คำสอนเรื่องศักดิ์ศรีของสตรี
ภูมิหลัง: เปาโลถูกกล่าวหาว่ามีอคติกับสตรี เพราะจากข้อเขียนของท่านในที่ต่างๆ มักจะบอกให้ผู้หญิงต้องเงียบ ต้องเชื่อฟัง
มีเรื่องเล่าว่าในวันพิพากษาโลก นักบุญเปโตรให้ทุกคนยืนรอพระเจ้าเป็นสองแถว โดยให้ครอบครัวที่มีสามีเป็นช้างเท้าหน้าส่วนภรรยาเป็นผู้ตามให้ยืนแถวขวามือ ส่วนครอบครัวใดที่ภรรยาเป็นช้างเท้าหน้าส่วนสามีเป็นผู้ตามให้ยืนแถวซ้ายมือ ปรากฏว่าแถวขวามือมีเพียงผู้ชายเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ทางด้านขวาจึงตรัสว่า “ทำไมเราก็สอนแล้วว่า สามีต้องเป็นผู้นำของครอบครัว” แล้วทำไมมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ปฏิบัติตาม ชายคนนั้นตอบว่า “ผมไม่ทราบครับ เมียของผมสั่งให้ผมมายืนอยู่แถวนี้ครับ”
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเปาโลเขียนจดหมายแต่ละฉบับนั้นเพื่อตอบปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่ได้มีเจตนาจะสอนคนทั่วไป ท่านเองก็ไม่ได้นึกว่าจดหมายของท่านจะถูกนำมาอ่านเป็นคัมภีร์จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นบางเรื่องจึงไม่ได้เป็นคำสอนเพื่อพระศาสนจักรสากล แต่เฉพาะที่เฉพาะกาล เราจึงต้องดูที่มาที่ไปของจดหมายแต่ละฉบับด้วย และความคิดของเปาโลก็มีพัฒนาการไปเรื่อยๆ เช่น เรื่องอวสานตกาลที่เขียนถึงชาวเธสะโลนิกาฉบับที่หนึ่งกับฉบับที่สองก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน
เรื่องสตรีนั้น เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ขณะที่วัฒนธรรมของที่นั่นคือชายเป็นใหญ่ คนเขียนพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย พระเจ้าซึ่งไม่ได้เป็นทั้งชายหรือหญิง ก็ถูกบรรยายในลักษณะของผู้ชาย ซึ่งอาจจะมีภาพของผู้หญิงบ้าง เช่น ความอ่อนหวาน ความเมตตาสงสาร ผู้ปกครองบ้านเมืองสมัยนั้นก็เป็นชาย ผู้นำศาสนาต่างๆ ก็เป็นชาย หัวหน้าศาลาธรรมก็เป็นชาย ผู้หญิงมีหน้าที่อยู่บ้าน ทำงานบ้าน ภาพของผู้หญิงตามธรรมประเพณีของชาวยิวจึงเข้าไปในคำสอนของท่าน
ดังนั้น เราต้องแยกระหว่างคำสอนหลักกับวัฒนธรรม
เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือจดหมายของเปาโลนั้น ไม่ใช่ทุกฉบับหรือทุกตอนเป็นข้อเขียนของเปาโลเอง แต่มาจากลูกศิษย์ของเปาโลคนอื่นๆ ด้วย พวกเขาเขียนในนามของเปาโล และบางฉบับเขียนขึ้นขณะเบียดเบียนศาสนา ดังนั้นจึงอาจจะมีข้อคำสอนบางประการที่เขียนอย่างเลี่ยงๆ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมหรือทำให้เกิดการไม่ยอมรับขึ้นมาได้
ความจริงคืออะไร – ตามคำสอนของพระเจ้านั้นถือว่าชายและหญิงมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
ถ้าเราพิจารณาดูคำสอนของเปาโลจดหมายที่ถือว่าเป็นข้อเขียนของเปาโลแท้ คือ โรม 1-2 โครินธ์ กาลาเทีย ฟิลิปปี ฟีเลโมน
ส่วนที่เหลือเขียนขึ้น 20-30 ปีหลังเปาโล คือ โคโบสี เอเฟซัส 2เธสะโลนิกา 1ทิโมธี 2ทิโมธี ทิตัส
จดหมายที่เขียนถึงเรื่องสตรี เช่น 1 คร 11:3-16 ; 1 คร 14:34-35 ; อฟ 5:22-32 ; คส 3:18-19 ; 1 ทธ 2:8-16 ; ทต 2:4-5
คำสอนของเปาโลได้รับมรดกมาจากคำสอนของพระเยซูเจ้าเอง พระเยซูเจ้าทรงให้เกียรติบรรดาสตรีในการทำงาน ดังที่เราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีศิษย์เป็นผู้หญิงหลายคน “อัครสาวกสิบสองคนอยู่กับพระองค์ รวมทั้งสตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากปีศาจร้าย...หญิงเหล่านี้สละทรัพย์ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก” (ลูกา 8:1-3) นี่แสดงว่ามิใช่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่หญิงก็มีสิทธิเรียนรู้และมาเป็นศิษย์ติดตามพระองค์
เหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือตอนที่พระเยซูเจ้าต้องรับแบกไม้กางเขน บรรดาสตรีติดตามพระองค์ไปตลอด (ผู้ชายหายไปไหนหมด)
ผู้หญิงเป็นพวกแรกที่พระเยซุเจ้าประจักษ์มาให้เห็นขณะที่ทรงกลับคืนชีพ
พระเยซูเจ้าทรงรักษาแม่ยายของเปโตร และเมื่อนางหายดีแล้วก็มารับใพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักร นางใช้บ้านของเธอเป็นที่ชุมนุมพิธีศีลมหาสนิทหรือการรับปังศักดิ์สิทธิ์
พระเยซูเจ้ายังทรงให้บทบาทผู้หญิงเพื่อการสอนข้อคำสอนหลายๆ ประการ เช่น ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงม่ายผู้รบเร้า (ลก 18) เศษเงินของหญิงม่าย (มก 13:41-44)
เปาโลให้คำสอนหลักเรื่องสตรี ในกาลาเทีย 3:27-28 ดังนี้ “เพราะทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปในพระคริสตเจ้าก็สวมพระคริสตเจ้าไว้ ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่มีทาสหรือไท ไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเยซู”
คำสอนนี้ทำให้หลายคนทึ่ง เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสตเจ้าไม่มีกำแพงใดมาขวางกั้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ภาษา หรือเพศ เราอาจจะมีความแตกต่างในเรื่องเหล่านี้ได้แต่จะไม่ทำให้เรามีการแตกแยก เพราะเหนือความต่างเหล่านี้คือ “ศักดิ์ศรี” ที่ทุกคนมีเสมอกัน ความเป็นคริสต์ไม่ได้เปลี่ยนสัญชาติหรือเพศคน แต่ให้เกียรติคน นี่เป็นการประกาศศักดิ์ศรีของสตรีอย่างเด่นชัดของเปาโล
ผู้หญิงไม่แต่งงานได้ไหม
มีคำถามจากชาวเมืองโครินธ์ว่าผู้หญิงไม่แต่งงานได้ไหม (1คร 7) ที่มาของคำถามนี้จากเมืองโครินธ์ในสมัยนั้นผู้หญิงที่คลอดลูกแล้วต้องตายไปจำนวนมาก มีชายมากกว่าหญิง หญิงจึงต้องมีหน้าที่ที่จะต้องแต่งงาน เปาโลจึงตอบไปว่า “ไม่แต่งงานก็ดี แต่เพื่อป้องกันการผิดประเวณีก็ควรแต่งงาน” (เทียบ 1 คร 7:2)
ผู้หญิงจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรขณะร่วมพิธีกรรม
คำตอบใน 1 คร 11:26 ชายและหญิงมีสิทธืในการนำอธิษฐานภาวนา ชายและหญิงมีสิทธิในการประกาศพระวาจาและการเทศน์ ที่ต่างกันคือการใช้ผ้าคลุมศีรษะ
ประเพณีการคลุมศีรษะในการสวดภาวนาเป็นของชาวยิว ไม่ใช่ของคนทั้งโลก ดังนั้นคริสตชนต้องทำตามหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” ส่วนผู้หญิงไม่สมควรปล่อยผม เพราะในสังคมยิวนั้นการที่หญิงไว้ผมยาวและปล่อยผมนั้น แสดงอาการที่ไม่เรียบร้อย เรียกร้องความสนใจจากผู้ชาย หรือไม่ก็เป็นพวกโสเภณี จึงควรคลุมศีรษะขณะร่วมพิธีกรรม นี่เป็นกฎเฉพาะกิจเฉพาะที่ ไม่ได้เป็นพระบัญญัติ
การพูดในพิธีกรรม
มีข้อความที่ว่าให้สตรีอยู่ทีเงียบๆ ในที่ชุมนุม (1คร 14:34-35) เรื่องนี้นักการศึกษาหลายคนบอกว่าเป็นข้อความที่เติมเข้ามา เพราะเกิดปัญหาขึ้นในขณะร่วมพิธีกรรม เพราะมีผู้หญิงบางคนชอบพูด คัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็น เป็นปัญหาเฉพาะท้องที่ จึงต้องมีระเบียบออกมาโดยเฉพาะ ไม่ได้เป็นกฎหรือคำสอนทั่วไป
เช่นเดียวกับเรื่องที่บุรุษและสตรีในที่ชุมนุมใน 1ทธ 2:8-15 ที่ให้สตรีสงบเสงี่ยม แต่งกายสุภาพเรียบร้อยตามกาละเทศะ ฯลฯ ก็เป็นระเบียบเฉพาะที่เหมือนกัน
อำนาจชายกับหญิงใครใหญ่กว่ากัน
ในเอเฟซัส 5:21-23 เปาโลสอนว่า “ภรรยาจงยอมอยู่ใต้อำนาจสามี เหมือนยอมอยู่ใต้อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระเศียรของพระศาสนจักร...” มี 2 คำสำคัญที่เป็น key word ในข้อนี้ คือ “ศีรษะ” กับ “ใต้อำนาจ”
“ศีรษะ” ในภาษากรีกมี 2 คือ อาร์เฮ กับ เกฟาเล
“อาร์เฮ” เหมือนกับ Arch เช่นเราเรียก Archbishop อัครสังฆราช คือ ผู้เป็นหัวหน้าของบรรดาพระสังฆราช
ส่วน “เกฟาเล” หมายถึงผู้นำ เหมือนทหาร นำหน้าเพื่อทำหน้าที่ปกป้องคุ้มกันยอมตายแทนลูกน้อง ในจดหมายนี้เรียกพระเยซูคริสต์ว่ากาฟาเล
ดังนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา หมายความว่า สามีจะต้องคุ้มครองปกป้องภรรยา ยอมตายเพื่อภรรยา สละชีวิตเพื่อภรรยา ตามประเพณีของชาวยิว ในบ้านนั้นสามีจะอยู่ใกล้ประตู ส่วนภรรยาอยู่ลึกเข้าไป เพื่อว่ามีศัตรูมาสามีจะได้รับหน้าไว้ก่อน สามีสามารถปกป้องภรรยาได้
“ใต้อำนาจ” มาจากภาษากรีกเรียกว่าฮิโปตาโส ซึ่งมีความหมายว่านบนอบ นอบน้อม ไม่ใช่แบบทหาร แต่เป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ในพันธสัญญา เป็นการแสดงความรักมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง รักที่เอาใจใส่ช่วยเหลือสนับสนุนให้ครอบครัวมีความมั่นคง
สรุปได้ว่าเปาโลไม่ได้เห็นสตรีเป็นศัตรู ถ้าลองอ่านคำทักทายส่งท้ายจดหมายในโรม 16 จะเห็นได้ว่าเปาโลได้ฝากฝังบุคคลต่างๆ ไว้กับกลุ่มคริสตชนที่นั่นถึง 27 คน ระบุชื่อไว้เรียบร้อย ในจำนวนนี้มีทั้งหญิงและชาย แสดงว่าผู้ร่วมงานของท่านนั้นไม่ได้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ชาย สตรีก็ได้รับเกียรติด้วยถึง 10 คน ในการระบุชื่อของบุคคลที่เปาโลเขียนนั้น มี “เฟบี” เป็นชื่ออันดับแรกเลยทีเดียว และเฟบีก็เป็นผู้หญิงเสียด้วย
(ที่มา: คุณพ่อวัชศิลป์ กฤษเจริญ. “คำสอนเรื่องศักดิ์ศรีของสตรี.” อุดมศานต์ 89 (เมษายน 2552) : 39-42.)
(หมายเหตุ: คุณพ่อวัชศิลป์เขียนโดยสรุปจากเทศน์ของคุณพ่อมิเกล กาไรซาบาล อันเนื่องมาจากปีนักบุญเปาโล)
มีเรื่องเล่าว่าในวันพิพากษาโลก นักบุญเปโตรให้ทุกคนยืนรอพระเจ้าเป็นสองแถว โดยให้ครอบครัวที่มีสามีเป็นช้างเท้าหน้าส่วนภรรยาเป็นผู้ตามให้ยืนแถวขวามือ ส่วนครอบครัวใดที่ภรรยาเป็นช้างเท้าหน้าส่วนสามีเป็นผู้ตามให้ยืนแถวซ้ายมือ ปรากฏว่าแถวขวามือมีเพียงผู้ชายเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ทางด้านขวาจึงตรัสว่า “ทำไมเราก็สอนแล้วว่า สามีต้องเป็นผู้นำของครอบครัว” แล้วทำไมมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ปฏิบัติตาม ชายคนนั้นตอบว่า “ผมไม่ทราบครับ เมียของผมสั่งให้ผมมายืนอยู่แถวนี้ครับ”
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเปาโลเขียนจดหมายแต่ละฉบับนั้นเพื่อตอบปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่ได้มีเจตนาจะสอนคนทั่วไป ท่านเองก็ไม่ได้นึกว่าจดหมายของท่านจะถูกนำมาอ่านเป็นคัมภีร์จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นบางเรื่องจึงไม่ได้เป็นคำสอนเพื่อพระศาสนจักรสากล แต่เฉพาะที่เฉพาะกาล เราจึงต้องดูที่มาที่ไปของจดหมายแต่ละฉบับด้วย และความคิดของเปาโลก็มีพัฒนาการไปเรื่อยๆ เช่น เรื่องอวสานตกาลที่เขียนถึงชาวเธสะโลนิกาฉบับที่หนึ่งกับฉบับที่สองก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน
เรื่องสตรีนั้น เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ ขณะที่วัฒนธรรมของที่นั่นคือชายเป็นใหญ่ คนเขียนพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย พระเจ้าซึ่งไม่ได้เป็นทั้งชายหรือหญิง ก็ถูกบรรยายในลักษณะของผู้ชาย ซึ่งอาจจะมีภาพของผู้หญิงบ้าง เช่น ความอ่อนหวาน ความเมตตาสงสาร ผู้ปกครองบ้านเมืองสมัยนั้นก็เป็นชาย ผู้นำศาสนาต่างๆ ก็เป็นชาย หัวหน้าศาลาธรรมก็เป็นชาย ผู้หญิงมีหน้าที่อยู่บ้าน ทำงานบ้าน ภาพของผู้หญิงตามธรรมประเพณีของชาวยิวจึงเข้าไปในคำสอนของท่าน
ดังนั้น เราต้องแยกระหว่างคำสอนหลักกับวัฒนธรรม
เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือจดหมายของเปาโลนั้น ไม่ใช่ทุกฉบับหรือทุกตอนเป็นข้อเขียนของเปาโลเอง แต่มาจากลูกศิษย์ของเปาโลคนอื่นๆ ด้วย พวกเขาเขียนในนามของเปาโล และบางฉบับเขียนขึ้นขณะเบียดเบียนศาสนา ดังนั้นจึงอาจจะมีข้อคำสอนบางประการที่เขียนอย่างเลี่ยงๆ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมหรือทำให้เกิดการไม่ยอมรับขึ้นมาได้
ความจริงคืออะไร – ตามคำสอนของพระเจ้านั้นถือว่าชายและหญิงมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
ถ้าเราพิจารณาดูคำสอนของเปาโลจดหมายที่ถือว่าเป็นข้อเขียนของเปาโลแท้ คือ โรม 1-2 โครินธ์ กาลาเทีย ฟิลิปปี ฟีเลโมน
ส่วนที่เหลือเขียนขึ้น 20-30 ปีหลังเปาโล คือ โคโบสี เอเฟซัส 2เธสะโลนิกา 1ทิโมธี 2ทิโมธี ทิตัส
จดหมายที่เขียนถึงเรื่องสตรี เช่น 1 คร 11:3-16 ; 1 คร 14:34-35 ; อฟ 5:22-32 ; คส 3:18-19 ; 1 ทธ 2:8-16 ; ทต 2:4-5
คำสอนของเปาโลได้รับมรดกมาจากคำสอนของพระเยซูเจ้าเอง พระเยซูเจ้าทรงให้เกียรติบรรดาสตรีในการทำงาน ดังที่เราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีศิษย์เป็นผู้หญิงหลายคน “อัครสาวกสิบสองคนอยู่กับพระองค์ รวมทั้งสตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากปีศาจร้าย...หญิงเหล่านี้สละทรัพย์ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก” (ลูกา 8:1-3) นี่แสดงว่ามิใช่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่หญิงก็มีสิทธิเรียนรู้และมาเป็นศิษย์ติดตามพระองค์
เหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือตอนที่พระเยซูเจ้าต้องรับแบกไม้กางเขน บรรดาสตรีติดตามพระองค์ไปตลอด (ผู้ชายหายไปไหนหมด)
ผู้หญิงเป็นพวกแรกที่พระเยซุเจ้าประจักษ์มาให้เห็นขณะที่ทรงกลับคืนชีพ
พระเยซูเจ้าทรงรักษาแม่ยายของเปโตร และเมื่อนางหายดีแล้วก็มารับใพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักร นางใช้บ้านของเธอเป็นที่ชุมนุมพิธีศีลมหาสนิทหรือการรับปังศักดิ์สิทธิ์
พระเยซูเจ้ายังทรงให้บทบาทผู้หญิงเพื่อการสอนข้อคำสอนหลายๆ ประการ เช่น ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงม่ายผู้รบเร้า (ลก 18) เศษเงินของหญิงม่าย (มก 13:41-44)
เปาโลให้คำสอนหลักเรื่องสตรี ในกาลาเทีย 3:27-28 ดังนี้ “เพราะทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปในพระคริสตเจ้าก็สวมพระคริสตเจ้าไว้ ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่มีทาสหรือไท ไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเยซู”
คำสอนนี้ทำให้หลายคนทึ่ง เพราะความเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสตเจ้าไม่มีกำแพงใดมาขวางกั้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ภาษา หรือเพศ เราอาจจะมีความแตกต่างในเรื่องเหล่านี้ได้แต่จะไม่ทำให้เรามีการแตกแยก เพราะเหนือความต่างเหล่านี้คือ “ศักดิ์ศรี” ที่ทุกคนมีเสมอกัน ความเป็นคริสต์ไม่ได้เปลี่ยนสัญชาติหรือเพศคน แต่ให้เกียรติคน นี่เป็นการประกาศศักดิ์ศรีของสตรีอย่างเด่นชัดของเปาโล
ผู้หญิงไม่แต่งงานได้ไหม
มีคำถามจากชาวเมืองโครินธ์ว่าผู้หญิงไม่แต่งงานได้ไหม (1คร 7) ที่มาของคำถามนี้จากเมืองโครินธ์ในสมัยนั้นผู้หญิงที่คลอดลูกแล้วต้องตายไปจำนวนมาก มีชายมากกว่าหญิง หญิงจึงต้องมีหน้าที่ที่จะต้องแต่งงาน เปาโลจึงตอบไปว่า “ไม่แต่งงานก็ดี แต่เพื่อป้องกันการผิดประเวณีก็ควรแต่งงาน” (เทียบ 1 คร 7:2)
ผู้หญิงจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรขณะร่วมพิธีกรรม
คำตอบใน 1 คร 11:26 ชายและหญิงมีสิทธืในการนำอธิษฐานภาวนา ชายและหญิงมีสิทธิในการประกาศพระวาจาและการเทศน์ ที่ต่างกันคือการใช้ผ้าคลุมศีรษะ
ประเพณีการคลุมศีรษะในการสวดภาวนาเป็นของชาวยิว ไม่ใช่ของคนทั้งโลก ดังนั้นคริสตชนต้องทำตามหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” ส่วนผู้หญิงไม่สมควรปล่อยผม เพราะในสังคมยิวนั้นการที่หญิงไว้ผมยาวและปล่อยผมนั้น แสดงอาการที่ไม่เรียบร้อย เรียกร้องความสนใจจากผู้ชาย หรือไม่ก็เป็นพวกโสเภณี จึงควรคลุมศีรษะขณะร่วมพิธีกรรม นี่เป็นกฎเฉพาะกิจเฉพาะที่ ไม่ได้เป็นพระบัญญัติ
การพูดในพิธีกรรม
มีข้อความที่ว่าให้สตรีอยู่ทีเงียบๆ ในที่ชุมนุม (1คร 14:34-35) เรื่องนี้นักการศึกษาหลายคนบอกว่าเป็นข้อความที่เติมเข้ามา เพราะเกิดปัญหาขึ้นในขณะร่วมพิธีกรรม เพราะมีผู้หญิงบางคนชอบพูด คัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็น เป็นปัญหาเฉพาะท้องที่ จึงต้องมีระเบียบออกมาโดยเฉพาะ ไม่ได้เป็นกฎหรือคำสอนทั่วไป
เช่นเดียวกับเรื่องที่บุรุษและสตรีในที่ชุมนุมใน 1ทธ 2:8-15 ที่ให้สตรีสงบเสงี่ยม แต่งกายสุภาพเรียบร้อยตามกาละเทศะ ฯลฯ ก็เป็นระเบียบเฉพาะที่เหมือนกัน
อำนาจชายกับหญิงใครใหญ่กว่ากัน
ในเอเฟซัส 5:21-23 เปาโลสอนว่า “ภรรยาจงยอมอยู่ใต้อำนาจสามี เหมือนยอมอยู่ใต้อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระเศียรของพระศาสนจักร...” มี 2 คำสำคัญที่เป็น key word ในข้อนี้ คือ “ศีรษะ” กับ “ใต้อำนาจ”
“ศีรษะ” ในภาษากรีกมี 2 คือ อาร์เฮ กับ เกฟาเล
“อาร์เฮ” เหมือนกับ Arch เช่นเราเรียก Archbishop อัครสังฆราช คือ ผู้เป็นหัวหน้าของบรรดาพระสังฆราช
ส่วน “เกฟาเล” หมายถึงผู้นำ เหมือนทหาร นำหน้าเพื่อทำหน้าที่ปกป้องคุ้มกันยอมตายแทนลูกน้อง ในจดหมายนี้เรียกพระเยซูคริสต์ว่ากาฟาเล
ดังนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา หมายความว่า สามีจะต้องคุ้มครองปกป้องภรรยา ยอมตายเพื่อภรรยา สละชีวิตเพื่อภรรยา ตามประเพณีของชาวยิว ในบ้านนั้นสามีจะอยู่ใกล้ประตู ส่วนภรรยาอยู่ลึกเข้าไป เพื่อว่ามีศัตรูมาสามีจะได้รับหน้าไว้ก่อน สามีสามารถปกป้องภรรยาได้
“ใต้อำนาจ” มาจากภาษากรีกเรียกว่าฮิโปตาโส ซึ่งมีความหมายว่านบนอบ นอบน้อม ไม่ใช่แบบทหาร แต่เป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ในพันธสัญญา เป็นการแสดงความรักมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง รักที่เอาใจใส่ช่วยเหลือสนับสนุนให้ครอบครัวมีความมั่นคง
สรุปได้ว่าเปาโลไม่ได้เห็นสตรีเป็นศัตรู ถ้าลองอ่านคำทักทายส่งท้ายจดหมายในโรม 16 จะเห็นได้ว่าเปาโลได้ฝากฝังบุคคลต่างๆ ไว้กับกลุ่มคริสตชนที่นั่นถึง 27 คน ระบุชื่อไว้เรียบร้อย ในจำนวนนี้มีทั้งหญิงและชาย แสดงว่าผู้ร่วมงานของท่านนั้นไม่ได้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ชาย สตรีก็ได้รับเกียรติด้วยถึง 10 คน ในการระบุชื่อของบุคคลที่เปาโลเขียนนั้น มี “เฟบี” เป็นชื่ออันดับแรกเลยทีเดียว และเฟบีก็เป็นผู้หญิงเสียด้วย
(ที่มา: คุณพ่อวัชศิลป์ กฤษเจริญ. “คำสอนเรื่องศักดิ์ศรีของสตรี.” อุดมศานต์ 89 (เมษายน 2552) : 39-42.)
(หมายเหตุ: คุณพ่อวัชศิลป์เขียนโดยสรุปจากเทศน์ของคุณพ่อมิเกล กาไรซาบาล อันเนื่องมาจากปีนักบุญเปาโล)
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 6:32 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 202
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:23 pm
- ที่อยู่: 1506/504 ซ.7/ม.สราลี เทพารักษ์ สป. // อาสนวิหาอัสสัมชัญ
- ติดต่อ:
เริ่ดๆๆๆ 
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันค้าฟฟเจ๊ แหะๆ

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันค้าฟฟเจ๊ แหะๆ

-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบใจครับ 
[quote="Viridian"]
มีเรื่องเล่าว่าในวันพิพากษาโลก นักบุญเปโตรให้ทุกคนยืนรอพระเจ้าเป็นสองแถว โดยให้ครอบครัวที่มีสามีเป็นช้างเท้าหน้าส่วนภรรยาเป็นผู้ตามให้ยืนแถวขวามือ ส่วนครอบครัวใดที่ภรรยาเป็นช้างเท้าหน้าส่วนสามีเป็นผู้ตามให้ยืนแถวซ้ายมือ ปรากฏว่าแถวขวามือมีเพียงผู้ชายเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ทางด้านขวาจึงตรัสว่า
มีเรื่องเล่าว่าในวันพิพากษาโลก นักบุญเปโตรให้ทุกคนยืนรอพระเจ้าเป็นสองแถว โดยให้ครอบครัวที่มีสามีเป็นช้างเท้าหน้าส่วนภรรยาเป็นผู้ตามให้ยืนแถวขวามือ ส่วนครอบครัวใดที่ภรรยาเป็นช้างเท้าหน้าส่วนสามีเป็นผู้ตามให้ยืนแถวซ้ายมือ ปรากฏว่าแถวขวามือมีเพียงผู้ชายเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเห็นว่ามีเพียงชายคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ทางด้านขวาจึงตรัสว่า
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พวกเราคริสเตียน ก็มักจะคิดว่า พระศาสนจักรคาทอลิก ก็ยึดถือคำสอนของเปาโล จึงไม่ยอมให้มี พระสงฆ์หญิง
พระเยซูเจ้า ทรงเป็น ผู้ที่สำแดงให้เห็นถึงการปฏิบัติต่อสตรี อย่างยุติธรรม ที่สุด
พระเยซูเจ้า ทรงเป็น ผู้ที่สำแดงให้เห็นถึงการปฏิบัติต่อสตรี อย่างยุติธรรม ที่สุด

-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
ขอบคุณจ้า 

- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
เคยเขม่นข้อพระคัมภีร์ตรงนี้อยู่เหมือนกัน พออ่านอีกข้อที่ว่าชายต้องพึ่งหญิงเช่นกันก็เลยสงสัย
แต่พอได้มาอ่านบทความนี้ ก็ตาสว่างขึ้นทันที
อย่างว่าแหละค่ะ การเข้าใจพระคัมภีร์ผิดนิดเดียวก็ยุ่งได้ ขอขอบคุณนะคะที่ช่วยแถลงไขให้กระจ่าง
แต่พอได้มาอ่านบทความนี้ ก็ตาสว่างขึ้นทันที
อย่างว่าแหละค่ะ การเข้าใจพระคัมภีร์ผิดนิดเดียวก็ยุ่งได้ ขอขอบคุณนะคะที่ช่วยแถลงไขให้กระจ่าง
Viridian เขียน: ดังนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา หมายความว่า สามีจะต้องคุ้มครองปกป้องภรรยา ยอมตายเพื่อภรรยา สละชีวิตเพื่อภรรยา ตามประเพณีของชาวยิว ในบ้านนั้นสามีจะอยู่ใกล้ประตู ส่วนภรรยาอยู่ลึกเข้าไป เพื่อว่ามีศัตรูมาสามีจะได้รับหน้าไว้ก่อน สามีสามารถปกป้องภรรยาได้
อารายๆๆๆ อารายคะbaaaah เขียน: อ่านแล้วก็เริ่มคิดนึกถึงชีวิตจริง
เฮ้อออออ![]()

- reccanohono
- โพสต์: 1045
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:06 pm
- ที่อยู่: thailand
ขอบคุณที่แบ่งปันค่า



เเค่กๆ...Viridian เขียน:Viridian เขียน: ดังนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา หมายความว่า สามีจะต้องคุ้มครองปกป้องภรรยา ยอมตายเพื่อภรรยา สละชีวิตเพื่อภรรยา ตามประเพณีของชาวยิว ในบ้านนั้นสามีจะอยู่ใกล้ประตู ส่วนภรรยาอยู่ลึกเข้าไป เพื่อว่ามีศัตรูมาสามีจะได้รับหน้าไว้ก่อน สามีสามารถปกป้องภรรยาได้อารายๆๆๆ อารายคะbaaaah เขียน: อ่านแล้วก็เริ่มคิดนึกถึงชีวิตจริง
เฮ้อออออ![]()
![]()

Laurentius เขียน:เเค่กๆ...Viridian เขียน:Viridian เขียน: ดังนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา หมายความว่า สามีจะต้องคุ้มครองปกป้องภรรยา ยอมตายเพื่อภรรยา สละชีวิตเพื่อภรรยา ตามประเพณีของชาวยิว ในบ้านนั้นสามีจะอยู่ใกล้ประตู ส่วนภรรยาอยู่ลึกเข้าไป เพื่อว่ามีศัตรูมาสามีจะได้รับหน้าไว้ก่อน สามีสามารถปกป้องภรรยาได้อารายๆๆๆ อารายคะbaaaah เขียน: อ่านแล้วก็เริ่มคิดนึกถึงชีวิตจริง
เฮ้อออออ![]()
![]()
![]()



ยาแก้ไอตราลูกกตัญญูไหมจ๊ะLaurentius เขียน:เเค่กๆ... : xemo016 :Viridian เขียน:Viridian เขียน: ดังนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา หมายความว่า สามีจะต้องคุ้มครองปกป้องภรรยา ยอมตายเพื่อภรรยา สละชีวิตเพื่อภรรยา ตามประเพณีของชาวยิว ในบ้านนั้นสามีจะอยู่ใกล้ประตู ส่วนภรรยาอยู่ลึกเข้าไป เพื่อว่ามีศัตรูมาสามีจะได้รับหน้าไว้ก่อน สามีสามารถปกป้องภรรยาได้อารายๆๆๆ อารายคะbaaaah เขียน: อ่านแล้วก็เริ่มคิดนึกถึงชีวิตจริง
เฮ้อออออ![]()
![]()

แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ อาทิตย์ เม.ย. 26, 2009 11:25 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.