ที่มา http://www.kamsondeedee.com/main/images ... t_john.jpg
1 เปโตร
เปโตรเป็นชาวเมืองเบธไชดา แคว้นกาลิลี ประเทศปาเลสไตร์ บิดาชื่อยอห์น น้องชายชื่ออันดรูว์ (หรืออังเดร ) เดิมมีชื่อว่าซีมอน แต่พระเยซูคริสต์ทรงเปลี่ยนให้ใหม่ว่า “ เปโตร” แปรว่าศิลา แต่งงานแล้ว(มธ.8.14)มีอาชีพเป็นชาวประมง อันดรูว์น้องชายเป็นคนแนะนำให้มารู้จักพระเยซูคริสต์ จึงสมัครเป็นศิษย์ของพระองค์แต่นั้นมา ( ยน.1.42)
เปโตรเป็นคนมีนิสัยมุทะลุ ใจร้อน พูดจาขวานผ่าซาก ตรงไปตรงมา แต่เด็ดเดี่ยวเหมือนศิลาสมกับชื่อที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งให้ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า ของอัครสาวก ดังจะเห็นได้จากพระวรสารที่เอ่ยชื่อเปโตรเป็นคนแรก ในบรรดาอัครสาวกเสมอ ( มธ.10.2 มก.3.16 ลก.6.14) และเป็นคนพูดแทนอัครสาวกอื่นๆ พระเยซูคริสต์ทรงมอบหน้าที่สำคัญให้แก่เปโตร คือ เป็นศิลารากฐานของพระศาสนจักร ( มธ.16.18)เป็นชุมพาบาลเลี้ยงดูฝูงแกะ ( ยน.21.15)และเปโตรก็ทำหน้าที่เหล่านี้อย่างออกหน้าออกตาเช่น เป็นคนพูดต่อหน้าประชาชนแทนอัครสาวกอื่นๆ หลังจากรับพระจิตแล้ว( กจ.1.14-36) เป็นคนเปิดประตูรับคนต่างๆ ชาติ คือนายทหารโรมันกับครอบครัว เข้ามาเป็นคริสตชนกลุ่มแรก (กจ.10.48 ) เป็นคนตัดสินปัญหาในที่ประชุมที่กรุงเยรูซาเล็มเรื่องไม่บังคับให้คริสตชนต่างชาติต้องเข้าสุหนัด ( กจ.15.7-11)
หนังสือกิจการอัครสาวกกล่าวถึงเปโตรถูกจับติดคุกและเตรียมถูกประหาร แต่เทวทูตของพระเป็นเจ้ามาช่วยออกจากคุกได้ ( กจ.12.3-10)ต่อมาจากหลักฐานที่กระเซ็นกระสายในจดหมายของนักบุญเปาโลบ้างจากประจักษ์พยานที่เล่าขานกันสืบมาบ้าง พอจะทราบว่าเปโตรได้เดินทางไปปลูกฝังพระศาสนาที่เมืองอันทิโอกในปี ค.ศ.40 ก่อนที่จะกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 42 และถูกจับติดคุกรอการประหารดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เมื่อพ้นจากคุกมาได้อย่างอัศจรรย์ก็ออกไปประกาศพระศาสนาแถบกับปาโดเชีย ปอนตุส บีธีเนีย กาลาเทีย และที่อื่นๆ และคงจะไปที่เมืองโครินธ์ด้วย เพราะปรากฎมีพวกของเปโตรอยู่ที่นั่น (1 คร.1.12)สุดท้ายก็ไปพำนักอยู่ที่กรุงโรม ต่อมาในปี ค.ศ.50 ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากกรุงโรม เปโตรก็คงกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม และมาร่วมประชุมตัดสินปัญหาคริสตชนต่างชาติที่นั่นดังที่กล่าวมาข้างต้น หลังจากนั้นเปโตรคงกลับไปกรุงโรมอีกและอยู่ปกครองกลุ่มคริสตชนที่นั้นจนกระทั่งวาระสุดท้าย ท่านได้เขียนจดหมาย 2 ฉบับถึงกลุ่มคริสตชนที่กรุงโรมเพื่อสั่งสอนและให้กำลังใจ
เกิดการเบียดเบียนศาสนาขึ้นที่กรุงโรมในสมัยจักรพรรดิ์เนโรซึ่งเป็นผู้จุดไฟเผากรุงโรม และใส่ความคริสตชนว่าเป็นผู้ทำ คริสชนเป็นจำนวนมากถูกจับไปทรมานและสังเวยชีวิตเป็นเครื่องเล่นของชาวโรมันการเบียดเบียนยาวนานถึง 4ปี (ค.ศ.64-68) เชื่อว่าเปโตรคงถูกฆ่าตายในปี ค.ศ.67 โดยถูกตรึงกางเขน มีตำนานเล่าว่าขณะที่มีการเบียดเบียนศาสนาเปโตรได้รับคำเตือนจากผู้หวังดีให้หลบหนีไปด้วยเกรงว่าฝูงแกะจะแตกกระจัดกระจายเมื่อไร้ชุมพาบาล พอออกมาพ้นกำแพงเมืองเปโตรก็พบพระเยซูคริสตทรงแบกกางเขนเดินสวนทางมา เปโตรทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์จะเสด็จไปไหน ?” พระองค์ตรัสตอบว่า “ เราจะไปกรุงโรมเพื่อให้เขาตรึงเราอีกครั้งหนึ่ง” เปโตรจึงได้สติ หันกลับกรุงโรม ยอมให้เขาจับไปตรึงกางเขนแต่เพราะสำนึกว่าตนเป็นคนทรยศ ไม่คู่ควรที่จะตายบนไม้กางเขนเยี่ยงพระอาจารย์จึงขอร้องเพชฌฆาตให้ปักไม้กางเขนของตนเอาศรีษะลงดิน เอาเท้าชี้ฟ้า
ศพของเปโตรถูกฝังไว้ที่เนินวาติกัน ณ สถานที่นี้เองต่อมาได้สร้างพระวิหารใหญ่คร่อมคลุมศพไว้และตั้งชื่อว่าพระวิหารนักบุญเปโตรเพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่ท่านมาจนทุกวันนี้ และเนื่องจากเปโตรมาพำนักและปกครองกลุ่มคริสตชนที่กรุงโรมจนกระทั่งสิ้นชีวิต จึงถือว่าท่านเป็นสังฆราชองค์แรกของกรุงโรม และเนื่องจากท่านเป็นหัวหน้าของอัครสาวกทั้งหลาย จึงถือว่าท่านเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของคริสตศาสนา ผู้สืบตำแหน่งของท่านต่อๆมาจึงได้รับตำแหน่งสังฆราชของกรุงโรมและพระสันตะปาปาของคริสตศาสนาด้วย
2 ยอห์น
ยอห์นเป็นน้องชายของยากอบ (ใหญ่)บิดาชื่อเศเบดี มารดาชื่อสะโลเม ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาสตรีที่ติดตามรับใช้พระเยซูคริสต์จากแคว้นกาลิลีไปจนถึงกรุงเยรูซาเล็ม และในวาระสุดท้ายได้ยืนอยู่แทบเชิงกางเขนของพระองค์พร้อมกับสตรีอื่นๆ อีกบางคน(มก.15.40)เข้าใจว่านางสะโลเมคงจะเป็นญาติกับพระนางมารีย์ บ้านเกิดของยอห์นคือเบธไซดาแคว้นกาลิลีมีอาชีพเป็นชาวประมงยอห์นได้ทิ้งอวนทิ้งบิดาติดตามพระเยซูคริสต์ไปพร้อมกับยากอบพี่ชาย (มธ.4.21) และเป็นหนึ่งในศิษย์สามคนที่พระเยซูคริสต์ทรงรักทรงรักเป็นพิเศษยิ่งกว่านั้นยอห์นยังเป็นศิษย์ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักมากที่สุด และมีความใกล้ชิดกับพระองค์มากทที่สุดอีกด้วยท่นมักจะเรียกตัวเองว่า “ศิษย์ที่พระองค์ทรงรัก” (ยน.19.26) เสมอ ท่านอยู่กับพระเยซูคริสต์จนถึงพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ขณะที่ศิษย์อื่นๆ พากันหนีเอาตัวรอดไปหมดและท่านก็ได้มรดกชิ้นสำคัญจากพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน คือพระนางมารีย์มาเป็นแม่และท่านเป็นลูก (ยน.19.26-27)
ยอห์นเป็นศิษย์ที่มีอายุน้อยที่สุดและเป็นหนุ่มโสดเพียงคนเดียวในบรรดาอัครสาวกสิบสององค์แรกๆ ก็มีนิสัยใจร้อนและทะเยอทะยานเหมือนยากอบพี่ชาย จนได้ชื่อว่าลูกฟ้าร้องด้วยกัน(มก.3.17)และถูกศิษย์อื่นๆ รังเกียจเพราะบังอาจไปขอนั่งข้างขวาและข้าวซ้ายของพระเยซูคริสต์ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์(มก.10.35-41)
ยอห์นกับเปโตรดูจะมีอะไรที่พิเศษๆ คู่กันอยู่ เช่น ยอห์นเป็นศิษย์ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักมากที่สุด และเปโตรก็เป็นศิษย์ที่พระเยซูคริสต์ทรวไว้วางใจมากที่สุดโดยทรงแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของอัครสาวกทั้งหลายในการเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้ายเปโตรกระซิบให้ยอห์นถามพระเยซูคริสต์ว่าใครเป็นผู้ทรยศต่อพระองค์(ยน.13.24-25) เปโตรและยอห์นวิ่งไปที่พระคูหาด้วยกันหลังจากได้ทราบข่าวจากมารีชาวมักดาลาว่าพระศพของพระเยซูคริสต์หายไป(ยน.20.3)เปโตรหันมามองยอห์นแล้วถามพระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ว่า “แล้วคนนี้เล่าจะเป็นอย่างไร?” พระเยซูคริสต์ทรงตอบว่า “ถ้าเราจะให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา จะเกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า ?” จนมีเสียงเล่าลือกันว่ายอห์นจะไม่ตาย(ยน.21.20-23) และหนังสือกิจการอัครสาวกก็กล่าวถึงเปโตรและยอห์นขึ้นไปสวดภาวนาที่พระวิหารและรักษาคนง่อยให้หายที่นั่นจนถูกพระสงฆ์ผู้ใหญ่ของชาวยิวจับ ถูกขู่มิให้เทศน์เรื่องพระเยซูคริสต์อีก(กจ.3.1-8)
ตามความเชื่อถือของคริสตชนแต่โบราณเล่าว่า ยอห์นไปเดินทางไปประกาศพระศาสนาแถบเอเชียน้อยโดยพำนักอยู่ที่เมื่องเอเฟซัส ถูกจับในการเบียดเบียนสมัยจักรพรรดิ์โดมีชีอานุส (ค.ศ.95) ถูกโยนลงในกะทะน้ำมันเดือด แต่ไม่เป็นอันตรายใดๆ จึงถูกเนรเทศไปที่เกาะปัตมอส(ค.ศ.96-97) หลังจากจักรพรรดิ์โดมีชีอานุสสิ้นพระชนม์แล้วจึงกลับมาที่เมืองเอเฟซัสอีกและสิ้นชีวิตที่นั่นในราวปี ค.ศ.104 นับว่าเป็นอัครสาวกที่มีอายุยืนยาวที่สุด สมกับที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่า “ ถ้าเราจะให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา จะเกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า(ยน.21.22)
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ยอห์นเป็นศิษย์ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักมากที่สุด เพาะเหตุนี้เองท่านจึงเป็นอัครสาวกแห่งความรัก ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในพระวรสารและจดหมายที่ท่านเขียน ยอห์นเป็นเจ้าของนิยามที่ว่า “พระเป็นเจ้าคือความรัก” (1ยน.4.8) ในตำนานเล่าขานกล่าวว่า เมื่อท่านล่วงสู่วัยชราแล้วพวกศิษย์ของท่านมักจะอุ้มท่านไปให้โอวาทแก่กลุ่มคริสต์ชนอยู่บ่อยๆ และท่านจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ลูกเอ๋ยจงรักกันและกันเถิด” จนผู้คนพากันถามว่าทำไมจึงพูดอยู่แต่เรื่องนี้เรื่องเดียว ท่นก็ตอบว่า “เพราะเป็นคำสั่งของพระเป็นเจ้า ถ้าลูกทำได้แค่นี้ก็พอแล้ว”
สิ่งที่ยอห์นฝากไว้แก่คริสตชนและโลกมนุษย์ก็คือพระวรสารเล่มที่สี่ จดหมาย 2 ฉบับ และพระวิวรณ์ ซึ่งเป็นมรดกล้ำค่ายิ่ง พระวรสารและจดหมายเป็นความล้ำลึกและความสมบูรณ์ของพันธสัญญาใหม่ และพระวิวรณ์ก็เป็นภาพลางๆของโลกใหม่ชีวิตใหม่ ซึ่งเพราะความรักและความใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์ทำให้ท่านได้ล่วงล้ำเข้าไปในมิติของพระเป็นเจ้า คือโลกใหม่และพระอาณาจักรของพระองค์ จึงสมแล้วที่ท่านได้รับรูปนกอินทรีเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว เพราะนกอินทรีนั้นบินสูงลิบสุดขอบฟ้าจนสามารถสัมผัสกับโลกใหม่เบื้องบนได้แม้แต่เพียงเบาบางก็ตาม