ท่าทีที่ถูกต้องในการแสดงความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีย์
นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตยืนยันว่า “เพราะฉะนั้น จึงสำคัญมากที่จะต้องรู้จักความศรัทธาเท็จเทียมเสียก่อน เพื่อจะได้รู้จักหลบหลีกมัน แล้วจึงค่อยรู้จักความศรัทธาเที่ยงแท้เพื่อปฏิบัติตาม
อีกประการหนึ่ง ในบรรดาแนวปฏิบัติความศรัทธาต่อแม่พระอย่างเที่ยงแท้นั้น ควรรู้ว่าสิ่งไหนดีกว่ากันและเป็นที่ชอบพระทัยพระมารดามากกว่ากัน เป็นที่เทิดทูนพระเกียรติพระผู้เป็นเจ้ามากกว่ากัน เป็นที่ช่วยให้เราศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่ากัน จะได้เลือกปฏิบัติด้วยสุดชีวิตจิตใจ” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 91)
ท่าทีที่ไม่ถูกต้อง
ก่อนที่นักบุญหลุยส์ กรีญอง เดอ มงฟอร์ตจะอธิบายถึงท่าทีที่ถูกต้องในการแสดงความศรัทธาต่อพระนางมารีย์ ท่านได้เสนอภาพต่างๆ ของผู้ที่มีท่าทีไม่ถูกต้องอย่างต่อเนื่องราวกับฉายภาพยนตร์ น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ไม่เพียงมีชีวิตอยู่ในสมัยของนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต แต่ยังมีคนที่มีท่าทีเช่นเดียวกันจนทุกวันนี้ แม้อาจจะเปลี่ยนลักษณะภายนอกไปบ้าง ให้เรามาทำความรู้จักกับคนเหล่านี้
อีกประการหนึ่ง ในบรรดาแนวปฏิบัติความศรัทธาต่อแม่พระอย่างเที่ยงแท้นั้น ควรรู้ว่าสิ่งไหนดีกว่ากันและเป็นที่ชอบพระทัยพระมารดามากกว่ากัน เป็นที่เทิดทูนพระเกียรติพระผู้เป็นเจ้ามากกว่ากัน เป็นที่ช่วยให้เราศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่ากัน จะได้เลือกปฏิบัติด้วยสุดชีวิตจิตใจ” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 91)
ท่าทีที่ไม่ถูกต้อง
ก่อนที่นักบุญหลุยส์ กรีญอง เดอ มงฟอร์ตจะอธิบายถึงท่าทีที่ถูกต้องในการแสดงความศรัทธาต่อพระนางมารีย์ ท่านได้เสนอภาพต่างๆ ของผู้ที่มีท่าทีไม่ถูกต้องอย่างต่อเนื่องราวกับฉายภาพยนตร์ น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ไม่เพียงมีชีวิตอยู่ในสมัยของนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต แต่ยังมีคนที่มีท่าทีเช่นเดียวกันจนทุกวันนี้ แม้อาจจะเปลี่ยนลักษณะภายนอกไปบ้าง ให้เรามาทำความรู้จักกับคนเหล่านี้
ผู้มีความศรัทธาแต่ชอบตำหนิผู้อื่น
กลุ่มนี้เป็นคนที่ได้รับการศึกษาสูง และมีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์อยู่บ้าง แต่เขาไม่สามารถเข้าใจความศรัทธาประสาชาวบ้าน จึงชอบตำหนิผู้ที่มีความศรัทธาซื่อๆ อย่างนั้น คนเหล่านี้พยายามทำลายความศรัทธาประสาชาวบ้านแทนที่จะส่งเสริมโดยชี้แนะให้ใช้พระวาจาของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น สำหรับนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต คนพวกนี้เป็นคนอันตราย ท่านกล่าวว่า
“คนศรัทธาชอบติ ตามปกติได้แก่นักปราชญ์ผู้สู่รู้ถือดีซึ่งเลื่อมใสต่อพระมารดาบ้าง แต่กิจศรัทธาของสามัญชนซึ่งปรนนิบัติพระ มารดาอย่างซื่อๆ ด้วยน้ำใสใจจริงเหล่านี้เขาติไปหมด เหตุเพราะไม่ตรงกับรสนิยมของเขา มิหนำซ้ำเขาชอบตั้งคำถาม ซักถามเกี่ยวกับมหัศจรรย์และเรื่องราวต่างๆ ที่คนควรเชื่อถือได้นำมากล่าว และแม้แต่เรื่องจริงที่มีบันทึกไว้หรือคัดมาจากประวัติความเป็นมาของนิกายนักบวชต่างๆ ซึ่งล้วนแสดงถึงความเชื่อถือในพระเมตตาและฤทธิ์อำนาจของพระมารดา เขาชอบพาให้เขวหรือเกิดลังเล ทั้งเขายังไม่ชอบเห็นคนซื่อๆ คุกเข่าหน้าพระแท่นหรือต่อหน้ารูปแม่พระในที่ต่างๆ หาว่าเป็นผู้นับถือรูปร่างราวกับเห็นคนนมัสการท่อนไม้หรือก้อนศิลา เขาอ้างว่าเขาไม่ชอบสวดอวดศรัทธาภายนอกกับใครเช่นนั้น อ้างว่าสติของเขายังไม่วิปลาสพอที่จะเชื่อถือเรื่องนิทานที่เล่าสำหรับล่อเด็กให้เลื่อมใสต่อพระมารดา เมื่อมีผู้บอกว่าถ้อยคำที่บรรดาปิตาจารย์ชมเชยพระมารดานั้นจับใจยิ่งนัก เขาก็หาว่าปิตาจารย์เหล่านั้นพูดเกินความจริง หรือมิฉะนั้นก็อุตริพยายามแปลให้ใจความผันผวนผิดฉบับเดิมและใจความเดิมไปเสียบ้าง เช่นนี้เป็นต้น
ปราชญ์จองหองของโลกเหล่านี้น่ากลัวมากเพราะทำความเสียหายไม่น้อย เพียงแต่อ้างว่า เขาไม่อยากให้เชื่องมงายเพราะกลัวจะพาให้เกิดผลร้าย เท่านี้ก็พอเป็นเหตุให้ประชาชนตีห่างพระมารดาได้สำเร็จแล้ว” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 93)
กลุ่มนี้เป็นคนที่ได้รับการศึกษาสูง และมีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์อยู่บ้าง แต่เขาไม่สามารถเข้าใจความศรัทธาประสาชาวบ้าน จึงชอบตำหนิผู้ที่มีความศรัทธาซื่อๆ อย่างนั้น คนเหล่านี้พยายามทำลายความศรัทธาประสาชาวบ้านแทนที่จะส่งเสริมโดยชี้แนะให้ใช้พระวาจาของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น สำหรับนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต คนพวกนี้เป็นคนอันตราย ท่านกล่าวว่า
“คนศรัทธาชอบติ ตามปกติได้แก่นักปราชญ์ผู้สู่รู้ถือดีซึ่งเลื่อมใสต่อพระมารดาบ้าง แต่กิจศรัทธาของสามัญชนซึ่งปรนนิบัติพระ มารดาอย่างซื่อๆ ด้วยน้ำใสใจจริงเหล่านี้เขาติไปหมด เหตุเพราะไม่ตรงกับรสนิยมของเขา มิหนำซ้ำเขาชอบตั้งคำถาม ซักถามเกี่ยวกับมหัศจรรย์และเรื่องราวต่างๆ ที่คนควรเชื่อถือได้นำมากล่าว และแม้แต่เรื่องจริงที่มีบันทึกไว้หรือคัดมาจากประวัติความเป็นมาของนิกายนักบวชต่างๆ ซึ่งล้วนแสดงถึงความเชื่อถือในพระเมตตาและฤทธิ์อำนาจของพระมารดา เขาชอบพาให้เขวหรือเกิดลังเล ทั้งเขายังไม่ชอบเห็นคนซื่อๆ คุกเข่าหน้าพระแท่นหรือต่อหน้ารูปแม่พระในที่ต่างๆ หาว่าเป็นผู้นับถือรูปร่างราวกับเห็นคนนมัสการท่อนไม้หรือก้อนศิลา เขาอ้างว่าเขาไม่ชอบสวดอวดศรัทธาภายนอกกับใครเช่นนั้น อ้างว่าสติของเขายังไม่วิปลาสพอที่จะเชื่อถือเรื่องนิทานที่เล่าสำหรับล่อเด็กให้เลื่อมใสต่อพระมารดา เมื่อมีผู้บอกว่าถ้อยคำที่บรรดาปิตาจารย์ชมเชยพระมารดานั้นจับใจยิ่งนัก เขาก็หาว่าปิตาจารย์เหล่านั้นพูดเกินความจริง หรือมิฉะนั้นก็อุตริพยายามแปลให้ใจความผันผวนผิดฉบับเดิมและใจความเดิมไปเสียบ้าง เช่นนี้เป็นต้น
ปราชญ์จองหองของโลกเหล่านี้น่ากลัวมากเพราะทำความเสียหายไม่น้อย เพียงแต่อ้างว่า เขาไม่อยากให้เชื่องมงายเพราะกลัวจะพาให้เกิดผลร้าย เท่านี้ก็พอเป็นเหตุให้ประชาชนตีห่างพระมารดาได้สำเร็จแล้ว” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 93)
ผู้มีความศรัทธาแต่กลัวจะเป็นการลดเกียรติของพระเยซูเจ้า
เป็นการถูกต้องที่คนกลุ่มนี้เป็นห่วงที่จะรักษาศักดิ์ศรีของพระเยซูเจ้าเป็นอันดับแรก แต่เขาผิดเพราะไม่เข้าใจว่าพระเกียรติที่ถวายแด่พระนางมารีย์ก็เท่ากับถวายสิริมงคลแด่พระบุตรของพระนาง นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต อธิบายถึงคนเหล่านี้ว่า “คนศรัทธากลัวผิดเกินเหตุเป็นบุคคลที่มัวกังวลกลัวแต่จะเป็นการดูถูกพระบุตร ในเมื่อนับถือพระมารดา
เขาไม่ชอบคำสรรเสริญที่บรรดาโบราณาจารย์ประพันธ์ถวาย เขาไม่ชอบเห็นคนคุกเข่าต่อหน้ารูปแม่พระมากกว่าต่อหน้าศีลมหาสนิท ราวกับว่าทั้งสองอย่างนี้ขัดแย้งกัน อย่างกับผู้ที่สวดถึงพระมารดาบ่อยๆ ไม่ได้สวดถึงพระเยซูเจ้าโดยทางพระมารดา เขาไม่เต็มใจให้เราสวดขอพระมารดาบ่อยๆ หรือออกพระนามพระมารดาเนืองๆ
เขาชอบพูดทำนองนี้ว่า ‘สวดสายประคำซ้ำซากทำไม เข้าจำพวกแม่พระต่างๆ และทำกิจการภายนอกถวายพระมารดามากมายทำไม เป็นความงมงายเปล่าๆ ถ้าพูดถึงพระเยซูซิจะค่อยยังชั่วหน่อย (แต่เขาก็ออกพระนามโดยไม่ได้เปิดหมวกถวายคำนับ) เราต้องพึ่งพระเยซูเจ้าโดยตรงเพราะพระองค์เป็นคนกลางเสนอแต่ผู้เดียว เราต้องเทศน์เรื่องพระองค์ นี้แหละจึงจะเรียกว่าเลื่อมใสศรัทธาที่ถูกที่ควร’
ที่เขาพูดนั้นก็จริงของเขาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่การที่เขาเจตนากีดกันความศรัทธาต่อแม่พระนั่นสิเป็นอันตรายมาก เป็นบ่วงของมารแท้ๆ ความจริงหนีความจริงไม่พ้น เรายิ่งนับถือพระมารดามากเท่าใด เราก็ยิ่งนับถือพระเยซูเจ้ามากขึ้นไปอีกตามส่วน เพราะว่าเรานับถือพระมารดาก็เพื่อนับถือพระเยซูเจ้าให้ดียิ่งขึ้น เราพึ่งพระมารดาเฉพาะในหนทางซึ่งนำไปสู่ปลายทางคือองค์พระเยซูเจ้าพระบุตรของพระนาง
พร้อมกับพระศาสนจักร พระจิตเจ้าสอนให้เราสรรเสริญแม่พระก่อนแล้วจึงสรรเสริญพระเยซูเจ้า ‘(วันทามารีอา….) ผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา’ มิใช่ว่าพระนางมารีอาจะยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูเจ้า หรือแม้แต่เสมอเหมือนพระองค์ หากกล่าวเช่นนั้นก็เท่ากับคิดแบบเฮเรติกอย่างอภัยให้ไม่ได้ แต่เพื่อจะได้สรรเสริญพระเยซูเจ้าดียิ่งขึ้นเราจึงสรรเสริญพระนางมารีอาก่อน ให้เราภาวนาร่วมกับผู้ศรัทธาต่อพระนางโดยไม่ต้องเป็นกังวลต่อคำกล่าวหาลมๆ แล้งๆ ของพวกศรัทธากลัวผิดเกินเหตุเหล่านี้ว่า ‘วันทามารีอา ท่านมีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา’” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 94-95)
เป็นการถูกต้องที่คนกลุ่มนี้เป็นห่วงที่จะรักษาศักดิ์ศรีของพระเยซูเจ้าเป็นอันดับแรก แต่เขาผิดเพราะไม่เข้าใจว่าพระเกียรติที่ถวายแด่พระนางมารีย์ก็เท่ากับถวายสิริมงคลแด่พระบุตรของพระนาง นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต อธิบายถึงคนเหล่านี้ว่า “คนศรัทธากลัวผิดเกินเหตุเป็นบุคคลที่มัวกังวลกลัวแต่จะเป็นการดูถูกพระบุตร ในเมื่อนับถือพระมารดา
เขาไม่ชอบคำสรรเสริญที่บรรดาโบราณาจารย์ประพันธ์ถวาย เขาไม่ชอบเห็นคนคุกเข่าต่อหน้ารูปแม่พระมากกว่าต่อหน้าศีลมหาสนิท ราวกับว่าทั้งสองอย่างนี้ขัดแย้งกัน อย่างกับผู้ที่สวดถึงพระมารดาบ่อยๆ ไม่ได้สวดถึงพระเยซูเจ้าโดยทางพระมารดา เขาไม่เต็มใจให้เราสวดขอพระมารดาบ่อยๆ หรือออกพระนามพระมารดาเนืองๆ
เขาชอบพูดทำนองนี้ว่า ‘สวดสายประคำซ้ำซากทำไม เข้าจำพวกแม่พระต่างๆ และทำกิจการภายนอกถวายพระมารดามากมายทำไม เป็นความงมงายเปล่าๆ ถ้าพูดถึงพระเยซูซิจะค่อยยังชั่วหน่อย (แต่เขาก็ออกพระนามโดยไม่ได้เปิดหมวกถวายคำนับ) เราต้องพึ่งพระเยซูเจ้าโดยตรงเพราะพระองค์เป็นคนกลางเสนอแต่ผู้เดียว เราต้องเทศน์เรื่องพระองค์ นี้แหละจึงจะเรียกว่าเลื่อมใสศรัทธาที่ถูกที่ควร’
ที่เขาพูดนั้นก็จริงของเขาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่การที่เขาเจตนากีดกันความศรัทธาต่อแม่พระนั่นสิเป็นอันตรายมาก เป็นบ่วงของมารแท้ๆ ความจริงหนีความจริงไม่พ้น เรายิ่งนับถือพระมารดามากเท่าใด เราก็ยิ่งนับถือพระเยซูเจ้ามากขึ้นไปอีกตามส่วน เพราะว่าเรานับถือพระมารดาก็เพื่อนับถือพระเยซูเจ้าให้ดียิ่งขึ้น เราพึ่งพระมารดาเฉพาะในหนทางซึ่งนำไปสู่ปลายทางคือองค์พระเยซูเจ้าพระบุตรของพระนาง
พร้อมกับพระศาสนจักร พระจิตเจ้าสอนให้เราสรรเสริญแม่พระก่อนแล้วจึงสรรเสริญพระเยซูเจ้า ‘(วันทามารีอา….) ผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา’ มิใช่ว่าพระนางมารีอาจะยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูเจ้า หรือแม้แต่เสมอเหมือนพระองค์ หากกล่าวเช่นนั้นก็เท่ากับคิดแบบเฮเรติกอย่างอภัยให้ไม่ได้ แต่เพื่อจะได้สรรเสริญพระเยซูเจ้าดียิ่งขึ้นเราจึงสรรเสริญพระนางมารีอาก่อน ให้เราภาวนาร่วมกับผู้ศรัทธาต่อพระนางโดยไม่ต้องเป็นกังวลต่อคำกล่าวหาลมๆ แล้งๆ ของพวกศรัทธากลัวผิดเกินเหตุเหล่านี้ว่า ‘วันทามารีอา ท่านมีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา’” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 94-95)
ผู้มีความศรัทธาแต่ภายนอก
นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตเป็นผู้ที่มีชีวิตฝ่ายจิตอย่างลึกซึ้ง จึงประณามคริสตชนที่มีความศรัทธาแต่ภายนอกจนเป็นนิสัย คือ ทำกิจศรัทธามากมายแต่ไม่มีการภาวนาที่แท้จริง ท่านเขียนไว้ว่า
“คนศรัทธาแต่ภายนอก คือบุคคลที่นับถือพระมารดาด้วยกิจการภายนอกเท่านั้น ไม่รู้ถึงแก่นสาร พวกเขามักสวดลูกประคำหลายๆ สายอย่างรวดเร็ว ฟังมิสซาหลายมิสซาก็จริงแต่อย่างไม่ตั้งใจ เดินร่วมขบวนแห่พระแม่อย่างไม่มีจิตศรัทธาเลื่อมใส มีชื่อในคณะแม่พระต่างๆ แต่ไม่คิดจะแก้นิสัยใจคอ ไม่ปราบพยศ ชอบตำหนิ ไม่รำพึงถึงคุณความดีของพระมารดา ชอบแต่รสชาติซาบซ่านใจของความเลื่อมใส แต่ไม่ซาบซึ้งถึงแก่นแท้ของความเลื่อมใส เมื่อใดหมดรสชาติก็หมดศรัทธา พาให้หลงนึกว่าเสียเวลาเลยเสียน้ำใจ แล้วเลยเลิกหรือไม่ก็แล้วแต่ความพอใจ โลกเต็มไปด้วยคนศรัทธาประเภทภายนอกอย่างนี้ เป็นคนมักชอบตำหนิคนใจศรัทธาที่ชอบรำพึงและเอาใจใส่สภาพวิญญาณภายในอันจำเป็น โดยไม่ดูถูกความสงบเสงี่ยมเจียมตนภายนอก ซึ่งเป็นของคู่กันเสมอกับความศรัทธาเที่ยงแท้” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 96)
นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตเป็นผู้ที่มีชีวิตฝ่ายจิตอย่างลึกซึ้ง จึงประณามคริสตชนที่มีความศรัทธาแต่ภายนอกจนเป็นนิสัย คือ ทำกิจศรัทธามากมายแต่ไม่มีการภาวนาที่แท้จริง ท่านเขียนไว้ว่า
“คนศรัทธาแต่ภายนอก คือบุคคลที่นับถือพระมารดาด้วยกิจการภายนอกเท่านั้น ไม่รู้ถึงแก่นสาร พวกเขามักสวดลูกประคำหลายๆ สายอย่างรวดเร็ว ฟังมิสซาหลายมิสซาก็จริงแต่อย่างไม่ตั้งใจ เดินร่วมขบวนแห่พระแม่อย่างไม่มีจิตศรัทธาเลื่อมใส มีชื่อในคณะแม่พระต่างๆ แต่ไม่คิดจะแก้นิสัยใจคอ ไม่ปราบพยศ ชอบตำหนิ ไม่รำพึงถึงคุณความดีของพระมารดา ชอบแต่รสชาติซาบซ่านใจของความเลื่อมใส แต่ไม่ซาบซึ้งถึงแก่นแท้ของความเลื่อมใส เมื่อใดหมดรสชาติก็หมดศรัทธา พาให้หลงนึกว่าเสียเวลาเลยเสียน้ำใจ แล้วเลยเลิกหรือไม่ก็แล้วแต่ความพอใจ โลกเต็มไปด้วยคนศรัทธาประเภทภายนอกอย่างนี้ เป็นคนมักชอบตำหนิคนใจศรัทธาที่ชอบรำพึงและเอาใจใส่สภาพวิญญาณภายในอันจำเป็น โดยไม่ดูถูกความสงบเสงี่ยมเจียมตนภายนอก ซึ่งเป็นของคู่กันเสมอกับความศรัทธาเที่ยงแท้” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 96)
ผู้มีความศรัทธาไม่ซื่อตรง
ผู้ที่นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตประณามมากที่สุด คือ ผู้มีความศรัทธาไม่ซื่อตรง หมายถึง ผู้ที่ดำเนินชีวิตในบาปและแสดงความศรัทธาต่อพระนางมารีย์โดยไม่พยายามละทิ้งบาปหรือกลับใจเลย นี่ไม่ใช่คารวะกิจที่แท้จริงต่อพระนางมารีย์ และนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตใช้คำดุว่าท่าทีเช่นนี้อย่างรุนแรงว่า
“คนศรัทธาไว้ใจเกินประมาณ เป็นคนบาปที่จมดิ่งในกองกิเลส พยศชั่วต่างๆ หรือเป็นคนนิยมทางโลกมาก ชอบเรียกตนว่าเป็นคริสตชนผู้เลื่อมใสต่อพระมารดา แต่หมกมุ่นอยู่กับความชั่วช้าลามก หยิ่ง ตระหนี่ ขี้เมา เจ้าโมโห ทนสบถสาบาน ติฉินนินทา ผิดยุติธรรม และอื่นๆ แต่เขานอนตาหลับพร้อมด้วยพยศชั่วของเขา ไม่พยายามแก้ไขนิสัยชั่วช้าของตน อ้างว่าเมื่อมีความศรัทธาต่อพระมารดาแล้วพระคงจะโปรด คงจะไม่ปล่อยให้ตายก่อนแก้บาปแต่จะได้ตายในศีลและพระพร ทั้งนี้ เพราะเขาสวดสายประคำบ้าง จำศีลวันเสาร์บ้าง อยู่ในจำพวกแม่พระบ้าง แขวนรูปแม่พระบ้าง…
การไว้ใจเกินประมาณเช่นนี้ร้ายกาจยิ่งนักเพราะเราจะอวดว่าเรารักและนับถือแม่พระไม่ได้ในเมื่อเราแกล้งทำบาปทิ่มแทงประหัตประหาร ตรึงพระเยซูเจ้าพระโอรสที่รักของพระมารดาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถ้าพระมารดาช่วยให้คนเหล่านี้รอดตามชอบใจก็เท่ากับส่งเสริมให้คนทำบาปตรึงพระเยซูเจ้าและดูถูกประมาทหมิ่นพระบุตร ใครหรือจะกล้าคิดว่าพระมารดาจะส่งเสริมให้เขาทำเช่นนั้นได้
ถัดจากความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทแล้วความศรัทธาเลื่อมใสต่อพระมารดานับเป็นความเลื่อมใสที่ศักดิ์สิทธิ์และมั่นคงกว่าอื่น ฉะนั้น เมื่อใช้ความเลื่อมใสนี้ทำผิดก็เท่ากับทำทุราจารอย่างมหันต์ หากยกเว้นการทุราจารรับศีลมหาสนิทแล้ว ก็เป็นการทุราจารที่เสียหายยิ่ง น่าได้รับอภัยน้อยกว่าอื่น ๆ ทั้งสิ้น" (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 97-99)
ผู้ที่นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตประณามมากที่สุด คือ ผู้มีความศรัทธาไม่ซื่อตรง หมายถึง ผู้ที่ดำเนินชีวิตในบาปและแสดงความศรัทธาต่อพระนางมารีย์โดยไม่พยายามละทิ้งบาปหรือกลับใจเลย นี่ไม่ใช่คารวะกิจที่แท้จริงต่อพระนางมารีย์ และนักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตใช้คำดุว่าท่าทีเช่นนี้อย่างรุนแรงว่า
“คนศรัทธาไว้ใจเกินประมาณ เป็นคนบาปที่จมดิ่งในกองกิเลส พยศชั่วต่างๆ หรือเป็นคนนิยมทางโลกมาก ชอบเรียกตนว่าเป็นคริสตชนผู้เลื่อมใสต่อพระมารดา แต่หมกมุ่นอยู่กับความชั่วช้าลามก หยิ่ง ตระหนี่ ขี้เมา เจ้าโมโห ทนสบถสาบาน ติฉินนินทา ผิดยุติธรรม และอื่นๆ แต่เขานอนตาหลับพร้อมด้วยพยศชั่วของเขา ไม่พยายามแก้ไขนิสัยชั่วช้าของตน อ้างว่าเมื่อมีความศรัทธาต่อพระมารดาแล้วพระคงจะโปรด คงจะไม่ปล่อยให้ตายก่อนแก้บาปแต่จะได้ตายในศีลและพระพร ทั้งนี้ เพราะเขาสวดสายประคำบ้าง จำศีลวันเสาร์บ้าง อยู่ในจำพวกแม่พระบ้าง แขวนรูปแม่พระบ้าง…
การไว้ใจเกินประมาณเช่นนี้ร้ายกาจยิ่งนักเพราะเราจะอวดว่าเรารักและนับถือแม่พระไม่ได้ในเมื่อเราแกล้งทำบาปทิ่มแทงประหัตประหาร ตรึงพระเยซูเจ้าพระโอรสที่รักของพระมารดาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถ้าพระมารดาช่วยให้คนเหล่านี้รอดตามชอบใจก็เท่ากับส่งเสริมให้คนทำบาปตรึงพระเยซูเจ้าและดูถูกประมาทหมิ่นพระบุตร ใครหรือจะกล้าคิดว่าพระมารดาจะส่งเสริมให้เขาทำเช่นนั้นได้
ถัดจากความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทแล้วความศรัทธาเลื่อมใสต่อพระมารดานับเป็นความเลื่อมใสที่ศักดิ์สิทธิ์และมั่นคงกว่าอื่น ฉะนั้น เมื่อใช้ความเลื่อมใสนี้ทำผิดก็เท่ากับทำทุราจารอย่างมหันต์ หากยกเว้นการทุราจารรับศีลมหาสนิทแล้ว ก็เป็นการทุราจารที่เสียหายยิ่ง น่าได้รับอภัยน้อยกว่าอื่น ๆ ทั้งสิ้น" (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 97-99)
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 27, 2005 9:23 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ผู้มีความศรัทธาไม่มั่นคง
นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต ยังกล่าวถึงผู้มีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์เพื่อจะได้รับผลประโยชน์ คือ เขาจะหันมาหาพระนางเพียงแต่ในเวลาที่เขาเกิดมีความต้องการเท่านั้น แต่ท่านนักบุญยังประณามผู้ที่มีความศรัทธาไม่มั่นคงมากกว่าเสียอีกว่า
“คนศรัทธากลับกลอก คือ คนชนิดสามวันดีสี่วันร้าย บางทีศรัทธาจริง บางทีจืดจางแบบรักนักมักหน่าย บางทีพร้อมที่จะทำทุกอย่างในการปรนนิบัติพระมารดา แต่แล้วไม่ช้าเปลี่ยนกลับเป็นคนละคนเสียแล้ว เดี๋ยวอยากจะเข้าเป็นสมาชิกทุกคณะของแม่พระ แต่แล้วไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ เฝ้าแต่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเล่าเหมือนดวงจันทร์ข้างขึ้นข้างแรมคนเช่นนี้แม่พระย่อมเหยียบย่ำพร้อมกันไปกับเสี้ยวดวงจันทร์ใต้ฝ่าพระบาท (วว.12:1) เพราะเขาเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด จึงไม่สมควรนับเข้าในพวกบริวารซื่อสัตย์มั่นคงของพระนางพรหมจาริณีผู้สัตย์ซื่อ แทนที่คิดจะสวดมากบท สู้สวดน้อยบทแต่ด้วยความจงรักภักดีย่อมดีกว่า ทั้งนี้พร้อมกับขับเคี่ยวสู้โลก ปีศาจ และเนื้อหนังที่เฝ้ากีดขวางอยู่เรื่อยไปด้วย” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 101)
นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต ยังกล่าวถึงผู้มีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์เพื่อจะได้รับผลประโยชน์ คือ เขาจะหันมาหาพระนางเพียงแต่ในเวลาที่เขาเกิดมีความต้องการเท่านั้น แต่ท่านนักบุญยังประณามผู้ที่มีความศรัทธาไม่มั่นคงมากกว่าเสียอีกว่า
“คนศรัทธากลับกลอก คือ คนชนิดสามวันดีสี่วันร้าย บางทีศรัทธาจริง บางทีจืดจางแบบรักนักมักหน่าย บางทีพร้อมที่จะทำทุกอย่างในการปรนนิบัติพระมารดา แต่แล้วไม่ช้าเปลี่ยนกลับเป็นคนละคนเสียแล้ว เดี๋ยวอยากจะเข้าเป็นสมาชิกทุกคณะของแม่พระ แต่แล้วไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ เฝ้าแต่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเล่าเหมือนดวงจันทร์ข้างขึ้นข้างแรมคนเช่นนี้แม่พระย่อมเหยียบย่ำพร้อมกันไปกับเสี้ยวดวงจันทร์ใต้ฝ่าพระบาท (วว.12:1) เพราะเขาเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด จึงไม่สมควรนับเข้าในพวกบริวารซื่อสัตย์มั่นคงของพระนางพรหมจาริณีผู้สัตย์ซื่อ แทนที่คิดจะสวดมากบท สู้สวดน้อยบทแต่ด้วยความจงรักภักดีย่อมดีกว่า ทั้งนี้พร้อมกับขับเคี่ยวสู้โลก ปีศาจ และเนื้อหนังที่เฝ้ากีดขวางอยู่เรื่อยไปด้วย” (ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 101)
ผู้มีความศรัทธาไม่ถูกต้องในทุกวันนี้
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สำนึกว่า ในทุกวันนี้ยังมีคริสตชนที่มีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์อย่างไม่ถูกต้อง จึงรู้สึกจำเป็นที่จะเตือนเขาว่า
“บรรดาสัตบุรุษพึงสังวรไว้ว่า ความศรัทธาภักดีที่แท้หาใช่อยู่ที่ความรู้สึกอันไร้ผล และเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม ทั้งพึงระวังความเชื่อง่ายอันไร้สาระ แต่ความศรัทธาภักดีที่แท้นั้นพาให้ชาวเรามารู้จักเกียรติศักดิ์อันสูงส่งของพระมารดาพระเจ้า และผลักดันเราให้มีความรักประสาลูกต่อพระมารดาของเรา และกระตุ้นให้เราเอาอย่างคุณธรรมต่าง ๆ ของพระแม่เจ้าด้วย” (พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร ข้อ 67)
จนถึงวันนี้ยังมีสัตบุรุษที่รู้สึกซาบซึ้งประทับใจต่อหน้ารูปแม่พระ แต่ไม่ยอมละทิ้งบาปกลับใจ คนเหล่านี้ชอบร่วมพิธีกรรมหรือกิจศรัทธาที่ถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์ แต่ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติแห่งความรักต่อผู้อื่น สภาสังคายนาเรียกความรู้สึกเช่นนี้ว่าเป็นความรู้สึกอันไร้ผลและชั่วครู่ชั่วยาม เหมือนกับลมที่พัดมาอย่างแรงวูบหนึ่งแล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ในทำนองเดียวกันในสมัยนี้ยังมีผู้ที่มีความเชื่อง่ายอันไร้สาระในสิ่งที่อ้างว่าเป็นอัศจรรย์หรือการประจักษ์ของแม่พระ เขาแสวงหาสิ่งประหลาดมหัศจรรย์และลืมพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า “ผู้ที่เชื่อทั้งๆ ที่ไม่เห็นย่อมเป็นสุข” (ยน.20:29)
ลักษณะเฉพาะของผู้มีความศรัทธาไม่ถูกต้องต่อพระนางมารีย์ในสมัยนี้ คือ ผู้ที่เลือกเชื่อความจริงเพียงบางประการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและละทิ้งบางอย่างตามใจชอบ ราวกับเลือกของในซุปเปอร์มาเก็ต บางคนเลือกที่จะถวายคารวะกิจต่อพระนางมารีย์น้อยที่สุดเพราะคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงหวงแหนภารกิจของพระองค์ ไม่ทรงยอมให้ใครมาร่วมมือกับพระองค์ แท้จริงแล้วพระวาจาของพระเจ้าเกี่ยวกับพระนางมารีย์แสดงว่าพระนางทรงได้รับภารกิจจากพระเยซูเจ้าอย่างชัดเจน ตรงกันข้ามบางคนเลือกที่จะถวายคารวะกิจต่อพระนางมารีย์มากที่สุดจนลืมไปว่าพระคริสตเจ้าแต่ผู้เดียวทรงเป็นพระผู้ไถ่ผู้ทรงเรียกร้องให้เราดำเนินชีวิตตามคำสัญญาเมื่อรับศีลล้างบาป ส่วนพระนางมารีย์ทรงเป็นเพียงมนุษย์ที่พระเจ้าทรงยกย่อง และเราจึงถวายคารวะกิจแด่พระนาง พยายามดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระนาง
สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 สำนึกว่า ในทุกวันนี้ยังมีคริสตชนที่มีความศรัทธาต่อพระนางมารีย์อย่างไม่ถูกต้อง จึงรู้สึกจำเป็นที่จะเตือนเขาว่า
“บรรดาสัตบุรุษพึงสังวรไว้ว่า ความศรัทธาภักดีที่แท้หาใช่อยู่ที่ความรู้สึกอันไร้ผล และเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม ทั้งพึงระวังความเชื่อง่ายอันไร้สาระ แต่ความศรัทธาภักดีที่แท้นั้นพาให้ชาวเรามารู้จักเกียรติศักดิ์อันสูงส่งของพระมารดาพระเจ้า และผลักดันเราให้มีความรักประสาลูกต่อพระมารดาของเรา และกระตุ้นให้เราเอาอย่างคุณธรรมต่าง ๆ ของพระแม่เจ้าด้วย” (พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร ข้อ 67)
จนถึงวันนี้ยังมีสัตบุรุษที่รู้สึกซาบซึ้งประทับใจต่อหน้ารูปแม่พระ แต่ไม่ยอมละทิ้งบาปกลับใจ คนเหล่านี้ชอบร่วมพิธีกรรมหรือกิจศรัทธาที่ถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์ แต่ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติแห่งความรักต่อผู้อื่น สภาสังคายนาเรียกความรู้สึกเช่นนี้ว่าเป็นความรู้สึกอันไร้ผลและชั่วครู่ชั่วยาม เหมือนกับลมที่พัดมาอย่างแรงวูบหนึ่งแล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ในทำนองเดียวกันในสมัยนี้ยังมีผู้ที่มีความเชื่อง่ายอันไร้สาระในสิ่งที่อ้างว่าเป็นอัศจรรย์หรือการประจักษ์ของแม่พระ เขาแสวงหาสิ่งประหลาดมหัศจรรย์และลืมพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า “ผู้ที่เชื่อทั้งๆ ที่ไม่เห็นย่อมเป็นสุข” (ยน.20:29)
ลักษณะเฉพาะของผู้มีความศรัทธาไม่ถูกต้องต่อพระนางมารีย์ในสมัยนี้ คือ ผู้ที่เลือกเชื่อความจริงเพียงบางประการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและละทิ้งบางอย่างตามใจชอบ ราวกับเลือกของในซุปเปอร์มาเก็ต บางคนเลือกที่จะถวายคารวะกิจต่อพระนางมารีย์น้อยที่สุดเพราะคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงหวงแหนภารกิจของพระองค์ ไม่ทรงยอมให้ใครมาร่วมมือกับพระองค์ แท้จริงแล้วพระวาจาของพระเจ้าเกี่ยวกับพระนางมารีย์แสดงว่าพระนางทรงได้รับภารกิจจากพระเยซูเจ้าอย่างชัดเจน ตรงกันข้ามบางคนเลือกที่จะถวายคารวะกิจต่อพระนางมารีย์มากที่สุดจนลืมไปว่าพระคริสตเจ้าแต่ผู้เดียวทรงเป็นพระผู้ไถ่ผู้ทรงเรียกร้องให้เราดำเนินชีวิตตามคำสัญญาเมื่อรับศีลล้างบาป ส่วนพระนางมารีย์ทรงเป็นเพียงมนุษย์ที่พระเจ้าทรงยกย่อง และเราจึงถวายคารวะกิจแด่พระนาง พยายามดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระนาง
ท่าทีที่ถูกต้อง
นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตเสนอท่าทีที่ถูกต้องในความศรัทธาต่อพระนางมารีย์ว่า “หลังจากพิจารณาเห็นโทษของบรรดาคนศรัทธาไม่แท้เสร็จแล้ว บัดนี้ต้องหันกลับมากล่าวถึงความเลื่อมใสเที่ยงแท้บ้างพอสังเขป จะพบลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
1. อยู่ภายในจิตใจ
2. รักอย่างลูกรักแม่
3. ศักดิ์สิทธิ์
4. มั่นคงเสมอไป
5. ไม่เห็นแก่ตัว”
(ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 105)
มาตรการสำคัญเพื่อแยกแยะชีวิต คริสตชนที่แท้จริงจากชีวิตคริสตชนจอมปลอมก็คือ ความสอดคล้องของชีวิตกับการเปิดเผยของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตของตนให้สอดคล้องกับข่าวดีแห่งความรอดที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศนั้น เขาก็ดำเนินชีวิตในความจริง คือ ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความจริง (เทียบ ยน.14:6)
เมื่อเราใช้มาตรการนี้กับความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระนางมารีย์ เราต้องยืนยันว่าท่าทีที่ถูกต้องในความศรัทธาต่อพระนางมารีย์คือการปฏิบัติที่สอดคล้องกับแผนการของพระเจ้าดังที่พระองค์ทรงเปิดเผย พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ความเลื่อมใสต่อพระนางมารีย์จะเป็นสิ่งจริงแท้เมื่อสอดคล้องกับ ‘ความจริง’ คือ องค์พระเยซูเจ้าและข่าวดีของพระองค์
บรรดาอัครสาวกได้ถ่ายทอดการเปิดเผยของพระเยซูเจ้าให้แก่เรา ในการเปิดเผยนี้พระคริสตเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของแผนการแห่งความรอดของพระบิดา และเป็นศูนย์กลางของชีวิตของคริสตชนที่มีพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำ พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา ทรงเป็นคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ และทรงเป็นแบบอย่างในการเดินทางของมนุษย์ไปสู่พระบิดาโดยมีพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำ พระคริสตเจ้าทรงเป็นดังพระอาทิตย์ บ่อเกิดแห่งแสงสว่างและความอบอุ่นของชีวิตคริสตชนทั้งหมด
แต่การเปิดเผยของพระเจ้ายังแสดงว่า พระนางมารีย์ทรงร่วมงานกอบกู้ของพระเยซูเจ้าเพราะพระองค์ทรงต้องการเช่นนั้น และทรงมอบพละกำลังให้พระนางรับใช้งานกอบกู้ของพระองค์ พระนางมารีย์ทรงเป็นยอดธิดาแห่งอิสราเอล พระเจ้าทรงเลือกพระนางให้เป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า ทรงเป็นผู้มีความเชื่ออย่างสมบูรณ์ในพระองค์ และเป็นผู้ร่วมงานในการช่วยมนุษย์ให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า พระนางจึงทรงเป็นมารดาของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย
ดังนั้น เราจะเป็นคริสตชนที่แท้จริงถ้ายอมรับภารกิจพิเศษที่พระนางมารีย์ทรงกระทำในอดีต และยังทรงกระทำในปัจจุบันเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น พระวรสารเชิญชวนผู้มีความเชื่อในพระคริสตเจ้าทุกคนให้ประกาศว่า พระนางมารีย์ทรงมีบุญเพราะพระเจ้าทรงกระทำสิ่งยิ่งใหญ่ในพระนาง (เทียบ ลก.1:48-49) และยังเชิญชวนเขาให้ต้อนรับพระนางเป็นมารดาของตน ดังที่ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักได้กระทำ (เทียบ ยน.19:25-27)
คริสตชนจึงต้องยึดความจริงสองประการอย่างมีความสมดุล คือ ต้องยอมรับบทบาทของพระนางมารีย์ในชีวิตของตนตามที่พระวาจาของพระเจ้าเปิดเผย และยอมรับแผนการแห่งความรอดที่มีพระเยซูเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางนำเราให้แสดงคารวะกิจต่อพระตรีเอกภาพและปฏิบัติความรักต่อเพื่อนมนุษย์
นักบุญหลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ตเสนอท่าทีที่ถูกต้องในความศรัทธาต่อพระนางมารีย์ว่า “หลังจากพิจารณาเห็นโทษของบรรดาคนศรัทธาไม่แท้เสร็จแล้ว บัดนี้ต้องหันกลับมากล่าวถึงความเลื่อมใสเที่ยงแท้บ้างพอสังเขป จะพบลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
1. อยู่ภายในจิตใจ
2. รักอย่างลูกรักแม่
3. ศักดิ์สิทธิ์
4. มั่นคงเสมอไป
5. ไม่เห็นแก่ตัว”
(ความศรัทธาภักดีฯ ข้อ 105)
มาตรการสำคัญเพื่อแยกแยะชีวิต คริสตชนที่แท้จริงจากชีวิตคริสตชนจอมปลอมก็คือ ความสอดคล้องของชีวิตกับการเปิดเผยของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตของตนให้สอดคล้องกับข่าวดีแห่งความรอดที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศนั้น เขาก็ดำเนินชีวิตในความจริง คือ ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความจริง (เทียบ ยน.14:6)
เมื่อเราใช้มาตรการนี้กับความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระนางมารีย์ เราต้องยืนยันว่าท่าทีที่ถูกต้องในความศรัทธาต่อพระนางมารีย์คือการปฏิบัติที่สอดคล้องกับแผนการของพระเจ้าดังที่พระองค์ทรงเปิดเผย พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ความเลื่อมใสต่อพระนางมารีย์จะเป็นสิ่งจริงแท้เมื่อสอดคล้องกับ ‘ความจริง’ คือ องค์พระเยซูเจ้าและข่าวดีของพระองค์
บรรดาอัครสาวกได้ถ่ายทอดการเปิดเผยของพระเยซูเจ้าให้แก่เรา ในการเปิดเผยนี้พระคริสตเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของแผนการแห่งความรอดของพระบิดา และเป็นศูนย์กลางของชีวิตของคริสตชนที่มีพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำ พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา ทรงเป็นคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ และทรงเป็นแบบอย่างในการเดินทางของมนุษย์ไปสู่พระบิดาโดยมีพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำ พระคริสตเจ้าทรงเป็นดังพระอาทิตย์ บ่อเกิดแห่งแสงสว่างและความอบอุ่นของชีวิตคริสตชนทั้งหมด
แต่การเปิดเผยของพระเจ้ายังแสดงว่า พระนางมารีย์ทรงร่วมงานกอบกู้ของพระเยซูเจ้าเพราะพระองค์ทรงต้องการเช่นนั้น และทรงมอบพละกำลังให้พระนางรับใช้งานกอบกู้ของพระองค์ พระนางมารีย์ทรงเป็นยอดธิดาแห่งอิสราเอล พระเจ้าทรงเลือกพระนางให้เป็นพระมารดาของพระเยซูเจ้า ทรงเป็นผู้มีความเชื่ออย่างสมบูรณ์ในพระองค์ และเป็นผู้ร่วมงานในการช่วยมนุษย์ให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า พระนางจึงทรงเป็นมารดาของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย
ดังนั้น เราจะเป็นคริสตชนที่แท้จริงถ้ายอมรับภารกิจพิเศษที่พระนางมารีย์ทรงกระทำในอดีต และยังทรงกระทำในปัจจุบันเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น พระวรสารเชิญชวนผู้มีความเชื่อในพระคริสตเจ้าทุกคนให้ประกาศว่า พระนางมารีย์ทรงมีบุญเพราะพระเจ้าทรงกระทำสิ่งยิ่งใหญ่ในพระนาง (เทียบ ลก.1:48-49) และยังเชิญชวนเขาให้ต้อนรับพระนางเป็นมารดาของตน ดังที่ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักได้กระทำ (เทียบ ยน.19:25-27)
คริสตชนจึงต้องยึดความจริงสองประการอย่างมีความสมดุล คือ ต้องยอมรับบทบาทของพระนางมารีย์ในชีวิตของตนตามที่พระวาจาของพระเจ้าเปิดเผย และยอมรับแผนการแห่งความรอดที่มีพระเยซูเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางนำเราให้แสดงคารวะกิจต่อพระตรีเอกภาพและปฏิบัติความรักต่อเพื่อนมนุษย์
*thx ขอบคุณพี่ปอที่เอามาลงครับ
อ่านแล้วโดนเลย :P
หลายๆครั้งผมก็เผลอศรัทธาเหมือนเป็นครั้งคราว พอช่วงได้อะไรหรืออะไรหน่อยก็ศรัทธามาก แต่พอพักๆก็เหมือนเลิกเห่อก็พลอยจิตตกแพ้การผจญง่ายๆ
อ่านแล้วโดนเลย :P
หลายๆครั้งผมก็เผลอศรัทธาเหมือนเป็นครั้งคราว พอช่วงได้อะไรหรืออะไรหน่อยก็ศรัทธามาก แต่พอพักๆก็เหมือนเลิกเห่อก็พลอยจิตตกแพ้การผจญง่ายๆ
-
- โพสต์: 137
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 07, 2005 1:38 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อันนี้สรุปได้ชัดเจนที่สุดเลย เข้าใจง่ายด้วย ขอบคุณครับที่นำมาโพสท์ไว้ลักษณะเฉพาะของผู้มีความศรัทธาไม่ถูกต้องต่อพระนางมารีย์ในสมัยนี้ คือ ผู้ที่เลือกเชื่อความจริงเพียงบางประการที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและละทิ้งบางอย่างตามใจชอบ ราวกับเลือกของในซุปเปอร์มาเก็ต บางคนเลือกที่จะถวายคารวะกิจต่อพระนางมารีย์น้อยที่สุดเพราะคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงหวงแหนภารกิจของพระองค์ ไม่ทรงยอมให้ใครมาร่วมมือกับพระองค์ แท้จริงแล้วพระวาจาของพระเจ้าเกี่ยวกับพระนางมารีย์แสดงว่าพระนางทรงได้รับภารกิจจากพระเยซูเจ้าอย่างชัดเจน ตรงกันข้ามบางคนเลือกที่จะถวายคารวะกิจต่อพระนางมารีย์มากที่สุดจนลืมไปว่าพระคริสตเจ้าแต่ผู้เดียวทรงเป็นพระผู้ไถ่ผู้ทรงเรียกร้องให้เราดำเนินชีวิตตามคำสัญญาเมื่อรับศีลล้างบาป ส่วนพระนางมารีย์ทรงเป็นเพียงมนุษย์ที่พระเจ้าทรงยกย่อง และเราจึงถวายคารวะกิจแด่พระนาง พยายามดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระนาง
อันชีวิต ขององค์ พระมารดา
งามนักหนา สุดจะหา ที่เปรียบได้
คนสำคัญ ของโลก ยังห่างไกล
จะเทียบเทียม แม่ไท้ นั้นไม่มี
ถือกำเนิด เกิดเป็นเด็ก ธรรมดา
มารีอา เล็กน้อย นวลฉวี
ด้วยสุภาพ พยายาม ทำความดี
พระยกเป็น เทวี ที่บูชา
;D ;D ;D
งามนักหนา สุดจะหา ที่เปรียบได้
คนสำคัญ ของโลก ยังห่างไกล
จะเทียบเทียม แม่ไท้ นั้นไม่มี
ถือกำเนิด เกิดเป็นเด็ก ธรรมดา
มารีอา เล็กน้อย นวลฉวี
ด้วยสุภาพ พยายาม ทำความดี
พระยกเป็น เทวี ที่บูชา
;D ;D ;D
I like your poem... :)แค๊ป เขียน: อันชีวิต ขององค์ พระมารดา
งามนักหนา สุดจะหา ที่เปรียบได้
คนสำคัญ ของโลก ยังห่างไกล
จะเทียบเทียม แม่ไท้ นั้นไม่มี
ถือกำเนิด เกิดเป็นเด็ก ธรรมดา
มารีอา เล็กน้อย นวลฉวี
ด้วยสุภาพ พยายาม ทำความดี
พระยกเป็น เทวี ที่บูชา
;D ;D ;D
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
โดนใจครับ
เพราะก่อนที่จะมาอ่านกระทู้นี้ ยังคุยกับพ่อทูลหัวเหมือนกันว่า ผมเองไม่ค่อยนึกถึงแม่เท่าไหร่เลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นพลมารี เหมือนท่าทีที่ไม่ถูกต้องเรื่อง "คนที่กลัวผิดเกินเหตุ" แต่ผมไม่เคยนึกตำหนิคนอื่น ๆ นะครับที่เค้ารักแม่พระ อีกอย่าง ผมเป็นคนชอบสวดสายประคำนะ (ทั้ง ๆ ที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยที่จะได้สวดเอาซะเลย)
โดยส่วนตัวแล้วผมรักแม่พระมาก ๆ คนหนึ่งเหมือนกัน
วันนี้ที่ผมคุยกับพ่อทูลหัว เปรียบให้ฟังว่า เหมือนว่าเราต้องการไปของานคน ๆ หนึ่ง แต่ระหว่างเราเข้าไปขอด้วยตนเองกับให้คนที่เป็นที่ "โปรดปราน" เข้าไปขอให้ อย่างไหนที่จะได้รับพระพรมากกว่ากัน
ต่อไปนี้คงต้องมีท่าทีที่ถุกต้องเกี่ยวกับแม่พระให้มากขึ้นกว่านี้แล้วหล่ะครับ เพราะผมเองก็เป็นลูกของแม่คนหนึ่งเหมือนกัน
"แม่พระครับ ผมขอโทษแม่ครับที่ผมเชื่อและรักแม่น้อยมากผมได้ทำบาปต่าง ๆ มากมาย ไม่เคยนึกถึงหัวใจของแม่เลย โปรดอภัยให้แก่ลูกคนบาปคนนี้นะครับ ผมสัญญาว่าจะรักแม่ครับ"
ขอบคุณครับพี่ปอ ขอบคุณมากจากใจจริง ๆ
เพราะก่อนที่จะมาอ่านกระทู้นี้ ยังคุยกับพ่อทูลหัวเหมือนกันว่า ผมเองไม่ค่อยนึกถึงแม่เท่าไหร่เลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นพลมารี เหมือนท่าทีที่ไม่ถูกต้องเรื่อง "คนที่กลัวผิดเกินเหตุ" แต่ผมไม่เคยนึกตำหนิคนอื่น ๆ นะครับที่เค้ารักแม่พระ อีกอย่าง ผมเป็นคนชอบสวดสายประคำนะ (ทั้ง ๆ ที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยที่จะได้สวดเอาซะเลย)
โดยส่วนตัวแล้วผมรักแม่พระมาก ๆ คนหนึ่งเหมือนกัน
วันนี้ที่ผมคุยกับพ่อทูลหัว เปรียบให้ฟังว่า เหมือนว่าเราต้องการไปของานคน ๆ หนึ่ง แต่ระหว่างเราเข้าไปขอด้วยตนเองกับให้คนที่เป็นที่ "โปรดปราน" เข้าไปขอให้ อย่างไหนที่จะได้รับพระพรมากกว่ากัน
ต่อไปนี้คงต้องมีท่าทีที่ถุกต้องเกี่ยวกับแม่พระให้มากขึ้นกว่านี้แล้วหล่ะครับ เพราะผมเองก็เป็นลูกของแม่คนหนึ่งเหมือนกัน
แค่ประโยคนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรักแม่พระจนไม่กล้าที่จะทำบาปแล้วครับHoly เขียน: แต่เขาผิดเพราะไม่เข้าใจว่าพระเกียรติที่ถวายแด่พระนางมารีย์ก็เท่ากับถวายสิริมงคลแด่พระบุตรของพระนาง
"แม่พระครับ ผมขอโทษแม่ครับที่ผมเชื่อและรักแม่น้อยมากผมได้ทำบาปต่าง ๆ มากมาย ไม่เคยนึกถึงหัวใจของแม่เลย โปรดอภัยให้แก่ลูกคนบาปคนนี้นะครับ ผมสัญญาว่าจะรักแม่ครับ"
ขอบคุณครับพี่ปอ ขอบคุณมากจากใจจริง ๆ
แก้ไขล่าสุดโดย Batholomew เมื่อ อังคาร มี.ค. 29, 2005 3:23 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ยกความดีความชอบทั้งหมดให้พระเจ้าครับ อาแมนBatholomew เขียน: โดนใจครับ
เพราะก่อนที่จะมาอ่านกระทู้นี้ ยังคุยกับพ่อทูลหัวเหมือนกันว่า ผมเองไม่ค่อยนึกถึงแม่เท่าไหร่เลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นพลมารี เหมือนท่าทีที่ไม่ถูกต้องเรื่อง "คนที่กลัวผิดเกินเหตุ" แต่ผมไม่เคยนึกตำหนิคนอื่น ๆ นะครับที่เค้ารักแม่พระ อีกอย่าง ผมเป็นคนชอบสวดสายประคำนะ (ทั้ง ๆ ที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยที่จะได้สวดเอาซะเลย)
โดยส่วนตัวแล้วผมรักแม่พระมาก ๆ คนหนึ่งเหมือนกัน
วันนี้ที่ผมคุยกับพ่อทูลหัว เปรียบให้ฟังว่า เหมือนว่าเราต้องการไปของานคน ๆ หนึ่ง แต่ระหว่างเราเข้าไปขอด้วยตนเองกับให้คนที่เป็นที่ "โปรดปราน" เข้าไปขอให้ อย่างไหนที่จะได้รับพระพรมากกว่ากัน
ต่อไปนี้คงต้องมีท่าทีที่ถุกต้องเกี่ยวกับแม่พระให้มากขึ้นกว่านี้แล้วหล่ะครับ เพราะผมเองก็เป็นลูกของแม่คนหนึ่งเหมือนกัน
แค่ประโยคนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรักแม่พระจนไม่กล้าที่จะทำบาปแล้วครับHoly เขียน: แต่เขาผิดเพราะไม่เข้าใจว่าพระเกียรติที่ถวายแด่พระนางมารีย์ก็เท่ากับถวายสิริมงคลแด่พระบุตรของพระนาง
"แม่พระครับ ผมขอโทษแม่ครับที่ผมเชื่อและรักแม่น้อยมากผมได้ทำบาปต่าง ๆ มากมาย ไม่เคยนึกถึงหัวใจของแม่เลย โปรดอภัยให้แก่ลูกคนบาปคนนี้นะครับ ผมสัญญาว่าจะรักแม่ครับ"
ขอบคุณครับพี่ปอ ขอบคุณมากจากใจจริง ๆ
- Immanuel (MichaelPaul)
- ~@
- โพสต์: 2887
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร
ส่วนใหญ่ที่ได้คุยกะเพื่อนที่เป็นโปรแตสแตนท์เค้าก็จะบอกทำนองว่าทำไมต้องขอแม่พระไม่ขอทางพระเยซูโดยตรงเลยล่ะ
เรา ขอทางพระเยซุอยู่แล้วMichaelPaul เขียน: ส่วนใหญ่ที่ได้คุยกะเพื่อนที่เป็นโปรแตสแตนท์เค้าก็จะบอกทำนองว่าทำไมต้องขอแม่พระไม่ขอทางพระเยซูโดยตรงเลยล่ะ
ไม่งั้นก้ ไม่เรียกตนว่าคริสตังหรอก
เราเพียงแค่ให้เกียรติพระแม่
ผู้เป็นราชินี คริสตชน :)
ก็ถามเขากลับว่า ทางโปรแตสแตนท์ไม่เคยขอให้ใครอธิษฐานเผื่อเลยเหรอ แล้วที่ขอก็คนบาปธรรมดา แต่นี่เราขอให้คนที่พระเจ้าโปรดปรานอธิษฐานเผื่อเลยนะ
1ปต 3:12
เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรผู้ชอบธรรม
ทรงเอียงพระกรรณสดับเสียงร้องของเขา
แต่พระพักตร์ของพระองค์มึนตึงต่อผู้ที่กระทำความชั่ว
ยก 5:16
ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย
1ปต 3:12
เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรผู้ชอบธรรม
ทรงเอียงพระกรรณสดับเสียงร้องของเขา
แต่พระพักตร์ของพระองค์มึนตึงต่อผู้ที่กระทำความชั่ว
ยก 5:16
ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
วันทามารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน พระเจ้าสถิตย์กับท่าน ผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา
สันตะมารีอามารดาพระเจ้า โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตายอาแมน
สันตะมารีอามารดาพระเจ้า โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตายอาแมน
วันทามารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน พระเจ้าสถิตย์กับท่าน ผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา สันตะมารีอามารดาพระเจ้า โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตายอาแมน
วันทามารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน พระเจ้าสถิตย์กับท่าน ผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา สันตะมารีอามารดาพระเจ้า โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตายอาแมน
ไม่ได้ลอกนะ
แต่มาช่วยภาวนา
วันทามารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน พระเจ้าสถิตย์กับท่าน ผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา สันตะมารีอามารดาพระเจ้า โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตายอาแมน
ไม่ได้ลอกนะ
แต่มาช่วยภาวนา
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
*thx ครับ
วันทามารีย์ เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน
ผู้ได้รับพระพรกว่าสตรีใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงได้รับพระพรยิ่งนัก
สันตะมารีย์ พระมารดาพระเจ้าโปรดภาวนาเพื่อลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาป
บัดนี้และเมื่อจะตาย อาแมน
ผู้ได้รับพระพรกว่าสตรีใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงได้รับพระพรยิ่งนัก
สันตะมารีย์ พระมารดาพระเจ้าโปรดภาวนาเพื่อลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาป
บัดนี้และเมื่อจะตาย อาแมน
เหมือนกับการอธิษฐานกับพระเจ้า ขอให้ทูตสวรรค์ช่วยเหลือเราในบางเรื่อง หรือเปล่าครับ หรือเป็นเหมือนการขอให้ใครบางคนที่เรามั่นใจว่าเขามีความเชื่อสูงกว่าเรา เติบโตในฝ่ายวิญญาณมากกว่าเรา ช่วยอธิษฐานเผื่อเรา แบบนั้นหรือเปล่าครับHoly เขียน:ก็ถามเขากลับว่า ทางโปรแตสแตนท์ไม่เคยขอให้ใครอธิษฐานเผื่อเลยเหรอ แล้วที่ขอก็คนบาปธรรมดา แต่นี่เราขอให้คนที่พระเจ้าโปรดปรานอธิษฐานเผื่อเลยนะ
1ปต 3:12
เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรผู้ชอบธรรม
ทรงเอียงพระกรรณสดับเสียงร้องของเขา
แต่พระพักตร์ของพระองค์มึนตึงต่อผู้ที่กระทำความชั่ว
ยก 5:16
ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย
พี่เลี้ยงผมที่มีของประทานด้านการพยากรณ์ และอัครทูต เคยพูดถึงเรื่องการขอให้ทูตสวรรค์ประจำตัว (Guardian Angel) คอยช่วยเหลือเราในเรื่องต่างๆ ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะคล้ายๆ กับคาทอลิก แต่พอดีเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องพระนางมารีย์ เลยไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกันหรือเปล่าครับ
(หมายเหตุ: ผมเป็นโปรเตสแตนท์ แต่จากประสบการณ์การรู้จักกับพระเจ้าทำให้รู้ว่ามีหลายๆ เรื่องที่โบสถ์โปรฯ สอนไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์เหมือนกันครับ)
(หมายเหตุ: ผมเป็นโปรเตสแตนท์ แต่จากประสบการณ์การรู้จักกับพระเจ้าทำให้รู้ว่ามีหลายๆ เรื่องที่โบสถ์โปรฯ สอนไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์เหมือนกันครับ)
เราขอให้แม่พระช่วยเหลือเราได้ครับ เหมือนขออารักขาเทวดาToey Kung เขียน:พี่เลี้ยงผมที่มีของประทานด้านการพยากรณ์ และอัครทูต เคยพูดถึงเรื่องการขอให้ทูตสวรรค์ประจำตัว (Guardian Angel) คอยช่วยเหลือเราในเรื่องต่างๆ ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะคล้ายๆ กับคาทอลิก แต่พอดีเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องพระนางมารีย์ เลยไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกันหรือเปล่าครับ
(หมายเหตุ: ผมเป็นโปรเตสแตนท์ แต่จากประสบการณ์การรู้จักกับพระเจ้าทำให้รู้ว่ามีหลายๆ เรื่องที่โบสถ์โปรฯ สอนไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์เหมือนกันครับ)
ทั้งสองแง่มุมครับToey Kung เขียน:เหมือนกับการอธิษฐานกับพระเจ้า ขอให้ทูตสวรรค์ช่วยเหลือเราในบางเรื่อง หรือเปล่าครับ หรือเป็นเหมือนการขอให้ใครบางคนที่เรามั่นใจว่าเขามีความเชื่อสูงกว่าเรา เติบโตในฝ่ายวิญญาณมากกว่าเรา ช่วยอธิษฐานเผื่อเรา แบบนั้นหรือเปล่าครับHoly เขียน:ก็ถามเขากลับว่า ทางโปรแตสแตนท์ไม่เคยขอให้ใครอธิษฐานเผื่อเลยเหรอ แล้วที่ขอก็คนบาปธรรมดา แต่นี่เราขอให้คนที่พระเจ้าโปรดปรานอธิษฐานเผื่อเลยนะ
1ปต 3:12
เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรผู้ชอบธรรม
ทรงเอียงพระกรรณสดับเสียงร้องของเขา
แต่พระพักตร์ของพระองค์มึนตึงต่อผู้ที่กระทำความชั่ว
ยก 5:16
ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย