++ กลับไปหาพ่อกันเถอะ ++
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
กลับไปหาพ่อกันเถอะ
โดย:โปรดปราน ( พีพี )
พระเยซูเจ้านับว่าเป็นบรมครูในการสอน การสอนของพระองค์ที่ได้ผลดีที่สุดคือการเล่าเรื่อง วิธีการเล่าเรื่องของพระองค์ก็ได้ยกตัวอย่างให้ผู้ฟังเห็นจริงเห็นจังไปด้วย วิธีการของพระองค์ยังคงได้ผลจนทุกวันนี้ จึงเรียกได้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นบิดาแห่งการเล่าเรื่อง จากเรื่องเล่านี้ทำให้ผู้ฟังค้นพบความจริงว่าเขาควรปฏิบัติอย่างไร และการเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงใช้คือ คำอุปมา
จึงขอนำคำอุปมาบุตรน้อยที่หลงหาย ( ลูกล้างผลาญ / ดู ลูกา 15:11-32 )มาเป็นบทเรียนของเรา ภาพลูกล้างผลาญ เราจะเห็นภาพของคนที่ได้หลงหรือแยกทางไปจากพระเจ้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบคือคริสตชนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว แต่ยังเลือกที่จะไปตามทางของตนเอง หรือจะหมายถึงคนที่ยังไม่ได้รับความรอดโดยพระเยซูคริสต์
จากคำอุปมาลูกล้างผลาญนี้เราจะเรียนรู้ด้วยกันดังนี้
1.ทำไม เขา(เรา)จึงหลงไป
ในเรื่องนี้ลูกล้างผลาญ เขาได้เลือกที่จะหลงไปจากพระเจ้าด้วยตัวเอง “บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า"คุณพ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด" บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน (ข้อ 12 )อุปมาในพระวรสารลูกาบทที่ 15 นี้ มีของหายอยู่ 3 อย่าง คือ แกะหลงหาย เหรียญหาย และบุตรน้อยที่หลงหาย (ลูกล้างผลาญ) แกะกับเหรียญมันไม่ได้เลือกที่จะหลงไป แต่ลูกชายคนนี้ตั้งใจจะจากพ่อไป เพราะเขาได้เข้าไปหาบิดา และขอแบ่งทรัพย์สมบัติในขณะที่เวลาไม่สมควร นั่นเพราะเขาตัดสินใจไปจากพ่อ เขาคิดว่าคงมีหนทางที่ดีกว่า เขาโตแล้วปีกกล้าขาแข็ง ไม่ต้องการพ่ออีกแล้ว ซึ่งเช่นเดียวกับคริสตชนเป็นจำนวนมาก เมื่อรู้สึกว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็ง ก็จะหนีหรือออกไปจากพระเจ้า คิดว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เขาสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง และที่สุดเขาแยกตัวออกไปไม่ยุ่งกับเพื่อนชาวคริสต์ ไม่ไปวัดหรือโบสถ์ เมื่อพระสงฆ์ ศิษยาภิบาลหรือใครไปเยี่ยมหนุนใจก็ไม่พอใจ มีข้อแก้ตัวมากมาย และบางราย ก็แสดงอาการเกรี้ยวกราด หงุดหงิดต่อคนที่ไปจู้จี้ชวนเขาไปหาพระบิดาเจ้า เพราะพวกเขาตัดสินใจจากพระบิดาไปเพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองโตแล้ว ดูแลตัวเองได้
ตามธรรมเนียมของยิวยุคนั้น ลูกๆ สามารถแยกจากพ่อไปได้ เมื่อพ่อเสียชีวิตแล้ว การแบ่งสมบัตินั้น ถ้ามีลูกชายแค่ 2 คน 2ใน 3 จะเป็นของลูกชายคนโต 1ใน 3 คนเล็ก (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 21:17) ลูกหัวปีจะได้ 2 เท่า เพราะเขาเป็นต้นกำลังของบิดา แต่ในเรื่องนี้ลูกชายคนเล็ก อ้างสิทธิต่อบิดาว่า “คุณพ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด” ความบาปเกิดขึ้นในจิตใจบุตรแล้ว เหมือนกับพวกเราคริสตชน บ่อย ครั้ง ออกคำสั่งกับพระเจ้าว่า “ให้ทำนั่นสิ ทำอย่างโน้นสิ” คนที่ฟุ่มเฟือยจะเห็นว่าทรัพย์สินจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างให้แก่เขา “จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย” (ลูกา 12:15)
2.ขาดที่พึ่ง ( ลูกา 15:13-16 )
เมื่อคริสตชนคนหนึ่งหนีไปจากพระเจ้า แล้วจะประสบกับความทุกข์ลำบากนาๆ ประการ โดยเฉพาะด้านจิตใจขาดความมั่นใจ ขาดที่พึ่ง สังเกตในเรื่องนี้ จากหนุ่มเจ้าสำราญ เมื่อเขาได้ทรัพย์สมบัติตามปรารถนาแล้ว เขาก็หอบทรัพย์สินของพ่อแม่ไปเมืองไกล แล้วผลาญทรัพย์ของตนโดยใช้ชีวิตเสเพล เขาทำเพื่อให้ตัวเองพอใจเท่านั้น ไม่ได้เห็นคุณค่าของผู้อื่น ทรัพย์สินที่เขาไม่ได้หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ก็จะเผาผลาญอย่างสะดวกสบาย ไม่เคยเห็นคุณค่าของทรัพย์สมบัตินั้น ซึ่งปัจจุบัน พวกเราเองก็จะพบเห็นภาพนี้บ่อย เช่นกัน คือพ่อแม่หาเงิน ส่วนลูกๆก็ล้างผลาญ น้ำพักน้ำแรงของบุพการี
ฉันรับฟังคำปรารภ หรือความทุกข์ใจของบรรดาพ่อแม่ ที่มีลูกวัยรุ่น วัยวุ่นในทำนองนี้เสมอๆ ฟังจากน้ำเสียงของพ่อแม่เล่า เรื่อง ลูกๆของพวกเขาช่างเป็นบุตรล้างผลาญยุคดิจิตอลแท้ๆ ลูกๆตกเป็นทาสของวัตถุ หรือที่เรียกว่า เป็นเด็กยุคบริโภคนิยม เห็นแก่กินแก่เที่ยว ปล่อยตัวปล่อยใจ ชอบทำเรื่องที่ไม่เป็นแก่นสาร เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นนำเด็กห่างออกจากเส้นทางของพระเป็นเจ้าทุกที พวกเขาใช้เงินเหมือนพิมพ์ธนบัตรได้เอง เป็นเด็กอ่อนไหว ( sensitive ) เกินเหตุ เมื่อถูกตักเตือน ก็รับไม่ได้ โวยวายต่อว่าพ่อแม่ไม่รัก ไม่เข้าใจพวกเขา เป็นต้น ฉันชักห่วงประเทศไทย และสังคมเหลือเกิน เพราะเรามีเด็กประเภทลูกล้างผลาญล้นบ้านเกลื่อนเมือง ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะดูแลประเทศไทยและสังคมกันอย่างไร
กลับมาที่บุตรล้างผลาญคนนี้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเขาอ่อนปวกเปียกไป และพระวรสารบอกว่าพอดีเมื่อเขาสิ้นเนื้อประดาตัว แผ่นดินที่เขาไปอาศัยอยู่ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนัก เขาเริ่มขัดสน ดังนั้นจึงรับจ้างชาวเมืองเลี้ยงหมู ตามธรรมเนียม คนยิวแล้ว ใครต้องไปเลี้ยงหมูนั้นน่าอายมาก หรือแม้แต่ติดต่อกับคนเลี้ยงหมู ขณะนี้ลูกเศรษฐีกลายเป็นยาจก และไม่มีใครเหลียวมอง ฉันคิดถึงภาษิตที่เราเคยพูดเล่นๆว่า “เมื่อหมดเงิน หมู หมาไม่มามอง” คือถึงตอนนี้ไม่มีใคร เคารพนับถือเขาอีกแล้ว คุณค่าของเขาคือเด็กเลี้ยงหมูเท่านั้น
โดย:โปรดปราน ( พีพี )
พระเยซูเจ้านับว่าเป็นบรมครูในการสอน การสอนของพระองค์ที่ได้ผลดีที่สุดคือการเล่าเรื่อง วิธีการเล่าเรื่องของพระองค์ก็ได้ยกตัวอย่างให้ผู้ฟังเห็นจริงเห็นจังไปด้วย วิธีการของพระองค์ยังคงได้ผลจนทุกวันนี้ จึงเรียกได้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นบิดาแห่งการเล่าเรื่อง จากเรื่องเล่านี้ทำให้ผู้ฟังค้นพบความจริงว่าเขาควรปฏิบัติอย่างไร และการเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงใช้คือ คำอุปมา
จึงขอนำคำอุปมาบุตรน้อยที่หลงหาย ( ลูกล้างผลาญ / ดู ลูกา 15:11-32 )มาเป็นบทเรียนของเรา ภาพลูกล้างผลาญ เราจะเห็นภาพของคนที่ได้หลงหรือแยกทางไปจากพระเจ้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบคือคริสตชนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว แต่ยังเลือกที่จะไปตามทางของตนเอง หรือจะหมายถึงคนที่ยังไม่ได้รับความรอดโดยพระเยซูคริสต์
จากคำอุปมาลูกล้างผลาญนี้เราจะเรียนรู้ด้วยกันดังนี้
1.ทำไม เขา(เรา)จึงหลงไป
ในเรื่องนี้ลูกล้างผลาญ เขาได้เลือกที่จะหลงไปจากพระเจ้าด้วยตัวเอง “บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า"คุณพ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด" บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน (ข้อ 12 )อุปมาในพระวรสารลูกาบทที่ 15 นี้ มีของหายอยู่ 3 อย่าง คือ แกะหลงหาย เหรียญหาย และบุตรน้อยที่หลงหาย (ลูกล้างผลาญ) แกะกับเหรียญมันไม่ได้เลือกที่จะหลงไป แต่ลูกชายคนนี้ตั้งใจจะจากพ่อไป เพราะเขาได้เข้าไปหาบิดา และขอแบ่งทรัพย์สมบัติในขณะที่เวลาไม่สมควร นั่นเพราะเขาตัดสินใจไปจากพ่อ เขาคิดว่าคงมีหนทางที่ดีกว่า เขาโตแล้วปีกกล้าขาแข็ง ไม่ต้องการพ่ออีกแล้ว ซึ่งเช่นเดียวกับคริสตชนเป็นจำนวนมาก เมื่อรู้สึกว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็ง ก็จะหนีหรือออกไปจากพระเจ้า คิดว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เขาสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง และที่สุดเขาแยกตัวออกไปไม่ยุ่งกับเพื่อนชาวคริสต์ ไม่ไปวัดหรือโบสถ์ เมื่อพระสงฆ์ ศิษยาภิบาลหรือใครไปเยี่ยมหนุนใจก็ไม่พอใจ มีข้อแก้ตัวมากมาย และบางราย ก็แสดงอาการเกรี้ยวกราด หงุดหงิดต่อคนที่ไปจู้จี้ชวนเขาไปหาพระบิดาเจ้า เพราะพวกเขาตัดสินใจจากพระบิดาไปเพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองโตแล้ว ดูแลตัวเองได้
ตามธรรมเนียมของยิวยุคนั้น ลูกๆ สามารถแยกจากพ่อไปได้ เมื่อพ่อเสียชีวิตแล้ว การแบ่งสมบัตินั้น ถ้ามีลูกชายแค่ 2 คน 2ใน 3 จะเป็นของลูกชายคนโต 1ใน 3 คนเล็ก (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 21:17) ลูกหัวปีจะได้ 2 เท่า เพราะเขาเป็นต้นกำลังของบิดา แต่ในเรื่องนี้ลูกชายคนเล็ก อ้างสิทธิต่อบิดาว่า “คุณพ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด” ความบาปเกิดขึ้นในจิตใจบุตรแล้ว เหมือนกับพวกเราคริสตชน บ่อย ครั้ง ออกคำสั่งกับพระเจ้าว่า “ให้ทำนั่นสิ ทำอย่างโน้นสิ” คนที่ฟุ่มเฟือยจะเห็นว่าทรัพย์สินจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างให้แก่เขา “จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย” (ลูกา 12:15)
2.ขาดที่พึ่ง ( ลูกา 15:13-16 )
เมื่อคริสตชนคนหนึ่งหนีไปจากพระเจ้า แล้วจะประสบกับความทุกข์ลำบากนาๆ ประการ โดยเฉพาะด้านจิตใจขาดความมั่นใจ ขาดที่พึ่ง สังเกตในเรื่องนี้ จากหนุ่มเจ้าสำราญ เมื่อเขาได้ทรัพย์สมบัติตามปรารถนาแล้ว เขาก็หอบทรัพย์สินของพ่อแม่ไปเมืองไกล แล้วผลาญทรัพย์ของตนโดยใช้ชีวิตเสเพล เขาทำเพื่อให้ตัวเองพอใจเท่านั้น ไม่ได้เห็นคุณค่าของผู้อื่น ทรัพย์สินที่เขาไม่ได้หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ก็จะเผาผลาญอย่างสะดวกสบาย ไม่เคยเห็นคุณค่าของทรัพย์สมบัตินั้น ซึ่งปัจจุบัน พวกเราเองก็จะพบเห็นภาพนี้บ่อย เช่นกัน คือพ่อแม่หาเงิน ส่วนลูกๆก็ล้างผลาญ น้ำพักน้ำแรงของบุพการี
ฉันรับฟังคำปรารภ หรือความทุกข์ใจของบรรดาพ่อแม่ ที่มีลูกวัยรุ่น วัยวุ่นในทำนองนี้เสมอๆ ฟังจากน้ำเสียงของพ่อแม่เล่า เรื่อง ลูกๆของพวกเขาช่างเป็นบุตรล้างผลาญยุคดิจิตอลแท้ๆ ลูกๆตกเป็นทาสของวัตถุ หรือที่เรียกว่า เป็นเด็กยุคบริโภคนิยม เห็นแก่กินแก่เที่ยว ปล่อยตัวปล่อยใจ ชอบทำเรื่องที่ไม่เป็นแก่นสาร เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นนำเด็กห่างออกจากเส้นทางของพระเป็นเจ้าทุกที พวกเขาใช้เงินเหมือนพิมพ์ธนบัตรได้เอง เป็นเด็กอ่อนไหว ( sensitive ) เกินเหตุ เมื่อถูกตักเตือน ก็รับไม่ได้ โวยวายต่อว่าพ่อแม่ไม่รัก ไม่เข้าใจพวกเขา เป็นต้น ฉันชักห่วงประเทศไทย และสังคมเหลือเกิน เพราะเรามีเด็กประเภทลูกล้างผลาญล้นบ้านเกลื่อนเมือง ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะดูแลประเทศไทยและสังคมกันอย่างไร
กลับมาที่บุตรล้างผลาญคนนี้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเขาอ่อนปวกเปียกไป และพระวรสารบอกว่าพอดีเมื่อเขาสิ้นเนื้อประดาตัว แผ่นดินที่เขาไปอาศัยอยู่ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนัก เขาเริ่มขัดสน ดังนั้นจึงรับจ้างชาวเมืองเลี้ยงหมู ตามธรรมเนียม คนยิวแล้ว ใครต้องไปเลี้ยงหมูนั้นน่าอายมาก หรือแม้แต่ติดต่อกับคนเลี้ยงหมู ขณะนี้ลูกเศรษฐีกลายเป็นยาจก และไม่มีใครเหลียวมอง ฉันคิดถึงภาษิตที่เราเคยพูดเล่นๆว่า “เมื่อหมดเงิน หมู หมาไม่มามอง” คือถึงตอนนี้ไม่มีใคร เคารพนับถือเขาอีกแล้ว คุณค่าของเขาคือเด็กเลี้ยงหมูเท่านั้น
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ เม.ย. 09, 2007 3:18 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
3.ไม่เคยสายที่จะกลับใจ
ศาสนาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนฉันว่า “การกลับใจแท้” ของคริสตชน มี 2 ขั้นตอน คือ หันหลังให้กับความผิดบาป นั่นคือมุ่งมั่นตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกแล้ว และ หันหน้าไปหาพระเจ้า หมายถึงการวางใจ และตั้งใจพึ่งพาพระเจ้าแต่ผู้เดียว ขอให้คริสตชนมีความเชื่อว่าไม่เคยสายที่จะกลับมาหาพระเจ้าเพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ดูขั้นตอนที่ลูกล้างผลาญคนนี้กลับมาหาพ่อของเขา คือ (1) เขาเห็นตัวเอง คือรู้จักตัวเองว่าขณะนี้ตัวเองจนตรอกแล้ว ต้องการความช่วยเหลือ จึงสำนึกผิดที่ทำกับพ่อ และพระเจ้า และไม่ควรวิ่งหนีอีกต่อไป (2) เมื่อเขาสำนึกแล้ว ก็รู้ว่าแหล่งแห่งความช่วยเหลือมาจากใคร มาจากบิดา เพราะลูกจ้างของบิดาที่บ้านยังอยู่ดีกินดีกว่าเขาขณะนี้ (3) การตัดสินใจ เขาได้ตัดสินใจกลับไปหาบิดาด้วยความถ่อมใจ สารภาพกับคุณพ่อว่าตัวเองผิด (4) เขารีบปฏิบัติตามที่ตัดสินใจทันทีคือมุ่งหน้ากลับบ้าน
ฉันเคยฟังคำพยานของฆราวาสสตรีคริสเตียนคนหนึ่งเล่าว่า เธอ เป็นคริสเตียน หลังแต่งงานก็ช่วยกันทำมาหากิน ฐานะดีขึ้นมาก แต่เธอไม่พอใจที่จะไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ ดังนั้นทำให้เธอหันหลังให้พระเจ้าและไปพึ่งพระที่สามีนับถือ ยิ่งกว่านั้น เธอชอบดูหมอ ชอบเล่นหวย และติดการพนัน เมื่อพี่สาวชวนไปโบสถ์วันอาทิตย์ก็อ้างว่ามีธุระ ภายหลังชีวิตก็ลุ่มๆดอน จนถึงขั้นเป็นหนี้มากมาย จุดหักเหคือมีครั้งหนึ่งเพื่อนนักธุรกิจเชิญไปงานเลี้ยงของนักธุรกิจคริสเตียน เธอได้ฟังคำเทศนาของศาสนาจารย์ เรื่องบุตรน้อยหลงหาย (คริสเตียนเรียก ) เธอจึงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมพระวาจาให้เธอแน่นอน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับไปโบสถ์ เธอได้กลับใจใหม่ ละทิ้งความบาปผิดที่เอาพระอื่นมาแทนที่พระเจ้าเธอได้คืนดีกับพระผู้สร้าง ยิ่งกว่านั้นเธอได้นำสามี และลูกๆกลับไปหาพระบิดาเจ้า
4.พระเจ้าทรงต้อนรับ(ท่าน)เรากลับเสมอ (ข้อ19-32)
เมื่อฉันอ่านพระวรสารของนักบุญลูกาตอนนี้แล้ว ก็จินตนาการเกี่ยวกับบิดาของเขา ภาพที่ได้รับคือ “พ่อ” วิ่งออกมาต้อนรับลูกล้างผลาญอย่างดีอกดีใจ ไม่ว่าลูกจะอยู่ในสถานภาพแบบไหน กลับมาเสื้อผ้าสกปรกเหมือนขอทาน แต่พ่อต้อนรับลูกไว้ในอ้อมกอดด้วยความรักโดยไม่รังเกียจ แม้แต่นิดเดียว บิดาคงมองด้วยความรักและสงสาร จากเนื้อหาพระคัมภีร์ ให้คนมองภาพตามไป ชายแก่ๆ วิ่งออกไปรับลูก ลืมความหยิ่งทะนง ลืมอายุ (สังขาร) สิ่งที่เขามีคือความดีใจที่ลูกกลับมาแล้ว พ่อสามารถทำให้ทะเลทรายกลายเป็นความหอมหวานของดอกกุหลาบ
ฉันสนใจท่าที่ของลูกชายคนเล็ก เมื่อเขาได้พบบิดา เขารู้ตัวว่าต่อไปนี้จะหยิ่งอย่างเดิมว่าเป็นลูกเศรษฐีไม่ได้ เขารู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง และแสดงการสำนึกผิด อย่างแท้จริง โดยบอกบิดาว่า (1) ลูกทำผิด(บาป) ต่อสวรรค์(พระเจ้า) และต่อบิดา (2) ลูกไม่สมควรจะเป็นลูกพ่ออีกต่อไป (3) ลูกจะขอเป็นลูกจ้างของพ่อคนหนึ่งเท่านั้น เขาพูดไม่ทันจบ ฝ่ายบิดาก็สั่งคนใช้ให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายที่กลับมา ภาพนี้เราได้เห็นว่า ผู้เป็นบิดาได้ให้อภัยบุตรชายคนเล็กนานแล้ว บิดาไม่ได้จดจำการทรยศ อกตัญญูของลูกเลย แต่บิดาได้สั่งให้เอาสิ่งที่ดีที่สุด เสื้อผ้า แก้วแหวน มาสวมใส่เขา จัดงานเพื่อชื่นชมยินดี ที่เขาได้ลูกชายกลับมาแล้ว เขาพูดว่า ลูกของเราได้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นใหม่
ถ้าไม่พูดถึงเรื่องบุตรคนโตที่กำลังหน้างอหน้าบึ้งอยู่ก็กระไรทีเดียว ผู้อ่านหลายๆคน หรือผู้เขียนเองด้วย ก็รู้สึกเห็นใจบุตรคนโต เพราะรู้สึกว่าเราเหมือนเขา เราไม่เหมือนบุตรคนเล็กที่เสเพลแน่นอน เรากำลังสมมติว่าตัวเองเหมือนบุตรที่ทำงานหนักด้วยความสัตย์ซื่อ และเป็นลูกที่เชื่อฟังที่สุด แต่ถ้าเราคิดเช่นนี้เราเหมือนกับคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ เรากำลังคิดเหมือนลูกจ้างที่ทำงานเพื่อเงินมากกว่าที่คิดว่าเราทำงานเพราะเรารักบิดาของตน มีหลายคนถามว่า บุตรคนโตผิดตรงไหน เพราะเขาไม่ได้ขอแบ่งสมบัติไปล้างผลาญเหมือนบุตรคนเล็กเลย ความผิดชัดเจนคือ (1 ) เขารักทรัพย์สมบัติมากกว่ารักคน เขากลับแสดงท่าทีไม่มีความสุขเมื่อน้องชายกลับมาอย่างสิ้นเนื้อหมดตัวเมื่อบิดาจัดเลี้ยงฉลองเขากลับโกรธและต่อว่าพ่อที่ไม่เคยให้อะไรเขาเลย เขาคงมีความสุขถ้าน้องชายนำสมบัติกลับคืนทั้งหมด (2 ) เนื่องจากเขาประเมินคุณค่าของตัวเองสูงลิ่วและดูหมิ่นคนอื่น เขาคิดว่าเขาภักดีต่อบิดา เขาทำงานหนัก เขาเชื่อฟัง เขาดูถูกน้องชายจนไม่อยากนับพี่นับน้องกันอีก และเรียกน้องว่า “ลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่าน” (ข้อ 30 ) พฤติกรรมของพี่ชายคนโตเหมือนพวกฟาริสี เพราะว่า “มั่นใจในความชอบธรรมของตัวเอง และดูถูกคนอื่นทั้งปวง” (ลูกา 18.9 )
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เล่ากันเล่นๆ แต่สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเรา คือแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงคอยเราเสมอ ในครอบครัวของพระเจ้าไม่ว่าเป็นคริสตังหรือคริสเตียน ลูกหลานของพวกเราบางคนอาจจะออกไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่สักพักจนสะใจ หรือเหมือนอาการสิ้นเนื้อประดาตัว เจ็บป่วยด้านจิตวิญญาณแล้วเขาได้กลับมาหา พระบิดาเจ้า ซึ่งพระองค์ก็จะให้อภัยคนที่สำนึกผิดเสมอ นำคำอุปมานี้มาที่ตัวเรา ถ้าเราคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น หรือคิดเอาเองว่าเป็นบุตรของพระเจ้าพระบิดาเนื่องจากการทำดีของตัวเองและไม่คิดถึงว่าเพราะพระกรุณาของพระเจ้า มันเป็นเรื่องจริงที่สวรรค์จะปรีดีเมื่อคนบาปกลับใจใหม่ ถ้าเราเหมือนพระบิดาในสวรรค์ เราจะปรีดีเช่นกัน และคงไม่พูดพาดพิงถึงน้องเสเพลว่า “ลูกคนนี้ของท่าน” และเราคงยอมรับการเลี้ยงฉลองของบิดา “เราต้องเฉลิมฉลองและยินดีกันนี้เพราะน้องคนนี้ของเจ้าได้ตายไปแล้วและกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วได้พบกันอีก” (ข้อ 32 ) ตัวเราล่ะเรียนรู้ความรักความเมตตาจากพระเจ้าและชื่นชมยินดีเมื่อพี่น้องกลับคืนอ้อมพระทรวงของพระเจ้าอย่างไร
[ หมายเหตุ ตีพิมพ์ ที่ อิสระรายปักษ์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 12 ( ฉ.82 )ปักษ์หลัง-มีนาคม 2550 หน้า 4-8 ]
ศาสนาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนฉันว่า “การกลับใจแท้” ของคริสตชน มี 2 ขั้นตอน คือ หันหลังให้กับความผิดบาป นั่นคือมุ่งมั่นตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปอีกแล้ว และ หันหน้าไปหาพระเจ้า หมายถึงการวางใจ และตั้งใจพึ่งพาพระเจ้าแต่ผู้เดียว ขอให้คริสตชนมีความเชื่อว่าไม่เคยสายที่จะกลับมาหาพระเจ้าเพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ดูขั้นตอนที่ลูกล้างผลาญคนนี้กลับมาหาพ่อของเขา คือ (1) เขาเห็นตัวเอง คือรู้จักตัวเองว่าขณะนี้ตัวเองจนตรอกแล้ว ต้องการความช่วยเหลือ จึงสำนึกผิดที่ทำกับพ่อ และพระเจ้า และไม่ควรวิ่งหนีอีกต่อไป (2) เมื่อเขาสำนึกแล้ว ก็รู้ว่าแหล่งแห่งความช่วยเหลือมาจากใคร มาจากบิดา เพราะลูกจ้างของบิดาที่บ้านยังอยู่ดีกินดีกว่าเขาขณะนี้ (3) การตัดสินใจ เขาได้ตัดสินใจกลับไปหาบิดาด้วยความถ่อมใจ สารภาพกับคุณพ่อว่าตัวเองผิด (4) เขารีบปฏิบัติตามที่ตัดสินใจทันทีคือมุ่งหน้ากลับบ้าน
ฉันเคยฟังคำพยานของฆราวาสสตรีคริสเตียนคนหนึ่งเล่าว่า เธอ เป็นคริสเตียน หลังแต่งงานก็ช่วยกันทำมาหากิน ฐานะดีขึ้นมาก แต่เธอไม่พอใจที่จะไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ ดังนั้นทำให้เธอหันหลังให้พระเจ้าและไปพึ่งพระที่สามีนับถือ ยิ่งกว่านั้น เธอชอบดูหมอ ชอบเล่นหวย และติดการพนัน เมื่อพี่สาวชวนไปโบสถ์วันอาทิตย์ก็อ้างว่ามีธุระ ภายหลังชีวิตก็ลุ่มๆดอน จนถึงขั้นเป็นหนี้มากมาย จุดหักเหคือมีครั้งหนึ่งเพื่อนนักธุรกิจเชิญไปงานเลี้ยงของนักธุรกิจคริสเตียน เธอได้ฟังคำเทศนาของศาสนาจารย์ เรื่องบุตรน้อยหลงหาย (คริสเตียนเรียก ) เธอจึงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมพระวาจาให้เธอแน่นอน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับไปโบสถ์ เธอได้กลับใจใหม่ ละทิ้งความบาปผิดที่เอาพระอื่นมาแทนที่พระเจ้าเธอได้คืนดีกับพระผู้สร้าง ยิ่งกว่านั้นเธอได้นำสามี และลูกๆกลับไปหาพระบิดาเจ้า
4.พระเจ้าทรงต้อนรับ(ท่าน)เรากลับเสมอ (ข้อ19-32)
เมื่อฉันอ่านพระวรสารของนักบุญลูกาตอนนี้แล้ว ก็จินตนาการเกี่ยวกับบิดาของเขา ภาพที่ได้รับคือ “พ่อ” วิ่งออกมาต้อนรับลูกล้างผลาญอย่างดีอกดีใจ ไม่ว่าลูกจะอยู่ในสถานภาพแบบไหน กลับมาเสื้อผ้าสกปรกเหมือนขอทาน แต่พ่อต้อนรับลูกไว้ในอ้อมกอดด้วยความรักโดยไม่รังเกียจ แม้แต่นิดเดียว บิดาคงมองด้วยความรักและสงสาร จากเนื้อหาพระคัมภีร์ ให้คนมองภาพตามไป ชายแก่ๆ วิ่งออกไปรับลูก ลืมความหยิ่งทะนง ลืมอายุ (สังขาร) สิ่งที่เขามีคือความดีใจที่ลูกกลับมาแล้ว พ่อสามารถทำให้ทะเลทรายกลายเป็นความหอมหวานของดอกกุหลาบ
ฉันสนใจท่าที่ของลูกชายคนเล็ก เมื่อเขาได้พบบิดา เขารู้ตัวว่าต่อไปนี้จะหยิ่งอย่างเดิมว่าเป็นลูกเศรษฐีไม่ได้ เขารู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง และแสดงการสำนึกผิด อย่างแท้จริง โดยบอกบิดาว่า (1) ลูกทำผิด(บาป) ต่อสวรรค์(พระเจ้า) และต่อบิดา (2) ลูกไม่สมควรจะเป็นลูกพ่ออีกต่อไป (3) ลูกจะขอเป็นลูกจ้างของพ่อคนหนึ่งเท่านั้น เขาพูดไม่ทันจบ ฝ่ายบิดาก็สั่งคนใช้ให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายที่กลับมา ภาพนี้เราได้เห็นว่า ผู้เป็นบิดาได้ให้อภัยบุตรชายคนเล็กนานแล้ว บิดาไม่ได้จดจำการทรยศ อกตัญญูของลูกเลย แต่บิดาได้สั่งให้เอาสิ่งที่ดีที่สุด เสื้อผ้า แก้วแหวน มาสวมใส่เขา จัดงานเพื่อชื่นชมยินดี ที่เขาได้ลูกชายกลับมาแล้ว เขาพูดว่า ลูกของเราได้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นใหม่
ถ้าไม่พูดถึงเรื่องบุตรคนโตที่กำลังหน้างอหน้าบึ้งอยู่ก็กระไรทีเดียว ผู้อ่านหลายๆคน หรือผู้เขียนเองด้วย ก็รู้สึกเห็นใจบุตรคนโต เพราะรู้สึกว่าเราเหมือนเขา เราไม่เหมือนบุตรคนเล็กที่เสเพลแน่นอน เรากำลังสมมติว่าตัวเองเหมือนบุตรที่ทำงานหนักด้วยความสัตย์ซื่อ และเป็นลูกที่เชื่อฟังที่สุด แต่ถ้าเราคิดเช่นนี้เราเหมือนกับคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ เรากำลังคิดเหมือนลูกจ้างที่ทำงานเพื่อเงินมากกว่าที่คิดว่าเราทำงานเพราะเรารักบิดาของตน มีหลายคนถามว่า บุตรคนโตผิดตรงไหน เพราะเขาไม่ได้ขอแบ่งสมบัติไปล้างผลาญเหมือนบุตรคนเล็กเลย ความผิดชัดเจนคือ (1 ) เขารักทรัพย์สมบัติมากกว่ารักคน เขากลับแสดงท่าทีไม่มีความสุขเมื่อน้องชายกลับมาอย่างสิ้นเนื้อหมดตัวเมื่อบิดาจัดเลี้ยงฉลองเขากลับโกรธและต่อว่าพ่อที่ไม่เคยให้อะไรเขาเลย เขาคงมีความสุขถ้าน้องชายนำสมบัติกลับคืนทั้งหมด (2 ) เนื่องจากเขาประเมินคุณค่าของตัวเองสูงลิ่วและดูหมิ่นคนอื่น เขาคิดว่าเขาภักดีต่อบิดา เขาทำงานหนัก เขาเชื่อฟัง เขาดูถูกน้องชายจนไม่อยากนับพี่นับน้องกันอีก และเรียกน้องว่า “ลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่าน” (ข้อ 30 ) พฤติกรรมของพี่ชายคนโตเหมือนพวกฟาริสี เพราะว่า “มั่นใจในความชอบธรรมของตัวเอง และดูถูกคนอื่นทั้งปวง” (ลูกา 18.9 )
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เล่ากันเล่นๆ แต่สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเรา คือแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงคอยเราเสมอ ในครอบครัวของพระเจ้าไม่ว่าเป็นคริสตังหรือคริสเตียน ลูกหลานของพวกเราบางคนอาจจะออกไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่สักพักจนสะใจ หรือเหมือนอาการสิ้นเนื้อประดาตัว เจ็บป่วยด้านจิตวิญญาณแล้วเขาได้กลับมาหา พระบิดาเจ้า ซึ่งพระองค์ก็จะให้อภัยคนที่สำนึกผิดเสมอ นำคำอุปมานี้มาที่ตัวเรา ถ้าเราคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น หรือคิดเอาเองว่าเป็นบุตรของพระเจ้าพระบิดาเนื่องจากการทำดีของตัวเองและไม่คิดถึงว่าเพราะพระกรุณาของพระเจ้า มันเป็นเรื่องจริงที่สวรรค์จะปรีดีเมื่อคนบาปกลับใจใหม่ ถ้าเราเหมือนพระบิดาในสวรรค์ เราจะปรีดีเช่นกัน และคงไม่พูดพาดพิงถึงน้องเสเพลว่า “ลูกคนนี้ของท่าน” และเราคงยอมรับการเลี้ยงฉลองของบิดา “เราต้องเฉลิมฉลองและยินดีกันนี้เพราะน้องคนนี้ของเจ้าได้ตายไปแล้วและกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วได้พบกันอีก” (ข้อ 32 ) ตัวเราล่ะเรียนรู้ความรักความเมตตาจากพระเจ้าและชื่นชมยินดีเมื่อพี่น้องกลับคืนอ้อมพระทรวงของพระเจ้าอย่างไร
[ หมายเหตุ ตีพิมพ์ ที่ อิสระรายปักษ์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 12 ( ฉ.82 )ปักษ์หลัง-มีนาคม 2550 หน้า 4-8 ]
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ เม.ย. 09, 2007 3:20 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Ecclesia เขียน: ขอบคุณมากค่ะ ไม่ค่อยได้อ่านอิสระ อ่านแต่อุดมสาร เเห่ะๆ
ลองอ่านบางซิจ๊ะ บทความดีดีทั้งนั้นเลยนะ โปรโมท สุดๆๆๆๆ
มีขายแบบรวมเล่มะครับ:+: seraphim :+: เขียน:Ecclesia เขียน: ขอบคุณมากค่ะ ไม่ค่อยได้อ่านอิสระ อ่านแต่อุดมสาร เเห่ะๆ
ลองอ่านบางซิจ๊ะ บทความดีดีทั้งนั้นเลยนะ โปรโมท สุดๆๆๆๆ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
S.Paulvs De Bangkok เขียน:มีขายแบบรวมเล่มะครับ:+: seraphim :+: เขียน:Ecclesia เขียน: ขอบคุณมากค่ะ ไม่ค่อยได้อ่านอิสระ อ่านแต่อุดมสาร เเห่ะๆ
ลองอ่านบางซิจ๊ะ บทความดีดีทั้งนั้นเลยนะ โปรโมท สุดๆๆๆๆ
น่าจะมีนะ ลองไปถามที่ศูนย์สื่อมวลชนคณะพระมหาไถ่ดูได้จ๊ะ น่าจะสมัครเป็นสมาชิกดิจะได้อัพเดทข่าวสาร บทความใหม่ๆ ด้วย
โอเคย์ ค่าๆๆๆๆ เชื่อๆๆๆ:+: seraphim :+: เขียน:Ecclesia เขียน: ขอบคุณมากค่ะ ไม่ค่อยได้อ่านอิสระ อ่านแต่อุดมสาร เเห่ะๆ
ลองอ่านบางซิจ๊ะ บทความดีดีทั้งนั้นเลยนะ โปรโมท สุดๆๆๆๆ
ได้ค่าคอมมิสชั่นเท่าไหร่งับ:+: seraphim :+: เขียน:S.Paulvs De Bangkok เขียน:มีขายแบบรวมเล่มะครับ:+: seraphim :+: เขียน:
ลองอ่านบางซิจ๊ะ บทความดีดีทั้งนั้นเลยนะ โปรโมท สุดๆๆๆๆ
น่าจะมีนะ ลองไปถามที่ศูนย์สื่อมวลชนคณะพระมหาไถ่ดูได้จ๊ะ น่าจะสมัครเป็นสมาชิกดิจะได้อัพเดทข่าวสาร บทความใหม่ๆ ด้วย
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
S.Paulvs De Bangkok เขียน:ได้ค่าคอมมิสชั่นเท่าไหร่งับ:+: seraphim :+: เขียน:S.Paulvs De Bangkok เขียน: มีขายแบบรวมเล่มะครับ
น่าจะมีนะ ลองไปถามที่ศูนย์สื่อมวลชนคณะพระมหาไถ่ดูได้จ๊ะ น่าจะสมัครเป็นสมาชิกดิจะได้อัพเดทข่าวสาร บทความใหม่ๆ ด้วย
ไม่ได้ค่าคอมงับ ของดีดีก็อยากบอกต่อ ภาษาคริสต์เรียกว่า " แบ่งปัน " ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรในโลกนี้ แต่หวังจะได้อยู่ในพระราชัยสวรรค์ในโลกหน้า (มากไปมั๊ยเนี่ย)
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
หนังสือ เรื่องบุตรล้างผลาญ ก็มีขาย ฮะ ที่ศูนย์พระมหาไถ่
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Jeab Agape เขียน:
หนังสือ เรื่องบุตรล้างผลาญ ก็มีขาย ฮะ ที่ศูนย์พระมหาไถ่
ได้ค่าคอมพ์ด้วยเปล่าฮับ (ถามต่อ) แบบส่งเดช
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ป่าวคร้าบ ทำงานให้พระเจ้าแบบสมัครใจ เพราะพระเยซูคริสต์ ทรงวางแบบเรื่องเสียสละไว้แล้ว อิอิ แต่ความจริงคือ คณะนี้ ขี้เหนียว ฮะ:+: seraphim :+: เขียน:ได้ค่าคอมพ์ด้วยเปล่าฮับ (ถามต่อ) แบบส่งเดชJeab Agape เขียน:
หนังสือ เรื่องบุตรล้างผลาญ ก็มีขาย ฮะ ที่ศูนย์พระมหาไถ่
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Jeab Agape เขียน:ป่าวคร้าบ ทำงานให้พระเจ้าแบบสมัครใจ เพราะพระเยซูคริสต์ ทรงวางแบบเรื่องเสียสละไว้แล้ว อิอิ แต่ความจริงคือ คณะนี้ ขี้เหนียว ฮะ:+: seraphim :+: เขียน:ได้ค่าคอมพ์ด้วยเปล่าฮับ (ถามต่อ) แบบส่งเดชJeab Agape เขียน:
หนังสือ เรื่องบุตรล้างผลาญ ก็มีขาย ฮะ ที่ศูนย์พระมหาไถ่
ก็คณะเราถือความจนเป็นใหญ่ฮับ ไม่มีคอมพ์ให้เลยดูขี้เหนียวไปเหรอ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เห็นขับรถป้ายแดงกันพลั๊บ :huh::+: seraphim :+: เขียน:ก็คณะเราถือความจนเป็นใหญ่ฮับ ไม่มีคอมพ์ให้เลยดูขี้เหนียวไปเหรอJeab Agape เขียน:
ป่าวคร้าบ ทำงานให้พระเจ้าแบบสมัครใจ เพราะพระเยซูคริสต์ ทรงวางแบบเรื่องเสียสละไว้แล้ว อิอิ แต่ความจริงคือ คณะนี้ ขี้เหนียว ฮะ
ฟากเราโปรเตสแตนต์ ไม่ต้องถือความยากจน มันดันจนเอง ฮะ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Jeab Agape เขียน:เห็นขับรถป้ายแดงกันพลั๊บ :huh::+: seraphim :+: เขียน:ก็คณะเราถือความจนเป็นใหญ่ฮับ ไม่มีคอมพ์ให้เลยดูขี้เหนียวไปเหรอJeab Agape เขียน:
ป่าวคร้าบ ทำงานให้พระเจ้าแบบสมัครใจ เพราะพระเยซูคริสต์ ทรงวางแบบเรื่องเสียสละไว้แล้ว อิอิ แต่ความจริงคือ คณะนี้ ขี้เหนียว ฮะ
ฟากเราโปรเตสแตนต์ ไม่ต้องถือความยากจน มันดันจนเอง ฮะ
ก็รถเก่ามันใช่ไม่ได้แล้วอ่ะ ก็ต้องเซฟนายชุมพาบาลหน่อยนิ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อูยยยยยยย นายชุมพาบาล กับ นายยมพบาล เป็นพี่น้องกัน ไม่ต้งกลัว ตาย 555:+: seraphim :+: เขียน:ก็รถเก่ามันใช้ไม่ได้แล้วอ่ะ ก็ต้องเซฟนายชุมพาบาลหน่อยนิJeab Agape เขียน:
เห็นขับรถป้ายแดงกันพลั๊บ :huh:
ฟากเราโปรเตสแตนต์ ไม่ต้องถือความยากจน มันดันจนเอง ฮะ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Jeab Agape เขียน:อูยยยยยยย นายชุมพาบาล กับ นายยมพบาล เป็นพี่น้องกัน ไม่ต้งกลัว ตาย 555:+: seraphim :+: เขียน:ก็รถเก่ามันใช้ไม่ได้แล้วอ่ะ ก็ต้องเซฟนายชุมพาบาลหน่อยนิJeab Agape เขียน:
เห็นขับรถป้ายแดงกันพลั๊บ :huh:
ฟากเราโปรเตสแตนต์ ไม่ต้องถือความยากจน มันดันจนเอง ฮะ
นั่นหล่ะ ยิ่งต้องทำให้เจอกันช้าหน่อยยยยยย พอแระเดี๋ยวความลับคณะแตก อิอิอิ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ถ้าความลับที่ว่าแตกอ่ะพี่ จทำยังไงหล่ะคราวนี้:+: seraphim :+: เขียน:Jeab Agape เขียน:อูยยยยยยย นายชุมพาบาล กับ นายยมพบาล เป็นพี่น้องกัน ไม่ต้งกลัว ตาย 555:+: seraphim :+: เขียน: ก็รถเก่ามันใช้ไม่ได้แล้วอ่ะ ก็ต้องเซฟนายชุมพาบาลหน่อยนิ
นั่นหล่ะ ยิ่งต้องทำให้เจอกันช้าหน่อยยยยยย พอแระเดี๋ยวความลับคณะแตก อิอิอิ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Batholomew เขียน:ถ้าความลับที่ว่าแตกอ่ะพี่ จทำยังไงหล่ะคราวนี้:+: seraphim :+: เขียน:Jeab Agape เขียน: อูยยยยยยย นายชุมพาบาล กับ นายยมพบาล เป็นพี่น้องกัน ไม่ต้งกลัว ตาย 555
นั่นหล่ะ ยิ่งต้องทำให้เจอกันช้าหน่อยยยยยย พอแระเดี๋ยวความลับคณะแตก อิอิอิ
:shocked: ก็อย่าให้มันแตกดิ จะได้ไม่ต้องทำไง อิอิอิอิ
มากเกินครับเดี๋ยวผมจะไปแย่ง:+: seraphim :+: เขียน:S.Paulvs De Bangkok เขียน:ได้ค่าคอมมิสชั่นเท่าไหร่งับ:+: seraphim :+: เขียน:
น่าจะมีนะ ลองไปถามที่ศูนย์สื่อมวลชนคณะพระมหาไถ่ดูได้จ๊ะ น่าจะสมัครเป็นสมาชิกดิจะได้อัพเดทข่าวสาร บทความใหม่ๆ ด้วย
ไม่ได้ค่าคอมงับ ของดีดีก็อยากบอกต่อ ภาษาคริสต์เรียกว่า " แบ่งปัน " ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรในโลกนี้ แต่หวังจะได้อยู่ในพระราชัยสวรรค์ในโลกหน้า (มากไปมั๊ยเนี่ย)
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
สำหรับแทงค์ไม่ต้องแย่ง แบ่งให้ครึ่งนึงเลยจ้า... อิอิ
- Little Servant
- โพสต์: 24
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ เม.ย. 15, 2007 8:33 am
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
- *~glossolalia~*
- โพสต์: 88
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ เม.ย. 30, 2007 7:14 pm
ขอบคุณนะค่ะ อ่านเเล้วซึ้งจัง พระไม่เคยทอดทิ้งเราเลย
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
วันนี้วันพ่อ รู้สึกเหมือนได้รับการดลใจให้ขุดกระทู้นี้ ...
พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่ทรงรักเราอย่างมากมาย
ใครที่กำลังคิดจะทิ้งวัด ทิ้งโบสถ์ ทิ้งพระเจ้า อยากให้อ่านบทความนี้อีกครั้ง
แล้วกลับไปหาพระองค์ สารภาพสิ่งที่แล้วมา ในความผิดพลาด ในความไม่วางใจ ในความสงสัย ฯลฯ
เปิดใจให้พระองค์เข้ามาในชีวิตอย่างแท้จริง แล้วเริ่มต้นใหม่กับพระองค์ พระเจ้าให้อภัยทุกอย่างแล้ว....
พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่ทรงรักเราอย่างมากมาย
ใครที่กำลังคิดจะทิ้งวัด ทิ้งโบสถ์ ทิ้งพระเจ้า อยากให้อ่านบทความนี้อีกครั้ง
แล้วกลับไปหาพระองค์ สารภาพสิ่งที่แล้วมา ในความผิดพลาด ในความไม่วางใจ ในความสงสัย ฯลฯ
เปิดใจให้พระองค์เข้ามาในชีวิตอย่างแท้จริง แล้วเริ่มต้นใหม่กับพระองค์ พระเจ้าให้อภัยทุกอย่างแล้ว....