ถามความเห็นครับว่าชาวคาทอลิกคิดยังไง
ถ้าเกิดว่าไปแอบชอบผู้หญิงคนนึงแต่ตอนคบกันแรกๆไม่รู้ว่าเค้าเป็นคริสเตียนแล้วเธอคนนั้นบังคับให้เข้าคริสเตียนตอนก่อนแต่งแบบทันทีทันใดจะทำยังไงครับ(แบบถ้าไม่เข้าคริสเตียนแล้วไม่รักเรายังไงก็ไม่ยอมแต่งอะไรประมาณนั้น)
ถ้าแต่งแบบต่างคนต่างถือแล้วมีวิธีอยู่กันยังไงไม่ให้บ้านแตกเพราะเถียงกันเรื่องความเชื่อเรื่องนักบุญ+แม่พระ
ขอโทษชาวคริสเตียนนะครับถ้าไม่พอใจ
ถ้าแต่งแบบต่างคนต่างถือแล้วมีวิธีอยู่กันยังไงไม่ให้บ้านแตกเพราะเถียงกันเรื่องความเชื่อเรื่องนักบุญ+แม่พระ
ขอโทษชาวคริสเตียนนะครับถ้าไม่พอใจ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ก็อยู่ที่เราว่า จะเลือกผู้หญิง หรือ จะเลือกความเชื่อของเรา 
แต่พี่คิดว่า เรื่องนี้มันคุยกันได้อ่ะน้อง ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่

แต่พี่คิดว่า เรื่องนี้มันคุยกันได้อ่ะน้อง ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่
คนรักกัน ถ้ายอมรับความแตกต่างของกันและกันไม่ได้ จะเรียกว่ารักอีกหรือ?
ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องนี้ เราต่างก็มีพระเดียวกัน ไม่ใช่คนละศาสนาซะหน่อย คุยกันได้ง่ายกว่าคนละศาสนาตั้งเยอะ
กลับไปตกลงกันด้วยความเข้าใจ ฉันเข้าใจเธอว่าเธอรักพระแบบนี้ และ เธอเข้าใจฉันว่าฉันรักพระแบบนี้
ความประนีประนอมยังใช้ได้ผลอยู่เสมอนะ สู้ ๆ ครับ
ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องนี้ เราต่างก็มีพระเดียวกัน ไม่ใช่คนละศาสนาซะหน่อย คุยกันได้ง่ายกว่าคนละศาสนาตั้งเยอะ
กลับไปตกลงกันด้วยความเข้าใจ ฉันเข้าใจเธอว่าเธอรักพระแบบนี้ และ เธอเข้าใจฉันว่าฉันรักพระแบบนี้
ความประนีประนอมยังใช้ได้ผลอยู่เสมอนะ สู้ ๆ ครับ

ขอโทษนะครับคุณ :+:S.PAULVS:+: คุณอาจจะเจาะจงถามพี่น้องคาทอลิกนะครับ ผมเป็นคริสเตียนเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันเลยขอแสดงความคิดเห็นหวังว่าจะไม่ว่าอะไรผมนะครับ
เรื่องของผมคล้ายคลึงกับของคุณอย่างมาก กระทู้นี้ผมเพิ่งตั้งเมื่อเดือนที่แล้วเองครับ แต่ปัญหาเกิดมานานแล้ว แต่ และเพิ่งแก้ได้เมื่อวานครับ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=5101.0
ในฐานะที่ผมเป็นคริสเตียน คนอื่นอาจจะไม่พอใจรึไม่ผมไม่รู้ แต่สำหรับผมคิดว่าที่คุณถามถูกต้องแล้วครับ เราต้องถาม เพราะถ้าคุณแต่งไปแล้ว เกิดปัญหาขึ้นแล้วถึงตอนนั้นจะมาถามก็สายไปแล้วครับ จากกระทู้ของคุณ คุณบอกว่าเธอบังคับคุณหรือครับ ตามความเห็นของผม เธอผู้นั้นคงไม่มีเจตนาที่จะบังคับคุณหรอกครับ เพราะเรื่องของความเชื่อนั้น ไม่มีใครบังคับใครได้ โดยเฉพาะคริสเตียนแล้ว เราถือว่าอยู่ที่เจ้าตัวเองกับพระเจ้าครับว่าเชื่อหรือไม่แค่ไหน ไม่เกี่ยวกับแรงจูงใจของคนอื่นครับ แต่ผมเข้าใจว่าเธออาจจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากให้คุณรักพระเจ้าแบบที่เธอรัก เรื่องนี้ผมเข้าใจดีครับ (เหมือนที่ผมแสดงออกกับแฟนผมตอนแรกจนเราเกือบจะทะเลาะกัน สุดท้ายเธอก็เข้าใจว่าผมรักเธอ)ผมอยากบอกคุณว่าอย่าไปโทษเธอเลยครับ
ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นข้อขัดขวางจริงๆที่มีไว้ในพระคัมภีร์นะครับ สำหรับเรื่องการเทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อ ในตอนแรกผมคิดว่าคริสตังกับคริสเตียนต่างก็เป็นผู้เชื่อในพระเยซูเหมือนกันน่าจะไม่เข้าข่ายเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ แต่เมื่อศึกษาพระวจนะตอนนี้ (2 คร.6:14)ดีๆแล้วจะรู้ว่า จุดประสงค์ของพระคำตอนนี้คือ ไม่ต้องการให้ครอบครัวมีปัญหา แต่ต้องการให้มีความเป็นเอกภาพครับ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคิดถึงลูกๆในอนาคต เด็กๆต้องการบรรยากาศแห่งความรักในวันอาทิตย์ที่ครอบครัวไปนมัสการพระเจ้าพร้อมกันที่โบสถ์เดียวกันนะครับ และเด็กต้องการรับการเสริมสร้างอย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกฝังความเชื่อ ในทุกสัปดาห์ ไม่ใช่เฉพาะปิดเทอมใหญ่เน้น เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นก็ต้องเข้าโรงเรียน ถ้าเรารอให้ปิดเทอมถึงจับให้เรียนทีผมว่าระหว่างนั้นเด็กอาจเจออะไรที่ร.ร.ที่ทำให้ห่างจากทางของพระเจ้าได้ครับ และลองคิดดูสิครับว่าถ้าพาไปทั้งสองโบสถ์ที่สอนคนละอย่างกันจะเป็นอย่างไร ก็จะเกิดความสับสนกับความเชื่อของเด็กได้จริงไหมครับ?
สิ่งสำคัญเราต้องไม่ยึดแต่ตัวเองเป็นหลักครับ ไม่ใช่ว่าอยากจะแต่งเพราะรักเท่านั้น ต้องคิดถึงวันข้างหน้า อย่าให้ลูกมาตั้งคำถามได้ว่า วันอาทิตย์แม่(หรือพ่อ)ไปไหน ทำไมไม่มากับเรา
ลองนึกภาพสิครับถ้าวัวสองตัวที่เทียมแอกเดียวกัน แต่เดินกันไปคนละทาง จะรู้สึกอย่างไร แน่นอนครับ ทั้งคู่จะรู้สึกอึดอัดและอยากจะปลดแอกเต็มที นี่แหละครับต้นเหตุของการหย่าร้าง
ผมว่าทั้งคุณ แฟนคุณ ผม แฟนผม ต่างก็โชคดีนะครับ ที่ได้ผู้มั่นคงในความเชื่อที่ไม่ยอมนอกกฎของพระเจ้าเพียงเพราะอยากแต่งงาน แบบนี้สิครับรักจริง
ผมเคยเห็นมามากแล้วพวกที่เพียงเพื่อต้องการตัวฝ่ายตรงข้าม ถึงกับยอมทิ้งความเชื่อของตัวเอง พวกนี้ไม่ยั่งยืนครับ เดียวพอแต่งไปแล้วไม่นานก็จะเลิกเชื่อ แต่ถ้าเธอ(หรือเขา)ได้เรียนรู้จักความเชื่อที่แท้จริงและสมัครใจเปลี่ยนเอง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเรื่องแต่งงาน แบบนี้ น่ายินดีครับ
สำหรับผมก.พ.นี้จะแต่งแล้วครับ ว่าที่ภรรยาผมอีโก้สูงมาก ทีแรกเธอไม่ยอมครับ แต่หลังจากผมให้เวลาเธอในการศึกษาความเชื่อของผมอย่างถี่ถ้วน ให้เธอได้สัมผัสด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันผมก็ศึกษาทางของเธอด้วย เวลานี้เธอพร้อมแล้วสำหรับความเชื่อใหม่ครับ เธอให้เหตุผลหลายๆอย่าง(ไม่ใช่เพราะอยากแต่ง)และอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจคือว่า ผมสามารถปลุกฝังลูกๆครอบครัวให้มั่นคงทางความเชื่อได้ดีกว่าตัวเธอครับ
อย่าเครียดนะครับ ผมตอนแรกก็เครียด ผมแนะนำว่าลองให้เวลาแก่กันและกัน ไปศึกษาดูที่โบสถ์ของเธอสักหลายๆเดือน นานๆหน่อย และให้เธอลองมาศึกษาของคุณสักหลายๆเดือน นานๆ เหมือนกัน แล้วถามตัวเองดูว่าระหว่างคุณกับแฟนใครสามารถปลูกฝังความเชื่อให้ครอบครัวได้ดีกว่ากันครับ
จะแต่งเมื่อไร กำหนดวันแต่งกันรึยังครับ ผมว่าถ้าคุณยังกังวลอยู่นะครับก็อย่าเพิ่งแต่งดีกว่า ให้เวลากันมากกว่านี้อีกหน่อย ยังไม่ต้องรีบนะก็ได้ครับ ใจเย็นๆ
ปล.ของผมจะแต่งวันวาเลนไทน์นี้แล้วคร๊าบบบบบบบบบบ

http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=5101.0
ในฐานะที่ผมเป็นคริสเตียน คนอื่นอาจจะไม่พอใจรึไม่ผมไม่รู้ แต่สำหรับผมคิดว่าที่คุณถามถูกต้องแล้วครับ เราต้องถาม เพราะถ้าคุณแต่งไปแล้ว เกิดปัญหาขึ้นแล้วถึงตอนนั้นจะมาถามก็สายไปแล้วครับ จากกระทู้ของคุณ คุณบอกว่าเธอบังคับคุณหรือครับ ตามความเห็นของผม เธอผู้นั้นคงไม่มีเจตนาที่จะบังคับคุณหรอกครับ เพราะเรื่องของความเชื่อนั้น ไม่มีใครบังคับใครได้ โดยเฉพาะคริสเตียนแล้ว เราถือว่าอยู่ที่เจ้าตัวเองกับพระเจ้าครับว่าเชื่อหรือไม่แค่ไหน ไม่เกี่ยวกับแรงจูงใจของคนอื่นครับ แต่ผมเข้าใจว่าเธออาจจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากให้คุณรักพระเจ้าแบบที่เธอรัก เรื่องนี้ผมเข้าใจดีครับ (เหมือนที่ผมแสดงออกกับแฟนผมตอนแรกจนเราเกือบจะทะเลาะกัน สุดท้ายเธอก็เข้าใจว่าผมรักเธอ)ผมอยากบอกคุณว่าอย่าไปโทษเธอเลยครับ
ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นข้อขัดขวางจริงๆที่มีไว้ในพระคัมภีร์นะครับ สำหรับเรื่องการเทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อ ในตอนแรกผมคิดว่าคริสตังกับคริสเตียนต่างก็เป็นผู้เชื่อในพระเยซูเหมือนกันน่าจะไม่เข้าข่ายเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ แต่เมื่อศึกษาพระวจนะตอนนี้ (2 คร.6:14)ดีๆแล้วจะรู้ว่า จุดประสงค์ของพระคำตอนนี้คือ ไม่ต้องการให้ครอบครัวมีปัญหา แต่ต้องการให้มีความเป็นเอกภาพครับ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคิดถึงลูกๆในอนาคต เด็กๆต้องการบรรยากาศแห่งความรักในวันอาทิตย์ที่ครอบครัวไปนมัสการพระเจ้าพร้อมกันที่โบสถ์เดียวกันนะครับ และเด็กต้องการรับการเสริมสร้างอย่างต่อเนื่องเพื่อปลูกฝังความเชื่อ ในทุกสัปดาห์ ไม่ใช่เฉพาะปิดเทอมใหญ่เน้น เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นก็ต้องเข้าโรงเรียน ถ้าเรารอให้ปิดเทอมถึงจับให้เรียนทีผมว่าระหว่างนั้นเด็กอาจเจออะไรที่ร.ร.ที่ทำให้ห่างจากทางของพระเจ้าได้ครับ และลองคิดดูสิครับว่าถ้าพาไปทั้งสองโบสถ์ที่สอนคนละอย่างกันจะเป็นอย่างไร ก็จะเกิดความสับสนกับความเชื่อของเด็กได้จริงไหมครับ?
สิ่งสำคัญเราต้องไม่ยึดแต่ตัวเองเป็นหลักครับ ไม่ใช่ว่าอยากจะแต่งเพราะรักเท่านั้น ต้องคิดถึงวันข้างหน้า อย่าให้ลูกมาตั้งคำถามได้ว่า วันอาทิตย์แม่(หรือพ่อ)ไปไหน ทำไมไม่มากับเรา
ลองนึกภาพสิครับถ้าวัวสองตัวที่เทียมแอกเดียวกัน แต่เดินกันไปคนละทาง จะรู้สึกอย่างไร แน่นอนครับ ทั้งคู่จะรู้สึกอึดอัดและอยากจะปลดแอกเต็มที นี่แหละครับต้นเหตุของการหย่าร้าง
ผมว่าทั้งคุณ แฟนคุณ ผม แฟนผม ต่างก็โชคดีนะครับ ที่ได้ผู้มั่นคงในความเชื่อที่ไม่ยอมนอกกฎของพระเจ้าเพียงเพราะอยากแต่งงาน แบบนี้สิครับรักจริง
ผมเคยเห็นมามากแล้วพวกที่เพียงเพื่อต้องการตัวฝ่ายตรงข้าม ถึงกับยอมทิ้งความเชื่อของตัวเอง พวกนี้ไม่ยั่งยืนครับ เดียวพอแต่งไปแล้วไม่นานก็จะเลิกเชื่อ แต่ถ้าเธอ(หรือเขา)ได้เรียนรู้จักความเชื่อที่แท้จริงและสมัครใจเปลี่ยนเอง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเรื่องแต่งงาน แบบนี้ น่ายินดีครับ
สำหรับผมก.พ.นี้จะแต่งแล้วครับ ว่าที่ภรรยาผมอีโก้สูงมาก ทีแรกเธอไม่ยอมครับ แต่หลังจากผมให้เวลาเธอในการศึกษาความเชื่อของผมอย่างถี่ถ้วน ให้เธอได้สัมผัสด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันผมก็ศึกษาทางของเธอด้วย เวลานี้เธอพร้อมแล้วสำหรับความเชื่อใหม่ครับ เธอให้เหตุผลหลายๆอย่าง(ไม่ใช่เพราะอยากแต่ง)และอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจคือว่า ผมสามารถปลุกฝังลูกๆครอบครัวให้มั่นคงทางความเชื่อได้ดีกว่าตัวเธอครับ
อย่าเครียดนะครับ ผมตอนแรกก็เครียด ผมแนะนำว่าลองให้เวลาแก่กันและกัน ไปศึกษาดูที่โบสถ์ของเธอสักหลายๆเดือน นานๆหน่อย และให้เธอลองมาศึกษาของคุณสักหลายๆเดือน นานๆ เหมือนกัน แล้วถามตัวเองดูว่าระหว่างคุณกับแฟนใครสามารถปลูกฝังความเชื่อให้ครอบครัวได้ดีกว่ากันครับ
จะแต่งเมื่อไร กำหนดวันแต่งกันรึยังครับ ผมว่าถ้าคุณยังกังวลอยู่นะครับก็อย่าเพิ่งแต่งดีกว่า ให้เวลากันมากกว่านี้อีกหน่อย ยังไม่ต้องรีบนะก็ได้ครับ ใจเย็นๆ
ปล.ของผมจะแต่งวันวาเลนไทน์นี้แล้วคร๊าบบบบบบบบบบ

แก้ไขล่าสุดโดย วรวุฒิ774 เมื่อ อาทิตย์ ธ.ค. 31, 2006 8:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เอ ทำไมบ้านเราไม่ยักมีปัญหาหว่า
ผมเองเป็นผลผลิตจากการที่พ่อโปรแตสแตนท์ และแม่คาทอลิค เป็นผลที่เกิดจากเอกสัมพันธ์ระหว่างนิกายอย่างแท้จริง จากพ่อแม่ผู้ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นวัวที่เดินคนละทางกัน และผมเคยไปโบสถ์โปรแตสแตนท์กับพ่อหลายครั้ง ผมไม่เคยสับสนในความเชื่อเลย เพราะพ่อแม่อธิบายความแตกต่างและเราเข้าใจได้ และทำให้ผมสามารถยอมรับการร่วมกัน ของแก่นแท้ โดยมองข้ามความแตกต่างของเปลือก และได้สัมผัสว่า พระเจ้าคือความรักนี่นะ พระเจ้าไม่ใช่วิธีการซะหน่อย
แต่ครั้งแรกที่เกิดปัญหา กลับมาจาก "คนอื่น" ซึ่งปรารถนาดี อยากจะยกครอบครัวผมทั้งครอบครัวไปที่คริสตจักรตัวเอง และมานั่งด่าคาทอลิคว่าสอนผิดจะตกนรก และคริสตจักรอื่นก็ไม่ถูกเท่าของเขา ต้องมาเข้าของเขาที่สามารถพูดภาษาแปลกๆได้ทั้งโบสถ์จึงจะรอด สุดท้ายพ่อผมก็บอกว่า อย่าไปสนใจ ศาสนาไม่ใช่เรื่องบังคับกัน แล้วครอบครัวเราก็ดำเนินชีวิตกันแบบเดิม ชนิดที่ว่า คนต่างศาสนายังยอมรับว่าพ่อแม่ผมเป็นคู่ตัวอย่างที่รักกันมาก เพราะขนาดคนแอกเดียวกันหลายๆคู่มันยังไปไม่รอดต่อหน้าผมบ่อยๆ มันเป็นการบ่งบอกว่า ถ้าคุณจะเป็นคริสเตียนหรือคริสตังทั้งบ้าน แต่มีพระเจ้าแค่ชื่อแล้วไม่สามารถเอามาใช้ในชีวิตครอบครัวให้บังเกิดผลได้ มันก็สามารถล่มสลายกว่าบางบ้านที่เขามีคริสตชนแค่ฝ่ายเดียวแต่สามารถเข้มแข็งพาลูกไปทางพระเจ้าตลอดรอดฝั่งได้ครับ
ส่วนตัวผมมองว่า ให้ลูกถือตามคนที่ศรัทธาเข้มแข็งสูงที่สุดในบ้านครับ เพราะคนนั้นจะสามารถอบรมลูกในกรอบของพระเจ้าไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะจะเป็นคริสเตียนหรือคริสตัง ก็ยังดีกว่าทิ้งพระทีหลังครับ
ผมเองเป็นผลผลิตจากการที่พ่อโปรแตสแตนท์ และแม่คาทอลิค เป็นผลที่เกิดจากเอกสัมพันธ์ระหว่างนิกายอย่างแท้จริง จากพ่อแม่ผู้ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นวัวที่เดินคนละทางกัน และผมเคยไปโบสถ์โปรแตสแตนท์กับพ่อหลายครั้ง ผมไม่เคยสับสนในความเชื่อเลย เพราะพ่อแม่อธิบายความแตกต่างและเราเข้าใจได้ และทำให้ผมสามารถยอมรับการร่วมกัน ของแก่นแท้ โดยมองข้ามความแตกต่างของเปลือก และได้สัมผัสว่า พระเจ้าคือความรักนี่นะ พระเจ้าไม่ใช่วิธีการซะหน่อย
แต่ครั้งแรกที่เกิดปัญหา กลับมาจาก "คนอื่น" ซึ่งปรารถนาดี อยากจะยกครอบครัวผมทั้งครอบครัวไปที่คริสตจักรตัวเอง และมานั่งด่าคาทอลิคว่าสอนผิดจะตกนรก และคริสตจักรอื่นก็ไม่ถูกเท่าของเขา ต้องมาเข้าของเขาที่สามารถพูดภาษาแปลกๆได้ทั้งโบสถ์จึงจะรอด สุดท้ายพ่อผมก็บอกว่า อย่าไปสนใจ ศาสนาไม่ใช่เรื่องบังคับกัน แล้วครอบครัวเราก็ดำเนินชีวิตกันแบบเดิม ชนิดที่ว่า คนต่างศาสนายังยอมรับว่าพ่อแม่ผมเป็นคู่ตัวอย่างที่รักกันมาก เพราะขนาดคนแอกเดียวกันหลายๆคู่มันยังไปไม่รอดต่อหน้าผมบ่อยๆ มันเป็นการบ่งบอกว่า ถ้าคุณจะเป็นคริสเตียนหรือคริสตังทั้งบ้าน แต่มีพระเจ้าแค่ชื่อแล้วไม่สามารถเอามาใช้ในชีวิตครอบครัวให้บังเกิดผลได้ มันก็สามารถล่มสลายกว่าบางบ้านที่เขามีคริสตชนแค่ฝ่ายเดียวแต่สามารถเข้มแข็งพาลูกไปทางพระเจ้าตลอดรอดฝั่งได้ครับ
ส่วนตัวผมมองว่า ให้ลูกถือตามคนที่ศรัทธาเข้มแข็งสูงที่สุดในบ้านครับ เพราะคนนั้นจะสามารถอบรมลูกในกรอบของพระเจ้าไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะจะเป็นคริสเตียนหรือคริสตัง ก็ยังดีกว่าทิ้งพระทีหลังครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อาทิตย์ ธ.ค. 31, 2006 8:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ใช่ครับ มีความรู้สึกชอบสาวคริสเตียนที่ละเล็กๆน้อยๆในตอนนี้Holy เขียน: พระอาจมีแผนการในการปราบอคติของแตง
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เอาน่าครับ เรื่องของเรื่องก็คือต้องให้ความรักที่มีต่อกันยิ่งใหญ่กว่าการที่จะมองว่าต่างศาสนาแต่งงานกันไม่ได้นะครับbigect07 เขียน: ผมว่า ไม่ต้องเอาหรอกครับ ผู้หญิงพุทธ เค้ายังไม่เรื่องมากเลย หาใหม่ดีกว่ากันแยะ ถ้าเค้ายอมรับความแตกต่างแค่นี้ไม่ได้ ต่อไป อยู่กินกัน รับรอง เจ้ง

จขกท. อย่ามัวแต่ห่วงสาวจนลืมเรียนนะครับ เห็นว่าปีหนึ่งด้วย สู้ ๆ
