ที่สำคัญการมีคริสตจักรที่ใหญ่โต ต้องมีท่าทีที่ถูกต้องด้วยว่าเพื่อรองรับผู้เชื่อที่มานมัสการ เพื่อประกาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ของคริสตจักร เพราะคริสตจักรนอกจากจะหมายถึงตัวอาคารแล้วยังหมายถึงกลุ่มผู้เชื่อที่ถูกเลือกออกมาเพื่อถวายแด่พระเจ้าด้วย
ถ้าผู้ก่อตั้งคริสตจักรมองว่าคนไม่มีเลยไม่ทำ จะนับ 10 โดยไม่คิดจะนับ 1 ก็จะไม่มีคริสตจักรเกิดขึ้นเลย ถ้าไม่เริ่ม ผู้เชื่อในบ้านเรามีน้อยก็จริง และถ้าเราอยากให้น้อยอยู่อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเราอยากให้เพิ่มขึ้น อยากเห็นคนไทยรู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราก็ต้องคิดว่าทำอย่างไรสิ่งที่เราอยากเห็นจึงจะเกิดขึ้น
การเติบโตของคริสตจักรนั้นต้องเติบโตทั้งปริมาณและคุณภาพ ถ้าปริมาณไม่เพิ่มแผ่นดินของพระเจ้าก็ไม่ขยายตามพระบัญชาของพระเยซู แต่ถ้าเพิ่มแต่ปริมาณแต่ไม่มีคุณภาพ ผู้เชื่อจิตวิญญาณไม่เติบโตปริมาณที่ได้มากก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นสำคัญทั้ง 2 อย่าง ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้
ทั้งหมดนี้จึงเป็นหน้าที่ของคริสตชนทุกคน ต้องสำรวจดูตัวเองว่ามีของประทานอะไร สามารถทำอะไรได้บ้างแล้วก็ช่วยกันทำ ถ้าทุกคนต่างมีส่วนในคริสตจักรหรือวัดที่ตนเข้าประจำ คริสตจักรหรือวัดก็จะเติบโตเร็วเข้มแข็งและขยายพันธกิจได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าฆารวาสขอแค่เป็นผู้มาร่วมพิธี ยืนดูอยู่ขอบสนาม แล้วโยนหน้าที่ทั้งหมดให้คุณพ่อให้ผู้รับใช้ทำ โบสถ์ถึงจะไม่ตายแต่ก็ไม่โต ถึงโตก็ไม่โตเท่าที่ควร หรือโตระยะหนึ่งก็หยุดโตไป
ปัจจัยในการทำให้คริสตจักรเติบโตมีหลายอย่าง ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าใครมีกระแสเรียกมีของประทานในการรับใช้ก็ถวายตัวรับใช้ ใครสอนรวีสอนคำสอนได้ก็ช่วยสอน ใครทำอะไรได้ก็ทำ ถ้าใครมีกำลังสนับสนุนด้านงบประมาณก็สนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่าคิดว่าโบสถ์รวยแล้วไม่ต้องการสิ่งเล็กน้อยจากเรา เพราะถ้าทุกคนคิดแบบนี้ถุงทานแห้งแน่ แต่ถ้าใครรู้จะช่วยอะไรจริงๆ ก็ช่วยอธิษฐานเผื่อ เพราะ "แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า" (สภษ.16:1) และ "ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้านบรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า" (สดด.127:1)
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านค่ะ
