโลหิตแท้จริงของพระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา อาศัย
พระกายและพระโลหิตนี้เอง เราได้รับการอภัยบาปและมีความหวังถึงความรอดนิรันดร"
ในปี ๒๐๐๖ มีการถ่ายทำหนังสารคดีเรื่อง Into Great Silence (สู่ความเงียบสงัด)
ที่ถ่ายทอดชีวิตของฤษีคณะคาร์ธูเซียน ในอารามที่ Grand Chartreuse
CR. : Sinapis
พิธีฝังศพแบบคณะคาร์ธูเซียน
คณะคาร์ธูเซียน (Carthusian Order) เป็นหนึ่งในคณะนักบวชของนิกายคาทอลิก ก่อตั้งโดย
นักบุญบรูโนแห่งโคโลญเมื่อค.ศ. 1084 บนภูเขาชาร์ทรูซ (Chartreuse) หลายคนอาจคุ้นชื่อนี้ดี
ทีเดียว เพราะเป็นชื่อเดียวกับเหล้าชาร์ทรูซ เหล้าที่นักบวชคณะนี้ทำขึ้นมานั่นเอง
นักบวชคาร์ธูเซียนมีวินัยของพวกเขาเอง เน้นอยู่อย่างสันโดษและเรียบง่าย อยู่แต่ในอารามเป็น
ส่วนใหญ่ ไม่ทานเนื้อสัตว์ และทานเพียงขนมปังกับน้ำในวันศุกร์และช่วงถือศีลอดตามปฏิทิน
จนเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นคณะที่เคร่งวินัยมากที่สุด
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของคณะนี้นั่นคือ "พิธีศพ" ครับ เพราะอย่างที่บอกว่าคณะนี้อยู่อย่างเรียบง่าย
เมื่อมีนักบวชในคณะเสียชีวิตลง พิธีศพก็จะถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่สุดตามไปด้วย โดยร่างของ
พวกเขาจะถูกสวมด้วยชุดของคณะที่ใส่มาทั้งชีวิตก่อนฝังลงสุสานเล็กๆ ไม่มีโลงศพ ไม่มีการเล่าถึง
ชีวิตของนักบวชว่าตอนยังอยู่เป็นอย่างไร ฝังทั้งอย่างนั้นเลย
และถ้าหากไม่ใช่เจ้าอธิการ จะมีเพียงกางเขนไม้ปักบนหลุมศพ ไม่มีป้ายสลักชื่อพวกเขาไว้ เสมือน
เป็นการสื่อโดยนัยให้ผู้ที่ยังอยู่ตระหนักว่าเนื้อหนังร่างกายของเรา ล้วนแล้วไม่มีความหมายอะไรเลย
เมื่อเราได้จากโลกนี้ไปแล้วนั่นเอง
/AdminMichael
CR. : ประวัติศาสตร์คริสตศาสนา - ทั้งตะวันตกและตะวันออก
วันที่ ๗ ตุลาคม
ระลึกถึงแม่พระแห่งสายประคำ
Feast of Our Lady of The Rosary
วันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ มีชื่อเรียกในอดีตว่าวันฉลอง "แม่พระแห่งชัยชนะ" สืบเนื่องจาก
เป็นวันที่กองทัพเรือของชาวยุโรปพิชิตพวกเติร์กที่บุกรุกราน พระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๕ ถือว่าชัยชนะนี้
เกิดจากการสวดวิงวอนขอต่อพระนางมารีย์พรหมจารี
กองทัพจักรวรรดิออตโตมานของชาวเติร์กได้บุกรุกและยึดครองดินแดนไบแซนไทน์ในปี ๑๔๕๓
ทำให้ดินแดนบางส่วนของชาวคริสต์ตกอยู่ใต้การปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม ตลอดหลายร้อยปี
ต่อมา ชาวเติร์กก็ขยายอาณาจักรของพวกเขาสู่ตะวันตก และประกาศศักดาด้วยกองกำลังทางเรือ
ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในปี ๑๕๖๕ พวกเติร์กก็โจมตีมอลต้า มุ่งหวังจะบุกกรุงโรม พวกเขาถูกยับยั้ง
แต่ก็ยังสามารถยึดครองไซปรัสได้ในฤดูใบไม้ร่วงปี ๑๕๗๐
ปีต่อมากองกำลังของคาทอลิก ๓ ฝ่ายในทวีปยุโรป คือเจนัว สเปน และรัฐพระสันตะปาปา ได้ผนึกกำลัง
รวมกลุ่ม เรียกว่า Holy League (กองทัพศักดิ์สิทธิ์) เพื่อปกป้องอารยธรรมคริสต์ศาสนา กองทัพเรือ
ได้แล่นออกเผชิญหน้าชาวเติร์กทางฝั่งตะวันตกของกรีกในวันที่ ๗ ตุลาคม ๑๕๗๑
พวกนักรบบนเรือกว่า ๒๐๐ ลำ พากันสวดสายประคำ เตรียมต่อสู้พร้อมกับชาวคริสต์ทั่วยุโรป ซึ่ง
พระสันตะปาปาประกาศให้รวมตัวกันในวัด สวดวิงวอนต่อพระนางมารีย์พรหมจารี
มีเรื่องเล่าว่าพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๕ ได้รับภาพนิมิตให้เห็นชัยชนะของกองทัพศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อมีผู้
รายงานว่าเรือรบเกือบ ๓๐๐ ลำของพวกเติร์กถูกทำลายจมน้ำเกือบหมด พระองค์ก็เข้าใจถึงความสำคัญ
ของเหตุการณ์วันนี้ จึงทรงกำหนดให้เป็นวันฉลองอย่างเป็นสากล ด้วยชื่อวันแห่งชัยชนะของแม่พระ
ซึ่งต่อมาได้เป็นวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ
นักประวัติศาสตร์การทหารจอห์น กิลมาร์ติน (John F. Guilmartin, Jr.) เขียนว่า "หากกองทัพของชาวเติร์ก
รบชนะในวันนั้น นั่นจะเป็นหายนะยิ่งใหญ่ของอาณาจักรคริสตชน และยุโรปจะมีเส้นทางประวัติศาสตร์ที่
แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง"
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๑๓ ทรงศรัทธาเป็นพิเศษต่อแม่พระสายประคำ พระองค์ออกสมณสาสน์ ๑๑ ฉบับ
เกี่ยวกับวันฉลองแม่พระนี้ และเน้นถึงความสำคัญของการสวดสายประคำตลอดสมณสมัยของพระองค์
สมณสาสน์ฉบับแรก ซึ่งออกในปี ๑๘๘๓ ชื่อ "Supremi Apostolatus Officio” พระองค์ทรงอ้างถึงบท
ภาวนาถึงแม่พระที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งรู้จักกันในชื่อละติน ว่า Sub Tuum Praesidium
"เป็นนิสัยของชาวคาทอลิกเมื่อพบอันตรายหรือความยากลำบากก็จะเข้าพึ่งพิงพระนางมารีย์"
CR. : Sinapis
ระลึกถึงแม่พระแห่งสายประคำ
Feast of Our Lady of The Rosary
วันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ มีชื่อเรียกในอดีตว่าวันฉลอง "แม่พระแห่งชัยชนะ" สืบเนื่องจาก
เป็นวันที่กองทัพเรือของชาวยุโรปพิชิตพวกเติร์กที่บุกรุกราน พระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๕ ถือว่าชัยชนะนี้
เกิดจากการสวดวิงวอนขอต่อพระนางมารีย์พรหมจารี
กองทัพจักรวรรดิออตโตมานของชาวเติร์กได้บุกรุกและยึดครองดินแดนไบแซนไทน์ในปี ๑๔๕๓
ทำให้ดินแดนบางส่วนของชาวคริสต์ตกอยู่ใต้การปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม ตลอดหลายร้อยปี
ต่อมา ชาวเติร์กก็ขยายอาณาจักรของพวกเขาสู่ตะวันตก และประกาศศักดาด้วยกองกำลังทางเรือ
ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในปี ๑๕๖๕ พวกเติร์กก็โจมตีมอลต้า มุ่งหวังจะบุกกรุงโรม พวกเขาถูกยับยั้ง
แต่ก็ยังสามารถยึดครองไซปรัสได้ในฤดูใบไม้ร่วงปี ๑๕๗๐
ปีต่อมากองกำลังของคาทอลิก ๓ ฝ่ายในทวีปยุโรป คือเจนัว สเปน และรัฐพระสันตะปาปา ได้ผนึกกำลัง
รวมกลุ่ม เรียกว่า Holy League (กองทัพศักดิ์สิทธิ์) เพื่อปกป้องอารยธรรมคริสต์ศาสนา กองทัพเรือ
ได้แล่นออกเผชิญหน้าชาวเติร์กทางฝั่งตะวันตกของกรีกในวันที่ ๗ ตุลาคม ๑๕๗๑
พวกนักรบบนเรือกว่า ๒๐๐ ลำ พากันสวดสายประคำ เตรียมต่อสู้พร้อมกับชาวคริสต์ทั่วยุโรป ซึ่ง
พระสันตะปาปาประกาศให้รวมตัวกันในวัด สวดวิงวอนต่อพระนางมารีย์พรหมจารี
มีเรื่องเล่าว่าพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๕ ได้รับภาพนิมิตให้เห็นชัยชนะของกองทัพศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อมีผู้
รายงานว่าเรือรบเกือบ ๓๐๐ ลำของพวกเติร์กถูกทำลายจมน้ำเกือบหมด พระองค์ก็เข้าใจถึงความสำคัญ
ของเหตุการณ์วันนี้ จึงทรงกำหนดให้เป็นวันฉลองอย่างเป็นสากล ด้วยชื่อวันแห่งชัยชนะของแม่พระ
ซึ่งต่อมาได้เป็นวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ
นักประวัติศาสตร์การทหารจอห์น กิลมาร์ติน (John F. Guilmartin, Jr.) เขียนว่า "หากกองทัพของชาวเติร์ก
รบชนะในวันนั้น นั่นจะเป็นหายนะยิ่งใหญ่ของอาณาจักรคริสตชน และยุโรปจะมีเส้นทางประวัติศาสตร์ที่
แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง"
พระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๑๓ ทรงศรัทธาเป็นพิเศษต่อแม่พระสายประคำ พระองค์ออกสมณสาสน์ ๑๑ ฉบับ
เกี่ยวกับวันฉลองแม่พระนี้ และเน้นถึงความสำคัญของการสวดสายประคำตลอดสมณสมัยของพระองค์
สมณสาสน์ฉบับแรก ซึ่งออกในปี ๑๘๘๓ ชื่อ "Supremi Apostolatus Officio” พระองค์ทรงอ้างถึงบท
ภาวนาถึงแม่พระที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งรู้จักกันในชื่อละติน ว่า Sub Tuum Praesidium
"เป็นนิสัยของชาวคาทอลิกเมื่อพบอันตรายหรือความยากลำบากก็จะเข้าพึ่งพิงพระนางมารีย์"
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๘ ตุลาคม
นักบุญเพลาเจีย
St. Pelagia the Penitent
เพลาเจียเป็นหัวหน้าคณะนางรำในเมืองอันติโอก เธอใช้ชีวิตเกลือกกลั้วกับโลกีย์วิสัยเยี่ยง
โสเภณี วันหนึ่ง เธอเดินผ่านวัดด้วยอาภรณ์วับแวมยั่วยวน พระสังฆราช Nonnus แห่ง Edssa
กำลังเทศน์อยู่พอดี ท่านมองเห็นความสวยงามของดวงวิญญาณเธอ จึงสวดภาวนาให้เธอ
เป็นพิเศษ
วันต่อมา เมื่อเพลาเจียไปฟังสังฆราชเทศน์ที่วัด ท่านพูดเรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้ายและผลที่
จะตามมาเธอจับใจกับบทเทศน์จนน้ำตาไหลเป็นทุกข์เสียใจและขอให้พระสังฆราชล้างบาปให้เธอ
ท่านเห็นความตั้งใจจริงและความสำนึกของเธอจึงตกลงล้างบาปให้
คืนนั้น ปีศาจปรากฏมาชักชวนให้เพลาเจียกลับสู่ชีวิตแบบเดิม เธอสวดภาวนาและ
ทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน ทำให้ปีศาจหายวับไป
เธอมอบข้าวของมีค่าทั้งหมดให้วัดเพื่อแจกจ่ายแก่คนยากจน สังฆราชกล่าวกับเธอว่า
"จงใช้สิ่งเหล่านี้อย่างฉลาด เพื่อว่าความร่ำรวยที่ได้รับมาจากบาป จะได้เป็นความมั่งคั่ง
แห่งความชอบธรรม" เธอจากเมืองอันติโอกไปโดยแต่งกายในชุดเสื้อผ้าผู้ชาย
หลังจากนั้น เธอเดินทางไปถึงเขามะกอกในเยรูซาเล็ม ใช้ชีวิตเป็นฤษีหญิง โดยปลอมตัว
ใช้ชื่อว่า เพลาจีอุส ที่นั่น เธอดำเนินชีวิตบำเพ็ญพรตอย่างเคร่งครัด ทรมานกายใช้โทษบาป
ในความสันโดษ ซึ่งทำให้เธอได้รับพระพรฝ่ายจิตหลายประการ เมื่อเธอสิ้นชีวิต เธอถูกฝังไว้
ในห้องเล็กของเธอ ก่อนหน้านั้นผู้คนเรียกเธอว่า "ฤษีไม่มีเครา"
จนกระทั่งพวกเขาพบว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิง
CR. : Sinapis
นักบุญเพลาเจีย
St. Pelagia the Penitent
เพลาเจียเป็นหัวหน้าคณะนางรำในเมืองอันติโอก เธอใช้ชีวิตเกลือกกลั้วกับโลกีย์วิสัยเยี่ยง
โสเภณี วันหนึ่ง เธอเดินผ่านวัดด้วยอาภรณ์วับแวมยั่วยวน พระสังฆราช Nonnus แห่ง Edssa
กำลังเทศน์อยู่พอดี ท่านมองเห็นความสวยงามของดวงวิญญาณเธอ จึงสวดภาวนาให้เธอ
เป็นพิเศษ
วันต่อมา เมื่อเพลาเจียไปฟังสังฆราชเทศน์ที่วัด ท่านพูดเรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้ายและผลที่
จะตามมาเธอจับใจกับบทเทศน์จนน้ำตาไหลเป็นทุกข์เสียใจและขอให้พระสังฆราชล้างบาปให้เธอ
ท่านเห็นความตั้งใจจริงและความสำนึกของเธอจึงตกลงล้างบาปให้
คืนนั้น ปีศาจปรากฏมาชักชวนให้เพลาเจียกลับสู่ชีวิตแบบเดิม เธอสวดภาวนาและ
ทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน ทำให้ปีศาจหายวับไป
เธอมอบข้าวของมีค่าทั้งหมดให้วัดเพื่อแจกจ่ายแก่คนยากจน สังฆราชกล่าวกับเธอว่า
"จงใช้สิ่งเหล่านี้อย่างฉลาด เพื่อว่าความร่ำรวยที่ได้รับมาจากบาป จะได้เป็นความมั่งคั่ง
แห่งความชอบธรรม" เธอจากเมืองอันติโอกไปโดยแต่งกายในชุดเสื้อผ้าผู้ชาย
หลังจากนั้น เธอเดินทางไปถึงเขามะกอกในเยรูซาเล็ม ใช้ชีวิตเป็นฤษีหญิง โดยปลอมตัว
ใช้ชื่อว่า เพลาจีอุส ที่นั่น เธอดำเนินชีวิตบำเพ็ญพรตอย่างเคร่งครัด ทรมานกายใช้โทษบาป
ในความสันโดษ ซึ่งทำให้เธอได้รับพระพรฝ่ายจิตหลายประการ เมื่อเธอสิ้นชีวิต เธอถูกฝังไว้
ในห้องเล็กของเธอ ก่อนหน้านั้นผู้คนเรียกเธอว่า "ฤษีไม่มีเครา"
จนกระทั่งพวกเขาพบว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิง
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๙ ตุลาคม
นักบุญยอห์น เลโอนาร์ดี
St. John Leonardi
ท่านเรียนเป็นแพทย์แต่ตัดสินใจเลือกชีวิตพระสงฆ์ ท่านตั้งคณะนักบวช และก่อตั้งองค์กรหนึ่ง
ของวาติกัน ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สมณกระทรวงเพื่องานประกาศพระวรสาร
ท่านเกิดในครอบครัวคนชั้นกลางในปี ๑๕๔๑ ที่แคว้น Tuscan ของ Lucca ท่านเป็นลูกคนสุดท้อง
ในจำนวน ๗ คน เมื่ออายุ ๑๗ ปีท่านสมัครเข้าเรียนแพทย์และใช้เวลาร่ำเรียน ๑๐ ปี จนกระทั่งสำเร็จ
ได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพ แต่ท่านมีความสนใจชีวิตสงฆ์อยู่ตลอดมาจึงเรียนเทววิทยาเพื่อเตรียม
รับศีลบวช
หลังจากบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ๑๕๗๒ ท่านทำหน้าที่ผู้นำวิญญาณให้กลุ่มเยาวชนชายที่สนใจกระแส
เรียกพระสงฆ์ พวกเขาได้รวมกลุ่มดำเนินชีวิตร่วมกันใกล้กับวัดท้องถิ่น และเริ่มกระบวนการที่นำไปสู่
การก่อตั้งคณะนักบวช ชื่อคณะพระมารดาของพระเจ้า (Order of the Mother of God)
พวกผู้ปกครองบ้านเมืองต่อต้านการตั้งคณะนักบวชใหม่และพยายามหาวิธีหยุดยั้ง แม้จะไม่สำเร็จแต่
ก็ส่งผลให้ท่านถูกห้ามไม่ให้อยู่ใน Lucca ยกเว้นได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราว
ท่านพยายามรักษาจิตตารมณ์ของสังคายนาเมืองเทรนต์ที่รับมือกับการปฏิรูป ท่านและสมาชิกสงฆ์
พยายามอบรมให้นักบวชและฆราวาสมีความรู้และถือปฏิบัติความเชื่อลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในจดหมายที่
เขียนถึงพระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๕ ในต้นศตวรรษที่ ๑๗ ท่านเน้นความเป็นสากลของกระแสเรียกสู่
ความศักดิ์สิทธิ์ของสมาชิกทุกคนในพระศาสนจักร
"ในเรื่องการเยียวยาที่จำเป็นของพระศาสนจักรโดยส่วนรวม การฟื้นฟูต้องเกิดขึ้นทั้งกับคนระดับสูง
และล่าง พวกผู้นำและพวกอยู่ใต้การดูแลของพวกเขา" ท่านเชื่อว่าสิ่งสำคัญอันดับต้นคือการอบรม
พวกพ่อเจ้าวัด "เพื่อว่าการฟื้นฟูที่เริ่มต้นในหมู่พวกเขาจะได้เกิดขึ้นต่อไปแก่คนอื่นๆ"
ท่านได้รับอนุญาตจากพระสันตะปาปาให้ตั้งคณะนักบวชพระมารดาของพระเจ้าในปี ๑๕๙๕ และท่าน
ยังถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลการฟื้นฟูอารามนักพรตสำคัญสองแห่ง แม้งานของคณะท่านจะจำกัดอยู่
ในอิตาลีแต่ท่านก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของพ่อวิญญาณของท่าน คือนักบุญฟิลิป เนรีด้วยการตั้งบ้านเณร
สำหรับงานธรรมทูตต่างแดน ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นวิทยาลัยเพื่องานประกาศส่งเสริมความเชื่อ
ท่านติดโรคจากการดูแลคนป่วยโรคระบาด และเสียชีวิตที่โรมในวันที่ ๙ ตุลาคม ๑๖๐๙
พระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๑ ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ๑๙๓๘
CR. : Sinapis
นักบุญยอห์น เลโอนาร์ดี
St. John Leonardi
ท่านเรียนเป็นแพทย์แต่ตัดสินใจเลือกชีวิตพระสงฆ์ ท่านตั้งคณะนักบวช และก่อตั้งองค์กรหนึ่ง
ของวาติกัน ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สมณกระทรวงเพื่องานประกาศพระวรสาร
ท่านเกิดในครอบครัวคนชั้นกลางในปี ๑๕๔๑ ที่แคว้น Tuscan ของ Lucca ท่านเป็นลูกคนสุดท้อง
ในจำนวน ๗ คน เมื่ออายุ ๑๗ ปีท่านสมัครเข้าเรียนแพทย์และใช้เวลาร่ำเรียน ๑๐ ปี จนกระทั่งสำเร็จ
ได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพ แต่ท่านมีความสนใจชีวิตสงฆ์อยู่ตลอดมาจึงเรียนเทววิทยาเพื่อเตรียม
รับศีลบวช
หลังจากบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ๑๕๗๒ ท่านทำหน้าที่ผู้นำวิญญาณให้กลุ่มเยาวชนชายที่สนใจกระแส
เรียกพระสงฆ์ พวกเขาได้รวมกลุ่มดำเนินชีวิตร่วมกันใกล้กับวัดท้องถิ่น และเริ่มกระบวนการที่นำไปสู่
การก่อตั้งคณะนักบวช ชื่อคณะพระมารดาของพระเจ้า (Order of the Mother of God)
พวกผู้ปกครองบ้านเมืองต่อต้านการตั้งคณะนักบวชใหม่และพยายามหาวิธีหยุดยั้ง แม้จะไม่สำเร็จแต่
ก็ส่งผลให้ท่านถูกห้ามไม่ให้อยู่ใน Lucca ยกเว้นได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราว
ท่านพยายามรักษาจิตตารมณ์ของสังคายนาเมืองเทรนต์ที่รับมือกับการปฏิรูป ท่านและสมาชิกสงฆ์
พยายามอบรมให้นักบวชและฆราวาสมีความรู้และถือปฏิบัติความเชื่อลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในจดหมายที่
เขียนถึงพระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๕ ในต้นศตวรรษที่ ๑๗ ท่านเน้นความเป็นสากลของกระแสเรียกสู่
ความศักดิ์สิทธิ์ของสมาชิกทุกคนในพระศาสนจักร
"ในเรื่องการเยียวยาที่จำเป็นของพระศาสนจักรโดยส่วนรวม การฟื้นฟูต้องเกิดขึ้นทั้งกับคนระดับสูง
และล่าง พวกผู้นำและพวกอยู่ใต้การดูแลของพวกเขา" ท่านเชื่อว่าสิ่งสำคัญอันดับต้นคือการอบรม
พวกพ่อเจ้าวัด "เพื่อว่าการฟื้นฟูที่เริ่มต้นในหมู่พวกเขาจะได้เกิดขึ้นต่อไปแก่คนอื่นๆ"
ท่านได้รับอนุญาตจากพระสันตะปาปาให้ตั้งคณะนักบวชพระมารดาของพระเจ้าในปี ๑๕๙๕ และท่าน
ยังถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลการฟื้นฟูอารามนักพรตสำคัญสองแห่ง แม้งานของคณะท่านจะจำกัดอยู่
ในอิตาลีแต่ท่านก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของพ่อวิญญาณของท่าน คือนักบุญฟิลิป เนรีด้วยการตั้งบ้านเณร
สำหรับงานธรรมทูตต่างแดน ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นวิทยาลัยเพื่องานประกาศส่งเสริมความเชื่อ
ท่านติดโรคจากการดูแลคนป่วยโรคระบาด และเสียชีวิตที่โรมในวันที่ ๙ ตุลาคม ๑๖๐๙
พระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๑ ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ๑๙๓๘
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๐ ตุลาคม
นักบุญฟรังซิส บอร์เจีย
St. Francis Borgia
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๑๕๑๐ ในแกนเดีย (Gandia) แคว้นวาเลนเซีย ประเทศสเปน
บิดาของท่าน ดุ๊กแห่งแกนเดีย เป็นเหลนของพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ ๖ ผู้อื้อฉาว
ส่วนมารดาท่าน ก็เป็นเหลนของกษัตริย์เฟอร์ดินานแห่งอารากอน
ยายของฟรังซิสเข้าอารามนักบุญแคลร์ผู้ยากจนพร้อมกับลูกสาว หลังการเสียชีวิตของสามี
และเธอมีผลต่อเรื่องศรัทธาทางศาสนาในราชสำนักบอร์เจีย ซึ่งฟรังซิสได้รับสืบทอดมา
สตรีสองท่านนี้นำความศักดิ์สิทธิ์สู่วงศ์วานตระกูลบอร์เจียอันอื้อฉาว
ฟรังซิสเติบโตมาเป็นหนุ่มใจศรัทธา มีพรสวรรค์หลายอย่างและเป็นที่นิยมรักใครของคนใน
ราชสำนักพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ ๕ เล่ากันว่าวันหนึ่ง ฟรังซิสเดินทางเข้าไปในเมือง Alcala พร้อมกับ
ผู้คุ้มกัน เขาได้สบตาชายยากไร้น่าสงสารคนหนึ่งที่กำลังถูกคุมตัวไปคุกโดยตุลาการศาลศาสนา
ชายคนนี้คืออิกญาซีโอแห่งโลโยลา ในขณะนั้น ฟรังซิสไม่ล่วงรู้เลยว่าคนๆ นี้จะมีบทบาทสำคัญต่อ
ชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก
ในปี ๑๕๓๙ ฟรังซิสได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลแคว้นคาตาโลเนีย และสี่ปีต่อมา หลังจากบิดาเขา
เสียชีวิต ฟรังซิสก็ได้เป็นดุ๊กแห่งแกนเดีย เขาสร้างมหาวิทยาลัยที่นั่น เขาได้รับปริญญาเอกด้าน
เทววิทยาและเชิญคณะเยสุอิตให้มายังแคว้นของเขา
ภรรยาเขาเสียชีวิตในปี ๑๕๔๖ ฟรังซิสสมัครเข้าคณะเยสุอิตในปี ๑๕๔๘ แต่ได้รับบัญชาจากพระ
สันตะปาปาให้ยังใช้ชีวิตทางโลกต่อไปจนกว่าจะเสร็จภารกิจดูแลลูกๆ ทั้งสิบคนและแคว้นในปกครอง
สองปีต่อมา ฟรังซิสออกจากแกนเดียและไม่ย้อนกลับมาอีก ท่านเข้าร่วมกับกลุ่มเยสุอิตที่โรม และเริ่ม
ต้นโครงการใหญ่ทันที ท่านให้ความมั่นใจกับอิกญาซีโอว่าจะก่อตั้งวิทยาลัยแห่งโรม และหนึ่งปีให้หลัง
ท่านเดินทางไปสเปน เทศน์สอนและดำเนินชีวิตแบบยากจน ทำให้เกิดการฟื้นฟูด้านศาสนาในประเทศ
นั้น ดึงดูดให้มีผู้จาริกแสวงบุญจากที่ไกลๆ มาฟังท่านเทศน์
ในปี ๑๕๕๖ ท่านถูกแต่งตั้งให้รับผิดชอบงานแพร่ธรรมทั้งหมดของคณะ และพลังความกระตือรือร้น
ของท่านสร้างความเปลี่ยนแปลง ท่านยังริเริ่มการแพร่ธรรมที่อเมริกาใต้ดินแดนที่เพิ่งค้นพบใหม่
ท่านได้รับเลือกเป็นอัคราธิการของคณะเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๑๕๖๕ และถึงแม้สุขภาพไม่ดีในปีท้ายๆ
ของชีวิต ท่านก็บริหารคณะและริเริ่มโครงการต่างๆ ท่านนำการฟื้นฟูมากมายให้คณะเยสุอิตจนได้รับ
การยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งคณะคนที่สอง ท่านมีทั้งชีวิตสวดภาวนาและชีวิตการทำงาน พลังสร้างสรรค์
ของท่านเป็นผลจากความเงียบสงัดในเวลาภาวนานั่นเอง
ท่านเสียชีวิตที่โรมในวันที่ ๓๐ กันยายน ๑๕๗๒ สองวันหลังเดินทางกลับจากงานประกาศพระวรสาร
ที่สเปน
นักบุญฟรังซิส บอร์เจียเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของการปฏิรูปคาทอลิก
ท่านได้รับการประกาศเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ ๑๐ ในปี ๑๖๗๐
CR. : Sinapis
นักบุญฟรังซิส บอร์เจีย
St. Francis Borgia
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๑๕๑๐ ในแกนเดีย (Gandia) แคว้นวาเลนเซีย ประเทศสเปน
บิดาของท่าน ดุ๊กแห่งแกนเดีย เป็นเหลนของพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ ๖ ผู้อื้อฉาว
ส่วนมารดาท่าน ก็เป็นเหลนของกษัตริย์เฟอร์ดินานแห่งอารากอน
ยายของฟรังซิสเข้าอารามนักบุญแคลร์ผู้ยากจนพร้อมกับลูกสาว หลังการเสียชีวิตของสามี
และเธอมีผลต่อเรื่องศรัทธาทางศาสนาในราชสำนักบอร์เจีย ซึ่งฟรังซิสได้รับสืบทอดมา
สตรีสองท่านนี้นำความศักดิ์สิทธิ์สู่วงศ์วานตระกูลบอร์เจียอันอื้อฉาว
ฟรังซิสเติบโตมาเป็นหนุ่มใจศรัทธา มีพรสวรรค์หลายอย่างและเป็นที่นิยมรักใครของคนใน
ราชสำนักพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ ๕ เล่ากันว่าวันหนึ่ง ฟรังซิสเดินทางเข้าไปในเมือง Alcala พร้อมกับ
ผู้คุ้มกัน เขาได้สบตาชายยากไร้น่าสงสารคนหนึ่งที่กำลังถูกคุมตัวไปคุกโดยตุลาการศาลศาสนา
ชายคนนี้คืออิกญาซีโอแห่งโลโยลา ในขณะนั้น ฟรังซิสไม่ล่วงรู้เลยว่าคนๆ นี้จะมีบทบาทสำคัญต่อ
ชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก
ในปี ๑๕๓๙ ฟรังซิสได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลแคว้นคาตาโลเนีย และสี่ปีต่อมา หลังจากบิดาเขา
เสียชีวิต ฟรังซิสก็ได้เป็นดุ๊กแห่งแกนเดีย เขาสร้างมหาวิทยาลัยที่นั่น เขาได้รับปริญญาเอกด้าน
เทววิทยาและเชิญคณะเยสุอิตให้มายังแคว้นของเขา
ภรรยาเขาเสียชีวิตในปี ๑๕๔๖ ฟรังซิสสมัครเข้าคณะเยสุอิตในปี ๑๕๔๘ แต่ได้รับบัญชาจากพระ
สันตะปาปาให้ยังใช้ชีวิตทางโลกต่อไปจนกว่าจะเสร็จภารกิจดูแลลูกๆ ทั้งสิบคนและแคว้นในปกครอง
สองปีต่อมา ฟรังซิสออกจากแกนเดียและไม่ย้อนกลับมาอีก ท่านเข้าร่วมกับกลุ่มเยสุอิตที่โรม และเริ่ม
ต้นโครงการใหญ่ทันที ท่านให้ความมั่นใจกับอิกญาซีโอว่าจะก่อตั้งวิทยาลัยแห่งโรม และหนึ่งปีให้หลัง
ท่านเดินทางไปสเปน เทศน์สอนและดำเนินชีวิตแบบยากจน ทำให้เกิดการฟื้นฟูด้านศาสนาในประเทศ
นั้น ดึงดูดให้มีผู้จาริกแสวงบุญจากที่ไกลๆ มาฟังท่านเทศน์
ในปี ๑๕๕๖ ท่านถูกแต่งตั้งให้รับผิดชอบงานแพร่ธรรมทั้งหมดของคณะ และพลังความกระตือรือร้น
ของท่านสร้างความเปลี่ยนแปลง ท่านยังริเริ่มการแพร่ธรรมที่อเมริกาใต้ดินแดนที่เพิ่งค้นพบใหม่
ท่านได้รับเลือกเป็นอัคราธิการของคณะเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๑๕๖๕ และถึงแม้สุขภาพไม่ดีในปีท้ายๆ
ของชีวิต ท่านก็บริหารคณะและริเริ่มโครงการต่างๆ ท่านนำการฟื้นฟูมากมายให้คณะเยสุอิตจนได้รับ
การยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งคณะคนที่สอง ท่านมีทั้งชีวิตสวดภาวนาและชีวิตการทำงาน พลังสร้างสรรค์
ของท่านเป็นผลจากความเงียบสงัดในเวลาภาวนานั่นเอง
ท่านเสียชีวิตที่โรมในวันที่ ๓๐ กันยายน ๑๕๗๒ สองวันหลังเดินทางกลับจากงานประกาศพระวรสาร
ที่สเปน
นักบุญฟรังซิส บอร์เจียเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของการปฏิรูปคาทอลิก
ท่านได้รับการประกาศเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ ๑๐ ในปี ๑๖๗๐
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๑ ตุลาคม
นักบุญยอห์น ที่ ๒๓ พระสันตะปาปา
St. John XXIII, Pope
อังเจโล กุยเซ็ปเป รอนคอลลี (Angelo Giuseppe Roncalli) เกิดที่ Sotto il Monte
ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๑๘๘๑ ท่านได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา
วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๑๙๕๘ สิ้นพระชนม์วันที่ ๓ มิถุนายน ๑๙๖๓ ที่โรม และถูกแต่งตั้งเป็น
บุญราศี โดยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ และ
ประกาศเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาฟรังซิส ในปี ๒๐๑๔
อังเจโลเป็นลูกคนที่ ๔ ในจำนวนพี่น้อง ๑๔ คน บิดาของท่านเป็นคาทอลิกใจศรัทธา
ท่านได้รับการอบรม เรื่องศาสนาจากพ่ออุปถัมภ์ผู้เอาใจใส่ เขาปลูกฝังให้ท่านมีความรัก
และเคารพต่อพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้า
อังเจโลเข้าบ้านเณรเล็กในปี ๑๘๙๒ เมื่ออายุ ๑๑ ปี และในปี ๑๙๐๑ ก็เข้าบ้านเณร
Pontifical Roman
หลังจากท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ๑๙๐๔ ท่านได้ถูกเลือกเป็นเลขานุการของสังฆราช
แห่งแบร์กาโม และทำหน้าที่สอนที่บ้านเณร นักบุญที่ท่านถือเป็นแบบอย่างในชีวิตคือ
นักบุญชาร์ล บอโรมีโอ และฟรังซิสเดอซาลล์ ผู้โดดเด่นด้านสติปัญญาและงานอภิบาล
ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ท่านทำหน้าที่เป็นพ่อวิญญาณรักษ์ของกองทัพ หลังจากนั้น
เป็นผู้แนะนำชีวิตภายในของบ้านเณร
ปี ๑๙๒๕ พระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๙ ตั้งท่านเป็นสังฆราชและส่งท่านไปที่ประเทศบัลแกเรีย ทำหน้าที่
ผู้แทนองค์พระสันตะปาปาจากนั้นท่านถูกมอบหมายให้ไปประจำที่ประเทศตุรกีและกรีก ที่ซึ่งท่าน
ทำงานอภิบาลคาทอลิกและเสวนาทางศาสนากับชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์และชาวมุสลิม
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านใช้วิถีทางการทูตช่วยเหลือชาวยิวจำนวนมากให้พวกเขา
สามารถเดินทางอย่างปลอดภัย
ท่านถูกตั้งเป็นพระคาร์ดินัลและเป็นอัยกาแห่งเวนิสในปี ๑๙๕๓ ท่านทำหน้าที่เป็นผู้อภิบาลที่มี
ความรักเสียสละอุทิศตนเองเพื่อประโยชน์ของลูกแกะของท่าน
เมื่อพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๒ สิ้นพระชนม์ ท่านได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่
ท่านเป็นโป๊ปที่ทำหน้าที่อภิบาลเป็นนายชุมพาบาลที่ดีที่ใส่ใจต่อลูกแกะของท่าน ท่านแสดงความ
ห่วงใยพวกเขาในสมณสาสน์ด้านสังคม โดยเฉพาะ Pacem in Terris ว่าด้วยสันติภาพในโลก
ภารกิจยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์คือการเรียกประชุมสังคายนาวาติกันที่ ๒ ซึ่งเริ่ม
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๑๙๖๒
ความสุภาพ เรียบง่าย ความดี และชีวิตภาวนาลึกซึ้งแสดงออกในทุกกิจการของพระองค์
และสร้างความรักเคารพจนฝูงชนเรียกพระองค์ว่า "โป๊ปยอห์นแสนดี" (Good Pope John)
CR. : Sinapis
วันที่ 11 ตุลาคม
นักบุญ ยอห์น ที่ 23, พระสันตะปาปา
( St John XXIII, Pope )
"ขอให้สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดเข้ามาในพระศาสนจักร"
เป็นคำตรัสของพระสันตะปาปายอห์น ที่ 23 ซึ่งใช้สัญลักษณ์ของการเปิดหน้าต่างออกมา
ในการประกาศเริ่มต้นสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ.1962 และตั้งแต่นั้นมา ลมแห่ง
ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่เคยหยุดพัดเลย และไม่มีผู้สืบตำแหน่งจากพระสันตะปาปายอห์นที่ 23
องค์ใดเลย ที่จะไปปิดหน้าต่างที่ลมแห่งความเปลี่ยนแปลงจะพัดเข้ามาในพระศาสนจักร
แท้จริงแล้ว พระศาสนจักรสากลยังคงตรวจสอบตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องการประกาศ
พระวรสารและ การถือปฏิบัติด้วย
นักบุญยอห์น ที่ 23 ทรงเป็นบุคคลที่มีความเฉียบแหลมมากในด้านต่างๆ การหยั่งรู้ล่วงหน้าอย่าง
คมชัดนำพาให้พระองค์ทรงเรียกประชุมสังคายนา ซึ่งนำไปสู่การปรึกษาหารือ การตัดสินใจและ
ชี้นำแนวทางปฏิบัติต่างๆ ไปอย่างกว้างไกล ทรงชี้แจ้งให้เห็นชัดถึงแต่ละสถานะของบุคคลที่จะทำ
ต้องทำหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่และบังเกิดผล ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพระสังฆราช
หรือพระอัครสังฆราช หรือพระคาร์ดินัล หรือพระสันตะปาปาก็ตาม พระองค์ทรงมีความเฉียบคม
ในการตัดสินซึ่งช่วยรักษาพระศาสนจักรในฝรั่งเศสให้รอดพ้นได้ คือเรื่องที่ขัดแย้งอย่างรุนแรง
ในระหว่างพระสงฆ์ - กรรมกร (the priest - workers) ที่นำความกระอักกระอ่วนใจมาให้อย่างมาก
ทรงมีความเฉียบคมในด้านมนุษยธรรมที่ได้ทรงช่วยชาวยิวประมาณ 24,000 คนจากการจะถูกฆ่า
ล้างเผ่าพันธุ์ ทรงเฉียบคมในอารมณ์ขันที่ทรงหาหนทางหลีกเลี่ยงวิกฤติมากมายที่อาจเกิดขึ้นได้
ทรงเฉียบคมในพระญาณสอดส่องของพระที่ทรงทำให้พระองค์เป็นบุคคลตัวอย่างในการส่งเสริม
ให้มีการเสวนาใหม่ทางศาสนากับพวกโปรเตสตันท์ พวกออร์โธด๊อกซ์ พวกยิว และพวกมุสลิมด้วย
และเหนืออื่นใด ทรงเฉียบคมในเรื่องเอกภาพของคริสตชน ซึ่งทำให้พระองค์ทรงสวดบทภาวนาของ
พระเยซูเจ้าเพื่อพระสงฆ์ "เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน" (ยน 17:22) มาภาวนาเพื่อ
ให้คริสตชนเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย
นักบุญยอห์น ที่ 23 พระสันตะปาปาทรงถือกำเนิดมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนาซื่อๆ ของหมู่บ้าน
Sotto il Monte ใกล้กับเมืองแบร์กาโม ทางตอนเหนือของอิตาลี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1881
มีชื่อเดิมว่า อันเจโล จูเซปเป รอนคาลลี (Angelo Giuseppe Roncalli) ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์
ในปี ค.ศ. 1904 ได้ถูกเกณฑ์ไปอยู่ในกองทัพในฐานะเด็กหามเตียงคนไข้ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1
ต่อมาในปี ค.ศ.1921 ได้รับแต่งตั้งเป็น national director ของสมาคมเพื่อการเผยแผ่ความเชื่อ
ได้รับอภิเษกเป็นพระสังฆราชในปี ค.ศ.1925 ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระอัครสังฆราชและไปเป็นทูต
ของพระสันตะปาปา ประจำประเทศบุลกาเรีย เป็นที่แรก ต่อมาเป็นประเทศตุรกี และสุดท้ายประจำ
ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1944 - 1953 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทรงสนิทสนมกับบรรดา
ผู้นำพระศาสนจักรออร์โธด๊อกซ์หลายคน ซึ่งก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างศาสนจักรทั้งสอง
ซึ่งยังคงเจริญเติบโตมาถึงทุกวันนี้
ในปี ค.ศ. 1953 ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล และได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆอัยกาของเวนิส
(Patriarch of Venice) และสืบเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาปีโอที่ 12
ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1958 พระองค์ทรงได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาสืบแทน ในขณะที่มี
พระชนมายุ 76 ปี ทรงเลือกชื่อยอห์นตามชื่อบิดาของท่าน และตามชื่อองค์อุปถัมภ์ทั้งสองของ
อาสนวิหารแห่งกรุงโรม กล่าวคือ นักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร และนักบุญยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
นั่นเอง
พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23 ทรงเปี่ยมด้วยคุณลักษณะดีงามมากมายหลายด้านด้วยกัน ทรงเป็น
บุคคลที่นุ่มนวลอ่อนหวาน สุภาพอย่างยิ่ง ซื่อๆ และมีพระทัยเปิดกว้าง ซึ่งทรงเผยให้เห็นลักษณะ
ที่งดงามที่สุดเช่นนี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับคติพจน์ของพระองค์เมื่อทรงรับตำแหน่ง
พระสังฆราชว่า "นอบน้อมเชื่อฟัง และ สันติสุข" ( "Obedientia et Pax" ) และในความเป็นจริง
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่นอบน้อมเชื่อฟังตลอดชีวิตสงฆ์ของพระองค์ - ทรงนอบน้อมต่อพระประสงค์ของ
พระเจ้าในทุกสิ่ง - ทรงเป็นบุคคลแห่งความสันติสุข เป็นสันติสุขที่ถ่ายทอดจากพระองค์ไปยังผู้อื่นๆ
นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่ชื่อ โจวานนา กล่าวว่า "ในการพูดคุยกับพระองค์ ประสบการณ์หนึ่งที่
คุณจะได้รับ คือ ความรู้สึกผ่อนคลาย"
"พระสันตะปาปาแห่งสภาสังคายนา" ผู้สุภาพพระองค์นี้ ได้รับการเทิดเกียรติให้นำพระศพขึ้นมาไว้
ที่พระแท่นหนึ่งภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.2000
โดยนักบุญ ยอห์นปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา และทรงกำหนดวันฉลองของท่านให้เป็นวันที่ 11 ตุลาคม
ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดประชุมสภาสังคายนาวาติกันที่ 2
(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ;
เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
นักบุญยอห์น ที่ ๒๓ พระสันตะปาปา
St. John XXIII, Pope
อังเจโล กุยเซ็ปเป รอนคอลลี (Angelo Giuseppe Roncalli) เกิดที่ Sotto il Monte
ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๑๘๘๑ ท่านได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา
วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๑๙๕๘ สิ้นพระชนม์วันที่ ๓ มิถุนายน ๑๙๖๓ ที่โรม และถูกแต่งตั้งเป็น
บุญราศี โดยพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ และ
ประกาศเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาฟรังซิส ในปี ๒๐๑๔
อังเจโลเป็นลูกคนที่ ๔ ในจำนวนพี่น้อง ๑๔ คน บิดาของท่านเป็นคาทอลิกใจศรัทธา
ท่านได้รับการอบรม เรื่องศาสนาจากพ่ออุปถัมภ์ผู้เอาใจใส่ เขาปลูกฝังให้ท่านมีความรัก
และเคารพต่อพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้า
อังเจโลเข้าบ้านเณรเล็กในปี ๑๘๙๒ เมื่ออายุ ๑๑ ปี และในปี ๑๙๐๑ ก็เข้าบ้านเณร
Pontifical Roman
หลังจากท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ๑๙๐๔ ท่านได้ถูกเลือกเป็นเลขานุการของสังฆราช
แห่งแบร์กาโม และทำหน้าที่สอนที่บ้านเณร นักบุญที่ท่านถือเป็นแบบอย่างในชีวิตคือ
นักบุญชาร์ล บอโรมีโอ และฟรังซิสเดอซาลล์ ผู้โดดเด่นด้านสติปัญญาและงานอภิบาล
ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ท่านทำหน้าที่เป็นพ่อวิญญาณรักษ์ของกองทัพ หลังจากนั้น
เป็นผู้แนะนำชีวิตภายในของบ้านเณร
ปี ๑๙๒๕ พระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๙ ตั้งท่านเป็นสังฆราชและส่งท่านไปที่ประเทศบัลแกเรีย ทำหน้าที่
ผู้แทนองค์พระสันตะปาปาจากนั้นท่านถูกมอบหมายให้ไปประจำที่ประเทศตุรกีและกรีก ที่ซึ่งท่าน
ทำงานอภิบาลคาทอลิกและเสวนาทางศาสนากับชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์และชาวมุสลิม
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านใช้วิถีทางการทูตช่วยเหลือชาวยิวจำนวนมากให้พวกเขา
สามารถเดินทางอย่างปลอดภัย
ท่านถูกตั้งเป็นพระคาร์ดินัลและเป็นอัยกาแห่งเวนิสในปี ๑๙๕๓ ท่านทำหน้าที่เป็นผู้อภิบาลที่มี
ความรักเสียสละอุทิศตนเองเพื่อประโยชน์ของลูกแกะของท่าน
เมื่อพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๒ สิ้นพระชนม์ ท่านได้รับเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่
ท่านเป็นโป๊ปที่ทำหน้าที่อภิบาลเป็นนายชุมพาบาลที่ดีที่ใส่ใจต่อลูกแกะของท่าน ท่านแสดงความ
ห่วงใยพวกเขาในสมณสาสน์ด้านสังคม โดยเฉพาะ Pacem in Terris ว่าด้วยสันติภาพในโลก
ภารกิจยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์คือการเรียกประชุมสังคายนาวาติกันที่ ๒ ซึ่งเริ่ม
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๑๙๖๒
ความสุภาพ เรียบง่าย ความดี และชีวิตภาวนาลึกซึ้งแสดงออกในทุกกิจการของพระองค์
และสร้างความรักเคารพจนฝูงชนเรียกพระองค์ว่า "โป๊ปยอห์นแสนดี" (Good Pope John)
CR. : Sinapis
วันที่ 11 ตุลาคม
นักบุญ ยอห์น ที่ 23, พระสันตะปาปา
( St John XXIII, Pope )
"ขอให้สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดเข้ามาในพระศาสนจักร"
เป็นคำตรัสของพระสันตะปาปายอห์น ที่ 23 ซึ่งใช้สัญลักษณ์ของการเปิดหน้าต่างออกมา
ในการประกาศเริ่มต้นสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ.1962 และตั้งแต่นั้นมา ลมแห่ง
ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่เคยหยุดพัดเลย และไม่มีผู้สืบตำแหน่งจากพระสันตะปาปายอห์นที่ 23
องค์ใดเลย ที่จะไปปิดหน้าต่างที่ลมแห่งความเปลี่ยนแปลงจะพัดเข้ามาในพระศาสนจักร
แท้จริงแล้ว พระศาสนจักรสากลยังคงตรวจสอบตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องการประกาศ
พระวรสารและ การถือปฏิบัติด้วย
นักบุญยอห์น ที่ 23 ทรงเป็นบุคคลที่มีความเฉียบแหลมมากในด้านต่างๆ การหยั่งรู้ล่วงหน้าอย่าง
คมชัดนำพาให้พระองค์ทรงเรียกประชุมสังคายนา ซึ่งนำไปสู่การปรึกษาหารือ การตัดสินใจและ
ชี้นำแนวทางปฏิบัติต่างๆ ไปอย่างกว้างไกล ทรงชี้แจ้งให้เห็นชัดถึงแต่ละสถานะของบุคคลที่จะทำ
ต้องทำหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่และบังเกิดผล ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพระสังฆราช
หรือพระอัครสังฆราช หรือพระคาร์ดินัล หรือพระสันตะปาปาก็ตาม พระองค์ทรงมีความเฉียบคม
ในการตัดสินซึ่งช่วยรักษาพระศาสนจักรในฝรั่งเศสให้รอดพ้นได้ คือเรื่องที่ขัดแย้งอย่างรุนแรง
ในระหว่างพระสงฆ์ - กรรมกร (the priest - workers) ที่นำความกระอักกระอ่วนใจมาให้อย่างมาก
ทรงมีความเฉียบคมในด้านมนุษยธรรมที่ได้ทรงช่วยชาวยิวประมาณ 24,000 คนจากการจะถูกฆ่า
ล้างเผ่าพันธุ์ ทรงเฉียบคมในอารมณ์ขันที่ทรงหาหนทางหลีกเลี่ยงวิกฤติมากมายที่อาจเกิดขึ้นได้
ทรงเฉียบคมในพระญาณสอดส่องของพระที่ทรงทำให้พระองค์เป็นบุคคลตัวอย่างในการส่งเสริม
ให้มีการเสวนาใหม่ทางศาสนากับพวกโปรเตสตันท์ พวกออร์โธด๊อกซ์ พวกยิว และพวกมุสลิมด้วย
และเหนืออื่นใด ทรงเฉียบคมในเรื่องเอกภาพของคริสตชน ซึ่งทำให้พระองค์ทรงสวดบทภาวนาของ
พระเยซูเจ้าเพื่อพระสงฆ์ "เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน" (ยน 17:22) มาภาวนาเพื่อ
ให้คริสตชนเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย
นักบุญยอห์น ที่ 23 พระสันตะปาปาทรงถือกำเนิดมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนาซื่อๆ ของหมู่บ้าน
Sotto il Monte ใกล้กับเมืองแบร์กาโม ทางตอนเหนือของอิตาลี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1881
มีชื่อเดิมว่า อันเจโล จูเซปเป รอนคาลลี (Angelo Giuseppe Roncalli) ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์
ในปี ค.ศ. 1904 ได้ถูกเกณฑ์ไปอยู่ในกองทัพในฐานะเด็กหามเตียงคนไข้ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1
ต่อมาในปี ค.ศ.1921 ได้รับแต่งตั้งเป็น national director ของสมาคมเพื่อการเผยแผ่ความเชื่อ
ได้รับอภิเษกเป็นพระสังฆราชในปี ค.ศ.1925 ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระอัครสังฆราชและไปเป็นทูต
ของพระสันตะปาปา ประจำประเทศบุลกาเรีย เป็นที่แรก ต่อมาเป็นประเทศตุรกี และสุดท้ายประจำ
ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1944 - 1953 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทรงสนิทสนมกับบรรดา
ผู้นำพระศาสนจักรออร์โธด๊อกซ์หลายคน ซึ่งก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างศาสนจักรทั้งสอง
ซึ่งยังคงเจริญเติบโตมาถึงทุกวันนี้
ในปี ค.ศ. 1953 ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล และได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆอัยกาของเวนิส
(Patriarch of Venice) และสืบเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาปีโอที่ 12
ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1958 พระองค์ทรงได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาสืบแทน ในขณะที่มี
พระชนมายุ 76 ปี ทรงเลือกชื่อยอห์นตามชื่อบิดาของท่าน และตามชื่อองค์อุปถัมภ์ทั้งสองของ
อาสนวิหารแห่งกรุงโรม กล่าวคือ นักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสาร และนักบุญยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
นั่นเอง
พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23 ทรงเปี่ยมด้วยคุณลักษณะดีงามมากมายหลายด้านด้วยกัน ทรงเป็น
บุคคลที่นุ่มนวลอ่อนหวาน สุภาพอย่างยิ่ง ซื่อๆ และมีพระทัยเปิดกว้าง ซึ่งทรงเผยให้เห็นลักษณะ
ที่งดงามที่สุดเช่นนี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับคติพจน์ของพระองค์เมื่อทรงรับตำแหน่ง
พระสังฆราชว่า "นอบน้อมเชื่อฟัง และ สันติสุข" ( "Obedientia et Pax" ) และในความเป็นจริง
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่นอบน้อมเชื่อฟังตลอดชีวิตสงฆ์ของพระองค์ - ทรงนอบน้อมต่อพระประสงค์ของ
พระเจ้าในทุกสิ่ง - ทรงเป็นบุคคลแห่งความสันติสุข เป็นสันติสุขที่ถ่ายทอดจากพระองค์ไปยังผู้อื่นๆ
นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่ชื่อ โจวานนา กล่าวว่า "ในการพูดคุยกับพระองค์ ประสบการณ์หนึ่งที่
คุณจะได้รับ คือ ความรู้สึกผ่อนคลาย"
"พระสันตะปาปาแห่งสภาสังคายนา" ผู้สุภาพพระองค์นี้ ได้รับการเทิดเกียรติให้นำพระศพขึ้นมาไว้
ที่พระแท่นหนึ่งภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.2000
โดยนักบุญ ยอห์นปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา และทรงกำหนดวันฉลองของท่านให้เป็นวันที่ 11 ตุลาคม
ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดประชุมสภาสังคายนาวาติกันที่ 2
(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ;
เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๒ ตุลาคม
นักบุญวิลฟรีดแห่งยอร์ก
St. Wilfrid of York
ท่านเกิดในปี ๖๓๔ ที่เมือง Northumbria ประเทศอังกฤษ มารดาของท่านเสียชีวิตเมื่อท่าน
ยังเด็ก บิดาแต่งงานใหม่ ท่านเข้ากับแม่เลี้ยงไม่ได้ ดังนั้นเมื่ออายุ ๑๔ ปีก็ถูกส่งเข้าอาราม
ท่านอยู่ที่อารามในเมืองลีอองจนกระทั่งได้เป็นนักพรต แต่เกิดการเบียดเบียนคริสตชน
ในท้องถิ่นนั้น ทำให้ท่านต้องหลบหนีออกมา ท่านถูกแต่งตั้งเป็นอธิการของอารามที่เมือง Ripon
ท่านทำหน้าที่ที่นั่นเป็นเวลา ๕ ปีโดยใช้พระวินัยของคณะเบเนดิกติน
ท่านนำเอาระเบียบและการถือปฏิบัติพิธีกรรมโรมันมาใช้อย่างได้ผลที่สังคายนา Whitby ปี ๖๖๔
แต่มีสังฆราชคนหนึ่งต่อต้านและได้ขอลาออก วิลฟรีดถูกเลือกเป็นสังฆราชคนใหม่ท่านเดินทางไป
ฝรั่งเศสเพื่อรับอภิเษก ท่านกลับมาอังกฤษในปี ๖๖๖ แต่ระหว่างทางเกือบเสียชีวิตเพราะเรืออัปปาง
และถูกพวกนอกศาสนาโจมตี ช่วงเวลานี้นักบุญ Chad ถูกเลือกเป็นสังฆราชแทนท่าน วิลฟรีดจึงเข้า
อยู่ที่อารามที่ Ripon และทำงานประกาศพระวรสารในละแวกนั้น ปี ๖๖๙ อัครสังฆราชเธโอดอร์แห่ง
แคนเตอร์บิวรีอธิบายแก่นักบุญ Chad ว่าวิลฟรีดควรได้นั่งตำแหน่งนี้ นักบุญ Chad จึงถอนตัว
และวิลฟรีดก็คืนกลับมาเป็นสังฆราช
ระหว่างทำหน้าที่สังฆราช วิลฟรีดประกาศใช้พิธีกรรมโรมัน ก่อตั้งอารามเบเนดิกตินหลายแห่ง
ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายและศักดิ์สิทธิ์แม้จะถูกลากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองจนถูกจับ
ขังคุกที่ Bambrough และถูกเนรเทศไปที่ Sessex
ท่านทำงานธรรมทูตในหมู่คนนอกศาสนาจนพ้นการเนรเทศ และกลับมาเป็นสังฆราชแห่ง Hexham
และ Ripon ท่านมีความเห็นว่าความปั่นป่วนวุ่นวายจะสงบลงได้ก็ต่อเมื่อทุกคนที่เกี่ยวข้องยอมรับอำนาจ
และความเป็นผู้นำสูงสุดของพระสันตะปาปา ซึ่งหลักการนี้ท่านได้ยืนยันมาตลอด
ท่านเสียชีวิตในปี ๗๐๙ ที่ Oundle และเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของ Ripon ประเทศอังกฤษ
Cr : Sinapis
นักบุญวิลฟรีดแห่งยอร์ก
St. Wilfrid of York
ท่านเกิดในปี ๖๓๔ ที่เมือง Northumbria ประเทศอังกฤษ มารดาของท่านเสียชีวิตเมื่อท่าน
ยังเด็ก บิดาแต่งงานใหม่ ท่านเข้ากับแม่เลี้ยงไม่ได้ ดังนั้นเมื่ออายุ ๑๔ ปีก็ถูกส่งเข้าอาราม
ท่านอยู่ที่อารามในเมืองลีอองจนกระทั่งได้เป็นนักพรต แต่เกิดการเบียดเบียนคริสตชน
ในท้องถิ่นนั้น ทำให้ท่านต้องหลบหนีออกมา ท่านถูกแต่งตั้งเป็นอธิการของอารามที่เมือง Ripon
ท่านทำหน้าที่ที่นั่นเป็นเวลา ๕ ปีโดยใช้พระวินัยของคณะเบเนดิกติน
ท่านนำเอาระเบียบและการถือปฏิบัติพิธีกรรมโรมันมาใช้อย่างได้ผลที่สังคายนา Whitby ปี ๖๖๔
แต่มีสังฆราชคนหนึ่งต่อต้านและได้ขอลาออก วิลฟรีดถูกเลือกเป็นสังฆราชคนใหม่ท่านเดินทางไป
ฝรั่งเศสเพื่อรับอภิเษก ท่านกลับมาอังกฤษในปี ๖๖๖ แต่ระหว่างทางเกือบเสียชีวิตเพราะเรืออัปปาง
และถูกพวกนอกศาสนาโจมตี ช่วงเวลานี้นักบุญ Chad ถูกเลือกเป็นสังฆราชแทนท่าน วิลฟรีดจึงเข้า
อยู่ที่อารามที่ Ripon และทำงานประกาศพระวรสารในละแวกนั้น ปี ๖๖๙ อัครสังฆราชเธโอดอร์แห่ง
แคนเตอร์บิวรีอธิบายแก่นักบุญ Chad ว่าวิลฟรีดควรได้นั่งตำแหน่งนี้ นักบุญ Chad จึงถอนตัว
และวิลฟรีดก็คืนกลับมาเป็นสังฆราช
ระหว่างทำหน้าที่สังฆราช วิลฟรีดประกาศใช้พิธีกรรมโรมัน ก่อตั้งอารามเบเนดิกตินหลายแห่ง
ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายและศักดิ์สิทธิ์แม้จะถูกลากเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองจนถูกจับ
ขังคุกที่ Bambrough และถูกเนรเทศไปที่ Sessex
ท่านทำงานธรรมทูตในหมู่คนนอกศาสนาจนพ้นการเนรเทศ และกลับมาเป็นสังฆราชแห่ง Hexham
และ Ripon ท่านมีความเห็นว่าความปั่นป่วนวุ่นวายจะสงบลงได้ก็ต่อเมื่อทุกคนที่เกี่ยวข้องยอมรับอำนาจ
และความเป็นผู้นำสูงสุดของพระสันตะปาปา ซึ่งหลักการนี้ท่านได้ยืนยันมาตลอด
ท่านเสียชีวิตในปี ๗๐๙ ที่ Oundle และเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของ Ripon ประเทศอังกฤษ
Cr : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๓ ตุลาคม
นักบุญเอ็ดเวิร์ด
St. Edward the Confessor
เอ็ดเวิร์ดเกิดในปี ๑๐๐๓ ท่านเป็นบุตรของดุ๊กแห่งนอร์มังดีและหลานของกษัตริย์เอ็ดมุนด์ไอออนไซด์
แห่งอังกฤษ ช่วงเวลานั้น พวกเดนมาร์กเข้าครองอังกฤษ ท่านจึงเติบโตมากับชีวิตเนรเทศในนอร์มังดี
ตั้งแต่อายุ ๑๐ ปีประสบการณ์การสูญเสียแต่วัยเยาว์บวกกับความศรัทธาในศาสนาทำให้ท่านสละ
ความทะเยอทะยานฝ่ายโลกและอุทิศตัวเองแก่ความรักของพระเจ้า
เมื่อกษัตริย์ของพวกเดนมาร์กสิ้นพระชนม์ท่านถูกเชิญมาครองบัลลังก์ที่อังกฤษ ซึ่งท่านยอมรับและ
ปฏิบัติหน้าที่จนกระทั่งถึงปี ๑๐๖๖ ความเมตตาและศรัทธาเยี่ยงนักบุญของท่านเป็นที่ชื่นชม ท่านยกเลิก
ระบบภาษีไม่เป็นธรรม และกล่าวกันว่าท่านสามารถรักษาผู้คนให้หายจากโรคภัยเพียงการสัมผัส
ท่านถือปฏิญาณความบริสุทธิ์ แต่ยอมรับพิธีวิวาห์เพื่อเห็นแก่ราชอาณาจักร ท่านครองคู่กับราชินีของท่าน
เยี่ยงพี่ชายน้องสาว
ท่านต้องการจะจาริกแสวงบุญไปที่สุสานนักบุญเปโตรแต่การเดินทางจะทำให้อาณาจักรเสี่ยงถูกรุกราน
ท่านจึงขออนุญาตพระสันตะปาปาสร้างวิหารนักบุญเปโตรขึ้นที่เวสมินเตอร์ที่ซึ่งท่านถูกฝังในหนึ่งสัปดาห์
หลังจากพิธีอภิเษกวิหาร
ท่านสิ้นใจเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๑๐๖๖ พระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ ๓
ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ๑๑๖๑
Cr : Sinapis
นักบุญเอ็ดเวิร์ด
St. Edward the Confessor
เอ็ดเวิร์ดเกิดในปี ๑๐๐๓ ท่านเป็นบุตรของดุ๊กแห่งนอร์มังดีและหลานของกษัตริย์เอ็ดมุนด์ไอออนไซด์
แห่งอังกฤษ ช่วงเวลานั้น พวกเดนมาร์กเข้าครองอังกฤษ ท่านจึงเติบโตมากับชีวิตเนรเทศในนอร์มังดี
ตั้งแต่อายุ ๑๐ ปีประสบการณ์การสูญเสียแต่วัยเยาว์บวกกับความศรัทธาในศาสนาทำให้ท่านสละ
ความทะเยอทะยานฝ่ายโลกและอุทิศตัวเองแก่ความรักของพระเจ้า
เมื่อกษัตริย์ของพวกเดนมาร์กสิ้นพระชนม์ท่านถูกเชิญมาครองบัลลังก์ที่อังกฤษ ซึ่งท่านยอมรับและ
ปฏิบัติหน้าที่จนกระทั่งถึงปี ๑๐๖๖ ความเมตตาและศรัทธาเยี่ยงนักบุญของท่านเป็นที่ชื่นชม ท่านยกเลิก
ระบบภาษีไม่เป็นธรรม และกล่าวกันว่าท่านสามารถรักษาผู้คนให้หายจากโรคภัยเพียงการสัมผัส
ท่านถือปฏิญาณความบริสุทธิ์ แต่ยอมรับพิธีวิวาห์เพื่อเห็นแก่ราชอาณาจักร ท่านครองคู่กับราชินีของท่าน
เยี่ยงพี่ชายน้องสาว
ท่านต้องการจะจาริกแสวงบุญไปที่สุสานนักบุญเปโตรแต่การเดินทางจะทำให้อาณาจักรเสี่ยงถูกรุกราน
ท่านจึงขออนุญาตพระสันตะปาปาสร้างวิหารนักบุญเปโตรขึ้นที่เวสมินเตอร์ที่ซึ่งท่านถูกฝังในหนึ่งสัปดาห์
หลังจากพิธีอภิเษกวิหาร
ท่านสิ้นใจเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๑๐๖๖ พระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ ๓
ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญในปี ๑๑๖๑
Cr : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๔ ตุลาคม
นักบุญกัลลิสตุส ที่ ๑, พระสันตะปาปา
St. Callistus I, Pope
พระสันตะปาปากัลลิสตุส ที่ ๑ เป็นนักบุญและมรณสักขี ท่านเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งสำคัญ
ที่คงอยู่เกือบ ๒๐ ปี ทั้งนี้เพราะท่านเลือกหนทางแห่งพระเมตตาของพระเจ้าในการบริหารของท่าน
ต้นแบบการเป็นผู้นำและการเป็นมรณสักขีของท่านในปี ๒๒๒ ได้ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ
พระสันตะปาปาในยุคแรกของพระศาสนจักรท่านนี้
เนื่องจากไม่มีงานเขียนชีวประวัติของท่านหลงเหลืออยู่ นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยเรื่องเล่าจาก
บุคคลร่วมสมัยคือฮิปโปลีตุส (Hippolytus) แห่งโรม แม้ฮิปโปลีตุสจะกลับคืนดีกับพระศาสนจักร
และได้รับประกาศเป็นมรณสักขี แต่ท่านก็เป็นปากเสียงต่อต้านการเป็นสันตะปาปาของกัลลิสตุส
และผู้สืบทอด ตำแหน่งอีก 3 คน อย่างไรก็ตาม เรื่องเล่าถึงชีวิตกัลลิสตุสและสมณสมัยของท่าน
ก็ได้ให้รายละเอียดที่สำคัญแก่เรา
ตามคำเล่าของฮิปโปลีตุส กัลลิสตุส ซึ่งปีเกิดไม่ทราบแน่นอน ทำงานเป็นผู้รับใช้ในบ้านของผู้มี
ตำแหน่งสูงของโรมัน และได้รับผิดชอบธุรกิจธนาคารของเจ้านาย แต่เมื่อธนาคารล่ม เขาก็ถูกป้าย
ความผิด จึงพยายามหลบหนีเมื่อถูกจับตัวได้ก็ถูกส่งตัวไปทำงานแรงงานในโรม
เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เมื่อต่อมากัลลิสตุสถูกส่งตัวไปทำงานในเหมือง อาจเพราะเป็นต้นตอสร้าง
ความวุ่นวายต่อสาธารณะ ตามคำเล่าของฮิปโปลีตุส อย่างไรก็ตาม กัลลิสตุสอาจถูกตัดสินเช่นนั้น
เพียงเพราะท่านเป็นคริสตชน ภายหลัง ท่านถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับบรรดาผู้มีความเชื่อ
โดยการดำเนินการของพระสันตะปาปาเซนต์วิกตอร์ ที่ ๑
ในสมัยของพระสันตะปาปาองค์ต่อมาคือเซฟรีนุส (Zephyrinus) กัลลิสตุสเป็นสังฆานุกรและผู้ให้คำ
ปรึกษาพระสันตะปาปาเรื่องความขัดแย้งทางเทววิทยา นอกนั้น ท่านยังเป็นผู้ดูแลสุสานของคริสตชน
ชาวโรมัน (ซึ่งยังคงมีชื่อตามชื่อท่านในทุกวันนี้ว่า "สุสานนักบุญกัลลิสตุส") เมื่อเซฟรีนุสสิ้นพระชนม์
ในปี ๒๑๙ กัลลิสตุสจึงสืบทอดตำแหน่งพระสันตะปาปา
ฮิปโปลีตุส ผู้เป็นนักเทววิทยาที่เคร่งครัด กล่าวหาพระสันตะปาปากัสลิสตุสที่เห็นอกเห็นใจพวกเฮเรติก
เขาไม่เห็นด้วยที่พระองค์ประกาศว่า แม้แต่คนบาปหนักที่สุดก็ยังสามารถได้รับการอภัยเมื่อสารภาพบาป
อย่างจริงใจ การยืนยันถึงความเมตตาของพระเจ้ายังเป็นที่สะดุดแก่แตร์ตูเลียน (Tertullian) ผู้เป็นเสา
หลักของคริสตชนในแอฟริกาเหนือ ซึ่งแยกตัวออกจากศาสนจักรที่เมืองคาร์เธจ เขามีความเห็นว่ามีบาป
บางประการที่สาหัสรุนแรงเกินกว่าที่จะรับอภัยได้โดยการสารภาพบาป
หนึ่งในบาปที่ฮิปโปลีตุสกล่าวหากัลลิสตุสที่ยอมอนุญาตให้อภัยได้คือเรื่องเพศสัมพันธ์นอกสมรส
และการคุมกำเนิดตามวิธีของคนยุคนั้น นี่เป็นความผิดที่พระสันตะปาปาไม่ควรอภัย แต่พระองค์ก็เต็มใจ
ยกโทษให้ในกรณีที่ผู้ทำผิดต้องการกลับคืนดีกับพระศาสนจักร
กัลลิสตุสไม่สามารถโน้มน้าวให้ผู้ติดตามฮิปโปลีตุสยอมรับอำนาจของท่านในฐานสันตะปาปา
ได้ในช่วงชีวิตของท่าน แต่ศาสนจักรคาทอลิกยืนยันถึงความถูกต้องและศักดิ์สิทธิ์ของ
พระสันตะปาปากัลลิสตุส ที่ ๑
CR. : Sinapis
นักบุญกัลลิสตุส ที่ ๑, พระสันตะปาปา
St. Callistus I, Pope
พระสันตะปาปากัลลิสตุส ที่ ๑ เป็นนักบุญและมรณสักขี ท่านเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งสำคัญ
ที่คงอยู่เกือบ ๒๐ ปี ทั้งนี้เพราะท่านเลือกหนทางแห่งพระเมตตาของพระเจ้าในการบริหารของท่าน
ต้นแบบการเป็นผู้นำและการเป็นมรณสักขีของท่านในปี ๒๒๒ ได้ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ
พระสันตะปาปาในยุคแรกของพระศาสนจักรท่านนี้
เนื่องจากไม่มีงานเขียนชีวประวัติของท่านหลงเหลืออยู่ นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยเรื่องเล่าจาก
บุคคลร่วมสมัยคือฮิปโปลีตุส (Hippolytus) แห่งโรม แม้ฮิปโปลีตุสจะกลับคืนดีกับพระศาสนจักร
และได้รับประกาศเป็นมรณสักขี แต่ท่านก็เป็นปากเสียงต่อต้านการเป็นสันตะปาปาของกัลลิสตุส
และผู้สืบทอด ตำแหน่งอีก 3 คน อย่างไรก็ตาม เรื่องเล่าถึงชีวิตกัลลิสตุสและสมณสมัยของท่าน
ก็ได้ให้รายละเอียดที่สำคัญแก่เรา
ตามคำเล่าของฮิปโปลีตุส กัลลิสตุส ซึ่งปีเกิดไม่ทราบแน่นอน ทำงานเป็นผู้รับใช้ในบ้านของผู้มี
ตำแหน่งสูงของโรมัน และได้รับผิดชอบธุรกิจธนาคารของเจ้านาย แต่เมื่อธนาคารล่ม เขาก็ถูกป้าย
ความผิด จึงพยายามหลบหนีเมื่อถูกจับตัวได้ก็ถูกส่งตัวไปทำงานแรงงานในโรม
เหตุการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เมื่อต่อมากัลลิสตุสถูกส่งตัวไปทำงานในเหมือง อาจเพราะเป็นต้นตอสร้าง
ความวุ่นวายต่อสาธารณะ ตามคำเล่าของฮิปโปลีตุส อย่างไรก็ตาม กัลลิสตุสอาจถูกตัดสินเช่นนั้น
เพียงเพราะท่านเป็นคริสตชน ภายหลัง ท่านถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับบรรดาผู้มีความเชื่อ
โดยการดำเนินการของพระสันตะปาปาเซนต์วิกตอร์ ที่ ๑
ในสมัยของพระสันตะปาปาองค์ต่อมาคือเซฟรีนุส (Zephyrinus) กัลลิสตุสเป็นสังฆานุกรและผู้ให้คำ
ปรึกษาพระสันตะปาปาเรื่องความขัดแย้งทางเทววิทยา นอกนั้น ท่านยังเป็นผู้ดูแลสุสานของคริสตชน
ชาวโรมัน (ซึ่งยังคงมีชื่อตามชื่อท่านในทุกวันนี้ว่า "สุสานนักบุญกัลลิสตุส") เมื่อเซฟรีนุสสิ้นพระชนม์
ในปี ๒๑๙ กัลลิสตุสจึงสืบทอดตำแหน่งพระสันตะปาปา
ฮิปโปลีตุส ผู้เป็นนักเทววิทยาที่เคร่งครัด กล่าวหาพระสันตะปาปากัสลิสตุสที่เห็นอกเห็นใจพวกเฮเรติก
เขาไม่เห็นด้วยที่พระองค์ประกาศว่า แม้แต่คนบาปหนักที่สุดก็ยังสามารถได้รับการอภัยเมื่อสารภาพบาป
อย่างจริงใจ การยืนยันถึงความเมตตาของพระเจ้ายังเป็นที่สะดุดแก่แตร์ตูเลียน (Tertullian) ผู้เป็นเสา
หลักของคริสตชนในแอฟริกาเหนือ ซึ่งแยกตัวออกจากศาสนจักรที่เมืองคาร์เธจ เขามีความเห็นว่ามีบาป
บางประการที่สาหัสรุนแรงเกินกว่าที่จะรับอภัยได้โดยการสารภาพบาป
หนึ่งในบาปที่ฮิปโปลีตุสกล่าวหากัลลิสตุสที่ยอมอนุญาตให้อภัยได้คือเรื่องเพศสัมพันธ์นอกสมรส
และการคุมกำเนิดตามวิธีของคนยุคนั้น นี่เป็นความผิดที่พระสันตะปาปาไม่ควรอภัย แต่พระองค์ก็เต็มใจ
ยกโทษให้ในกรณีที่ผู้ทำผิดต้องการกลับคืนดีกับพระศาสนจักร
กัลลิสตุสไม่สามารถโน้มน้าวให้ผู้ติดตามฮิปโปลีตุสยอมรับอำนาจของท่านในฐานสันตะปาปา
ได้ในช่วงชีวิตของท่าน แต่ศาสนจักรคาทอลิกยืนยันถึงความถูกต้องและศักดิ์สิทธิ์ของ
พระสันตะปาปากัลลิสตุส ที่ ๑
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๕ ตุลาคม
นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา
St. Teresa of Avila
เทเรซา ซานเชส เด เซเปดา ยี อาฮูมาดา (Teresa Sanchez de Cepeda y Ahumada)
เกิดในปี ๑๕๑๕ ที่เมืองอาวิลา เธอเป็นลูกคนที่สามของครอบครัวที่สืบเชื้อสายจากพ่อค้า
ชาวยิวซึ่งกลับใจเป็นคริสต์ในรัชสมัยของกษัตริย์เฟอร์ดินานและราชินีอิสซาเบลล่า
บิดาของเทเรซา อัลฟอนซุส เป็นคาทอลิกใจศรัทธา
เมื่อยังเล็กเทเรซาซาบซึ้งกับความคิดเรื่องชีวิตนิรันดรและภาพที่พระเจ้าทรงให้พวกนักบุญ
เข้าสวรรค์ เธอและน้องชายร็อดริโก พากันหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปตายเยี่ยงมรณสักขี
ในประเทศมุสลิม แต่เจอญาติระหว่างทางเสียก่อน จึงถูกนำตัวกลับมาส่งให้มารดา บีอาทริส
เมื่อเทเรซาอายุ ๑๔ ปี มารดาเสียชีวิต สร้างความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งแก่เธอ เธอมอบความศรัทธา
ต่อแม่พระให้เป็นมารดาฝ่ายจิตของเธอ แต่ในช่วงชีวิตวัยรุ่น เธอก็ได้ให้ความสนใจกับการอ่าน
นิยายยอดนิยมของยุค ซึ่งมักจะเป็นตำนานยุคกลางเกี่ยวกับอัศวิน และเอาใจใส่กับเรื่องรูปร่าง
หน้าตาและการแต่งเนื้อแต่งตัว
พ่อวิญญาณของเทเรซาในภายหลังถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความผิดเล็กน้อย แต่เรื่องเหล่านี้ก็ทำให้
เธอสูญเสียความกระตือรือร้นในวัยเด็กต่อพระเจ้า อัลฟอนซุส ผู้บิดา ตัดสินใจว่าลูกสาววัยรุ่นจำเป็น
ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ จึงส่งเธอไปศึกษาในอารามของซิสเตอร์คณะออกัสติเนียน เทเรซาพบ
ว่าชีวิตพวกซิสเตอร์น่าเบื่อหน่าย แต่ไม่ช้าก็เริ่มเข้าใจถึงประโยชน์ที่มีต่อชีวิตภายใน
อาการเจ็บป่วยทำให้เทเรซาต้องออกจากอารามหลังจากอยู่ที่นั่นหนึ่งปีครึ่ง อิทธิพลของลุงผู้ศรัทธา
ของเธอ พร้อมกับการได้อ่านจดหมายของนักบุญเยโรม ซึ่งเป็นฤษีและปิตาจารย์ของศาสนจักร
ทำให้เทเรซามั่นใจว่าหนทางแน่นอนสู่ความรอดอยู่ที่การสละชีวิตแต่งงาน ทรัพย์สมบัติ และ
ความยินดีทางโลก
อย่างสิ้นเชิง เธอตัดสินใจเข้าคณะคาร์เมไลท์แม้บิดาจะขอให้เลื่อนความตั้งใจไปก่อน
เทเรซาถวายตัวเป็นสมาชิกของคณะเมื่ออายุ ๒๐ ปีแต่ไม่ช้าก็ป่วยหนักจนต้องถูกส่งตัวกลับบ้าน
เธอประสบกับความเจ็บปวดสาหัสและมีอาการอัมพฤกษ์เป็นเวลา ๒ ปี ใครๆ คาดว่าเธอคงจะตาย
มีการนำขี้ผึ้งมาปิดตาและเตรียมหลุมศพเธอไว้แล้ว เธอเข้าโคม่าอยู่ ๔ วัน แต่กลับฟื้นคืนมา เธอยืนยั
นที่จะกลับเข้าอารามทันทีที่สามารถ แม้ว่าจะยังอยู่ในสภาพเจ็บปวดและไม่อาจเคลื่อนไหวได้เต็มที่
เทเรซาเติบโตก้าวหน้าในชีวิตภายใน ฝึกการรำลึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าตลอดช่วงเวลาเพ่งพิศ
ภาวนา แต่เมื่อสุขภาพกลับคืนดีเธอก็หละหลวมกับตารางการภาวนาแม้จะยังเป็นคาร์เมไลท์ผู้นบนอบ
แต่เธอไม่อาจสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวใกล้ชิดกับพระเจ้าได้เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุย่างเข้า ๔๐ ปี เทเรซาก็พบว่าตัวเองถูกเรียกคืนสู่จิตภาวนาแบบพิศเพ่ง
(contemplative prayer) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในจิตวิญญาณเธอ เธอได้รับภาพนิมิต
จากพระเจ้าและภายใต้การแนะนำของพ่อฟังแก้บาป เทเรซาเขียนเล่าประสบการณ์เหล่านี้
ในอัตชีวประวัติที่เธอเขียนแล้วเสร็จสิ้นในปี ๑๕๖๕
เทเรซาคุ้นเคยกับการรำพึงถึงการประทับอยู่ของพระคริสต์ในตัวเธอหลังจากรับศีลมหาสนิท
บัดนี้เธอเข้าใจว่าการประทับอยู่ของพระเจ้าไม่ได้แผ่วจางหาย พระเจ้าอยู่กับเธอเสมอและได้
ทรงอยู่ด้วยตลอดมา สิ่งสำคัญคือเพียงแต่มอบตัวเองให้อยู่ในการประทับของพระองค์ด้วย
ความรักและการใส่ใจ ซึ่งสามารถทำได้ทุกเวลา
การเปลี่ยนแปลงของชีวิตจิตทำให้เทเรซาสามารถมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพระศาสนจักร
หลังสังคายนาเทรนต์ เธอเสนอให้คณะคาร์เมไลท์กลับคืนสู่พระวินัยดั้งเดิม ซึ่งถือปฏิบัติชีวิต
นักพรตที่เรียบง่ายและเคร่งครัดอย่างสงบและสันโดษ ตามที่พระสันตะปาปาทรงอนุญาต
ในศตวรรษที่ ๑๒ และสืบย้อนถึงประกาศกเอลียาห์ในพระธรรมเก่า
เธอร่วมงานกับยอห์นแห่งไม้กางเขน พระสงฆ์และนักเขียน ผู้จะเป็นนักบุญในภายหลัง ก่อตั้ง
คณะคาร์เมไลท์เท้าเปล่า ซึ่งหมายถึงความเรียบง่ายก่อนคณะกลายสภาพ การฟื้นฟูคณะเผชิญ
การต่อต้านอย่างรุนแรง แต่สุดท้าย ส่งผลให้มีการตั้งอารามถึง ๓๐ แห่งในช่วงชีวิตของเธอ
สุขภาพของเทเรซาทรุดโทรมในระหว่างการเดินทางปี ๑๕๘๒ เธอยอมรับความเจ็บป่วยครั้ง
สุดท้ายนี้ว่าเป็นหนทางที่พระเจ้าเลือกใช้เพื่อเรียกเธอเข้าสู่การประทับอยู่กับพระองค์ตลอดนิรันดร
เทเรซาเสียชีวิตวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๑๕๘๒ และได้รับการประกาศเป็นนักบุญ พร้อมกับผู้ศักดิ์สิทธิ์
ร่วมยุคสมัยอีก ๓ ท่าน คือ นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา นักบุญฟรังซิส เซเวียร์
และนักบุญฟิลิป เนรี
ปี ๑๙๗๐ พระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๖ ประกาศตั้งท่านเป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักร
CR. : Sinapis
นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา
St. Teresa of Avila
เทเรซา ซานเชส เด เซเปดา ยี อาฮูมาดา (Teresa Sanchez de Cepeda y Ahumada)
เกิดในปี ๑๕๑๕ ที่เมืองอาวิลา เธอเป็นลูกคนที่สามของครอบครัวที่สืบเชื้อสายจากพ่อค้า
ชาวยิวซึ่งกลับใจเป็นคริสต์ในรัชสมัยของกษัตริย์เฟอร์ดินานและราชินีอิสซาเบลล่า
บิดาของเทเรซา อัลฟอนซุส เป็นคาทอลิกใจศรัทธา
เมื่อยังเล็กเทเรซาซาบซึ้งกับความคิดเรื่องชีวิตนิรันดรและภาพที่พระเจ้าทรงให้พวกนักบุญ
เข้าสวรรค์ เธอและน้องชายร็อดริโก พากันหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปตายเยี่ยงมรณสักขี
ในประเทศมุสลิม แต่เจอญาติระหว่างทางเสียก่อน จึงถูกนำตัวกลับมาส่งให้มารดา บีอาทริส
เมื่อเทเรซาอายุ ๑๔ ปี มารดาเสียชีวิต สร้างความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งแก่เธอ เธอมอบความศรัทธา
ต่อแม่พระให้เป็นมารดาฝ่ายจิตของเธอ แต่ในช่วงชีวิตวัยรุ่น เธอก็ได้ให้ความสนใจกับการอ่าน
นิยายยอดนิยมของยุค ซึ่งมักจะเป็นตำนานยุคกลางเกี่ยวกับอัศวิน และเอาใจใส่กับเรื่องรูปร่าง
หน้าตาและการแต่งเนื้อแต่งตัว
พ่อวิญญาณของเทเรซาในภายหลังถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความผิดเล็กน้อย แต่เรื่องเหล่านี้ก็ทำให้
เธอสูญเสียความกระตือรือร้นในวัยเด็กต่อพระเจ้า อัลฟอนซุส ผู้บิดา ตัดสินใจว่าลูกสาววัยรุ่นจำเป็น
ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ จึงส่งเธอไปศึกษาในอารามของซิสเตอร์คณะออกัสติเนียน เทเรซาพบ
ว่าชีวิตพวกซิสเตอร์น่าเบื่อหน่าย แต่ไม่ช้าก็เริ่มเข้าใจถึงประโยชน์ที่มีต่อชีวิตภายใน
อาการเจ็บป่วยทำให้เทเรซาต้องออกจากอารามหลังจากอยู่ที่นั่นหนึ่งปีครึ่ง อิทธิพลของลุงผู้ศรัทธา
ของเธอ พร้อมกับการได้อ่านจดหมายของนักบุญเยโรม ซึ่งเป็นฤษีและปิตาจารย์ของศาสนจักร
ทำให้เทเรซามั่นใจว่าหนทางแน่นอนสู่ความรอดอยู่ที่การสละชีวิตแต่งงาน ทรัพย์สมบัติ และ
ความยินดีทางโลก
อย่างสิ้นเชิง เธอตัดสินใจเข้าคณะคาร์เมไลท์แม้บิดาจะขอให้เลื่อนความตั้งใจไปก่อน
เทเรซาถวายตัวเป็นสมาชิกของคณะเมื่ออายุ ๒๐ ปีแต่ไม่ช้าก็ป่วยหนักจนต้องถูกส่งตัวกลับบ้าน
เธอประสบกับความเจ็บปวดสาหัสและมีอาการอัมพฤกษ์เป็นเวลา ๒ ปี ใครๆ คาดว่าเธอคงจะตาย
มีการนำขี้ผึ้งมาปิดตาและเตรียมหลุมศพเธอไว้แล้ว เธอเข้าโคม่าอยู่ ๔ วัน แต่กลับฟื้นคืนมา เธอยืนยั
นที่จะกลับเข้าอารามทันทีที่สามารถ แม้ว่าจะยังอยู่ในสภาพเจ็บปวดและไม่อาจเคลื่อนไหวได้เต็มที่
เทเรซาเติบโตก้าวหน้าในชีวิตภายใน ฝึกการรำลึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าตลอดช่วงเวลาเพ่งพิศ
ภาวนา แต่เมื่อสุขภาพกลับคืนดีเธอก็หละหลวมกับตารางการภาวนาแม้จะยังเป็นคาร์เมไลท์ผู้นบนอบ
แต่เธอไม่อาจสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวใกล้ชิดกับพระเจ้าได้เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุย่างเข้า ๔๐ ปี เทเรซาก็พบว่าตัวเองถูกเรียกคืนสู่จิตภาวนาแบบพิศเพ่ง
(contemplative prayer) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในจิตวิญญาณเธอ เธอได้รับภาพนิมิต
จากพระเจ้าและภายใต้การแนะนำของพ่อฟังแก้บาป เทเรซาเขียนเล่าประสบการณ์เหล่านี้
ในอัตชีวประวัติที่เธอเขียนแล้วเสร็จสิ้นในปี ๑๕๖๕
เทเรซาคุ้นเคยกับการรำพึงถึงการประทับอยู่ของพระคริสต์ในตัวเธอหลังจากรับศีลมหาสนิท
บัดนี้เธอเข้าใจว่าการประทับอยู่ของพระเจ้าไม่ได้แผ่วจางหาย พระเจ้าอยู่กับเธอเสมอและได้
ทรงอยู่ด้วยตลอดมา สิ่งสำคัญคือเพียงแต่มอบตัวเองให้อยู่ในการประทับของพระองค์ด้วย
ความรักและการใส่ใจ ซึ่งสามารถทำได้ทุกเวลา
การเปลี่ยนแปลงของชีวิตจิตทำให้เทเรซาสามารถมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพระศาสนจักร
หลังสังคายนาเทรนต์ เธอเสนอให้คณะคาร์เมไลท์กลับคืนสู่พระวินัยดั้งเดิม ซึ่งถือปฏิบัติชีวิต
นักพรตที่เรียบง่ายและเคร่งครัดอย่างสงบและสันโดษ ตามที่พระสันตะปาปาทรงอนุญาต
ในศตวรรษที่ ๑๒ และสืบย้อนถึงประกาศกเอลียาห์ในพระธรรมเก่า
เธอร่วมงานกับยอห์นแห่งไม้กางเขน พระสงฆ์และนักเขียน ผู้จะเป็นนักบุญในภายหลัง ก่อตั้ง
คณะคาร์เมไลท์เท้าเปล่า ซึ่งหมายถึงความเรียบง่ายก่อนคณะกลายสภาพ การฟื้นฟูคณะเผชิญ
การต่อต้านอย่างรุนแรง แต่สุดท้าย ส่งผลให้มีการตั้งอารามถึง ๓๐ แห่งในช่วงชีวิตของเธอ
สุขภาพของเทเรซาทรุดโทรมในระหว่างการเดินทางปี ๑๕๘๒ เธอยอมรับความเจ็บป่วยครั้ง
สุดท้ายนี้ว่าเป็นหนทางที่พระเจ้าเลือกใช้เพื่อเรียกเธอเข้าสู่การประทับอยู่กับพระองค์ตลอดนิรันดร
เทเรซาเสียชีวิตวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๑๕๘๒ และได้รับการประกาศเป็นนักบุญ พร้อมกับผู้ศักดิ์สิทธิ์
ร่วมยุคสมัยอีก ๓ ท่าน คือ นักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา นักบุญฟรังซิส เซเวียร์
และนักบุญฟิลิป เนรี
ปี ๑๙๗๐ พระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๖ ประกาศตั้งท่านเป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักร
CR. : Sinapis
#อัศจรรย์แห่งการสวดสายประคำ
แฟรงค์...เด็กน้อยชาวโปรแตสแตนท์วัย 5 ขวบ ได้ยินเพื่อนของเขาที่เป็นคาทอลิกสวดบท
"วันทามารีย์"ทุกวัน ทำให้เขาประทับใจและสวดตามบ้าง แต่เมื่อมารดาของเด็กน้อยทราบ
เธอได้สั่งให้เขาหยุดสวดทันที "อย่าสวดแบบนี้อีก มันเป็นบทสวดของพวกคาทอลิกที่งมงาย
และบูชา"มารีย์"เทียบเท่าพระเจ้า" (เหลือบตามองบนทุกครั้งที่ได้ยินแบบนี้!!...พณัชฤทัย)
หลังจากนั้นเด็กน้อยก็ไม่ได้สวดอีกเลย แต่ใช้เวลามากขึ้นในการอ่านพระคัมภีร์
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้อ่านถึงช่วงที่ทูตสวรรค์แจ้งข่าวแด่พระนางมารีย์ เขารีบวิ่งไปหามารดา
ของเขาด้วยความยินดี "แม่ครับ นี่ไง ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพระนางมารีย์ด้วย...จงยินดีเถิด
ท่านผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน พระเจ้าสถิตกับท่าน ท่านได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ...
แล้วทำไม แม่ถึงบอกว่าเป็นบทสวดที่งมงายล่ะครับ?"
หลังจากนั้นแฟรงค์ก็กลับมาสวดสายประคำทุกวันดังเดิม
เมื่ออายุได้ 14 ปี แฟรงค์ก็เปลี่ยนมานับถือนิกายคาทอลิก ซึ่งเป็นเรื่องที่ครอบครัวของเขารับไม่ได้
2-3 ปีหลังจากนั้นแผนการณ์ของพระเจ้าก็เริ่มขึ้น กล่าวคือลูกของพี่สาวแฟรงค์ได้ป่วยหนัก แพทย์
แจ้งว่า "#ความหวังที่จะรักษาไม่มีเลย"
เมื่อแฟรงค์ทราบข่าวจึงรีบไปที่โรงพยาบาลและชักชวนให้เธอสวดสายประคำพร้อมกับเขา และเธอ
ต้องสัญญากับพระเจ้าว่าถ้าลูกของเธอหายป่วย เธอจะเรียนคำสอนของคาทอลิก ซึ่งเธอรับปากทันที
วันรุ่งขึ้น #อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ลูกของพี่สาวแฟรงค์มีอาการดีขึ้นโดยที่แพทย์ไม่สามารถอธิบายได้
เธอจึงได้เริ่มเรียนคำสอนและเข้าพิธีล้างบาปเป็นคาทอลิกในที่สุด
ในท้ายบทความที่เล่าโดย คพ.ฟรังซิส แฟรงค์ ตั๊กเวลล์ กล่าวว่า "พี่น้องที่รัก เด็กชายโปรแตสแตนท์
คนนั้นที่ได้เปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก และได้ช่วยพี่สาวของเขากลับใจด้วยนั้น บัดนี้เขาได้เป็นพระสงฆ์ผู้ที่
กำลังพูดอยู่ต่อหน้าทุกท่านในเวลานี้
"พี่น้องครับ อย่าปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปโดยไม่ได้สวดสายประคำ
จงวอนขอพระนางมารีย์ได้โปรดประทานแสงสว่างลงในหัวใจของพี่น้องโปรแตสแตนท์
ให้พวกเขารู้ว่า #คาทอลิกคือคริสต์ศาสนาที่แท้จริง"
วันทามารีย์...ช่วยวิงวอนเทอญ
แฟรงค์...เด็กน้อยชาวโปรแตสแตนท์วัย 5 ขวบ ได้ยินเพื่อนของเขาที่เป็นคาทอลิกสวดบท
"วันทามารีย์"ทุกวัน ทำให้เขาประทับใจและสวดตามบ้าง แต่เมื่อมารดาของเด็กน้อยทราบ
เธอได้สั่งให้เขาหยุดสวดทันที "อย่าสวดแบบนี้อีก มันเป็นบทสวดของพวกคาทอลิกที่งมงาย
และบูชา"มารีย์"เทียบเท่าพระเจ้า" (เหลือบตามองบนทุกครั้งที่ได้ยินแบบนี้!!...พณัชฤทัย)
หลังจากนั้นเด็กน้อยก็ไม่ได้สวดอีกเลย แต่ใช้เวลามากขึ้นในการอ่านพระคัมภีร์
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้อ่านถึงช่วงที่ทูตสวรรค์แจ้งข่าวแด่พระนางมารีย์ เขารีบวิ่งไปหามารดา
ของเขาด้วยความยินดี "แม่ครับ นี่ไง ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพระนางมารีย์ด้วย...จงยินดีเถิด
ท่านผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน พระเจ้าสถิตกับท่าน ท่านได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ...
แล้วทำไม แม่ถึงบอกว่าเป็นบทสวดที่งมงายล่ะครับ?"
หลังจากนั้นแฟรงค์ก็กลับมาสวดสายประคำทุกวันดังเดิม
เมื่ออายุได้ 14 ปี แฟรงค์ก็เปลี่ยนมานับถือนิกายคาทอลิก ซึ่งเป็นเรื่องที่ครอบครัวของเขารับไม่ได้
2-3 ปีหลังจากนั้นแผนการณ์ของพระเจ้าก็เริ่มขึ้น กล่าวคือลูกของพี่สาวแฟรงค์ได้ป่วยหนัก แพทย์
แจ้งว่า "#ความหวังที่จะรักษาไม่มีเลย"
เมื่อแฟรงค์ทราบข่าวจึงรีบไปที่โรงพยาบาลและชักชวนให้เธอสวดสายประคำพร้อมกับเขา และเธอ
ต้องสัญญากับพระเจ้าว่าถ้าลูกของเธอหายป่วย เธอจะเรียนคำสอนของคาทอลิก ซึ่งเธอรับปากทันที
วันรุ่งขึ้น #อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ลูกของพี่สาวแฟรงค์มีอาการดีขึ้นโดยที่แพทย์ไม่สามารถอธิบายได้
เธอจึงได้เริ่มเรียนคำสอนและเข้าพิธีล้างบาปเป็นคาทอลิกในที่สุด
ในท้ายบทความที่เล่าโดย คพ.ฟรังซิส แฟรงค์ ตั๊กเวลล์ กล่าวว่า "พี่น้องที่รัก เด็กชายโปรแตสแตนท์
คนนั้นที่ได้เปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก และได้ช่วยพี่สาวของเขากลับใจด้วยนั้น บัดนี้เขาได้เป็นพระสงฆ์ผู้ที่
กำลังพูดอยู่ต่อหน้าทุกท่านในเวลานี้
"พี่น้องครับ อย่าปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปโดยไม่ได้สวดสายประคำ
จงวอนขอพระนางมารีย์ได้โปรดประทานแสงสว่างลงในหัวใจของพี่น้องโปรแตสแตนท์
ให้พวกเขารู้ว่า #คาทอลิกคือคริสต์ศาสนาที่แท้จริง"
วันทามารีย์...ช่วยวิงวอนเทอญ